ตอนที่ 73. อุบายริดกิ่งเอาลำต้น

 ในขณะที่โจโฉครองอำนาจรัฐอย่างเต็มเปี่ยมแล้วนั้น เล่าปี่ยังคงเป็นแค่เจ้าเมืองชีจิ๋ว อันเป็นหัวเมืองเอก แต่ซุนเซ็กกลับตกระกำลำบากและถดถอยลงจากเมื่อครั้งที่เพิ่งสิ้นซุนเกี๋ยน

            ในครั้งนั้นบรรดาแม่ทัพนายกองและทหารของซุนเกี๋ยนพร้อมใจกันยกให้    ซุนเซ็กเป็นเจ้าเมืองเตียงสา แต่ทางเมืองหลวงไม่รับรองฐานะของซุนเซ็ก ดังนั้น    ซุนเซ็กจึงต้องพาพรรคพวกออกจากเมืองเตียงสาไปอยู่เมืองกังหนำ ซึ่งเป็นหัวเมืองจัตวา ขึ้นกับเมืองชีจิ๋ว

            ต่อมางอเก๋งซึ่งเป็นเจ้าเมืองตันเอี๋ยง และเป็นน้าของซุนเซ็ก ได้พิพาทกับโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋ว ซุนเซ็กอาศัยอยู่ในเมืองกังหนำต่อไปไม่ได้เพราะต้องถือว่าเป็นปรปักษ์กับโตเกี๋ยมไปด้วย ดังนั้นซุนเซ็กจึงต้องพามารดาและครอบครัวไปฝากอาศัยอยู่ที่ตำบลขยกโอ๋ ทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง ใกล้กับเมืองตันเอี๋ยง แต่ตัวซุนเซ็กและบรรดาทหารลูกน้องเก่าของซุนเกี๋ยนได้พากันไปรับราชการอยู่กับอ้วนสุดที่เมืองลำหยง และกลายเป็นลูกน้องของอ้วนสุดตั้งแต่บัดนั้น

            ในสถานการณ์ที่กล่าวนี้ โจโฉจึงเป็นขุนนางในพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุด และมีอำนาจมากที่สุดในแผ่นดิน โดยที่บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ นั้นยังไม่ปรากฏว่าเมืองใดตั้งตนเป็นปรปักษ์โดยตรงกับโจโฉ คงมีแต่ลิโป้คนเดียวที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตและบัดนี้แตกทัพหนีไปอาศัยเล่าปี่อยู่ที่เมืองเสียวพ่าย

            โดยนัยยะที่กล่าวนี้ถ้าโจโฉเป็นผู้นำและนักปกครองที่แท้จริงแล้ว ย่อมใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่นั้นสร้างเอกภาพ สร้างความสงบสุขสันติขึ้นในแผ่นดินได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องไม่แย่ลงกว่าที่เป็นมาแต่เดิม

            ด้วยเหตุนี้การที่สถานการณ์ไม่เกิดความสุขสันติ แต่กลายเป็นสงครามขุนศึกอย่างยาวนานจนกลายเป็นสามก๊ก จึงต้องกล่าวว่าเป็นผลมาจากความผิดพลาดของโจโฉทั้งสิ้น และย่อมกล่าวได้ด้วยว่าบรรดาที่ปรึกษา ตลอดจนแม่ทัพนายกองของโจโฉ

            คือผู้ร่วมขบวนการที่ก่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญแก่แผ่นดินและราษฎรร่วมกับโจโฉ ซึ่งต้องรับผิดชอบในความผิดพลาดล้มเหลวนั้นด้วย

            ในฐานะรัฐบาลของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แทนที่โจโฉจะเริ่มงานของรัฐบาลใหม่ด้วยการทำนุบำรุงแผ่นดินและราษฎร แก้ไขปัญหาความพิพาทบาดหมางระหว่างหัวเมืองต่าง ๆ ที่หากจะพึงมี สร้างสันติสุขและสันติภาพให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน แต่กลับปรากฏว่าโจโฉได้เริ่มต้นด้วยความคิดก่อสงคราม และทำให้สงครามขยายตัวลุกลามไปทั่วประเทศ

            โจโฉเริ่มงานของรัฐบาลใหม่ด้วยการพิจารณาว่าใครเป็นศัตรูที่ต้องรีบกำจัดบ้าง แล้วตั้งเอาลิโป้เป็นศัตรูตัวสำคัญที่ต้องกำจัดเป็นคนแรก ดังนั้นโจโฉจึงแต่งโต๊ะเลี้ยงบรรดาขุนนาง แม่ทัพนายกอง และข้าราชการทั้งปวง แล้วปรึกษาว่าบัดนี้ลิโป้ศัตรูตัวสำคัญของเราได้ไปอาศัยเล่าปี่อยู่ที่เมืองเสียวพ่าย ดังนั้นหากละไว้นานทั้งลิโป้และ   เล่าปี่ก็อาจคบคิดกันมาทำอันตรายแก่เรา ข้าพเจ้าจึงปรารถนาที่จะกำจัดศัตรูเสียตั้งแต่ไม่ทันตั้งตัว ท่านผู้ใดจะคิดอ่านช่วยการนี้ให้สัมฤทธิ์ผลได้บ้าง

            เคาทูจึงลุกขึ้นคารวะโจโฉแล้วขออาสายกทหารห้าหมื่นไปกำจัดลิโป้และเล่าปี่ให้จงได้

            ซุนฮกที่ปรึกษาอัครมหาเสนาบดีได้ทักท้วงขึ้นว่าเคาทูเป็นทหารมีกำลังฝีมือมากก็จริงอยู่ แต่การทั้งนี้จะอาศัยกำลังฝีมืออย่างเดียวไม่ได้ หากต้องอาศัยกำลังสติปัญญาเป็นธงชัยชี้ทิศนำทาง ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยปัญหาทางการเมืองก่อนว่าสถานการณ์ ณ บัดนี้สมควรรบหรือไม่ หากว่าสมควรรบแล้วจึงไปสู่ปัญหาว่ารบแล้วจะชนะหรือไม่ จากนั้นจึงเป็นปัญหาทางการทหารว่าจะรบกันอย่างไร

            โจโฉจึงว่าข้าพเจ้าเห็นด้วยกับกระบวนการทางความคิดของท่าน จงแสดงให้ประจักษ์ว่าด้วยกระบวนการทางความคิดนี้เราพึงกระทำการสถานใด จึงจะบรรลุความปรารถนาของข้าพเจ้า

            ซุนฮกจึงว่า “ในเมืองฮูโต๋นี้ท่านพึ่งยกมาซ่อมแปลงขึ้นใหม่ บ้านเมืองยังมิทันปรกติ ซึ่งจะยกไปนั้นข้าพเจ้ายังไม่เห็นด้วย แลเล่าปี่กับลิโป้นั้นอุปมาดังเสือสองตัว ข้าพเจ้าจะคิดให้ชิงอาหารกันกิน เห็นเล่าปี่กับลิโป้จะเกิดรุกรบพุ่งกันจนตายข้างหนึ่ง แล้วจึงคิดการต่อไป”

            แล้วว่าตามความคิดของข้าพเจ้านั้น ขอท่านจงนำความกราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า บัดนี้โตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วตายแล้ว ได้ทำพินัยกรรมไว้แต่ก่อนตายยกเมืองชีจิ๋วแก่เล่าปี่ และเล่าปี่ได้ส่งหนังสือกราบบังคมทูลมาตามพินัยกรรมนั้น แต่เรื่องราวยังเงียบอยู่ ขอทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วตามทางราชการ ดังนี้แล้วเล่าปี่ก็จะเต็มใจทำราชการสนองพระเดชพระคุณ

