ตอนที่ 74. อุบายเสือกลืนหมี

โจโฉได้แจ้งให้บรรดาคณะที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองได้ทราบว่า เล่าปี่ไม่ยอมปฏิบัติตามหนังสือที่แจ้งไปให้ฆ่าลิโป้เสีย ดังนั้นจึงขอปรึกษาว่าท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใดต่อไป

            ซุนฮกที่ปรึกษาอัครมหาเสนาบดีจึงเสนอว่า “ข้าพเจ้าจะขอคิดกลอุบายอีกข้อหนึ่งเรียกว่าเสือกลืนหมี” ทำให้ลิโป้กับเล่าปี่ประหัตประหารกันให้จงได้ โจโฉสงสัยจึงถามซุนฮกว่าอุบายเสือกลืนหมีนี้เป็นประการใด

            ซุนฮกจึงอธิบายต่อไปว่า “น้ำใจลิโป้นั้นมิได้ซื่อต่อผู้ใด ขอท่านแต่งคนไปบอกอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงว่า บัดนี้เล่าปี่มีหนังสือขึ้นมาให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่าจะขอยกทหารไปตีเมืองลำหยง ถ้าอ้วนสุดรู้ดังนี้ก็จะโกรธ เห็นจะยกทหารชิงมารบเมืองเล่าปี่ก่อน ท่านให้มีหนังสือรับสั่งไปให้เล่าปี่ยกไปรบเมืองอ้วนสุด เมื่อเล่าปี่กับอ้วนสุดรบกันอยู่นั้น ถ้าผู้ใดเพลี่ยงพล้ำ ลิโป้ก็จะซ้ำเอาเป็นมั่นคง ท่านจึงคิดการต่อไป”

            แผนการอันเป็นอุบายที่เรียกว่าเสือกลืนหมีนี้ อาศัยหนังสือรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้อย่างหนึ่ง และหลอกอ้วนสุดให้ยกมารบกับเล่าปี่อีกอย่างหนึ่ง จึงพอแลเห็นได้ว่าเล่าปี่กับอ้วนสุดจะต้องทำศึกชิงเมืองกัน แต่ที่ซุนฮกไม่ได้คำนึงถึงก็คือรัฐบาลของพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นมีหน้าที่สร้างความสงบสุขและสันติภาวะให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ไม่ได้มีหน้าที่สร้างความแตกแยก ก่อสงครามหรือทำให้สงครามขยายตัวไป การดึงเอาอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องย่อมทำให้การรบพุ่งฆ่าฟันขยายตัว กลายเป็นสงครามระหว่างเมืองชีจิ๋วกับเมืองลำหยง เป็นที่เดือดร้อนแก่ทหารแลราษฎรทั้งปวง

            โดยนัยยะนี้ย่อมประณามได้ว่าแผนการและความคิดของซุนฮกทั้งนี้เป็นแผนการของคนกระหายเลือด และกระหายสงคราม อันเป็นการทำผิดหน้าที่ของรัฐบาล และผิดหน้าที่ของที่ปรึกษาอัครมหาเสนาบดี ซึ่งจะก่อผลร้ายอย่างใหญ่หลวงตามมาในภายหลัง

            แต่โจโฉนั้นมีอัธยาศัยใฝ่ในการสงครามเหมือน ๆ กับฮิตเล่อร์ ครั้นได้ฟังคำ ซุนฮกแล้วก็ต้องด้วยความรู้สึกนึกคิดเป็นยิ่งนัก ตกลงทำตามความเห็นของซุนฮก

            ดังนั้นโจโฉจึงแต่งคนไปหาอ้วนสุดที่เมืองลำหยง แล้วแจ้งแก่อ้วนสุดว่าบัดนี้เล่าปี่มีหนังสือกราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้กล่าวหาว่าท่านเป็นกบฏ จึงขอพระบรมราชานุญาตยกกองทัพมากำจัดท่านเสีย แต่อัครมหาเสนาบดีเมตตาท่านจึงเก็บหนังสือนั้นไว้ยังไม่นำความกราบบังคมทูล และรีบให้ข้าพเจ้านำความมาแจ้งให้ท่านทราบ

