ตอนที่ 69. ในวังวนของคนอับจนปัญญา
ขบวนเสด็จยกออกจากเมืองฮองหลงหนีการไล่ล่าโจมตีของลิฉุย กุยกีมาหลายหนจนตรอกเข้าถึงกับต้องหันพึ่งกลุ่มโจรท้องถิ่น และพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้โปรดเกล้าฯ ให้นายโจรและกลุ่มโจรทั้งสามกลุ่มเข้าถวายการอารักขา ครั้นขบวนเสด็จเคลื่อนมาถึงตำบลตังกั๋ง ความคิดที่จะไปเมืองเตียนอันก็ได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง
ทั้ง ๆ ที่ในสถานการณ์เช่นนั้นจำเป็นที่จะต้องตั้งหลักให้ได้ก่อน แล้วเรียกให้บรรดาหัวเมืองยกทหารมาช่วย แต่ตังสินขุนนางคนสนิทกลับเรียกนายโจรทั้งสามคนมาปรึกษาว่า การเดินทางไปเมืองเตียนอันเป็นระยะทางไกล ควรยกเข้าตีเอาเมืองฮองหลงแล้วตั้งหลักที่เมืองฮองหลงเสียก่อน นายโจรทั้งสามคนไม่เคยมีความคิดอ่านในเรื่องการบ้านการเมืองและการศึกสงคราม ครั้นถูกปรึกษาเรื่องเช่นนี้จึงเออออตาม ตังสินไป
ดังนั้นตังสินจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนเสด็จย้อนกลับไปเพื่อจะยึดเมืองฮองหลง ครั้นเคลื่อนมาถึงตำบลอยู่เอี๋ยงก็ปะทะกับกองทหารของลิฉุย กุยกี ต่างฝ่ายต่างยันกัน ลิฉุยจึงปรึกษากุยกีว่าการที่ขบวนเสด็จต้องพึ่งกำลังโจรท้องถิ่นเช่นนี้ หากเราจะต่อสู้กับพวกโจรซึ่งหน้าก็จะเปลืองกำลังเสียเปล่า และวิสัยโจรนั้นถึงจะกลับใจก็ย่อมมีน้ำใจใฝ่ชอบทรัพย์สินติดอยู่ในกมลสันดาน ดังนั้นถ้าหากเราเอาทรัพย์สินเสื้อผ้าเข้าล่อ พวกโจรคงไม่มีใจสู้รบด้วยคิดแต่จะเอาทรัพย์สินคงจะเสียทีเราเป็นมั่นคง
กุยกีเห็นชอบด้วยจึงว่าถ้าเช่นนั้นเราจงเอาทรัพย์สินและเสื้อผ้าที่ปล้นมาจากราษฎรคนละครึ่งมารวมกันแล้วเอาไปทิ้งตามสองข้างทาง แล้วรบล่อพวกโจรมาถึงที่ทิ้งทรัพย์สินล่อไว้นั้น พวกโจรคงชุลมุนแย่งทรัพย์สินกันเราจึงค่อยยกทหารเข้าโจมตีคงจะได้ชัยชนะโดยง่าย
สองเสือปรึกษาเห็นชอบในการลงขันเอาทรัพย์สินเสื้อผ้าล่อโจร แล้วต่างฝ่ายต่างสั่งให้สมุนของตนนำทรัพย์สินและเสื้อผ้าคนละครึ่งมารวมไว้เป็นกองกลาง แล้วสั่งทหารให้เอาไปทิ้งไว้ตามข้างทาง และยกทหารออกไปรบด้วยทหารที่คุ้มกันขบวนเสด็จ
ครั้นทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกันได้ครู่หนึ่ง ทหารของลิฉุย กุยกีก็ทำทีถอยหนีมาตามทางที่เอาทรัพย์สินเสื้อผ้าไปทิ้งไว้นั้น ทหารของตังสินไล่ตามมาเห็นทรัพย์สินเสื้อผ้าทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่ตามรายทางเป็นอันมากก็หยุดไล่ตาม ต่างคนต่างพากันแย่งชิงเอาทรัพย์สินเสื้อผ้าซึ่งทิ้งไว้นั้นเกิดอลหม่านขึ้น
ลิฉุย กุยกีเห็นทหารตังสินต้องกลจึงให้จุดประทัดสัญญาณ แล้วยกทหารเข้าล้อมตีกระหนาบทหารของตังสิน ฝ่ายทหารของตังสินมัวหลงเพลินแย่งชิงทรัพย์สินกันไม่ทันระวังตัว จึงถูกทหารของลิฉุย กุยกีฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ที่เหลืออยู่ทิ้งข้าวของแล้วพากันหนีไปตามขบวนเสด็จ
ทหารของลิฉุย กุยกีไล่ตามตีไปไม่ลดละ ด้านตังสินและเอียวฮองเห็นเช่นนั้นจึงรีบพาขบวนเสด็จหนีไปทางด้านเหนือ ลิงักนายโจรอีกคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์จวนตัวจึงกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเหี้ยนเต้รีบลงจากรถพระที่นั่งประทับบนหลังม้ารีบหนีไป
