ตอนที่ 76. ลูกเสือย่างเข้าสู่ป่าใหญ่
เล่าปี่ฟังคำลิโป้แล้วก็รู้ใจลิโป้จึงว่า อันเมืองชีจิ๋วนี้เป็นเมืองใหญ่ เกินกว่ากำลังสติปัญญาของข้าพเจ้าจะรักษาไว้ได้ แต่เดิมมาข้าพเจ้าก็ได้อ้อนวอนขอให้ท่านรับเป็นเจ้าเมือง แต่ท่านปฏิเสธเสีย บัดนี้ท่านมาอยู่เมืองชีจิ๋วก็ดีแล้ว แสดงว่าสวรรค์เป็นใจเอื้อให้ท่านได้ครองเมือง ราษฎรจะเป็นสุขก็เพราะท่าน ส่วนตัวข้าพเจ้าเต็มใจที่จะไปอยู่เมืองเสียวพ่าย
ลิโป้ได้คะยั้นคะยอให้เล่าปี่เป็นเจ้าเมืองต่อไป แต่เล่าปี่ยืนกรานไม่ยอมรับ และยืนยันให้ลิโป้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว ลิโป้จึงคำนับเล่าปี่แล้วว่าเมื่อท่านยืนกรานดังนี้ ข้าพเจ้าก็จำใจต้องทำตามใจท่านแล้ว ลิโป้จึงสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าปี่และสนทนากันต่อจนสมควรแก่เวลา เล่าปี่จึงขอลาลิโป้แล้วยกไปเมืองเสียวพ่าย
ครั้นถึงเมืองเสียวพ่าย เล่าปี่เห็นกวนอู เตียวหุย ยังมีท่าทีแสดงความไม่พอใจลิโป้อยู่ จึงว่าธรรมดาผู้คิดการหวังเป็นใหญ่นั้นต้องเปี่ยมด้วยความอดทนทั้งกายและใจ ยามใดโอกาสยังไม่เป็นใจ ก็ต้องอดทน อดออมจิตใจไม่ให้ท้อถอย กล้าที่จะยอมคุดคู้อยู่ในที่อันจำกัด ยามใดเป็นโอกาสจะทำการได้สำเร็จก็ช่วงชิงโอกาสไว้ได้ไม่ปล่อยให้หลุดมือ
แล้วว่าเมื่อครั้งฮั่นสินทหารเอกของพระเจ้าฮั่นโกโจยังคงเป็นทหารเอกอยู่นั้น ก็เคยยินยอมลอดหว่างขาของนักเลง อดออมน้ำใจแม้ว่าจะถูกเขาหยามเหยียดถึงเพียงนั้น พวกเราในวันนี้ยังไม่ถึงกับต้องทนเจ็บอายเหมือนฮั่นสินนั้น พวกเจ้าจึงต้องตระหนักความข้อนี้ไว้ให้จงดี โอกาสเปิดทางแก่เราวันใดแล้วค่อยคิดการต่อไป
เมื่อเล่าปี่มาอยู่เมืองเสียวพ่ายแล้ว ลิโป้ได้จัดส่งเสบียงอาหารและของกำนัลไปให้เล่าปี่เป็นเนืองนิจ ทำให้ความขุ่นข้องหมองใจของทั้งสองฝ่ายเป็นปกติลง
ฝ่ายซุนเซ็กหลังจากสิ้นบุญซุนเกี๋ยนแล้ว ตราพระลัญจกรที่ซุนเกี๋ยนได้ไว้จึงตกทอดมาถึงซุนเซ็กผู้บุตร ซุนเซ็กได้เก็บรักษาตราพระลัญจกรนั้นไว้เป็นความลับ แต่อาถรรพ์ตราพระลัญจกรนั้นยังคงสำแดงอานุภาพ การปรากฏว่านับแต่ซุนเซ็กได้ตราพระลัญจกรมาครองก็ตกต่ำเสื่อมถอยลงจนกระทั่งตกมาเป็นลูกน้องของอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง
อ้วนสุดได้ตั้งให้ซุนเซ็กเป็นนายพันทหารราบ สังกัดกองทัพเมืองลำหยง แต่ตัวซุนเซ็กนั้นรูปงาม แคล่วคล่อง องอาจกล้าหาญ แต่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ดังนั้นอ้วนสุดจึงพึงพอใจซุนเซ็ก บางครั้งถึงกับทอดถอนใจใหญ่รำพึงว่าถ้าตัวเรามีบุตรอย่างซุนเซ็กสักคนหนึ่ง ถึงจะตายก็นอนตาหลับ
ต่อมาเมืองเก๋งกวนแข็งข้อ ไม่ฟังคำสั่งของอ้วนสุด อ้วนสุดจึงสั่งให้ซุนเซ็กยกทหารไปตีเมืองเก๋งกวน แล้วเอาชนะได้โดยง่าย ครั้นซุนเซ็กยกทหารกลับมาแล้วรายงานชัยชนะให้อ้วนสุดทราบ อ้วนสุดก็ยิ่งพึงใจ และสั่งให้ซุนเซ็กยกทหารไปตีเมืองโลกั๋ง ซึ่งแข็งข้อกับเมืองลำหยงอีกเมืองหนึ่ง
ซุนเซ็กยกทหารไปปราบปรามเมืองโลกั๋งได้สำเร็จราบคาบอีกเมืองหนึ่ง จึงยกกองทัพกลับเมืองลำหยง ครั้นอ้วนสุดได้ทราบข่าวชัยชนะก็มีความยินดี สั่งให้จัดงานสโมสรสันนิบาตฉลองชัยชนะเพื่อเป็นเกียรติแก่ซุนเซ็ก ในงานเลี้ยงนั้นอ้วนสุดถึงกับลุกมาที่โต๊ะของซุนเซ็กแล้วจูงมือซุนเซ็กไปนั่งกินโต๊ะที่โต๊ะเดียวกัน ซุนเซ็กตั้งใจคอยว่าอ้วนสุดจะปูนบำเหน็จ แต่เสร็จงานเลี้ยงแล้วอ้วนสุดก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ กลับกล่าวอ้างในงานสโมสรสันนิบาตว่า การที่ซุนเซ็กชนะศึกถึงสองครั้งนั้นเป็นเพราะบุญวาสนาของอ้วนสุดเองที่จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
ครั้นเลิกงานซุนเซ็กกลับมาที่พักด้วยความผิดหวัง และน้อยใจอ้วนสุดที่ไม่เห็นคุณงามความดี ทั้งยังแสดงท่าทีเหลิงระเริงในอำนาจของเจ้าเมือง ล่วงยามสองแล้ว ซุนเซ็กก็ยังนอนไม่หลับ เห็นแสงแห่งพระจันทร์จรัสงามตาจึงลงมาเดินในสวนดอกไม้หน้าบ้าน
สายตาซุนเซ็กทอดไปตามต้นไม้ในสวนที่กระทบกับแสงพระจันทร์ แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปในอากาศ พลันมีเมฆกลุ่มหนึ่งลอยผ่านดวงจันทร์ มีลักษณะดั่งขุนศึกกำลังขี่ม้าลักษณาการเดียวกันกับซุนเกี๋ยนผู้บิดา สายใจซุนเซ็กก็หวนรำลึกถึงบิดา ซึ่งมีเกียรติภูมิลือลั่นสนั่นลุ่มน้ำแยงซี คำนึงขึ้นว่าตัวเราบัดนี้สิ้นลายเสือของบิดา ต้องตกมาเป็นข้าอ้วนสุดเหมือนกับเป็นลูกสุนัข
คำนึงดั่งนี้แล้วก็เสียใจนัก ลืมตัวร้องไห้โฮออกมา ในพลันนั้นก็มีเสียงพูดดังมาจากข้างหลังว่า ไฉนนายน้อยจึงมาร้องไห้ในสวนดอกไม้ในยามดึกดื่นดังนี้ มีการใดวิตกขุ่นข้องอยู่ในใจ จงบอกกับข้าพเจ้าเถิด ซุนเซ็กตกใจได้สติเหลียวกลับไปเห็นเป็นจูตี ที่ปรึกษาเก่าของซุนเกี๋ยนก็ดีใจ รีบเชิญจูตีไปนั่งสนทนากันที่เก้าอี้ในสวนนั้น
จูตีจึงว่าเมื่อครั้งบิดาท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น มีการใหญ่น้อยก็จะปรึกษาด้วยข้าพเจ้าสิ้น ค่ำคืนนี้พระจันทร์งามตานัก ตัวข้าพเจ้าเป็นคนมีอายุแล้วนอนไม่หลับ จึงลุกออกมาเดินชมแสงแห่งจันทร์ล่วงมาถึงสวนดอกไม้หน้าบ้านท่าน ก็ได้ยินเสียงนายน้อยร้องไห้ ดังนั้นมีทุกข์ร้อนประการใดจงวางใจข้าพเจ้าเหมือนดั่งครั้งบิดาท่านยังมีชีวิตอยู่เถิด
ซุนเซ็กจึงว่า นับแต่ข้าพเจ้ามารับราชการด้วยอ้วนสุด ได้ทำความชอบไว้มากแต่อ้วนสุดกลับไม่เคยเห็นคุณงามความชอบ มิหนำซ้ำยังมีท่าทียโสวางอำนาจ ข้าพเจ้านี้คิดอ่านจะทำการให้เหมือนบิดา แต่จนใจด้วยขาดกำลังทำการไม่ตลอด หวนรำลึกถึงเกียรติภูมิของบิดาแล้วสลดใจนักจึงร้องไห้ บัดนี้มาพบหน้าท่านจึงอิ่มใจเหมือนดังว่าบิดายังอยู่คอยอุ้มชูมิให้ตกต่ำ
จูตีจึงว่าแต่ครั้งบิดาท่านมีชีวิตอยู่ ได้วาดหวังอุดมการณ์ว่าตระกูล “ซุน” จะตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ก็จะต้องเข้าครองแคว้นกังตั๋งให้ได้ก่อน อันดินแดนฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซีกว้างใหญ่ไพศาลอุดมสมบูรณ์ พรั่งพร้อมด้วยผู้คนแลเสบียงอาหาร ทั้งยังมีแม่น้ำแยงซีเป็นปราการใหญ่ป้องกันภัยข้าศึก ดังนั้นหากนายน้อยจะคิดอ่านทำการอย่างบิดาก็จงหาทางตั้งหลักปักฐาน ณ ดินแดนกังตั๋งนั้นจงสำเร็จเถิด
ซุนเซ็กได้ยินคำจูตีกล่าวถึงอุดมการณ์ของบิดาก็เห็นทางสว่าง ตัดสินใจดำเนินการตามแนวทางที่ซุนเกี๋ยนเคยคิดการไว้กับที่ปรึกษาผู้นี้ จึงถามว่าจะทำการประการใดจึงเป็นใหญ่ในแคว้นกังตั๋งได้
จูตีจึงว่าขอให้นายน้อยไปแจ้งแก่อ้วนสุดว่าบัดนี้งอเก๋งเจ้าเมืองตันเอี๋ยง ผู้เป็นน้าชายกำลังขัดแย้งกับเล่าอิ้ว เจ้าเมืองเอียงจิ๋ว นายน้อยได้ฝากมารดาและครอบครัวอยู่ที่เมืองตันเอี๋ยง จึงเกรงว่าจักเป็นอันตราย แล้วขอยกทหารไปช่วยงอเก๋ง และขอตีเมืองเอียงจิ๋วให้แก่อ้วนสุดในคราวเดียวกัน จากนั้นจึงค่อยคิดการใหญ่ต่อไป
ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นว่า แผนการนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ลูกเสือใหญ่คืนเข้าสู่ป่าย่อมต้องเป็นเจ้าป่าเป็นแน่แท้
ซุนเซ็กและจูตีได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ครั้นเจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้เห็นเป็น ลิห้อมที่ปรึกษาของอ้วนสุดก็ยิ่งตกใจ ซุนเซ็กเอามือกุมกระบี่ไว้มั่น แต่ลิห้อมยกมือเป็นเชิงห้ามซุนเซ็กแล้วว่าท่านอย่าเพิ่งวู่วาม ข้าพเจ้ามาดีดอก แล้วว่าความที่ท่านสนทนากันนั้นข้าพเจ้าได้ยินสิ้นแล้วต้องด้วยความคิดข้าพเจ้านัก ตัวข้าพเจ้านี้แม้เป็นที่ปรึกษาของอ้วนสุดมาช้านาน แต่หาความหมายความเจริญอันใดมิได้ ไม่ต่างอันใดกับเจว็ด จึงคิดที่จะหาผู้มีสติปัญญาคิดการใหญ่ไว้เป็นที่พึ่งสืบไป ข้าพเจ้าได้ยินคำสนทนาแล้วมีความเลื่อมใสยิ่งนัก เต็มใจที่จะเข้าร่วมทำการด้วยท่าน และจะเอาทหารของข้าพเจ้าร้อยกว่าคนมาสวามิภักดิ์ด้วย
ลิห้อมกล่าวต่อไปว่า แผนการที่ได้ยินทั้งสิ้นนั้นเป็นแนวทางการเมืองที่ถูกต้อง และจะได้รับความสนับสนุนจากราษฎรเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าวิตกอยู่ก็แต่ว่ากำลังเรายังน้อยนัก การไปขอยืมทหารอ้วนสุดอาจไม่บรรลุดังประสงค์ เพราะอ้วนสุดเป็นคนใจแคบ คงจะไม่ยินยอมให้ทหารแก่ท่านยกไปทำการ
ซุนเซ็กได้ฟังลิห้อมก็ดีใจ กระทำคารวะลิห้อมแล้วว่า ท่านเมตตามาเข้าด้วยช่วยข้าพเจ้าในครั้งนี้เป็นพระคุณหนักหนา อย่าได้วิตกว่าอ้วนสุดจะไม่ให้ทหาร เพราะข้าพเจ้านี้มีตราพระลัญจกรอันเป็นที่ปองปรารถนาของบรรดาเจ้าเมืองทั้งปวง ข้าพเจ้าจะขอทหารจากอ้วนสุดแล้วมอบตราพระลัญจกรไว้เป็นประกันว่าจะคืนทหารเมื่อการเสร็จแล้ว เชื่อว่าอ้วนสุดคงจะยินยอมพร้อมใจ
จูตีและลิห้อมได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วย และเชื่อว่าอ้วนสุดเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง คงจะรับจำนำตราพระลัญจกรไว้ตามความคิดของซุนเซ็กจึงเสนอให้ซุนเซ็กรีบดำเนินการตามแผนการที่วางไว้
รุ่งขึ้นซุนเซ็กจึงไปหาอ้วนสุดที่จวนเจ้าเมือง ทำหน้าเศร้าแล้วกล่าวว่าก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะมารับราชการด้วยท่านนั้นได้นำมารดาและครอบครัวไปฝากไว้กับงอเก๋งเจ้าเมืองตันเอี๋ยงผู้เป็นน้าชาย บัดนี้เล่าอิ้วเจ้าเมืองเอียงจิ๋วบีบคั้นงอเก๋งแล้วจะยกกองทัพไปตีเมืองตันเอี๋ยง ข้าพเจ้าเกรงว่ามารดาและน้าชายจักเป็นอันตราย จึงใคร่ขอทหารท่านยกไปช่วยงอเก๋งและมารดาเสร็จการแล้วจะยกกลับมาเมืองลำหยง