            อ้วนสุดได้ทราบความแล้วก็เชื่อตาม และโกรธเล่าปี่เป็นอันมาก ด่าว่าเล่าปี่เป็นไอ้ยาจกทอเสื่อขาย พอได้ดีเป็นที่เจ้าเมืองชีจิ๋วแล้วคิดอ่านกำเริบ จะยกมาตีเมืองเรา เราจะนิ่งอยู่ให้เล่าปี่ยกมานั้นไม่สมควร จำจะเหยียบเมืองชีจิ๋วเสียก่อน ว่าแล้วก็สั่ง   ตั้งกิเหลง ทหารเอกเป็นแม่ทัพ คุมทหารสิบหมื่นยกไปตีเมืองชีจิ๋ว

            โจโฉครั้นแต่งคนไปหาอ้วนสุดแล้ว จึงทำหนังสือรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปถึงเล่าปี่ว่า บัดนี้อ้วนสุดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า ดังนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงโปรดให้เล่าปี่จัดกองทัพยกไปปราบอ้วนสุดให้ราบคาบ

            เล่าปี่รับหนังสือรับสั่งแล้วแจ้งแก่ผู้เชิญหนังสือนั้นว่า ท่านจงกลับไปกราบบังคมทูลเถิดว่าข้าพเจ้าเล่าปี่น้อมรับคำสั่ง จะยกกองทัพไปกำจัดอ้วนสุดตามพระราชประสงค์ ผู้เชิญหนังสือก็ขอลากลับเมืองหลวง แล้วแจ้งให้โจโฉทราบ

            เล่าปี่ได้เชิญบิต๊กและซุนเขียนสองที่ปรึกษา พร้อมด้วยกวนอู เตียวหุย มาปรึกษาเตรียมการยกกองทัพไปเมืองลำหยง

            แต่บิต๊กนั้นเมื่อได้ทราบความแล้วก็แจ้งในอุบายของโจโฉจึงว่า การครั้งนี้น่าจะไม่ใช่รับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่เป็นอุบายของโจโฉที่จะทำให้เรากับอ้วนสุดรบกัน แล้วโจโฉจะคิดการกำจัดฝ่ายที่ชนะต่อภายหลัง

            บิต๊กอ่านสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่านี่คือกลอุบายของโจโฉ จึงมีหรือที่คนระดับเล่าปี่จะอ่านสถานการณ์ไม่ออก แต่เล่าปี่กลับกล่าวขึ้นว่าการครั้งนี้เป็นรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ เราเป็นข้าแผ่นดินย่อมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหมายรับสั่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอุบายของโจโฉหรือไม่ก็ตามที ดังนั้นเล่าปี่จึงสั่งให้จัดเตรียมทหาร รอฤกษ์ดีแล้วจะยกไปตีเมืองลำหยง

            ความอันน่าสังเกตอยู่ตรงที่เมื่อเล่าปี่รู้ว่าเป็นอุบายแล้ว ไฉนเล่าจึงยังคงดำเนินการต้องตามกลอุบายนั้น  หรือแม้หากว่าเล่าปี่ไม่แจ้งในกลอุบายแต่เมื่อบิต๊กได้แสดงให้เห็นแล้วก็ย่อมเห็นตามได้โดยง่าย ดังนั้นการตัดสินใจยกไปตีเมืองลำหยงจึงน่าจะมีเหตุผลที่เป็นไปได้สองประการคือ ข้อแรก เล่าปี่ต้องการลดความขัดแย้งกับโจโฉ ต้องการเอาใจโจโฉเพื่อลบล้างการขัดขืนไม่ฆ่าลิโป้ในครั้งก่อน ข้อสอง เล่าปี่เองก็จ้องหาโอกาสขยายอิทธิพลอำนาจอยู่ แต่ยังหาเหตุความชอบธรรมไม่ได้ ดังนั้นเมื่อมีหมายรับสั่งมาดั่งนี้จึงมีข้ออ้างที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบธรรมในการยกไปตีเมืองลำหยง