แต่พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงสงสารข้าราชบริพาร จึงมีพระดำรัสว่าในยามอันตรายเช่นนี้เราจะทอดทิ้งพวกท่านไปได้อย่างไรกัน เป็นอะไรก็ขอให้เป็นไปด้วยกัน
บรรดาขุนนางและนายโจรได้ยินพระราชกระแสดังนั้น ก็ซาบซึ้งในน้ำพระทัยพากันร้องไห้ แล้วช่วยกันป้องกันขบวนเสด็จรีบรุดหน้าหนีต่อไป หนีมาได้ระยะหนึ่งทหารของลิฉุย กุยกีก็ยิ่งตามใกล้เข้ามา ตังสินเห็นว่าถ้าจะหนีในลักษณะเช่นนี้ก็จะไม่ทันการ จึงกราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้และฮองเฮาเชิญเสด็จประทับบนหลังม้า และรีบขับหนีไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำฮวงโห
ลิงักนายโจรหาเรือได้ลำหนึ่งจึงอัญเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้และฮองเฮาลงเรือข้ามแม่น้ำฮวงโหไปพร้อมกับข้าราชบริพารจำนวนหนึ่ง ส่งเสด็จข้ามฝั่งแล้วก็นำเรือกลับมารับขุนนางและทหารได้อีกหลายเที่ยว แต่ยังไม่ทันหมดทหารของลิฉุย กุยกีก็ตามมาถึงริมแม่น้ำฮวงโห แล้วจับเอาบรรดาขุนนางและข้าราชบริพารที่ค้างอยู่นั้นไว้ทั้งสิ้น
ตังสิน เอียวฮอง ได้จัดหาเกวียนเป็นพระราชพาหนะของพระเจ้าเหี้ยนเต้และฮองเฮาแล้วนำเสด็จหนีต่อไป จนถึงชายแดนเมืองไทเอียงเป็นเวลาค่ำ เห็นบ้านราษฎรอยู่ใกล้ ๆ เป็นโรงกระเบื้องจึงพากันไปขออาศัยค้างคืน เจ้าของโรงกระเบื้องรู้ว่าเป็นขบวนเสด็จก็ดีใจ จัดเตรียมอาหารมาถวายแล้วเลี้ยงดูพวกที่ตามเสด็จนั้น
รุ่งขึ้นเอียวปิวกับฮันหยงขุนนางผู้ใหญ่ติดตามมาพบก็พากันเข้าเฝ้าแล้วร้องไห้สงสารพระเจ้าเหี้ยนเต้ สำหรับเอียวปิวนั้นละอายใจตัวเองยิ่งนักที่เสนอแผนยุสองเสือให้กัดกันจนพระเจ้าเหี้ยนเต้ต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากถึงเพียงนี้
ฮันหยงหยุดร้องไห้ก่อนจึงกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้ากับลิฉุย กุยกีนั้นมีความสนิทสนมกัน ทั้งสองคนมีความเคารพยำเกรงเป็นอันมาก จึงขออาสาไปเกลี้ยกล่อมอีกครั้งหนึ่งและขออัญเชิญเสด็จประทับอยู่ที่โรงกระเบื้องนี้เพื่อฟังข่าวก่อน
พระเจ้าเหี้ยนเต้ครั้นได้เห็นทางรอดตามคำกราบบังคมทูลของฮันหยงจึงมีพระราชดำรัสว่าตามใจท่านเถิด ฮันหยงรับพระบรมราชานุญาตแล้วจึงกราบบังคมลาออกไปหาลิฉุย กุยกี
พอฮันหยงออกไปแล้ว ลิงักจึงกราบทูลว่าการประทับอยู่ที่โรงกระเบื้องนี้ไม่เหมาะสมเพราะไม่มีรั้วกำแพงป้องกันอันตรายทั้งทหารก็ไม่เพียงพอต่อการอารักขา จึงขออัญเชิญรีบเสด็จต่อไป พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงเออออตามลิงัก
ขบวนเสด็จได้เคลื่อนออกจากโรงกระเบื้องไปถึงตำบลอันอิบเป็นเวลาค่ำ จึงขออาศัยบ้านราษฎรเป็นที่ประทับแรม โดยพวกที่ตามเสด็จทำหน้าที่ถวายการอารักขาอยู่รอบบ้านที่ประทับนั้น
ฮันหยงรับอาสาพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วเดินย้อนกลับไปถึงริมแม่น้ำฮวงโห ข้ามแม่น้ำไปพบกับลิฉุย กุยกี ทักทายคารวะกันตามธรรมเนียมแล้วจึงว่าบัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงตกทุกข์ระกำลำบากนัก ทั้งสองท่านอย่าได้ติดตามพระองค์อีกเลย เพราะเพียงเท่าที่เป็นอยู่นี้หากราษฎรทั้งปวงรู้ความเข้าก็จะพลอยนินทาว่าท่านคิดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ แต่ถ้าละเสียไว้แต่เพียงนี้ ความสรรเสริญก็จะบังเกิดมีแก่ท่านทั้งสองไปจนชั่วกัลปาวสาน
สองโจรโฉด ใจหนึ่งเคารพยำเกรงฮันหยงมาแต่เดิม ครั้นได้ยินคำล่อว่าการปล่อยพระเจ้าเหี้ยนเต้จะได้รับคำสรรเสริญและมาคิดว่าแม้หากจะยกทหารข้ามแม่น้ำไปก็ไม่ได้แล้ว จึงตกลงทำตามคำขอของฮันหยง แล้วปล่อยบรรดาขุนนางและข้าราชบริพารที่จับตัวไว้นั้นเสีย
ฝ่ายเตียวเฮียง ซึ่งบัดนี้ได้เป็นที่เจ้าเมืองโห้ลายสืบต่อจากอองของและฮองอิบเจ้าเมืองโฮต๋อง ครั้นได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จลี้ภัยมาประทับอยู่ที่บ้านราษฎรที่ตำบลอันอิบ จึงจัดแจงเสบียงอาหารและพาเจ้าหน้าที่มาเข้าเฝ้า น้อมเกล้าถวายเสบียงอาหารทั้งนั้น
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงรับมอบเสบียงจากสองเจ้าเมืองแล้วทรงขอบใจแต่มิได้ตรัสความเมืองอื่นต่อแต่ประการใด
สถานการณ์มาถึงขั้นนี้พอจะแลเห็นได้ว่าขบวนเสด็จน่าจะปลอดภัยและเริ่มตั้งหลักได้ เพราะเพียงแค่เสด็จไปประทับที่เมืองใดเมืองหนึ่งเป็นการชั่วคราวและให้หัวเมืองต่าง ๆ ส่งทหารมาช่วยเพียงเมืองละห้าพันถึงหมื่นคนเพื่อรักษาเมืองแล้ว จึงค่อยคิดอ่านบูรณะเมืองหลวง ความสงบสุขสันติก็อาจฟื้นคืนมาได้โดยเร็ว แต่เป็นโชคร้ายของราชวงศ์ฮั่นเพราะหาผู้ใดมีความคิดสติปัญญามิได้ ผู้คนทั้งปวงในที่นั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกอับจนปัญญาทั้งสิ้น
ตังสินและเอียวฮองปรึกษากับพวกอับจนปัญญาด้วยกันเปลี่ยนเป้าหมายในการเดินทางใหม่อีกครั้งหนึ่งว่าจะให้ทหารไปทำการบูรณะเมืองลกเอี๋ยง ราชธานีเก่าที่ถูกตั๋งโต๊ะเผาผลาญจนวอดวายขึ้นมาใหม่ แล้วอัญเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปอยู่เมืองลกเอี๋ยง ลิงักนายโจรไม่เห็นด้วย อ้างว่าเมืองลกเอี๋ยงถูกเผาผลาญหมดสิ้นแล้ว ทั้งสถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่มีความปลอดภัย ควรตั้งหลักอยู่ที่เดิมไปก่อนจนกว่าจะมีทหารจากหัวเมืองต่าง ๆ มาช่วยเหลือ
ตังสินและเอียวฮองไม่ฟังคำทัดทานของลิงัก ดังนั้นลิงักจึงไม่ยอมติดตามไปด้วย ฝ่ายตังสินและเอียวฮองจึงกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ ฮองเฮาและข้าราชบริพารจะยกไปเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เห็นชอบตามคำกราบบังคมทูลนั้น
ลิงักครั้นเห็นตังสินไม่ฟังคำจึงมีใจคิดออกห่าง และส่งคนนำความไปแจ้งแก่ ลิฉุย กุยกีว่าบัดนี้ตังสินและเอียวฮองกำลังนำขบวนเสด็จไปเมืองลกเอี๋ยง ขอให้คิดการชิงเอาพระเจ้าเหี้ยนเต้มาฆ่าเสีย ตัวเราจะยกไปสมทบและแบ่งปันทรัพย์สินกันเป็นสามส่วน
ลิฉุย กุยกีทราบความแล้วมีความยินดีตกลงที่จะยกทหารไปชิงเอาพระเจ้าเหี้ยนเต้
ฝ่ายลิงักครั้นใช้คนไปแจ้งความแก่ลิฉุย กุยกีแล้ว กลับมาคิดใหม่ว่าเรื่องอะไรที่เราจะให้ลิฉุย กุยกีช่วงชิงพระเจ้าเหี้ยนเต้ เราจะจัดการเสียเองมิดีกว่าหรือ เปลี่ยนใจดังนี้แล้วจึงพาพรรคพวกโจรรีบตามขบวนเสด็จไป
ครั้นยามสามก็ทันขบวนเสด็จ ณ เขากิสาน ลิงักจึงร้องเรียกขบวนเสด็จให้หยุดก่อนอ้างว่าลิฉุย กุยกีกำลังยกทหารตามมา พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินเสียงไล่ตามขบวนเสด็จมาก็ตกพระทัย เอียวฮองจึงกราบบังคมทูลว่านั่นเป็นลิงักพาพรรคพวกโจรติดตามมาคาดว่าคงจะมาร้ายเป็นแน่ แต่เห็นจะไม่เป็นอันตรายเพราะลิงักนั้นไร้ฝีมือและพรรคพวกก็ไม่มากนัก
กราบทูลแล้วเอียวฮองจึงสั่งให้ซิหลงคุมทหารถอยมาเป็นกองหลัง จึงปะทะกับพรรคพวกของลิงัก ซิหลงต่อสู้กับลิงักได้สามเพลงก็เอาขวานฟันลิงักตกม้าตายแล้วไล่ฟันพวกโจรแตกหนีไป
ขบวนเสด็จเคลื่อนมาทั้งคืน ครั้นสว่างก็เข้าเขตเมืองลกเอี๋ยง ขณะนั้นเตียว เอี๋ยนได้นำอาหารมาทูลเกล้าถวาย พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงขอบใจและโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เตียวเอี๋ยนเป็นขุนนาง
ขบวนเสด็จได้เคลื่อนเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยง แล้วหยุดขบวนที่ประตูพระราชวังเดิม พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมกับขุนนางและข้าราชบริพารเข้าไปในพระราชวัง ทอดพระเนตรพระตำหนักและอาคารสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งถูกเพลิงเผาผลาญเหลือแต่ฐานราก มีต้นไม้และหญ้าขึ้นรกชัฏโดยทั่วไป
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงรำลึกถึงเมื่อครั้งแต่ก่อนที่เคยประทับในพระราชวังก็สลดพระทัยลง ทรงพระกันแสง บรรดาขุนนางและข้าราชบริพารเห็นสภาพการณ์เช่นนั้นก็สงสารพากันร้องไห้ระงมเมืองร้างนั้น
ยุวกษัตริย์และข้าราชบริพารพากันดูบริเวณพระราชวังโดยรอบแล้ว ตังสินจึงให้ทหารตัดต้นไม้และต้นหญ้าที่ปกคลุมพระตำหนักที่ประทับ แล้วปลูกโรงชั่วคราวสำหรับเป็นที่ประทับและให้ปลูกโรงชั่วคราวสำหรับข้าราชบริพารฝ่ายหน้าอีกหลังหนึ่ง เสร็จแล้วจึงเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ประทับที่พระตำหนักชั่วคราว บรรดาขุนนาง ข้าราชบริพารเข้าเฝ้าถวายบังคมตามธรรมเนียม
บรรดาราษฎรที่หลบหนีไปอยู่นอกเมืองครั้นได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จกลับมาประทับที่เมืองลกเอี๋ยงก็พากันอพยพกลับเข้ามาในตัวเมือง ตั้งครอบครัวขึ้นใหม่หลายร้อยหลังคาเรือน
ฝ่ายเอียวปิวรำลึกขึ้นได้ว่าพระราชหัตถเลขาซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้พระราชทานไว้สำหรับเรียกโจโฉเข้ามารับราชการในเมืองหลวงตั้งแต่ครั้งวางแผนร่วมกับจูฮียุสองเสือให้กัดกันแต่ยังไม่ได้จัดการส่งให้แก่โจโฉ จึงนำความกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ดังนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงมีรับสั่งให้เอียวปิวรีบส่งพระราชหัตถเลขานั้นให้แก่โจโฉ และทรงกำชับให้รีบยกมาเมืองลกเอี๋ยงแต่โดยไว
เอียวปิวรับกระแสพระราชดำรัสแล้วจึงรีบถวายบังคมลาออกมาแล้วสั่งทหารให้รีบนำพระราชหัตถเลขาและอัญเชิญพระราชดำรัสของพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปมอบแก่โจโฉ.
ทั้ง ๆ ที่ในสถานการณ์เช่นนั้นจำเป็นที่จะต้องตั้งหลักให้ได้ก่อน แล้วเรียกให้บรรดาหัวเมืองยกทหารมาช่วย แต่ตังสินขุนนางคนสนิทกลับเรียกนายโจรทั้งสามคนมาปรึกษาว่า การเดินทางไปเมืองเตียนอันเป็นระยะทางไกล ควรยกเข้าตีเอาเมืองฮองหลงแล้วตั้งหลักที่เมืองฮองหลงเสียก่อน นายโจรทั้งสามคนไม่เคยมีความคิดอ่านในเรื่องการบ้านการเมืองและการศึกสงคราม ครั้นถูกปรึกษาเรื่องเช่นนี้จึงเออออตาม ตังสินไป
ดังนั้นตังสินจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนเสด็จย้อนกลับไปเพื่อจะยึดเมืองฮองหลง ครั้นเคลื่อนมาถึงตำบลอยู่เอี๋ยงก็ปะทะกับกองทหารของลิฉุย กุยกี ต่างฝ่ายต่างยันกัน ลิฉุยจึงปรึกษากุยกีว่าการที่ขบวนเสด็จต้องพึ่งกำลังโจรท้องถิ่นเช่นนี้ หากเราจะต่อสู้กับพวกโจรซึ่งหน้าก็จะเปลืองกำลังเสียเปล่า และวิสัยโจรนั้นถึงจะกลับใจก็ย่อมมีน้ำใจใฝ่ชอบทรัพย์สินติดอยู่ในกมลสันดาน ดังนั้นถ้าหากเราเอาทรัพย์สินเสื้อผ้าเข้าล่อ พวกโจรคงไม่มีใจสู้รบด้วยคิดแต่จะเอาทรัพย์สินคงจะเสียทีเราเป็นมั่นคง
กุยกีเห็นชอบด้วยจึงว่าถ้าเช่นนั้นเราจงเอาทรัพย์สินและเสื้อผ้าที่ปล้นมาจากราษฎรคนละครึ่งมารวมกันแล้วเอาไปทิ้งตามสองข้างทาง แล้วรบล่อพวกโจรมาถึงที่ทิ้งทรัพย์สินล่อไว้นั้น พวกโจรคงชุลมุนแย่งทรัพย์สินกันเราจึงค่อยยกทหารเข้าโจมตีคงจะได้ชัยชนะโดยง่าย
สองเสือปรึกษาเห็นชอบในการลงขันเอาทรัพย์สินเสื้อผ้าล่อโจร แล้วต่างฝ่ายต่างสั่งให้สมุนของตนนำทรัพย์สินและเสื้อผ้าคนละครึ่งมารวมไว้เป็นกองกลาง แล้วสั่งทหารให้เอาไปทิ้งไว้ตามข้างทาง และยกทหารออกไปรบด้วยทหารที่คุ้มกันขบวนเสด็จ
ครั้นทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกันได้ครู่หนึ่ง ทหารของลิฉุย กุยกีก็ทำทีถอยหนีมาตามทางที่เอาทรัพย์สินเสื้อผ้าไปทิ้งไว้นั้น ทหารของตังสินไล่ตามมาเห็นทรัพย์สินเสื้อผ้าทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่ตามรายทางเป็นอันมากก็หยุดไล่ตาม ต่างคนต่างพากันแย่งชิงเอาทรัพย์สินเสื้อผ้าซึ่งทิ้งไว้นั้นเกิดอลหม่านขึ้น
ลิฉุย กุยกีเห็นทหารตังสินต้องกลจึงให้จุดประทัดสัญญาณ แล้วยกทหารเข้าล้อมตีกระหนาบทหารของตังสิน ฝ่ายทหารของตังสินมัวหลงเพลินแย่งชิงทรัพย์สินกันไม่ทันระวังตัว จึงถูกทหารของลิฉุย กุยกีฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ที่เหลืออยู่ทิ้งข้าวของแล้วพากันหนีไปตามขบวนเสด็จ
ทหารของลิฉุย กุยกีไล่ตามตีไปไม่ลดละ ด้านตังสินและเอียวฮองเห็นเช่นนั้นจึงรีบพาขบวนเสด็จหนีไปทางด้านเหนือ ลิงักนายโจรอีกคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์จวนตัวจึงกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเหี้ยนเต้รีบลงจากรถพระที่นั่งประทับบนหลังม้ารีบหนีไป
แต่พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงสงสารข้าราชบริพาร จึงมีพระดำรัสว่าในยามอันตรายเช่นนี้เราจะทอดทิ้งพวกท่านไปได้อย่างไรกัน เป็นอะไรก็ขอให้เป็นไปด้วยกัน
บรรดาขุนนางและนายโจรได้ยินพระราชกระแสดังนั้น ก็ซาบซึ้งในน้ำพระทัยพากันร้องไห้ แล้วช่วยกันป้องกันขบวนเสด็จรีบรุดหน้าหนีต่อไป หนีมาได้ระยะหนึ่งทหารของลิฉุย กุยกีก็ยิ่งตามใกล้เข้ามา ตังสินเห็นว่าถ้าจะหนีในลักษณะเช่นนี้ก็จะไม่ทันการ จึงกราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้และฮองเฮาเชิญเสด็จประทับบนหลังม้า และรีบขับหนีไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำฮวงโห
ลิงักนายโจรหาเรือได้ลำหนึ่งจึงอัญเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้และฮองเฮาลงเรือข้ามแม่น้ำฮวงโหไปพร้อมกับข้าราชบริพารจำนวนหนึ่ง ส่งเสด็จข้ามฝั่งแล้วก็นำเรือกลับมารับขุนนางและทหารได้อีกหลายเที่ยว แต่ยังไม่ทันหมดทหารของลิฉุย กุยกีก็ตามมาถึงริมแม่น้ำฮวงโห แล้วจับเอาบรรดาขุนนางและข้าราชบริพารที่ค้างอยู่นั้นไว้ทั้งสิ้น
ตังสิน เอียวฮอง ได้จัดหาเกวียนเป็นพระราชพาหนะของพระเจ้าเหี้ยนเต้และฮองเฮาแล้วนำเสด็จหนีต่อไป จนถึงชายแดนเมืองไทเอียงเป็นเวลาค่ำ เห็นบ้านราษฎรอยู่ใกล้ ๆ เป็นโรงกระเบื้องจึงพากันไปขออาศัยค้างคืน เจ้าของโรงกระเบื้องรู้ว่าเป็นขบวนเสด็จก็ดีใจ จัดเตรียมอาหารมาถวายแล้วเลี้ยงดูพวกที่ตามเสด็จนั้น
รุ่งขึ้นเอียวปิวกับฮันหยงขุนนางผู้ใหญ่ติดตามมาพบก็พากันเข้าเฝ้าแล้วร้องไห้สงสารพระเจ้าเหี้ยนเต้ สำหรับเอียวปิวนั้นละอายใจตัวเองยิ่งนักที่เสนอแผนยุสองเสือให้กัดกันจนพระเจ้าเหี้ยนเต้ต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากถึงเพียงนี้
ฮันหยงหยุดร้องไห้ก่อนจึงกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้ากับลิฉุย กุยกีนั้นมีความสนิทสนมกัน ทั้งสองคนมีความเคารพยำเกรงเป็นอันมาก จึงขออาสาไปเกลี้ยกล่อมอีกครั้งหนึ่งและขออัญเชิญเสด็จประทับอยู่ที่โรงกระเบื้องนี้เพื่อฟังข่าวก่อน
พระเจ้าเหี้ยนเต้ครั้นได้เห็นทางรอดตามคำกราบบังคมทูลของฮันหยงจึงมีพระราชดำรัสว่าตามใจท่านเถิด ฮันหยงรับพระบรมราชานุญาตแล้วจึงกราบบังคมลาออกไปหาลิฉุย กุยกี
พอฮันหยงออกไปแล้ว ลิงักจึงกราบทูลว่าการประทับอยู่ที่โรงกระเบื้องนี้ไม่เหมาะสมเพราะไม่มีรั้วกำแพงป้องกันอันตรายทั้งทหารก็ไม่เพียงพอต่อการอารักขา จึงขออัญเชิญรีบเสด็จต่อไป พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงเออออตามลิงัก
ขบวนเสด็จได้เคลื่อนออกจากโรงกระเบื้องไปถึงตำบลอันอิบเป็นเวลาค่ำ จึงขออาศัยบ้านราษฎรเป็นที่ประทับแรม โดยพวกที่ตามเสด็จทำหน้าที่ถวายการอารักขาอยู่รอบบ้านที่ประทับนั้น
ฮันหยงรับอาสาพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วเดินย้อนกลับไปถึงริมแม่น้ำฮวงโห ข้ามแม่น้ำไปพบกับลิฉุย กุยกี ทักทายคารวะกันตามธรรมเนียมแล้วจึงว่าบัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงตกทุกข์ระกำลำบากนัก ทั้งสองท่านอย่าได้ติดตามพระองค์อีกเลย เพราะเพียงเท่าที่เป็นอยู่นี้หากราษฎรทั้งปวงรู้ความเข้าก็จะพลอยนินทาว่าท่านคิดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ แต่ถ้าละเสียไว้แต่เพียงนี้ ความสรรเสริญก็จะบังเกิดมีแก่ท่านทั้งสองไปจนชั่วกัลปาวสาน
สองโจรโฉด ใจหนึ่งเคารพยำเกรงฮันหยงมาแต่เดิม ครั้นได้ยินคำล่อว่าการปล่อยพระเจ้าเหี้ยนเต้จะได้รับคำสรรเสริญและมาคิดว่าแม้หากจะยกทหารข้ามแม่น้ำไปก็ไม่ได้แล้ว จึงตกลงทำตามคำขอของฮันหยง แล้วปล่อยบรรดาขุนนางและข้าราชบริพารที่จับตัวไว้นั้นเสีย
ฝ่ายเตียวเฮียง ซึ่งบัดนี้ได้เป็นที่เจ้าเมืองโห้ลายสืบต่อจากอองของและฮองอิบเจ้าเมืองโฮต๋อง ครั้นได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จลี้ภัยมาประทับอยู่ที่บ้านราษฎรที่ตำบลอันอิบ จึงจัดแจงเสบียงอาหารและพาเจ้าหน้าที่มาเข้าเฝ้า น้อมเกล้าถวายเสบียงอาหารทั้งนั้น
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงรับมอบเสบียงจากสองเจ้าเมืองแล้วทรงขอบใจแต่มิได้ตรัสความเมืองอื่นต่อแต่ประการใด
สถานการณ์มาถึงขั้นนี้พอจะแลเห็นได้ว่าขบวนเสด็จน่าจะปลอดภัยและเริ่มตั้งหลักได้ เพราะเพียงแค่เสด็จไปประทับที่เมืองใดเมืองหนึ่งเป็นการชั่วคราวและให้หัวเมืองต่าง ๆ ส่งทหารมาช่วยเพียงเมืองละห้าพันถึงหมื่นคนเพื่อรักษาเมืองแล้ว จึงค่อยคิดอ่านบูรณะเมืองหลวง ความสงบสุขสันติก็อาจฟื้นคืนมาได้โดยเร็ว แต่เป็นโชคร้ายของราชวงศ์ฮั่นเพราะหาผู้ใดมีความคิดสติปัญญามิได้ ผู้คนทั้งปวงในที่นั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกอับจนปัญญาทั้งสิ้น
ตังสินและเอียวฮองปรึกษากับพวกอับจนปัญญาด้วยกันเปลี่ยนเป้าหมายในการเดินทางใหม่อีกครั้งหนึ่งว่าจะให้ทหารไปทำการบูรณะเมืองลกเอี๋ยง ราชธานีเก่าที่ถูกตั๋งโต๊ะเผาผลาญจนวอดวายขึ้นมาใหม่ แล้วอัญเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปอยู่เมืองลกเอี๋ยง ลิงักนายโจรไม่เห็นด้วย อ้างว่าเมืองลกเอี๋ยงถูกเผาผลาญหมดสิ้นแล้ว ทั้งสถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่มีความปลอดภัย ควรตั้งหลักอยู่ที่เดิมไปก่อนจนกว่าจะมีทหารจากหัวเมืองต่าง ๆ มาช่วยเหลือ
ตังสินและเอียวฮองไม่ฟังคำทัดทานของลิงัก ดังนั้นลิงักจึงไม่ยอมติดตามไปด้วย ฝ่ายตังสินและเอียวฮองจึงกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ ฮองเฮาและข้าราชบริพารจะยกไปเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เห็นชอบตามคำกราบบังคมทูลนั้น
ลิงักครั้นเห็นตังสินไม่ฟังคำจึงมีใจคิดออกห่าง และส่งคนนำความไปแจ้งแก่ ลิฉุย กุยกีว่าบัดนี้ตังสินและเอียวฮองกำลังนำขบวนเสด็จไปเมืองลกเอี๋ยง ขอให้คิดการชิงเอาพระเจ้าเหี้ยนเต้มาฆ่าเสีย ตัวเราจะยกไปสมทบและแบ่งปันทรัพย์สินกันเป็นสามส่วน
ลิฉุย กุยกีทราบความแล้วมีความยินดีตกลงที่จะยกทหารไปชิงเอาพระเจ้าเหี้ยนเต้
ฝ่ายลิงักครั้นใช้คนไปแจ้งความแก่ลิฉุย กุยกีแล้ว กลับมาคิดใหม่ว่าเรื่องอะไรที่เราจะให้ลิฉุย กุยกีช่วงชิงพระเจ้าเหี้ยนเต้ เราจะจัดการเสียเองมิดีกว่าหรือ เปลี่ยนใจดังนี้แล้วจึงพาพรรคพวกโจรรีบตามขบวนเสด็จไป
ครั้นยามสามก็ทันขบวนเสด็จ ณ เขากิสาน ลิงักจึงร้องเรียกขบวนเสด็จให้หยุดก่อนอ้างว่าลิฉุย กุยกีกำลังยกทหารตามมา พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินเสียงไล่ตามขบวนเสด็จมาก็ตกพระทัย เอียวฮองจึงกราบบังคมทูลว่านั่นเป็นลิงักพาพรรคพวกโจรติดตามมาคาดว่าคงจะมาร้ายเป็นแน่ แต่เห็นจะไม่เป็นอันตรายเพราะลิงักนั้นไร้ฝีมือและพรรคพวกก็ไม่มากนัก
กราบทูลแล้วเอียวฮองจึงสั่งให้ซิหลงคุมทหารถอยมาเป็นกองหลัง จึงปะทะกับพรรคพวกของลิงัก ซิหลงต่อสู้กับลิงักได้สามเพลงก็เอาขวานฟันลิงักตกม้าตายแล้วไล่ฟันพวกโจรแตกหนีไป
ขบวนเสด็จเคลื่อนมาทั้งคืน ครั้นสว่างก็เข้าเขตเมืองลกเอี๋ยง ขณะนั้นเตียว เอี๋ยนได้นำอาหารมาทูลเกล้าถวาย พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงขอบใจและโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เตียวเอี๋ยนเป็นขุนนาง
ขบวนเสด็จได้เคลื่อนเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยง แล้วหยุดขบวนที่ประตูพระราชวังเดิม พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมกับขุนนางและข้าราชบริพารเข้าไปในพระราชวัง ทอดพระเนตรพระตำหนักและอาคารสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งถูกเพลิงเผาผลาญเหลือแต่ฐานราก มีต้นไม้และหญ้าขึ้นรกชัฏโดยทั่วไป
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงรำลึกถึงเมื่อครั้งแต่ก่อนที่เคยประทับในพระราชวังก็สลดพระทัยลง ทรงพระกันแสง บรรดาขุนนางและข้าราชบริพารเห็นสภาพการณ์เช่นนั้นก็สงสารพากันร้องไห้ระงมเมืองร้างนั้น
ยุวกษัตริย์และข้าราชบริพารพากันดูบริเวณพระราชวังโดยรอบแล้ว ตังสินจึงให้ทหารตัดต้นไม้และต้นหญ้าที่ปกคลุมพระตำหนักที่ประทับ แล้วปลูกโรงชั่วคราวสำหรับเป็นที่ประทับและให้ปลูกโรงชั่วคราวสำหรับข้าราชบริพารฝ่ายหน้าอีกหลังหนึ่ง เสร็จแล้วจึงเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ประทับที่พระตำหนักชั่วคราว บรรดาขุนนาง ข้าราชบริพารเข้าเฝ้าถวายบังคมตามธรรมเนียม
บรรดาราษฎรที่หลบหนีไปอยู่นอกเมืองครั้นได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จกลับมาประทับที่เมืองลกเอี๋ยงก็พากันอพยพกลับเข้ามาในตัวเมือง ตั้งครอบครัวขึ้นใหม่หลายร้อยหลังคาเรือน
ฝ่ายเอียวปิวรำลึกขึ้นได้ว่าพระราชหัตถเลขาซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้พระราชทานไว้สำหรับเรียกโจโฉเข้ามารับราชการในเมืองหลวงตั้งแต่ครั้งวางแผนร่วมกับจูฮียุสองเสือให้กัดกันแต่ยังไม่ได้จัดการส่งให้แก่โจโฉ จึงนำความกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ดังนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงมีรับสั่งให้เอียวปิวรีบส่งพระราชหัตถเลขานั้นให้แก่โจโฉ และทรงกำชับให้รีบยกมาเมืองลกเอี๋ยงแต่โดยไว
เอียวปิวรับกระแสพระราชดำรัสแล้วจึงรีบถวายบังคมลาออกมาแล้วสั่งทหารให้รีบนำพระราชหัตถเลขาและอัญเชิญพระราชดำรัสของพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปมอบแก่โจโฉ.