            ต่อจากนั้นให้ท่านมีหนังสือไปถึงเล่าปี่อีกฉบับหนึ่งแจ้งแสดงความยินดีที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว โดยการเพ็ดทูลของท่าน แต่ลิโป้นั้นเป็นศัตรูราชสมบัติแลมักเนรคุณคน ให้เล่าปี่คิดอ่านวางแผนกำจัดลิโป้เสีย สิ้นลิโป้แล้วเล่าปี่คงจะไม่แข็งข้อต่อท่านสืบไป

            แผนการของซุนฮกครั้งนี้คืออุบายริดกิ่งเอาลำต้น เป้าหมายที่แท้จริงคือการยึดเมืองชีจิ๋ว บังคับให้เล่าปี่เข้าสวามิภักดิ์แต่โดยดี แต่ต้นไม้ใหญ่แบบเล่าปี่นั้น ขณะนี้ยังมีลิโป้เป็นกิ่งก้านสาขาอยู่ จึงต้องริดกิ่งก้านสาขาเสียก่อน แล้วค่อยเอาลำต้นต่อภายหลัง เป็นอุบายทางการเมืองที่เป็นอย่างเดียวกับกลยุทธ์ทางการทหารที่ว่า “กินข้าวทีละคำจนหมดจาน” นั่นเอง

            โจโฉและบรรดาแม่ทัพนายกองฟังคำซุนฮกแล้วต่างสรรเสริญความคิดสติปัญญาซุนฮกเป็นอันมาก โจโฉจึงนำความกราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้งเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วตามคำของซุนฮก และทำหนังสือลับอีกฉบับหนึ่งถึงเล่าปี่แล้วสั่งให้ข้าหลวงอัญเชิญพระบรมราชโองการและเอาหนังสือลับนั้นไปมอบแก่เล่าปี่ที่เมืองชีจิ๋ว และสั่งกำชับข้าหลวงว่าให้สังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของเล่าปี่ว่าจะยินดีปฏิบัติตามหนังสือลับนั้นหรือไม่

            เล่าปี่ครั้นทราบว่ามีข้าหลวงอัญเชิญพระบรมราชโองการมาแต่เมืองหลวง จึงให้จัดพิธีรับพระบรมราชโองการอย่างธรรมเนียม ครั้นได้ทราบความตามพระบรมราชโองการแล้วก็มีความยินดี สั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงข้าหลวงและบรรดาขุนนางข้าราชการเมืองชีจิ๋วในค่ำวันนั้น

            กินโต๊ะเสร็จแล้ว ข้าหลวงจึงมอบหนังสือลับของโจโฉให้แก่เล่าปี่ ครั้นเล่าปี่ได้ทราบความตามหนังสือลับที่ว่าโจโฉเป็นผู้เพ็ดทูลให้ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว และให้กำจัดลิโป้เสีย ก็เข้าใจความคิดและแผนการของโจโฉ ดังนั้นจึงผลัดผ่อนกับข้าหลวงว่าขอเวลาตรึกตรองอีก 2-3 วัน ข้าหลวงก็รับคำเล่าปี่ แล้วลากลับไปพักที่บ้านพักรับรองแขกเมือง

            เสร็จงานเลี้ยงแล้วเล่าปี่จึงให้เชิญบิต๊ก ซุนเขียน สองที่ปรึกษาพร้อมด้วยกวนอู เตียวหุย มาปรึกษาเกี่ยวกับหนังสือของโจโฉว่าจะจัดการประการใด คนทั้งนั้นเห็นว่าสมควรฆ่าลิโป้เสียตามที่โจโฉได้มีหนังสือมา เพราะเป็นการกำจัดคนเนรคุณที่เลวทรามเสียคนหนึ่ง ทั้งไม่ต้องขัดใจเป็นศัตรูกับโจโฉ

            แต่เล่าปี่ไม่เห็นด้วย และแสดงเหตุผลว่า “ลิโป้ได้บากหน้ามาพึ่งแล้ว ครั้นเราจะทำอันตรายเสียบัดนี้ก็เห็นไม่สมควร นานไปใครจะมาอยู่ด้วยเล่า” เตียวหุยยังคงยืนยันว่า การทำดีต่อคนชั่วนั้นไร้ผล มีแต่จะเป็นอันตรายในภายหน้า แต่เล่าปี่ไม่ฟังคำเตียวหุย คงยืนยันตามความเห็นเดิม

            วันรุ่งขึ้นไม่ทันที่เล่าปี่จะได้แจ้งผลการตัดสินใจแก่ข้าหลวง ทหารก็มารายงานว่าบัดนี้ลิโป้มาขอพบเพื่อแสดงความยินดี เล่าปี่จึงออกไปต้อนรับลิโป้ ปฏิสันถารกันตามธรรมเนียมแล้วจึงเชิญมาที่จวนเจ้าเมือง

            ลิโป้ได้แสดงความยินดีพร้อมกับมอบของขวัญจำนวนมากแก่เล่าปี่ ขณะนั้นเตียวหุยถือกระบี่เข้ามาในจวนจะฆ่าลิโป้ เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ตกใจ ขวางเตียวหุยไว้แล้วชิงกระบี่จากมือเตียวหุย และต่อว่าเตียวหุยว่าไฉนไม่ฟังคำเราผู้เป็นพี่ แล้วมากระทำเสียมารยาทต่อลิโป้ดังนี้

            ลิโป้จึงว่า เตียวหุยนี้มีความแค้นผูกพยาบาทข้าพเจ้าด้วยเรื่องสิ่งใดหรือ จึงพยายามฆ่าข้าพเจ้าหลายครั้งหลายหนแล้ว เตียวหุยยินคำลิโป้ก็โกรธร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่าเป็นเพราะลิโป้เป็นคนเนรคุณ แม้โจโฉก็ยังมีหนังสือมาให้พี่กูฆ่ามึงเสีย

            เล่าปี่ได้ยินเตียวหุยเอาความเมืองอันเป็นเรื่องลับมาพูดกับลิโป้โดยไม่ยั้งคิดจึงตวาดเอากับเตียวหุยแล้วสั่งทหารให้พาเตียวหุยออกไปจากจวน จากนั้นจึงพาลิโป้เข้าไปที่ห้องหนังสือแล้วเอาหนังสือลับของโจโฉให้ลิโป้อ่านดู และบอกความตามที่โจโฉแจ้งมากับข้าหลวงให้ลิโป้ฟังทุกประการ

            ลิโป้เห็นหนังสือของโจโฉที่ให้เล่าปี่จับตัวฆ่าเสียก็ร้องไห้ รีบคำนับเล่าปี่แล้วว่าข้าพเจ้าขอขอบใจในพระคุณท่านที่ซื่อตรงต่อมิตรในยามยาก การที่โจโฉคิดอ่านทำการทั้งนี้หวังจะให้ท่านกับข้าพเจ้าหวาดระแวงสงสัย แล้วกลายเป็นศัตรูกัน เมื่อล้างผลาญกันเองแล้วโจโฉย่อมฉวยโอกาสกำจัดฝ่ายชนะได้โดยง่าย แต่น้ำใจท่านงดงามซื่อตรงนัก จึงเอาความทั้งนี้ให้ข้าพเจ้าได้ทราบ ดังนั้นจึงขจัดความหวาดระแวงสงสัยระหว่างเราสอง ทำลายแผนการริดกิ่งเอาลำต้นของโจโฉให้พินาศไปด้วยน้ำใจแห่งคุณธรรมของท่านครั้งนี้

            คำพูดของลิโป้ครั้งนี้ไม่ว่าจะพูดออกมาเพราะความกลัวภัย หรือด้วยบังเอิญก็ตามที แต่แสดงให้เห็นว่าลิโป้ได้เข้าใจแผนการของโจโฉ ซึ่งย่อมตรงกับความเข้าใจของเล่าปี่เป็นอย่างเดียวกัน เล่าปี่ฟังคำลิโป้แล้วจึงว่าข้าพเจ้าคบหากับท่านด้วยความสุจริต จะไม่คิดสังหารท่านตามความต้องการของโจโฉเป็นอันขาด ดังนั้นถึงแม้ผู้ใดจะมาว่ากล่าวยุยงประการใด ข้าพเจ้าก็จะไม่ทำร้ายท่าน อย่าได้วิตกกังวลต่อไปเลย