            แต่ไม่ว่าในทางใดยังคงแสดงว่าทั้งบิต๊ก และเล่าปี่ต่างก็คาดไม่ถึงในอุบายเสือกลืนหมี ซึ่งซ่อนอยู่อีกชั้นหนึ่งในอุบายริดกิ่งเอาลำต้น เพราะต่างไม่ได้คำนึงถึงลิโป้ที่จ้องฉวยโอกาสซ้ำเติมในภายหลัง

            ฝ่ายซุนเขียนเป็นคนรอบคอบ ครั้นได้ฟังว่าเล่าปี่ตัดสินใจจะยกไปตีเมืองลำหยงจึงเสนอว่าท่านจะยกไปก็ตามใจเถิด แต่เมืองชีจิ๋วนี้เป็นเมืองสำคัญ เป็นฐานกำลังของฝ่ายเรา จำต้องคิดอ่านป้องกันรักษาไว้ให้ปลอดภัย

            กวนอูจึงขันอาสาว่าจะอยู่รักษาเมืองชีจิ๋ว แต่เล่าปี่แย้งว่าน้องรองเจ้าเป็นทั้งที่ปรึกษาและขุนพลของเราจะอยู่รักษาเมืองย่อมไม่เหมาะ เพราะสมควรที่จะไปด้วยเรามากกว่า

            เตียวหุยเห็นดังนั้นว่าในเมื่อพี่รองต้องไปเมืองลำหยงกับพี่ใหญ่ ข้าพเจ้าก็จะอาสาเป็นผู้รักษาเมืองชีจิ๋วเอง เล่าปี่ได้ติงว่าน้องเล็กเจ้ามักเสพสุรา และแรงด้วยโทสะ ชอบโบยตีทหาร ทั้งเป็นคนใจร้อนใจร้ายไม่ฟังเหตุผลใคร เห็นจะให้รักษาเมืองชีจิ๋วนั้นไม่ได้

            เตียวหุยจึงว่าข้าพเจ้าขอให้สัญญาว่าในระหว่างรักษาเมืองชีจิ๋วนี้จะไม่เสพสุราเป็นอันขาด ทำการสิ่งใดจะปรึกษาหารือผู้มีสติปัญญาก่อน และถ้าทำการใดแล้วมีผู้ทักท้วงห้ามปรามก็จะเชื่อฟังโดยเคารพ

            คำสัญญาของเตียวหุย แม้จะดูเป็นหลักฐานแต่เป็นคำสัญญาแบบเด็ก ๆ ที่ให้สัญญาอะไรง่าย ๆ เพียงแค่ขอให้ได้สิ่งที่ต้องการเท่านั้น และสิ่งที่ต้องการนั้นก็คือการได้เป็นผู้รักษาเมืองชีจิ๋ว การให้สัญญาง่าย ๆ แบบนี้จึงเชื่อถืออันใดไม่ได้

            บิต๊กฟังคำเตียวหุยแล้วท้วงว่า ความที่ท่านให้สัญญานี้ดีอยู่ แต่เกรงว่าการปฏิบัติจะไม่เหมือนคำที่ให้สัญญาไว้ เตียวหุยฟังคำท้วงของบิต๊กก็โกรธ ลำเลิกขึ้นว่าข้าพเจ้านี้ได้ทำการด้วยเล่าปี่พี่เรามาก็ช้านาน ไม่เคยถูกผู้ใดหมิ่นคำว่าเชื่อถือไม่ได้ บิต๊กท่านดูแคลนข้าพเจ้านัก หาควรแก่คำพูดของขุนนางผู้ใหญ่ไม่

            เล่าปี่เห็นเตียวหุยพาลโกรธเช่นนั้นจึงห้ามว่าอย่าเพิ่งด่วนตำหนิบิต๊ก เพราะแม้แต่ตัวเราก็หาได้วางใจไม่แต่เอาเถิดเมื่อน้องเล็กเจ้าได้ให้สัญญาแล้วเช่นนี้ ก็จงอยู่รักษาเมืองให้ปลอดภัย แต่จะขอให้ตันเต๋งอยู่ด้วยเจ้าเพื่อช่วยปรึกษาท้วงติง และห้ามปรามมิให้เจ้าเสพสุราจนมากเกินไป