แล้วว่าเพื่อเป็นหลักประกันความซื่อตรงของข้าพเจ้า จะมอบตราพระลัญจกรไว้แก่ท่าน เมื่อใดที่ข้าพเจ้าคืนทหารแก่ท่านแล้ว ก็จะรับตราพระลัญจกรกลับคืน แล้วซุนเซ็กได้เอาตราพระลัญจกรออกมาแสดง
อ้วนสุดได้ยินคำว่าตราพระลัญจกรก็ดีใจจนเนื้อเต้น รับเอาตราพระลัญจกรจากซุนเซ็กมาพิจารณาก็รู้ว่าเป็นของแท้สำหรับพระมหากษัตริย์มาแต่ก่อนจึงว่าท่านจะปรารมภ์ไปไยกับการขอยืมทหารไปทำการครั้งนี้ เพราะเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้มีคุณ ซึ่งย่อมเป็นธุระที่เราต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่เมื่อท่านจะไปในราชการศึก เราก็จะรักษาตราพระลัญจกรไว้ให้
อ้วนสุดรีบเรียกทหารให้เอาตราพระลัญจกรไปเก็บ แล้วออกปากอนุญาตให้ซุนเซ็กยกทหารไปตามคำขอ สั่งให้จัดทหารสามพันและม้าศึกห้าร้อยมอบแก่ซุนเซ็ก แล้วกำชับว่าเสร็จการแล้วให้รีบยกกลับมา อย่าได้ทำกระทำการใดนอกเหนือจากที่กล่าวนี้เพราะตัวเจ้ายังเยาว์นักเกรงว่าจะเสียทีแก่ข้าศึก เมื่อเจ้ากลับมาแล้ว เราจะตั้งให้เจ้าเป็นขุนนางเมืองลำหยง
ในความคิดของอ้วนสุดนั้นไม่คิดที่จะคืนตราพระลัญจกรให้แก่ซุนเซ็ก ดังนั้นเมื่อใดที่ซุนเซ็กกลับมา อ้วนสุดจึงแจ้งว่าจะปูนบำเหน็จแค่ตั้งให้เป็นขุนนาง แต่ไม่พูดว่าจะคืนตราพระลัญจกร
ซุนเซ็กได้ฟังคำอ้วนสุดสมดังประสงค์ก็ดีใจ แม้ว่าอ้วนสุดจะไม่พูดถึงการคืนตราพระลัญจกรเมื่อกลับมา เพราะซุนเซ็กนั้นเห็นความสำคัญของการได้ครองแคว้นกังตั๋งยิ่งกว่าตราพระลัญจกร และเพื่อให้การใหญ่ดำเนินไปโดยราบรื่น ซุนเซ็กจึงว่าข้าพเจ้ายังเยาว์อยู่ดังคำท่าน เกรงจะทำการไปไม่ตลอด ดังนั้นจึงขอตัว ลิห้อม จูตี ไปเป็นที่ปรึกษาและขอเทียเภา ฮันต๋ง อุยกาย ซึ่งเป็นทหารเก่าของบิดาไปทำการด้วย
อ้วนสุดกำลังคิดถึงตราพระลัญจกรและคิดถึงการอาศัยตราพระลัญจกรตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า ไม่สนใจเรื่องอื่นใด ครั้นได้ยินคำขอตัวที่ปรึกษาและทหารเก่าของซุนเกี๋ยน ก็มิได้สนใจหรือสงสัยประการใด ออกปากอนุญาตตามที่ซุนเซ็กต้องการ
ซุนเซ็กได้รับมอบทหารและม้าศึกแล้วก็พาที่ปรึกษาและทหารของบิดายกออกจากเมืองลำหยง เคลื่อนไปตามเส้นทางที่จะไปเมืองตันเอี๋ยง กองทหารของซุนเซ็กเคลื่อนไปได้ไม่ทันนาน ก็สวนกับทหารหน่วยหนึ่งยกสวนทางมา ปรากฏว่าเป็นจิวยี่ซึ่งซุนเซ็กได้รู้จักตั้งแต่ครั้งที่ซุนเกี๋ยนเข้าร่วมกองทัพปฏิวัติยกไปรบกับตั๋งโต๊ะ ในครั้งนั้นซุนเกี๋ยนได้พาครอบครัวไปอาศัยอยู่ที่เมืองชีเสงใกล้กับบ้านของจิวยี่ ดังนั้นซุนเซ็กและจิวยี่จึงได้คบหากันมาอย่างสนิทสนม แต่จิวยี่นั้นอ่อนวัยกว่าซุนเซ็กสองเดือนจึงเรียกซุนเซ็กว่าพี่
ซุนเซ็กและจิวยี่เห็นกันแล้วต่างก็หยุดม้าแล้วลงมาหากัน จิวยี่คารวะซุนเซ็กทักทายกันตามธรรมเนียมแล้วจึงถามซุนเซ็กว่าจะยกทหารไปที่ใด ซุนเซ็กจึงเล่าความที่คิดการกันนั้นให้จิวยี่ฟังทุกประการ จิวยี่ทราบความแล้วมีความยินดีจึงว่าข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสศรัทธาในอุดมการณ์ของพี่ท่าน จะขอติดตามรับใช้พี่ท่านไปทำการใหญ่จนกว่าจะสำเร็จ.
ลิโป้ได้คะยั้นคะยอให้เล่าปี่เป็นเจ้าเมืองต่อไป แต่เล่าปี่ยืนกรานไม่ยอมรับ และยืนยันให้ลิโป้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว ลิโป้จึงคำนับเล่าปี่แล้วว่าเมื่อท่านยืนกรานดังนี้ ข้าพเจ้าก็จำใจต้องทำตามใจท่านแล้ว ลิโป้จึงสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าปี่และสนทนากันต่อจนสมควรแก่เวลา เล่าปี่จึงขอลาลิโป้แล้วยกไปเมืองเสียวพ่าย
ครั้นถึงเมืองเสียวพ่าย เล่าปี่เห็นกวนอู เตียวหุย ยังมีท่าทีแสดงความไม่พอใจลิโป้อยู่ จึงว่าธรรมดาผู้คิดการหวังเป็นใหญ่นั้นต้องเปี่ยมด้วยความอดทนทั้งกายและใจ ยามใดโอกาสยังไม่เป็นใจ ก็ต้องอดทน อดออมจิตใจไม่ให้ท้อถอย กล้าที่จะยอมคุดคู้อยู่ในที่อันจำกัด ยามใดเป็นโอกาสจะทำการได้สำเร็จก็ช่วงชิงโอกาสไว้ได้ไม่ปล่อยให้หลุดมือ
แล้วว่าเมื่อครั้งฮั่นสินทหารเอกของพระเจ้าฮั่นโกโจยังคงเป็นทหารเอกอยู่นั้น ก็เคยยินยอมลอดหว่างขาของนักเลง อดออมน้ำใจแม้ว่าจะถูกเขาหยามเหยียดถึงเพียงนั้น พวกเราในวันนี้ยังไม่ถึงกับต้องทนเจ็บอายเหมือนฮั่นสินนั้น พวกเจ้าจึงต้องตระหนักความข้อนี้ไว้ให้จงดี โอกาสเปิดทางแก่เราวันใดแล้วค่อยคิดการต่อไป
เมื่อเล่าปี่มาอยู่เมืองเสียวพ่ายแล้ว ลิโป้ได้จัดส่งเสบียงอาหารและของกำนัลไปให้เล่าปี่เป็นเนืองนิจ ทำให้ความขุ่นข้องหมองใจของทั้งสองฝ่ายเป็นปกติลง
ฝ่ายซุนเซ็กหลังจากสิ้นบุญซุนเกี๋ยนแล้ว ตราพระลัญจกรที่ซุนเกี๋ยนได้ไว้จึงตกทอดมาถึงซุนเซ็กผู้บุตร ซุนเซ็กได้เก็บรักษาตราพระลัญจกรนั้นไว้เป็นความลับ แต่อาถรรพ์ตราพระลัญจกรนั้นยังคงสำแดงอานุภาพ การปรากฏว่านับแต่ซุนเซ็กได้ตราพระลัญจกรมาครองก็ตกต่ำเสื่อมถอยลงจนกระทั่งตกมาเป็นลูกน้องของอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง
อ้วนสุดได้ตั้งให้ซุนเซ็กเป็นนายพันทหารราบ สังกัดกองทัพเมืองลำหยง แต่ตัวซุนเซ็กนั้นรูปงาม แคล่วคล่อง องอาจกล้าหาญ แต่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ดังนั้นอ้วนสุดจึงพึงพอใจซุนเซ็ก บางครั้งถึงกับทอดถอนใจใหญ่รำพึงว่าถ้าตัวเรามีบุตรอย่างซุนเซ็กสักคนหนึ่ง ถึงจะตายก็นอนตาหลับ
ต่อมาเมืองเก๋งกวนแข็งข้อ ไม่ฟังคำสั่งของอ้วนสุด อ้วนสุดจึงสั่งให้ซุนเซ็กยกทหารไปตีเมืองเก๋งกวน แล้วเอาชนะได้โดยง่าย ครั้นซุนเซ็กยกทหารกลับมาแล้วรายงานชัยชนะให้อ้วนสุดทราบ อ้วนสุดก็ยิ่งพึงใจ และสั่งให้ซุนเซ็กยกทหารไปตีเมืองโลกั๋ง ซึ่งแข็งข้อกับเมืองลำหยงอีกเมืองหนึ่ง
ซุนเซ็กยกทหารไปปราบปรามเมืองโลกั๋งได้สำเร็จราบคาบอีกเมืองหนึ่ง จึงยกกองทัพกลับเมืองลำหยง ครั้นอ้วนสุดได้ทราบข่าวชัยชนะก็มีความยินดี สั่งให้จัดงานสโมสรสันนิบาตฉลองชัยชนะเพื่อเป็นเกียรติแก่ซุนเซ็ก ในงานเลี้ยงนั้นอ้วนสุดถึงกับลุกมาที่โต๊ะของซุนเซ็กแล้วจูงมือซุนเซ็กไปนั่งกินโต๊ะที่โต๊ะเดียวกัน ซุนเซ็กตั้งใจคอยว่าอ้วนสุดจะปูนบำเหน็จ แต่เสร็จงานเลี้ยงแล้วอ้วนสุดก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ กลับกล่าวอ้างในงานสโมสรสันนิบาตว่า การที่ซุนเซ็กชนะศึกถึงสองครั้งนั้นเป็นเพราะบุญวาสนาของอ้วนสุดเองที่จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
ครั้นเลิกงานซุนเซ็กกลับมาที่พักด้วยความผิดหวัง และน้อยใจอ้วนสุดที่ไม่เห็นคุณงามความดี ทั้งยังแสดงท่าทีเหลิงระเริงในอำนาจของเจ้าเมือง ล่วงยามสองแล้ว ซุนเซ็กก็ยังนอนไม่หลับ เห็นแสงแห่งพระจันทร์จรัสงามตาจึงลงมาเดินในสวนดอกไม้หน้าบ้าน
สายตาซุนเซ็กทอดไปตามต้นไม้ในสวนที่กระทบกับแสงพระจันทร์ แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปในอากาศ พลันมีเมฆกลุ่มหนึ่งลอยผ่านดวงจันทร์ มีลักษณะดั่งขุนศึกกำลังขี่ม้าลักษณาการเดียวกันกับซุนเกี๋ยนผู้บิดา สายใจซุนเซ็กก็หวนรำลึกถึงบิดา ซึ่งมีเกียรติภูมิลือลั่นสนั่นลุ่มน้ำแยงซี คำนึงขึ้นว่าตัวเราบัดนี้สิ้นลายเสือของบิดา ต้องตกมาเป็นข้าอ้วนสุดเหมือนกับเป็นลูกสุนัข
คำนึงดั่งนี้แล้วก็เสียใจนัก ลืมตัวร้องไห้โฮออกมา ในพลันนั้นก็มีเสียงพูดดังมาจากข้างหลังว่า ไฉนนายน้อยจึงมาร้องไห้ในสวนดอกไม้ในยามดึกดื่นดังนี้ มีการใดวิตกขุ่นข้องอยู่ในใจ จงบอกกับข้าพเจ้าเถิด ซุนเซ็กตกใจได้สติเหลียวกลับไปเห็นเป็นจูตี ที่ปรึกษาเก่าของซุนเกี๋ยนก็ดีใจ รีบเชิญจูตีไปนั่งสนทนากันที่เก้าอี้ในสวนนั้น
จูตีจึงว่าเมื่อครั้งบิดาท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น มีการใหญ่น้อยก็จะปรึกษาด้วยข้าพเจ้าสิ้น ค่ำคืนนี้พระจันทร์งามตานัก ตัวข้าพเจ้าเป็นคนมีอายุแล้วนอนไม่หลับ จึงลุกออกมาเดินชมแสงแห่งจันทร์ล่วงมาถึงสวนดอกไม้หน้าบ้านท่าน ก็ได้ยินเสียงนายน้อยร้องไห้ ดังนั้นมีทุกข์ร้อนประการใดจงวางใจข้าพเจ้าเหมือนดั่งครั้งบิดาท่านยังมีชีวิตอยู่เถิด
ซุนเซ็กจึงว่า นับแต่ข้าพเจ้ามารับราชการด้วยอ้วนสุด ได้ทำความชอบไว้มากแต่อ้วนสุดกลับไม่เคยเห็นคุณงามความชอบ มิหนำซ้ำยังมีท่าทียโสวางอำนาจ ข้าพเจ้านี้คิดอ่านจะทำการให้เหมือนบิดา แต่จนใจด้วยขาดกำลังทำการไม่ตลอด หวนรำลึกถึงเกียรติภูมิของบิดาแล้วสลดใจนักจึงร้องไห้ บัดนี้มาพบหน้าท่านจึงอิ่มใจเหมือนดังว่าบิดายังอยู่คอยอุ้มชูมิให้ตกต่ำ
จูตีจึงว่าแต่ครั้งบิดาท่านมีชีวิตอยู่ ได้วาดหวังอุดมการณ์ว่าตระกูล “ซุน” จะตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ก็จะต้องเข้าครองแคว้นกังตั๋งให้ได้ก่อน อันดินแดนฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซีกว้างใหญ่ไพศาลอุดมสมบูรณ์ พรั่งพร้อมด้วยผู้คนแลเสบียงอาหาร ทั้งยังมีแม่น้ำแยงซีเป็นปราการใหญ่ป้องกันภัยข้าศึก ดังนั้นหากนายน้อยจะคิดอ่านทำการอย่างบิดาก็จงหาทางตั้งหลักปักฐาน ณ ดินแดนกังตั๋งนั้นจงสำเร็จเถิด
ซุนเซ็กได้ยินคำจูตีกล่าวถึงอุดมการณ์ของบิดาก็เห็นทางสว่าง ตัดสินใจดำเนินการตามแนวทางที่ซุนเกี๋ยนเคยคิดการไว้กับที่ปรึกษาผู้นี้ จึงถามว่าจะทำการประการใดจึงเป็นใหญ่ในแคว้นกังตั๋งได้
จูตีจึงว่าขอให้นายน้อยไปแจ้งแก่อ้วนสุดว่าบัดนี้งอเก๋งเจ้าเมืองตันเอี๋ยง ผู้เป็นน้าชายกำลังขัดแย้งกับเล่าอิ้ว เจ้าเมืองเอียงจิ๋ว นายน้อยได้ฝากมารดาและครอบครัวอยู่ที่เมืองตันเอี๋ยง จึงเกรงว่าจักเป็นอันตราย แล้วขอยกทหารไปช่วยงอเก๋ง และขอตีเมืองเอียงจิ๋วให้แก่อ้วนสุดในคราวเดียวกัน จากนั้นจึงค่อยคิดการใหญ่ต่อไป
ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นว่า แผนการนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ลูกเสือใหญ่คืนเข้าสู่ป่าย่อมต้องเป็นเจ้าป่าเป็นแน่แท้
ซุนเซ็กและจูตีได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ครั้นเจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้เห็นเป็น ลิห้อมที่ปรึกษาของอ้วนสุดก็ยิ่งตกใจ ซุนเซ็กเอามือกุมกระบี่ไว้มั่น แต่ลิห้อมยกมือเป็นเชิงห้ามซุนเซ็กแล้วว่าท่านอย่าเพิ่งวู่วาม ข้าพเจ้ามาดีดอก แล้วว่าความที่ท่านสนทนากันนั้นข้าพเจ้าได้ยินสิ้นแล้วต้องด้วยความคิดข้าพเจ้านัก ตัวข้าพเจ้านี้แม้เป็นที่ปรึกษาของอ้วนสุดมาช้านาน แต่หาความหมายความเจริญอันใดมิได้ ไม่ต่างอันใดกับเจว็ด จึงคิดที่จะหาผู้มีสติปัญญาคิดการใหญ่ไว้เป็นที่พึ่งสืบไป ข้าพเจ้าได้ยินคำสนทนาแล้วมีความเลื่อมใสยิ่งนัก เต็มใจที่จะเข้าร่วมทำการด้วยท่าน และจะเอาทหารของข้าพเจ้าร้อยกว่าคนมาสวามิภักดิ์ด้วย
ลิห้อมกล่าวต่อไปว่า แผนการที่ได้ยินทั้งสิ้นนั้นเป็นแนวทางการเมืองที่ถูกต้อง และจะได้รับความสนับสนุนจากราษฎรเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าวิตกอยู่ก็แต่ว่ากำลังเรายังน้อยนัก การไปขอยืมทหารอ้วนสุดอาจไม่บรรลุดังประสงค์ เพราะอ้วนสุดเป็นคนใจแคบ คงจะไม่ยินยอมให้ทหารแก่ท่านยกไปทำการ
ซุนเซ็กได้ฟังลิห้อมก็ดีใจ กระทำคารวะลิห้อมแล้วว่า ท่านเมตตามาเข้าด้วยช่วยข้าพเจ้าในครั้งนี้เป็นพระคุณหนักหนา อย่าได้วิตกว่าอ้วนสุดจะไม่ให้ทหาร เพราะข้าพเจ้านี้มีตราพระลัญจกรอันเป็นที่ปองปรารถนาของบรรดาเจ้าเมืองทั้งปวง ข้าพเจ้าจะขอทหารจากอ้วนสุดแล้วมอบตราพระลัญจกรไว้เป็นประกันว่าจะคืนทหารเมื่อการเสร็จแล้ว เชื่อว่าอ้วนสุดคงจะยินยอมพร้อมใจ
จูตีและลิห้อมได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วย และเชื่อว่าอ้วนสุดเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง คงจะรับจำนำตราพระลัญจกรไว้ตามความคิดของซุนเซ็กจึงเสนอให้ซุนเซ็กรีบดำเนินการตามแผนการที่วางไว้
รุ่งขึ้นซุนเซ็กจึงไปหาอ้วนสุดที่จวนเจ้าเมือง ทำหน้าเศร้าแล้วกล่าวว่าก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะมารับราชการด้วยท่านนั้นได้นำมารดาและครอบครัวไปฝากไว้กับงอเก๋งเจ้าเมืองตันเอี๋ยงผู้เป็นน้าชาย บัดนี้เล่าอิ้วเจ้าเมืองเอียงจิ๋วบีบคั้นงอเก๋งแล้วจะยกกองทัพไปตีเมืองตันเอี๋ยง ข้าพเจ้าเกรงว่ามารดาและน้าชายจักเป็นอันตราย จึงใคร่ขอทหารท่านยกไปช่วยงอเก๋งและมารดาเสร็จการแล้วจะยกกลับมาเมืองลำหยง
แล้วว่าเพื่อเป็นหลักประกันความซื่อตรงของข้าพเจ้า จะมอบตราพระลัญจกรไว้แก่ท่าน เมื่อใดที่ข้าพเจ้าคืนทหารแก่ท่านแล้ว ก็จะรับตราพระลัญจกรกลับคืน แล้วซุนเซ็กได้เอาตราพระลัญจกรออกมาแสดง
อ้วนสุดได้ยินคำว่าตราพระลัญจกรก็ดีใจจนเนื้อเต้น รับเอาตราพระลัญจกรจากซุนเซ็กมาพิจารณาก็รู้ว่าเป็นของแท้สำหรับพระมหากษัตริย์มาแต่ก่อนจึงว่าท่านจะปรารมภ์ไปไยกับการขอยืมทหารไปทำการครั้งนี้ เพราะเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้มีคุณ ซึ่งย่อมเป็นธุระที่เราต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่เมื่อท่านจะไปในราชการศึก เราก็จะรักษาตราพระลัญจกรไว้ให้
อ้วนสุดรีบเรียกทหารให้เอาตราพระลัญจกรไปเก็บ แล้วออกปากอนุญาตให้ซุนเซ็กยกทหารไปตามคำขอ สั่งให้จัดทหารสามพันและม้าศึกห้าร้อยมอบแก่ซุนเซ็ก แล้วกำชับว่าเสร็จการแล้วให้รีบยกกลับมา อย่าได้ทำกระทำการใดนอกเหนือจากที่กล่าวนี้เพราะตัวเจ้ายังเยาว์นักเกรงว่าจะเสียทีแก่ข้าศึก เมื่อเจ้ากลับมาแล้ว เราจะตั้งให้เจ้าเป็นขุนนางเมืองลำหยง
ในความคิดของอ้วนสุดนั้นไม่คิดที่จะคืนตราพระลัญจกรให้แก่ซุนเซ็ก ดังนั้นเมื่อใดที่ซุนเซ็กกลับมา อ้วนสุดจึงแจ้งว่าจะปูนบำเหน็จแค่ตั้งให้เป็นขุนนาง แต่ไม่พูดว่าจะคืนตราพระลัญจกร
ซุนเซ็กได้ฟังคำอ้วนสุดสมดังประสงค์ก็ดีใจ แม้ว่าอ้วนสุดจะไม่พูดถึงการคืนตราพระลัญจกรเมื่อกลับมา เพราะซุนเซ็กนั้นเห็นความสำคัญของการได้ครองแคว้นกังตั๋งยิ่งกว่าตราพระลัญจกร และเพื่อให้การใหญ่ดำเนินไปโดยราบรื่น ซุนเซ็กจึงว่าข้าพเจ้ายังเยาว์อยู่ดังคำท่าน เกรงจะทำการไปไม่ตลอด ดังนั้นจึงขอตัว ลิห้อม จูตี ไปเป็นที่ปรึกษาและขอเทียเภา ฮันต๋ง อุยกาย ซึ่งเป็นทหารเก่าของบิดาไปทำการด้วย
อ้วนสุดกำลังคิดถึงตราพระลัญจกรและคิดถึงการอาศัยตราพระลัญจกรตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า ไม่สนใจเรื่องอื่นใด ครั้นได้ยินคำขอตัวที่ปรึกษาและทหารเก่าของซุนเกี๋ยน ก็มิได้สนใจหรือสงสัยประการใด ออกปากอนุญาตตามที่ซุนเซ็กต้องการ
ซุนเซ็กได้รับมอบทหารและม้าศึกแล้วก็พาที่ปรึกษาและทหารของบิดายกออกจากเมืองลำหยง เคลื่อนไปตามเส้นทางที่จะไปเมืองตันเอี๋ยง กองทหารของซุนเซ็กเคลื่อนไปได้ไม่ทันนาน ก็สวนกับทหารหน่วยหนึ่งยกสวนทางมา ปรากฏว่าเป็นจิวยี่ซึ่งซุนเซ็กได้รู้จักตั้งแต่ครั้งที่ซุนเกี๋ยนเข้าร่วมกองทัพปฏิวัติยกไปรบกับตั๋งโต๊ะ ในครั้งนั้นซุนเกี๋ยนได้พาครอบครัวไปอาศัยอยู่ที่เมืองชีเสงใกล้กับบ้านของจิวยี่ ดังนั้นซุนเซ็กและจิวยี่จึงได้คบหากันมาอย่างสนิทสนม แต่จิวยี่นั้นอ่อนวัยกว่าซุนเซ็กสองเดือนจึงเรียกซุนเซ็กว่าพี่
ซุนเซ็กและจิวยี่เห็นกันแล้วต่างก็หยุดม้าแล้วลงมาหากัน จิวยี่คารวะซุนเซ็กทักทายกันตามธรรมเนียมแล้วจึงถามซุนเซ็กว่าจะยกทหารไปที่ใด ซุนเซ็กจึงเล่าความที่คิดการกันนั้นให้จิวยี่ฟังทุกประการ จิวยี่ทราบความแล้วมีความยินดีจึงว่าข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสศรัทธาในอุดมการณ์ของพี่ท่าน จะขอติดตามรับใช้พี่ท่านไปทำการใหญ่จนกว่าจะสำเร็จ.