            ลิโป้จึงว่าข้าพเจ้าได้ฟังคำท่านแล้วก็เบาใจ ตัวข้าพเจ้านี้ก็จะรักษาไมตรีและระลึกถึงคุณท่านตลอดไป เมื่อเข้าใจกันเช่นนี้แล้วทั้งเล่าปี่และลิโป้จึงนั่งกินโต๊ะกันต่อไปจนถึงเวลาเย็น ลิโป้จึงขอลาเล่าปี่กลับไปเมืองเสียวพ่าย

            กวนอู เตียวหุย เห็นเล่าปี่ปล่อยลิโป้ลอยชายกลับไป จึงพากันเข้าไปถามเล่าปี่ว่าเหตุใดจึงไม่ฆ่าลิโป้เสียเล่า เล่าปี่จึงว่าโจโฉคิดอุบายจะให้เรากับลิโป้กินแหนงแคลงใจกันล้างผลาญกันเองก่อน แล้วจึงกำจัดฝ่ายที่ชนะในภายหลัง ถ้าหากเรากำจัดลิโป้เสียแล้ว โจโฉก็จะทำศึกปราบปรามฝ่ายที่ชนะแต่เพียงด้านเดียว ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป การฆ่าลิโป้ก็คือการต้องกลโจโฉ และเรานั่นแหละที่จะตกอยู่ในอันตรายต่อไป

            กวนอู ฟังคำเล่าปี่แล้วเห็นด้วย แต่เตียวหุยยังคงคุมความโกรธแค้นชิงชังลิโป้อยู่จึงว่าไม่ว่าประการใดข้าพเจ้าจะฆ่าลิโป้เสียให้จงได้ เล่าปี่เห็นเตียวหุยดื้อรั้น ไม่ฟังเหตุผล จึงตำหนิเตียวหุยว่าการที่น้องเล็กเจ้าคิดเช่นนี้เหมือนกับคนไม่มีความคิด เราได้อธิบายความเมืองอันเป็นอุบายให้เจ้าฟังทั้งนี้ชัดเจนอยู่แล้ว ไฉนเล่าเจ้าจึงดื้อดึงไม่ฟังเหตุและผล

            เตียวหุยเห็นเล่าปี่ไม่พอใจก็เกรงใจเล่าปี่แล้วยอมสงบท่วงท่ากิริยาลงเป็นปรกติ

            ฝ่ายข้าหลวงรอฟังคำตอบจากเล่าปี่ว่าจะเต็มใจปฏิบัติตามหนังสือของโจโฉหรือไม่อยู่หลายวัน ก็ไม่มีคำตอบว่าประการใด ทั้งได้รู้ข่าวว่าลิโป้เดินทางมาเมืองชีจิ๋วเพื่อแสดงความยินดีกับเล่าปี่ แต่เล่าปี่ยังคงปล่อยให้ลิโป้กลับไปอย่างปลอดภัย ก็รู้ว่าเล่าปี่ไม่เต็มใจปฏิบัติตามหนังสือของโจโฉ ดังนั้นจึงขอลาเล่าปี่กลับเมืองหลวง เล่าปี่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวประการใด คงอวยพรแต่ให้ข้าหลวงเดินทางกลับโดยสวัสดี

            ครั้นข้าหลวงเดินทางกลับถึงเมืองฮูโต๋แล้ว ได้เข้าไปรายงานให้โจโฉทราบว่าเล่าปี่ไม่ปฏิบัติตามหนังสือของท่าน โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ แล้วสั่งให้เชิญบรรดาที่ปรึกษา และแม่ทัพนายกองมาปรึกษาเพื่อจะกำจัดลิโป้และเล่าปี่ต่อไป.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร