ตอนที่ 75. ผลของการตั้งอยู่ในความประมาท
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติเบญจศีลเพื่อคุ้มครองบุคคลและสังคมให้ปลอดภัยและเป็นสุข ในเบญจศีลนั้นบทว่าด้วยการห้ามเสพสุรายาเมา เป็นบทสุดท้าย แต่มีความสำคัญสูงสุด เพราะเป็นบทที่ป้องกันมิให้ตั้งอยู่ในความประมาท
เมื่อตั้งอยู่ในความประมาทแล้ว ในทางกาย วาจา ก็สามารถล่วงศีลได้ทุกข้อ ในทางจิตก็ทำให้สติเผลอเรอ ไม่ตั้งมั่น ไม่บริสุทธิ์ และไม่สามารถใช้การงานอันใดได้ ดังนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าในบรรดาธรรมทั้งปวงไม่เห็นธรรมข้อใดจะเป็นใหญ่เป็นประธานเสมอด้วยความไม่ประมาท และทรงตรัสถึงผลร้ายของการตั้งอยู่ในความประมาทว่า เป็นหนทางที่จะเผชิญกับพญามัจจุราช
แม้ยามใกล้จะดับขันธ์ปรินิพพานก็ทรงย้ำเป็นปัจฉิมวาจาว่า “ท่านทั้งหลายจงยังการทั้งปวงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”
พลันที่เตียวหุยคิดละคำสัญญาที่ให้ไว้กับเล่าปี่ และเริ่มดื่มสุราย่อมได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในความประมาทแล้ว เพราะความประมาทนั้นจึงขาดสติ และปัญญาก็ถูกปิดบังไป จึงผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเล่าปี่ทั้งสามข้อที่ว่าจะไม่เสพสุราก่อนที่เล่าปี่จะกลับมา ทำการสิ่งใดจะปรึกษาด้วยผู้มีสติปัญญา และถ้าทำการสิ่งใดมีผู้ทัดทานก็จะรับฟัง เตียวหุยทำผิดสัญญาทั้งสามข้อแล้วสั่งโบยโจป้า เพียงเท่านี้ก็นับว่าผิดหนักหนาสาหัสแล้ว แต่การมิได้จบลงเพียงเท่านี้
เพราะเมื่อลิโป้ได้รับหนังสือของโจป้าผู้เป็นพ่อตา เล่าความที่ถูกเตียวหุยข่มเหงรังแก ทำให้เจ็บอายต่อหน้าบรรดาขุนนางข้าราชการเมืองชีจิ๋ว และยังกล่าวจาบจ้วงดูหมิ่นมาถึงลิโป้อีกด้วย ลิโป้จึงโกรธเคืองเตียวหุยเป็นอันมาก ให้หาตันก๋งมาพบเล่าความทั้งปวงให้ตันก๋งฟัง แล้วปรึกษาว่าจะต้องล้างแค้นเตียวหุยให้จงได้
ตันก๋งจึงว่าอันตัวท่านนั้นเปรียบประดุจจระเข้ใหญ่มาอยู่เมืองเสียวพ่ายซึ่งประหนึ่งเป็นหนองน้ำน้อยหาสมควรไม่ จำต้องแสวงหาแม่น้ำใหญ่อาศัยจึงจะทำการใหญ่ได้ บัดนี้เล่าปี่ยกไปตีเมืองลำหยง ให้เตียวหุยอยู่รักษาเมือง ทหารก็น้อยตัวนัก การที่เตียวหุยทำหยาบช้าต่อพ่อตาท่าน และยังจาบจ้วงมาถึงท่านทั้งนี้เป็นทีแล้วที่จะยกไปยึดเอาเมืองชีจิ๋ว ทำการใหญ่สืบไป ขอท่านจงเร่งยึดเมืองชีจิ๋วโดยเร็วเถิด
ลิโป้ฟังคำตันก๋งแล้วเห็นชอบกับข้อเสนอ จึงสั่งให้จัดทหารเป็นสองกอง ลิโป้ยกทหารม้าเป็นกองหน้ารีบรุดไปเมืองชีจิ๋วก่อน และให้ตันก๋งกับโกสุ้นระดมทหารทั้งสิ้นจากเมืองเสียวพ่ายรีบยกตามไป
ลิโป้ ตันก๋ง และโกสุ้นจัดเตรียมทหารแล้ว ลิโป้ก็รีบยกกำลังทหารม้าไปเมืองชีจิ๋วตั้งแต่วันนั้น ล่วงยามสามก็ถึงกำแพงเมืองชีจิ๋ว จึงร้องให้ทหารเปิดประตูเมืองแจ้งว่ามีข้อราชการสำคัญจะปรึกษากับเตียวหุย
ขณะนั้นทหารของโจป้ารักษาเชิงเทินและประตูเมืองอยู่เห็นเป็นลิโป้จึงเอาความไปรายงานให้โจป้าทราบ โจป้ารีบมาที่เชิงเทินเห็นลิโป้จึงสั่งทหารให้เปิดประตูเมืองรับ ลิโป้เข้ามา ทหารของลิโป้ก็โห่ร้องและพากันยกเข้าไปในเมืองชีจิ๋ว ทหารเตียวหุยเห็นทหารลิโป้ยกมาก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปหาเตียวหุย แต่เตียวหุยเมาสุราหลับไหลอยู่ ทหารจึงรีบปลุกให้ตื่นแล้วรายงานเหตุการณ์ให้ทราบ
เตียวหุยทราบความก็ตกใจ รีบคว้าทวนออกไปยืนหน้าบ้านพัก เห็นทหาร ลิโป้ล้อมอยู่ เห็นว่าจะต่อสู้มิได้เพราะมีกำลังน้อย ทั้งยังมึนเมาสุราอยู่ จึงวิ่งไปที่โรงม้าขึ้นม้าพาทหารติดตามเพียงสิบแปดคนหนีออกจากเมืองชีจิ๋ว ทิ้งครอบครัวเล่าปี่และข้าวของทั้งสิ้นไว้ในเมืองชีจิ๋ว
ทหารลิโป้เห็นเตียวหุยพาทหารหลบหนีออกจากประตูเมืองก็ไปรายงานให้ลิโป้ทราบ ลิโป้เห็นว่ายึดเมืองชีจิ๋วได้โดยง่ายเช่นนี้แล้ว และเตียวหุยก็มีฝีมือกล้าแข็ง จึงไม่ติดตามเตียวหุยต่อไป แต่โจป้าพ่อตาลิโป้นั้นยังคุมแค้นเตียวหุยอยู่เป็นอันมาก เห็นเตียวหุยหนีไปทั้ง ๆ ที่เมาสุราจึงรีบคุมทหารร้อยเศษติดตามเตียวหุยไป
เตียวหุยหนีออกจากเมืองไปไม่ไกลนัก ได้ยินเสียงทหารไล่ตามมาก็หยุดดูว่าเป็นทหารของผู้ใด ครั้นเห็นเป็นโจป้า จึงชักม้ากลับมาเผชิญหน้ากับโจป้า โจป้าเห็นเตียวหุยขับม้าเข้ามาก็เร่งฝีเท้าม้าเข้ารบด้วยเตียวหุย ต่อสู้กันได้สามเพลงโจป้าเห็นว่าสู้เตียวหุยไม่ได้จึงขับม้าหนี เตียวหุยขับม้าไล่ตามไปถึงริมแม่น้ำทันเข้ากับโจป้า จึงเอาทวนแทง โจป้าตกม้าตาย
ครั้นสว่างทหารเตียวหุยที่หลบหนีออกจากเมืองติดตามมาทันจึงพากันไปหาเล่าปี่ตามเส้นทางที่จะไปเมืองลำหยง ครั้นมาถึงเมืองอุไถก็พบกองทัพเล่าปี่ เตียวหุยจึงเข้าไปหาเล่าปี่ เล่าความให้เล่าปี่ฟังทุกประการ
บรรดาทหารของเล่าปี่ครั้นได้ทราบความต่างพากันเสียน้ำใจและห่วงใยครอบครัวที่อยู่ในเมืองชีจิ๋วนั้น เล่าปี่เห็นคนทั้งปวงตกใจจึงปลอบว่า “ธรรมดาเกิดมาเป็นชาติทหารแล้ว ถ้าจะเสียทีก็อย่าเป็นทุกข์ ถึงจะได้ทีก็อย่ายินดี”
กวนอูสังเกตเห็นเตียวหุยมาแต่ตัว มิได้เห็นครอบครัวเล่าปี่ตามมาด้วย จึงถามว่าครอบครัวพี่ใหญ่ของเราขณะนี้อยู่ที่ใด เตียวหุยจึงว่าข้าพเจ้ารีบหนีมา ดังนั้นครอบครัวของพี่ใหญ่จึงยังคงค้างอยู่ในเมืองชีจิ๋ว
เล่าปี่ได้ยินก็เงียบงันไม่ว่ากล่าวประการใด แต่กวนอูฟังแล้วก็โกรธ กระทืบเท้าแล้วว่าเตียวหุยว่า ก่อนที่พี่ใหญ่จะยกมา น้องเล็กเจ้าให้สัญญาไว้ว่าอย่างไร แล้วไฉนจึงละสัญญานั้นเสีย ทำให้พี่ใหญ่ต้องเสียทั้งเมืองและเสียทั้งครอบครัว เจ้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไรกัน
เตียวหุยได้ยินกวนอูตำหนิดังนั้น หันไปมองเล่าปี่เห็นนิ่งขรึมอยู่ สำนึกรับผิดชอบก็ประดังเข้ามาเต็มหัวใจ ทั้งรู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งนัก ประกอบกับเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ทำให้พี่ใหญ่ของตัวต้องเสียทั้งเมือง และเสียทั้งเมีย เตียวหุยจึงกระชากกระบี่ออกจากฝักจะเชือดคอตาย
เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ตกใจ ปราดเข้าถึงตัวเตียวหุย มือหนึ่งกอดเตียวหุยไว้ อีกมือหนึ่งชิงกระบี่จากมือเตียวหุยแล้วจึงว่า “คำโบราณกล่าวไว้ว่า ธรรมดาภรรยาอุปมาเหมือนอย่างเสื้อผ้า ขาดแลหายแล้วก็จะหาได้ พี่น้องเหมือนแขนซ้ายขวา ขาดแล้วยากที่จะต่อได้ แล้วเราก็ได้สาบานไว้ต่อกันว่า ถ้าจะตายก็จะตายด้วยกัน ซึ่งเสียเมืองชีจิ๋วและภรรยาเราไปทั้งนี้เป็นแต่การภายนอก จะฆ่าตัวเสียนั้นใช่ของทั้งนี้จะคืนมาก็หามิได้ ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็จะได้คิดอ่านทำการสืบไป จะมาตายเสียเปล่า ๆ ไม่ควรเลย”
คำพูดจากใจของเล่าปี่ครั้งนี้สะเทือนใจผู้คนยิ่ง บรรดาทหารที่อยู่ ณ ที่นั้นยินคำเล่าปี่แล้วพากันร้องไห้สงสาร และเลื่อมใสศรัทธาเล่าปี่เป็นยิ่งนัก เล่าปี่เห็นทหารทั้งนั้นร้องไห้ก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย กวนอู เตียวหุย เห็นเล่าปี่ร้องไห้จึงพากันร้องไห้ตาม
ฝ่ายลิโป้ครั้นได้เมืองชีจิ๋วแล้วใจยังเกรงเล่าปี่อยู่ จึงจัดทหารร้อยหนึ่งไปคุ้มครองครอบครัวเล่าปี่แล้วจัดการดูแลเลี้ยงดูเป็นอันดี มิให้ขาดตกบกพร่อง
ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ครั้นได้ทราบข่าวว่าลิโป้ยึดได้เมืองชีจิ๋วแล้ว จึงให้ทหารถือหนังสือไปให้ลิโป้ขอให้ลิโป้ยกมาช่วยรบด้วยเล่าปี่ โดยสัญญาว่าจะตอบแทนการครั้งนี้แก่ลิโป้ด้วยข้าวหมื่นถัง ม้าห้าร้อย ทองเงินหมื่นตำลึง แพรพันพับ ลิโป้เป็นคนโลภเห็นรางวัลที่อ้วนสุดตั้งไว้เป็นจำนวนมากก็ตกลงที่จะยกไปรบด้วยเล่าปี่
ลิโป้จึงสั่งให้โกสุ้นคุมทหารห้าหมื่นยกไปตีกระหนาบหลังเล่าปี่ ฝ่ายเล่าปี่ตั้งค่ายยันอยู่กับกิเหลง ครั้นทราบว่าลิโป้ให้โกสุ้นยกทหารมาตั้งค่ายกระหนาบหลังอยู่ เห็นว่ากำลังทหารน้อยกว่าข้าศึก จึงปรึกษาด้วยแม่ทัพนายกองว่ากองทัพเรามีกำลังน้อย ทั้งอยู่ระหว่างถูกกระหนาบดังนี้เห็นจะสู้ไปไม่ตลอด สมควรถอนทัพไปตั้งในที่ปลอดภัยเสียก่อน ทุกคนเห็นพ้องกับเล่าปี่
ครั้นค่ำลง ฝนตกหนัก เล่าปี่จึงใช้สุดยอดกลยุทธ์ “หนีในเมื่อต่อสู้ไม่ชนะ” สั่งให้ถอนทัพยกหนีจะไปเมืองกองเหลง ครั้นรุ่งขึ้นโกสุ้นทหารลิโป้ทราบว่าเล่าปี่ถอยทัพหนีไปจึงไปพบกิเหลง แล้วทวงถามของตอบแทนตามสัญญา แต่กิเหลงปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่องข้อสัญญานี้ โกสุ้นจึงเลิกทัพกลับเมืองชีจิ๋ว ส่วนกิเหลงก็เลิกทัพกลับเมืองลำหยง แจ้งให้อ้วนสุดทราบความที่โกสุ้นมาทวงของตอบแทนตามสัญญา
โกสุ้นกลับถึงเมืองชีจิ๋วก็รายงานให้ลิโป้ทราบว่ากิเหลงปฏิเสธไม่รับรู้เรื่องสัญญา พอดีอ้วนสุดให้ทหารถือหนังสือมาถึงลิโป้ว่ากองทัพโกสุ้นยกไปไม่ทันได้รบกับเล่าปี่ ดังนั้นจึงทวงข้าวของตามสัญญายังไม่ได้ ต้องรอให้ได้ตัวเล่าปี่ก่อนจึงจะส่งข้าวของตามสัญญามาให้ ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็โกรธคิดจะยกไปรบด้วยอ้วนสุด จึงให้หาบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษา
ตันก๋งฟังความจากลิโป้แล้วเสนอว่า ขณะนี้ยังไม่สมควรรบด้วยอ้วนสุด เพราะฝ่ายเราเพิ่งตั้งตัวขึ้นมาใหม่ เหตุการณ์ยังไม่ปกติดีนัก แต่อ้วนสุดซ่องสุมผู้คนและเสบียงไว้เป็นอันมาก หากทำศึกต่อกันในสถานการณ์เช่นนี้เห็นจะเสียทีแก่อ้วนสุด ทั้งโจโฉก็อาจฉวยโอกาสยกมาซ้ำเติมก็จะเสียการไป
ลิโป้จึงถามว่าถ้าเช่นนั้นควรดำเนินการต่อไปอย่างไร ตันก๋งจึงว่าขณะนี้เล่าปี่ยกหนีไปเมืองกองเหลง หากไปเข้าด้วยโจโฉหรืออ้วนสุด เราก็จะเสียเปรียบ ดังนั้นจึงควรเกลี้ยกล่อมเล่าปี่เข้ามาเป็นพวกให้อยู่ที่เมืองเสียวพ่ายเสียก่อน หากจะทำศึกกับอ้วนสุดต่อไปก็จะได้อาศัยเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เป็นกำลัง
ลิโป้เห็นด้วยกับข้อเสนอของตันก๋ง จึงให้ทหารถือหนังสือไปเชิญเล่าปี่มาอยู่เมืองเสียวพ่าย ในขณะนั้นเล่าปี่ตั้งค่ายพักทหารอยู่ที่เมืองกองเหลง อ้วนสุดทราบข่าวจึงจัดกองทัพยกไปตี เล่าปี่เห็นทหารอ้วนสุดยกมาเป็นจำนวนมากก็พาทหารหนีออกจากเมืองกองเหลง และได้พบกับทหารของลิโป้ที่ถือหนังสือมาเชิญนั้น
เล่าปี่ทราบความตามหนังสือของลิโป้แล้ว จึงปรึกษาด้วยกวนอูว่าลิโป้มีหนังสือมาทั้งนี้เจ้ามีความเห็นเป็นประการใด กวนอูจึงว่าลิโป้เป็นคนเนรคุณ ไม่ควรข้องแวะด้วย เพราะการคบคนพาลเป็นอัปมงคล ทั้งลิโป้เพิ่งยึดเอาเมืองชีจิ๋ว แล้วกลับมาเชิญไปอยู่เมืองเสียวพ่ายเช่นนี้ น่าจะเป็นการเชิญโดยไม่สุจริต โดยจะคิดทำร้ายในภายหลัง แต่เล่าปี่เห็นว่าลิโป้มีหนังสือมาเชิญโดยสุจริต สมควรที่จะตอบรับแล้วไปอยู่เมืองเสียวพ่าย
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ตามใจเล่าปี่ ดังนั้นเล่าปี่จึงสั่งให้ทหารยกไปเมืองเสียวพ่าย ครั้นมาถึงกลางทางพบทหารของลิโป้เชิญนางกำฮูหยิน นางบิฮูหยิน และผู้คนในครอบครัวของเล่าปี่เข้ามาแล้วรายงานว่าลิโป้เชิญท่านไปอยู่เมืองเสียวพ่ายโดยสุจริต ดังนั้นจึงใช้ให้ข้าพเจ้านำครอบครัวของท่านมาส่งเพื่อจะได้นำไปเมืองเสียวพ่ายพร้อมกัน
เล่าปี่ถามภรรยาทั้งสองว่า ระหว่างที่ลิโป้ยึดเมืองชีจิ๋วนั้นได้ปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไร ภรรยาทั้งสองของเล่าปี่ตอบว่าลิโป้ได้ปฏิบัติต่อพวกเราด้วยดี ไม่มีบกพร่อง ได้ให้ทหารพิทักษ์อารักขาปลอดภัยทุกประการ ทั้งได้จัดส่งข้าวปลาอาหารอย่างดีมิได้ขาดเลย
เล่าปี่ได้ฟังเช่นนั้นจึงว่ากับกวนอู เตียวหุยว่า คำพี่สะใภ้ทั้งสองของเจ้าเห็นได้ว่าลิโป้ยังคงมีใจกตัญญูต่อเรา การเชิญไปอยู่เมืองเสียวพ่ายจึงน่าจะเป็นไปโดยสุจริต ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องไปพบกับลิโป้ที่เมืองชีจิ๋วเสียก่อน กวนอูเห็นพ้องกับเล่าปี่ แต่เตียวหุยนั้นยังผูกใจเจ็บอยู่จึงว่า ตัวข้าพเจ้าจะขอนำพี่สะใภ้ตรงไปเมืองเสียวพ่ายก่อน พี่ใหญ่เสร็จธุระแล้วก็จงรีบตามไป
เล่าปี่จึงพากวนอูและทหารยกไปเมืองชีจิ๋วเพื่อพบกับลิโป้ ฝ่ายลิโป้ทราบว่าเล่าปี่รับคำเชิญและกำลังมาที่เมืองชีจิ๋ว จึงออกมาต้อนรับเล่าปี่แล้วเชิญเข้าไปที่จวนเจ้าเมืองแล้วว่า ข้าพเจ้ามาอยู่เมืองชีจิ๋วนี้จะได้คิดแย่งชิงสมบัติของท่านนั้นหามิได้ กรณีเกิดแต่เตียวหุยเมาสุรา ทำหยาบช้ากับขุนนางข้าราชการ แล้วโบยพ่อตาของข้าพเจ้าให้ได้รับเจ็บอาย เพราะเหตุเพียงแค่พ่อตาข้าพเจ้าดื่มสุราไม่ได้เท่านั้น ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องมารักษาเมืองชีจิ๋วไว้ให้ท่าน บัดนี้ท่านกลับมาแล้วจงรับเป็นเมืองเจ้าชีจิ๋วต่อไปตามเดิมเถิด
คำพูดลิโป้เช่นนี้จะเป็นการพูดจากใจจริง หรือพูดโดยมารยาท หรือพูดเพื่อให้เห็นว่ามิได้คิดแย่งชิงเบียดเบียนเล่าปี่ก็ตามที แต่ต้องนับว่าลิโป้ ณ บัดนี้ช่างเจรจายิ่งขึ้นจึงพูดจาความเมืองได้น่าฟัง แต่น่าจะมิใช่ใจจริง เพราะความตั้งใจเดิมของลิโป้ในการยึดเมืองชีจิ๋วก็เพื่อตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ ลิโป้และตันก๋งคงจะปรึกษากันแล้วว่าถึงแม้จะพูดเช่นนี้ เล่าปี่คงจะไม่รับเอาเมืองชีจิ๋วกลับไป.
เมื่อตั้งอยู่ในความประมาทแล้ว ในทางกาย วาจา ก็สามารถล่วงศีลได้ทุกข้อ ในทางจิตก็ทำให้สติเผลอเรอ ไม่ตั้งมั่น ไม่บริสุทธิ์ และไม่สามารถใช้การงานอันใดได้ ดังนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าในบรรดาธรรมทั้งปวงไม่เห็นธรรมข้อใดจะเป็นใหญ่เป็นประธานเสมอด้วยความไม่ประมาท และทรงตรัสถึงผลร้ายของการตั้งอยู่ในความประมาทว่า เป็นหนทางที่จะเผชิญกับพญามัจจุราช
แม้ยามใกล้จะดับขันธ์ปรินิพพานก็ทรงย้ำเป็นปัจฉิมวาจาว่า “ท่านทั้งหลายจงยังการทั้งปวงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”
พลันที่เตียวหุยคิดละคำสัญญาที่ให้ไว้กับเล่าปี่ และเริ่มดื่มสุราย่อมได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในความประมาทแล้ว เพราะความประมาทนั้นจึงขาดสติ และปัญญาก็ถูกปิดบังไป จึงผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเล่าปี่ทั้งสามข้อที่ว่าจะไม่เสพสุราก่อนที่เล่าปี่จะกลับมา ทำการสิ่งใดจะปรึกษาด้วยผู้มีสติปัญญา และถ้าทำการสิ่งใดมีผู้ทัดทานก็จะรับฟัง เตียวหุยทำผิดสัญญาทั้งสามข้อแล้วสั่งโบยโจป้า เพียงเท่านี้ก็นับว่าผิดหนักหนาสาหัสแล้ว แต่การมิได้จบลงเพียงเท่านี้
เพราะเมื่อลิโป้ได้รับหนังสือของโจป้าผู้เป็นพ่อตา เล่าความที่ถูกเตียวหุยข่มเหงรังแก ทำให้เจ็บอายต่อหน้าบรรดาขุนนางข้าราชการเมืองชีจิ๋ว และยังกล่าวจาบจ้วงดูหมิ่นมาถึงลิโป้อีกด้วย ลิโป้จึงโกรธเคืองเตียวหุยเป็นอันมาก ให้หาตันก๋งมาพบเล่าความทั้งปวงให้ตันก๋งฟัง แล้วปรึกษาว่าจะต้องล้างแค้นเตียวหุยให้จงได้
ตันก๋งจึงว่าอันตัวท่านนั้นเปรียบประดุจจระเข้ใหญ่มาอยู่เมืองเสียวพ่ายซึ่งประหนึ่งเป็นหนองน้ำน้อยหาสมควรไม่ จำต้องแสวงหาแม่น้ำใหญ่อาศัยจึงจะทำการใหญ่ได้ บัดนี้เล่าปี่ยกไปตีเมืองลำหยง ให้เตียวหุยอยู่รักษาเมือง ทหารก็น้อยตัวนัก การที่เตียวหุยทำหยาบช้าต่อพ่อตาท่าน และยังจาบจ้วงมาถึงท่านทั้งนี้เป็นทีแล้วที่จะยกไปยึดเอาเมืองชีจิ๋ว ทำการใหญ่สืบไป ขอท่านจงเร่งยึดเมืองชีจิ๋วโดยเร็วเถิด
ลิโป้ฟังคำตันก๋งแล้วเห็นชอบกับข้อเสนอ จึงสั่งให้จัดทหารเป็นสองกอง ลิโป้ยกทหารม้าเป็นกองหน้ารีบรุดไปเมืองชีจิ๋วก่อน และให้ตันก๋งกับโกสุ้นระดมทหารทั้งสิ้นจากเมืองเสียวพ่ายรีบยกตามไป
ลิโป้ ตันก๋ง และโกสุ้นจัดเตรียมทหารแล้ว ลิโป้ก็รีบยกกำลังทหารม้าไปเมืองชีจิ๋วตั้งแต่วันนั้น ล่วงยามสามก็ถึงกำแพงเมืองชีจิ๋ว จึงร้องให้ทหารเปิดประตูเมืองแจ้งว่ามีข้อราชการสำคัญจะปรึกษากับเตียวหุย
ขณะนั้นทหารของโจป้ารักษาเชิงเทินและประตูเมืองอยู่เห็นเป็นลิโป้จึงเอาความไปรายงานให้โจป้าทราบ โจป้ารีบมาที่เชิงเทินเห็นลิโป้จึงสั่งทหารให้เปิดประตูเมืองรับ ลิโป้เข้ามา ทหารของลิโป้ก็โห่ร้องและพากันยกเข้าไปในเมืองชีจิ๋ว ทหารเตียวหุยเห็นทหารลิโป้ยกมาก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปหาเตียวหุย แต่เตียวหุยเมาสุราหลับไหลอยู่ ทหารจึงรีบปลุกให้ตื่นแล้วรายงานเหตุการณ์ให้ทราบ
เตียวหุยทราบความก็ตกใจ รีบคว้าทวนออกไปยืนหน้าบ้านพัก เห็นทหาร ลิโป้ล้อมอยู่ เห็นว่าจะต่อสู้มิได้เพราะมีกำลังน้อย ทั้งยังมึนเมาสุราอยู่ จึงวิ่งไปที่โรงม้าขึ้นม้าพาทหารติดตามเพียงสิบแปดคนหนีออกจากเมืองชีจิ๋ว ทิ้งครอบครัวเล่าปี่และข้าวของทั้งสิ้นไว้ในเมืองชีจิ๋ว
ทหารลิโป้เห็นเตียวหุยพาทหารหลบหนีออกจากประตูเมืองก็ไปรายงานให้ลิโป้ทราบ ลิโป้เห็นว่ายึดเมืองชีจิ๋วได้โดยง่ายเช่นนี้แล้ว และเตียวหุยก็มีฝีมือกล้าแข็ง จึงไม่ติดตามเตียวหุยต่อไป แต่โจป้าพ่อตาลิโป้นั้นยังคุมแค้นเตียวหุยอยู่เป็นอันมาก เห็นเตียวหุยหนีไปทั้ง ๆ ที่เมาสุราจึงรีบคุมทหารร้อยเศษติดตามเตียวหุยไป
เตียวหุยหนีออกจากเมืองไปไม่ไกลนัก ได้ยินเสียงทหารไล่ตามมาก็หยุดดูว่าเป็นทหารของผู้ใด ครั้นเห็นเป็นโจป้า จึงชักม้ากลับมาเผชิญหน้ากับโจป้า โจป้าเห็นเตียวหุยขับม้าเข้ามาก็เร่งฝีเท้าม้าเข้ารบด้วยเตียวหุย ต่อสู้กันได้สามเพลงโจป้าเห็นว่าสู้เตียวหุยไม่ได้จึงขับม้าหนี เตียวหุยขับม้าไล่ตามไปถึงริมแม่น้ำทันเข้ากับโจป้า จึงเอาทวนแทง โจป้าตกม้าตาย
ครั้นสว่างทหารเตียวหุยที่หลบหนีออกจากเมืองติดตามมาทันจึงพากันไปหาเล่าปี่ตามเส้นทางที่จะไปเมืองลำหยง ครั้นมาถึงเมืองอุไถก็พบกองทัพเล่าปี่ เตียวหุยจึงเข้าไปหาเล่าปี่ เล่าความให้เล่าปี่ฟังทุกประการ
บรรดาทหารของเล่าปี่ครั้นได้ทราบความต่างพากันเสียน้ำใจและห่วงใยครอบครัวที่อยู่ในเมืองชีจิ๋วนั้น เล่าปี่เห็นคนทั้งปวงตกใจจึงปลอบว่า “ธรรมดาเกิดมาเป็นชาติทหารแล้ว ถ้าจะเสียทีก็อย่าเป็นทุกข์ ถึงจะได้ทีก็อย่ายินดี”
กวนอูสังเกตเห็นเตียวหุยมาแต่ตัว มิได้เห็นครอบครัวเล่าปี่ตามมาด้วย จึงถามว่าครอบครัวพี่ใหญ่ของเราขณะนี้อยู่ที่ใด เตียวหุยจึงว่าข้าพเจ้ารีบหนีมา ดังนั้นครอบครัวของพี่ใหญ่จึงยังคงค้างอยู่ในเมืองชีจิ๋ว
เล่าปี่ได้ยินก็เงียบงันไม่ว่ากล่าวประการใด แต่กวนอูฟังแล้วก็โกรธ กระทืบเท้าแล้วว่าเตียวหุยว่า ก่อนที่พี่ใหญ่จะยกมา น้องเล็กเจ้าให้สัญญาไว้ว่าอย่างไร แล้วไฉนจึงละสัญญานั้นเสีย ทำให้พี่ใหญ่ต้องเสียทั้งเมืองและเสียทั้งครอบครัว เจ้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไรกัน
เตียวหุยได้ยินกวนอูตำหนิดังนั้น หันไปมองเล่าปี่เห็นนิ่งขรึมอยู่ สำนึกรับผิดชอบก็ประดังเข้ามาเต็มหัวใจ ทั้งรู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งนัก ประกอบกับเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ทำให้พี่ใหญ่ของตัวต้องเสียทั้งเมือง และเสียทั้งเมีย เตียวหุยจึงกระชากกระบี่ออกจากฝักจะเชือดคอตาย
เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ตกใจ ปราดเข้าถึงตัวเตียวหุย มือหนึ่งกอดเตียวหุยไว้ อีกมือหนึ่งชิงกระบี่จากมือเตียวหุยแล้วจึงว่า “คำโบราณกล่าวไว้ว่า ธรรมดาภรรยาอุปมาเหมือนอย่างเสื้อผ้า ขาดแลหายแล้วก็จะหาได้ พี่น้องเหมือนแขนซ้ายขวา ขาดแล้วยากที่จะต่อได้ แล้วเราก็ได้สาบานไว้ต่อกันว่า ถ้าจะตายก็จะตายด้วยกัน ซึ่งเสียเมืองชีจิ๋วและภรรยาเราไปทั้งนี้เป็นแต่การภายนอก จะฆ่าตัวเสียนั้นใช่ของทั้งนี้จะคืนมาก็หามิได้ ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็จะได้คิดอ่านทำการสืบไป จะมาตายเสียเปล่า ๆ ไม่ควรเลย”
คำพูดจากใจของเล่าปี่ครั้งนี้สะเทือนใจผู้คนยิ่ง บรรดาทหารที่อยู่ ณ ที่นั้นยินคำเล่าปี่แล้วพากันร้องไห้สงสาร และเลื่อมใสศรัทธาเล่าปี่เป็นยิ่งนัก เล่าปี่เห็นทหารทั้งนั้นร้องไห้ก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย กวนอู เตียวหุย เห็นเล่าปี่ร้องไห้จึงพากันร้องไห้ตาม
ฝ่ายลิโป้ครั้นได้เมืองชีจิ๋วแล้วใจยังเกรงเล่าปี่อยู่ จึงจัดทหารร้อยหนึ่งไปคุ้มครองครอบครัวเล่าปี่แล้วจัดการดูแลเลี้ยงดูเป็นอันดี มิให้ขาดตกบกพร่อง
ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ครั้นได้ทราบข่าวว่าลิโป้ยึดได้เมืองชีจิ๋วแล้ว จึงให้ทหารถือหนังสือไปให้ลิโป้ขอให้ลิโป้ยกมาช่วยรบด้วยเล่าปี่ โดยสัญญาว่าจะตอบแทนการครั้งนี้แก่ลิโป้ด้วยข้าวหมื่นถัง ม้าห้าร้อย ทองเงินหมื่นตำลึง แพรพันพับ ลิโป้เป็นคนโลภเห็นรางวัลที่อ้วนสุดตั้งไว้เป็นจำนวนมากก็ตกลงที่จะยกไปรบด้วยเล่าปี่
ลิโป้จึงสั่งให้โกสุ้นคุมทหารห้าหมื่นยกไปตีกระหนาบหลังเล่าปี่ ฝ่ายเล่าปี่ตั้งค่ายยันอยู่กับกิเหลง ครั้นทราบว่าลิโป้ให้โกสุ้นยกทหารมาตั้งค่ายกระหนาบหลังอยู่ เห็นว่ากำลังทหารน้อยกว่าข้าศึก จึงปรึกษาด้วยแม่ทัพนายกองว่ากองทัพเรามีกำลังน้อย ทั้งอยู่ระหว่างถูกกระหนาบดังนี้เห็นจะสู้ไปไม่ตลอด สมควรถอนทัพไปตั้งในที่ปลอดภัยเสียก่อน ทุกคนเห็นพ้องกับเล่าปี่
ครั้นค่ำลง ฝนตกหนัก เล่าปี่จึงใช้สุดยอดกลยุทธ์ “หนีในเมื่อต่อสู้ไม่ชนะ” สั่งให้ถอนทัพยกหนีจะไปเมืองกองเหลง ครั้นรุ่งขึ้นโกสุ้นทหารลิโป้ทราบว่าเล่าปี่ถอยทัพหนีไปจึงไปพบกิเหลง แล้วทวงถามของตอบแทนตามสัญญา แต่กิเหลงปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่องข้อสัญญานี้ โกสุ้นจึงเลิกทัพกลับเมืองชีจิ๋ว ส่วนกิเหลงก็เลิกทัพกลับเมืองลำหยง แจ้งให้อ้วนสุดทราบความที่โกสุ้นมาทวงของตอบแทนตามสัญญา
โกสุ้นกลับถึงเมืองชีจิ๋วก็รายงานให้ลิโป้ทราบว่ากิเหลงปฏิเสธไม่รับรู้เรื่องสัญญา พอดีอ้วนสุดให้ทหารถือหนังสือมาถึงลิโป้ว่ากองทัพโกสุ้นยกไปไม่ทันได้รบกับเล่าปี่ ดังนั้นจึงทวงข้าวของตามสัญญายังไม่ได้ ต้องรอให้ได้ตัวเล่าปี่ก่อนจึงจะส่งข้าวของตามสัญญามาให้ ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็โกรธคิดจะยกไปรบด้วยอ้วนสุด จึงให้หาบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษา
ตันก๋งฟังความจากลิโป้แล้วเสนอว่า ขณะนี้ยังไม่สมควรรบด้วยอ้วนสุด เพราะฝ่ายเราเพิ่งตั้งตัวขึ้นมาใหม่ เหตุการณ์ยังไม่ปกติดีนัก แต่อ้วนสุดซ่องสุมผู้คนและเสบียงไว้เป็นอันมาก หากทำศึกต่อกันในสถานการณ์เช่นนี้เห็นจะเสียทีแก่อ้วนสุด ทั้งโจโฉก็อาจฉวยโอกาสยกมาซ้ำเติมก็จะเสียการไป
ลิโป้จึงถามว่าถ้าเช่นนั้นควรดำเนินการต่อไปอย่างไร ตันก๋งจึงว่าขณะนี้เล่าปี่ยกหนีไปเมืองกองเหลง หากไปเข้าด้วยโจโฉหรืออ้วนสุด เราก็จะเสียเปรียบ ดังนั้นจึงควรเกลี้ยกล่อมเล่าปี่เข้ามาเป็นพวกให้อยู่ที่เมืองเสียวพ่ายเสียก่อน หากจะทำศึกกับอ้วนสุดต่อไปก็จะได้อาศัยเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เป็นกำลัง
ลิโป้เห็นด้วยกับข้อเสนอของตันก๋ง จึงให้ทหารถือหนังสือไปเชิญเล่าปี่มาอยู่เมืองเสียวพ่าย ในขณะนั้นเล่าปี่ตั้งค่ายพักทหารอยู่ที่เมืองกองเหลง อ้วนสุดทราบข่าวจึงจัดกองทัพยกไปตี เล่าปี่เห็นทหารอ้วนสุดยกมาเป็นจำนวนมากก็พาทหารหนีออกจากเมืองกองเหลง และได้พบกับทหารของลิโป้ที่ถือหนังสือมาเชิญนั้น
เล่าปี่ทราบความตามหนังสือของลิโป้แล้ว จึงปรึกษาด้วยกวนอูว่าลิโป้มีหนังสือมาทั้งนี้เจ้ามีความเห็นเป็นประการใด กวนอูจึงว่าลิโป้เป็นคนเนรคุณ ไม่ควรข้องแวะด้วย เพราะการคบคนพาลเป็นอัปมงคล ทั้งลิโป้เพิ่งยึดเอาเมืองชีจิ๋ว แล้วกลับมาเชิญไปอยู่เมืองเสียวพ่ายเช่นนี้ น่าจะเป็นการเชิญโดยไม่สุจริต โดยจะคิดทำร้ายในภายหลัง แต่เล่าปี่เห็นว่าลิโป้มีหนังสือมาเชิญโดยสุจริต สมควรที่จะตอบรับแล้วไปอยู่เมืองเสียวพ่าย
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ตามใจเล่าปี่ ดังนั้นเล่าปี่จึงสั่งให้ทหารยกไปเมืองเสียวพ่าย ครั้นมาถึงกลางทางพบทหารของลิโป้เชิญนางกำฮูหยิน นางบิฮูหยิน และผู้คนในครอบครัวของเล่าปี่เข้ามาแล้วรายงานว่าลิโป้เชิญท่านไปอยู่เมืองเสียวพ่ายโดยสุจริต ดังนั้นจึงใช้ให้ข้าพเจ้านำครอบครัวของท่านมาส่งเพื่อจะได้นำไปเมืองเสียวพ่ายพร้อมกัน
เล่าปี่ถามภรรยาทั้งสองว่า ระหว่างที่ลิโป้ยึดเมืองชีจิ๋วนั้นได้ปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไร ภรรยาทั้งสองของเล่าปี่ตอบว่าลิโป้ได้ปฏิบัติต่อพวกเราด้วยดี ไม่มีบกพร่อง ได้ให้ทหารพิทักษ์อารักขาปลอดภัยทุกประการ ทั้งได้จัดส่งข้าวปลาอาหารอย่างดีมิได้ขาดเลย
เล่าปี่ได้ฟังเช่นนั้นจึงว่ากับกวนอู เตียวหุยว่า คำพี่สะใภ้ทั้งสองของเจ้าเห็นได้ว่าลิโป้ยังคงมีใจกตัญญูต่อเรา การเชิญไปอยู่เมืองเสียวพ่ายจึงน่าจะเป็นไปโดยสุจริต ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องไปพบกับลิโป้ที่เมืองชีจิ๋วเสียก่อน กวนอูเห็นพ้องกับเล่าปี่ แต่เตียวหุยนั้นยังผูกใจเจ็บอยู่จึงว่า ตัวข้าพเจ้าจะขอนำพี่สะใภ้ตรงไปเมืองเสียวพ่ายก่อน พี่ใหญ่เสร็จธุระแล้วก็จงรีบตามไป
เล่าปี่จึงพากวนอูและทหารยกไปเมืองชีจิ๋วเพื่อพบกับลิโป้ ฝ่ายลิโป้ทราบว่าเล่าปี่รับคำเชิญและกำลังมาที่เมืองชีจิ๋ว จึงออกมาต้อนรับเล่าปี่แล้วเชิญเข้าไปที่จวนเจ้าเมืองแล้วว่า ข้าพเจ้ามาอยู่เมืองชีจิ๋วนี้จะได้คิดแย่งชิงสมบัติของท่านนั้นหามิได้ กรณีเกิดแต่เตียวหุยเมาสุรา ทำหยาบช้ากับขุนนางข้าราชการ แล้วโบยพ่อตาของข้าพเจ้าให้ได้รับเจ็บอาย เพราะเหตุเพียงแค่พ่อตาข้าพเจ้าดื่มสุราไม่ได้เท่านั้น ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องมารักษาเมืองชีจิ๋วไว้ให้ท่าน บัดนี้ท่านกลับมาแล้วจงรับเป็นเมืองเจ้าชีจิ๋วต่อไปตามเดิมเถิด
คำพูดลิโป้เช่นนี้จะเป็นการพูดจากใจจริง หรือพูดโดยมารยาท หรือพูดเพื่อให้เห็นว่ามิได้คิดแย่งชิงเบียดเบียนเล่าปี่ก็ตามที แต่ต้องนับว่าลิโป้ ณ บัดนี้ช่างเจรจายิ่งขึ้นจึงพูดจาความเมืองได้น่าฟัง แต่น่าจะมิใช่ใจจริง เพราะความตั้งใจเดิมของลิโป้ในการยึดเมืองชีจิ๋วก็เพื่อตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ ลิโป้และตันก๋งคงจะปรึกษากันแล้วว่าถึงแม้จะพูดเช่นนี้ เล่าปี่คงจะไม่รับเอาเมืองชีจิ๋วกลับไป.