            เตียวหุยฟังคำเล่าปี่แล้วดีใจ ย้ำคำว่าจะรักษาสัญญาอย่างมั่นคง เพื่อให้เมืองชีจิ๋วปลอดภัยไร้เหตุร้ายทั้งปวง  ตันเต๋งก็รับคำเล่าปี่ว่าจะอยู่ช่วยเหลือเตียวหุยจนกว่าเล่าปี่จะยกทัพกลับมา

            เมื่อมอบหมายภาระหน้าที่รักษาเมืองชีจิ๋วเสร็จแล้ว เล่าปี่ก็สั่งให้เคลื่อนทัพจะยกไปเมืองลำหยง ครั้นยกมาถึงชายแดนเมืองอุไถก็พบกับกองทัพของกิเหลง ทั้งสองฝ่ายจึงตั้งค่ายยันกันไว้

            รุ่งขึ้นทั้งสองฝ่ายก็ยกทหารออกจากค่ายยกมาประจัญหน้ากัน  หลังจากได้ว่ากล่าวโจมตีกันตามธรรมเนียมแล้ว กิเหลงแม่ทัพของอ้วนสุดจึงขับม้ารำง้าวหนักห้าสิบชั่งตรงเข้าหาเล่าปี่ กวนอูเห็นเช่นนั้นจึงขับม้าออกมาสกัดกิเหลงแล้วตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดัง ม้ากิเหลงตกใจชะงักลง พอตั้งตัวได้กิเหลงก็ชักม้าเข้ามารบด้วยกวนอู

            ทั้งสองฝ่ายรบกันได้สามสิบเพลง ม้ากิเหลงอ่อนกำลังลง กิเหลงจึงบอกกวนอูว่าขอพักรบชั่วคราวก่อน กวนอูก็ยินยอม กิเหลงจึงขับม้ากลับเข้าค่าย แล้วสั่งให้ซุนเจ้งทหารรองออกไปรบด้วยกวนอู

            กวนอูยืนม้ารออยู่ไม่เห็นกิเหลงยกออกมา เห็นแต่ซุนเจ้งยกทหารตรงเข้ามาจึงถามว่ากิเหลงหลบหนีไปเสียที่ใด จึงให้คนต่ำฝีมืออย่างเจ้าออกมารบหาคู่ควรแก่เราไม่

            ซุนเจ้งฝีมือระดับสุนัขจิ้งจอก ไม่รู้จักพญาเสือโคร่ง ขาดความยั้งคิดว่าที่ตัวได้ออกมารบเพราะกิเหลงผู้เป็นนายรักตัวกลัวตาย เห็นว่าสู้ไม่ได้จึงขอพักรบ แล้วส่งลูกน้องออกมาตายแทน จึงท้าทายกวนอูว่าฝีมือท่านนั้นไม่คู่ควรกับกิเหลงเจ้านายเรา เอาแค่ระดับทหารรองอย่างเรา เจ้าก็จงรักษาศีรษะบนบ่าไว้ให้จงดีเถิด

            เมื่อเป็นเช่นนี้กวนอูจึงจำต้องรบด้วยซุนเจ้ง เพลงแรกไม่ทันสิ้นเสียง กวนอูก็เอาง้าวฟันซุนเจ้งตกม้าตาย เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงสั่งทหารเข้าโจมตีทหารของกิเหลงที่ยกมากับซุนเจ้ง ทหารซุนเจ้งเห็นฝีมือกวนอูฉกาจนักก็แตกพ่ายพากันวิ่งหนีจะเข้าค่าย

            เล่าปี่ กวนอู จึงยกทหารไล่ตามตี แล้วยึดค่ายกิเหลงได้ กิเหลงเห็นเสียทีแก่เล่าปี่จึงถอยทัพพาทหารไปตั้งค่ายใหม่อยู่ริมแม่น้ำเมืองซัวหยิน แล้วแต่งทหารเข้าปล้นค่ายเล่าปี่หลายครั้ง แต่ถูกทหารเล่าปี่ตีโต้แตกพ่ายกลับไปทุกครั้ง จนทหารของกิเหลงซึ่งตอนยกมามีจำนวนมากกว่าทหารของเล่าปี่ ค่อย ๆ ลดจำนวนลงจนมีจำนวนใกล้เคียงกัน ดังนั้นกิเหลงจึงไม่ยอมออกรบ ทั้งสองฝ่ายตั้งค่ายคุมเชิงกันอยู่

            ฝ่ายเตียวหุยอยู่รักษาเมืองชีจิ๋ว ระยะแรก ๆ ก็รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเล่าปี่ และได้แบ่งหน้าที่ให้ตันเต๋งรับผิดชอบว่าราชการฝ่ายพลเรือน ตัวเตียวหุยว่าราชการฝายทหาร แต่นานวันเข้าก็อยากเสพสุราตามนิสัยเดิม จึงสั่งให้แต่งโต๊ะแล้วเชิญบรรดาขุนนางข้าราชการเมืองชีจิ๋วมากินโต๊ะ

            เตียวหุยเสพสุราแล้วเดินไปตามโต๊ะต่าง ๆ เชิญชวนขุนนางข้าราชการชนจอกไปโดยลำดับ จนเตียวหุยเริ่มเมาสุรา ครั้นมาถึงโต๊ะของโจป้า โจป้าไม่ยอมดื่มสุรา เตียวหุยก็บังคับให้ดื่ม โจป้าขัดไม่ได้ก็ดื่มไปจอกหนึ่ง เตียวหุยก็เดินชนจอกตามโต๊ะต่าง ๆ ต่อไป จนอาการเมาสุรามากขึ้นโดยลำดับ มาถึงโต๊ะโจป้าอีกครั้งหนึ่งก็บังคับโจป้าอีก แต่ โจป้าไม่ยอมดื่ม เตียวหุยโกรธจึงสั่งทหารให้โบยโจป้าหนึ่งร้อยที

            ตันเต๋งเห็นดังนั้นจึงเข้าห้าม แต่เตียวหุยกลับอ้างว่าตันเต๋งรับผิดชอบด้านพลเรือน แต่โจป้าเป็นทหารจึงไม่ควรมายุ่งเกี่ยว ตันเต๋งเห็นเตียวหุยเมาก็ไม่อยากตอแยกด้วยคนเมาจึงนิ่งเสีย โจป้าเห็นดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าอายุมากแล้ว เพียงแค่ไม่ดื่มสุราขออย่าได้ลงโทษข้าพเจ้าเลย แม้นไม่เกรงใจข้าพเจ้าก็ขอให้เห็นแก่หน้าลูกเขยของข้าพเจ้า

            เตียวหุยจึงถามว่าผู้ใดเป็นลูกเขยของท่าน โจป้าจึงว่าคือลิโป้เจ้าเมืองเสียวพ่าย สิ้นคำว่าลิโป้เลือดโทสะก็ฉีดพลุ่งครอบงำความคิดจิตใจเตียวหุย แรงโทสะโถมเข้าใส่  โจป้าโดยตรง เตียวหุยจึงว่าเดิมเราล้อท่านเล่น แต่บัดนี้เมื่อท่านอ้างลิโป้มาข่มเรา เราก็จะโบยท่านจริง ๆ แล้วสั่งทหารให้เอาโจป้าไปโบยร้อยที โบยไปได้เพียงห้าสิบทีโจป้าก็สลบลง บรรดาขุนนางข้าราชการเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ เข้าไปช่วยอ้อนวอนเตียวหุยให้หยุดโบย เตียวหุยก็สั่งให้หยุดตามคำขอของขุนนางข้าราชการนั้น

            โจป้าฟื้นจากสลบแล้วก็โกรธแค้นเตียวหุยเป็นอันมาก จึงแต่งหนังสือเล่าความที่เตียวหุยข่มเหงรังแกให้ได้เจ็บอายต่อหน้าบรรดาขุนนางข้าราชการ แล้วให้ทหารผู้ใต้บังคับบัญชานำไปส่งให้กับลิโป้ ณ เมืองเสียวพ่าย ตั้งแต่ค่ำวันนั้น.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร