ตอนที่ 66. อุบายเสี้ยมสองเสือ
เอียวปิวกับจูฮีออกจากพระตำหนักที่ประทับแล้ว ก็พากันไปที่บ้านของ เอียวปิวเพื่อปรึกษาหารือในรายละเอียดของอุบายเสี้ยมสองเสือ จูฮีได้ถามเอียวปิวว่าซึ่งท่านมีความคิดที่จะวางอุบายตามที่กราบบังคมทูลนั้นจะทำประการใด
เอียวปิวจึงบอกจูฮีว่า ภรรยาของข้าพเจ้ามีความสนิทคุ้นเคยและไปมาหาสู่กับภรรยาของกุยกีอยู่เสมอ เพราะภรรยาของกุยกีนั้นชอบเล่นไพ่ เช่นเดียวกับภรรยาของขุนนางอีกหลายคน จึงมักเรียกหาภรรยาข้าพเจ้าไปร่วมวงไพ่เป็นประจำ ดังนั้นข้าพเจ้าจะให้ภรรยาไปยุภรรยาของกุยกี ทำให้กุยกีกับลิฉุยแตกคอแล้วล้างผลาญกันให้จงได้ ท่านจงวางใจในธุระนี้ ข้าพเจ้าจักคิดอ่านทำการไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นเป็นอันขาด
จูฮีฟังคำเอียวปิวแล้วก็เห็นลู่ทางที่จะเสี้ยมสองเสือให้ล้างผลาญกันเอง จึงเป็นที่พอใจ แล้วลาเอียวปิวกลับไปบ้าน
เอียวปิวจึงเรียกภรรยามาปรึกษาและอธิบายความทุกข์ร้อนของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่ถูกทรราชย์ข่มเหงย่ำยี ตลอดจนแผนการที่จะยุยงภรรยาของกุยกีให้ภรรยาฟังโดยละเอียด ภรรยาของเอียวปิวมีใจภักดีมั่นคงในราชสำนักจึงเต็มใจทำการสนองพระเดชพระคุณ
วันรุ่งขึ้นภรรยาเอียวปิวจึงทำทีไปเยี่ยมภรรยากุยกีตามปกติ ครั้นทักทายปราศรัยกันประสาคนคุ้นเคยแล้ว ภรรยาเอียวปิวจึงว่า บัดนี้ข้าพเจ้ามีเรื่องสำคัญจำเป็นต้องบอกกล่าวให้ท่านทราบ เพราะหากละเสียแล้วข้าพเจ้าก็จะได้ชื่อว่าไม่ซื่อตรงต่อมิตร เห็นภยันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่มิตรผู้เป็นที่รักเคารพแล้วทิ้งธุระเสีย แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องลับเกี่ยวกับชื่อเสียงเกียรติคุณของกุยกีสามีท่าน ไม่อาจกล่าวในที่แจ้งได้
ภรรยากุยกีได้ฟังดังนั้นก็ประหวั่นใจว่าเป็นเรื่องร้ายของสามีตัว จึงรีบพาภรรยาเอียวปิวเข้าไปที่ข้างใน แล้วเร่งเร้าให้ภรรยาเอียวปิวรีบบอกความตามที่ทราบมา
ภรรยาเอียวปิวจึงแสร้งถามแต่พอได้ยินว่า ระยะนี้กุยกีกลับมาค้างคืนที่บ้านทุกคืนหรือไม่ ภรรยากุยกีจึงว่าระยะหลัง ๆ มานี้กุยกีไม่ค่อยได้กลับบ้าน บอกว่าค้างที่บ้านของลิฉุยเพื่อปรึกษาราชการ
ภรรยาเอียวปิวจึงกล่าวด้วยความห่วงใยว่าท่านใจซื่ออยู่แต่ในบ้าน มิรู้ความนัย บัดนี้มีกิตติศัพท์ซุบซิบกันว่า กุยกีสามีท่านไปติดพันด้วยภรรยาของลิฉุย ดังนั้นถ้าหากลิฉุยทราบเรื่องเข้าวันใดคงจะสังหารสามีท่านเสียในวันนั้น ข้าพเจ้าเอ็นดูว่าท่านจะเป็นหม้าย จึงนำความลับมาบอกให้ท่านคิดอ่านป้องกันแก้ไขเสียให้ทันการ
ภรรยาเอียวปิวอ้างเอาความสงสารเห็นแก่ภรรยากุยกีว่าจะเป็นหม้าย ปกปิดเจตนาที่แท้จริงมิให้เกิดความสงสัย โดยกล่าวความข้ามเรื่องความหึงหวงของอิสตรีไป แต่ภรรยากุยกีฟังความแล้วจิตใจหึงหวงหนักหน่วงกว่าจิตใจห่วงใยกุยกี กระทบเข้ากับแก่นใจถนัดถนี่ อารมณ์หวงหึงจึงพุ่งประดังเข้าครองใจภรรยากุยกี ครั้นหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็เห็นสมจริงตามคำของภรรยาเอียวปิว มิได้เกิดความระแวงสงสัยใด ๆ กลับรู้สึกขอบใจภรรยาเอียวปิวที่ภักดีต่อน้ำมิตรแห่งวงไพ่ จึงบอกกับภรรยา เอียวปิวว่ามิน่าเล่ากุยกีจึงไม่ค่อยกลับมาค้างคืนที่บ้าน ตัวเราสิวางใจว่าเป็นขุนนางผู้ใหญ่มีราชการบ้านเมืองเป็นอันมากจึงมิได้คิดสงสัย บัดนี้มาไตร่ตรองดูแล้วจะมีราชการอะไรหนักหนาจึงถึงกับต้องค้างคืนที่บ้านลิฉุยเป็นประจำ การสมจริงตามคำซุบซิบนินทาเป็นแม่นมั่น
แล้วภรรยากุยกีจึงกล่าวขอบใจภรรยาเอียวปิวเป็นอันมาก จึงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องลับของสามีเรา อาจกระทบต่อหน้าที่การงาน ชื่อเสียง และเกียรติคุณ ขอท่านอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้อื่นได้รู้อีกเป็นอันขาด เพราะถ้าหากล่วงรู้ถึงลิฉุย สามีเราก็จักเป็นอันตราย
ภรรยาเอียวปิวจึงกล่าวว่าท่านจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าไม่มีวันเห็นอื่นไกลยิ่งไปกว่าท่านซึ่งเป็นมิตรที่เคารพแล้ว ส่วนตัวท่านก็เช่นเดียวกัน ขอจงอย่าแพร่งพรายความที่ข้าพเจ้านำมาบอกให้ผู้ใดได้ล่วงรู้เป็นอันขาด มิฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าก็จะไม่สามารถสืบหาข่าวคราวมารายงานท่านได้อีกต่อไป
ภรรยากุยกีจึงว่าต่อไปนี้เราจะหาทางห้ามปรามและกีดกันมิให้กุยกีไปบ้านลิฉุย ถ้าหากท่านมีข่าวคราวความคืบหน้าประการใด ก็ให้รีบมาแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ จักไม่ลืมพระคุณเลย ภรรยาเอียวปิวทำการสำเร็จดังประสงค์แล้วก็ขอลากลับบ้าน
อันอารมณ์หึงหวงของสตรีนั้นมีอยู่ประจำทั่วทุกตัวคน เป็นแต่ระดับจะมีมากบ้างน้อยบ้างตามอัธยาศัยของแต่ละคน ไม่ว่าจะมีฐานะตำแหน่งเป็นเมียเดี่ยว หรือเมียหลวง หรือเมียน้อยก็ตามที ถ้าหากภรรยากุยกีนั้นเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลอื่นแล้วกุยกีไปแย่งเอามาครอง ก็ย่อมยากที่จะอ้างหรือแสดงความหึงหวงสตรีอื่นให้ปรากฏได้อย่างเต็มที่ เพราะสตรีอื่นย่อมมีสิทธิที่จะโต้แย้งได้ว่าหามีสิทธิประการใดไม่ เนื่องจากฐานะตัวเป็นเพียงชู้ของกุยกีเท่านั้น และถ้าหากเกิดการโต้แย้งขึ้นดังนี้แล้ว หน้ากากของกุยกีที่พยายามแสดงต่อสาธารณชนโดยตลอดมาว่าเป็นคนมีคุณธรรมก็จะเสื่อมเสียไปสิ้น
แต่ภรรยาของกุยกีนั้นเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงหึงหวงกุยกีได้โดยไม่มีสิ่งใดกีดคั่นให้เป็นที่ครหา ทั้งไม่ต้องห่วงใยว่าจะมีหญิงใดเที่ยวโพนทะนาเรียกหาใบหย่าให้เป็นที่ยุ่งยากลำบากใจ
หลังจากนั้นวันสองวันลิฉุยให้คนมาเชิญกุยกีไปกินโต๊ะที่บ้าน กุยกีก็รับคำเชิญตามปกติ ภรรยากุยกีทราบความจึงห้ามกุยกีว่าบ้านเมืองทุกวันนี้อำนาจสิทธิขาดอยู่ที่ลิฉุยกับท่านเพียงสองคน ตัวลิฉุยนั้นคิดอ่านจะครองอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว หาทางกำจัดท่านอยู่ การที่ท่านจะไปกินโต๊ะที่บ้านลิฉุย ถ้าหากท่านเมาสุราแล้วลิฉุยเอายาพิษให้ท่านกิน หรือแสร้งให้ทหารมาก่อวิวาทกับท่านแล้วสังหารท่านเสีย ท่านก็จักได้รับอันตราย ตัวข้าพเจ้าเป็นสตรีจะพึ่งพาผู้ใดได้เล่า
กุยกีเป็นคนกลัวเมีย ฟังคำเมียปรามด้วยเหตุและผลดังนี้จึงอ้างว่าป่วย นอนอยู่ที่บ้าน ถึงเวลาก็ไม่ไปกินโต๊ะที่บ้านลิฉุย ฝ่ายลิฉุยรอกุยกีอยู่ ครั้นทราบว่ากุยกีป่วยมากินโต๊ะไม่ได้จึงให้คนส่งอาหารที่จะเลี้ยงโต๊ะนั้นไปให้กุยกีถึงที่บ้าน
ภรรยากุยกีเห็นดังนั้นจึงลอบเอายาพิษใส่ไว้ในอาหาร แล้วเตรียมรอกุยกี ครั้นได้เวลากุยกีและภรรยาก็มาพร้อมกันที่ห้องอาหาร ภรรยากุยกีได้ปรารภขึ้นว่าลิฉุยเชิญท่านไปกินโต๊ะที่บ้าน ครั้นท่านไม่ไปยังอุตส่าห์ส่งโต๊ะมาให้ถึงบ้าน ข้าพเจ้าสงสัยว่าเหตุใดลิฉุยจึงอยากให้ท่านกินโต๊ะนั้น ดังนั้นเราควรพิสูจน์อาหารที่ลิฉุยส่งมานี้เสียก่อน กุยกีก็ตามใจภรรยา
ภรรยากุยกีจึงแบ่งเอาอาหารนั้นให้สุนัขกิน สุนัขกินแล้วก็ตาย กุยกีเห็นเช่นนั้นก็ตกใจคิดไม่ถึงว่าอาหารที่ลิฉุยส่งมาจะใส่ยาพิษ ภรรยากุยกีจึงแสร้งทำตกใจตามไปด้วยแล้วว่าเดชะบุญท่านยังไม่สิ้น ดังนั้นเทพยดาจึงบันดาลให้ท่านพบเหตุเสียก่อน กุยกีฟังคำภรรยาแล้วก็เห็นจริงจึงเกิดความคิดระแวงลิฉุยตั้งแต่บัดนั้น
รุ่งขึ้นอีกสองวันหลังจากออกจากที่เฝ้าแล้ว ลิฉุยก็ชวนกุยกีไปปรึกษาราชการที่จวน เสร็จแล้วก็ชวนกินโต๊ะ ครั้นกลับมาถึงบ้านกุยกีมีอาการปวดท้อง ภรรยากุยกีจึงถามว่าออกจากที่เฝ้าวันนี้แล้วท่านไปที่ไหนมา กุยกีจึงเล่าความที่ลิฉุยชวนไปบ้านแล้วเลี้ยงโต๊ะ ภรรยากุยกีก็ทำเป็นตกใจแล้วเอายาถอนพิษมากรอกปากกุยกี ครั้นกุยกีกินยาถอนพิษซึ่งมีคุณสมบัติที่ทำให้คนอาเจียนแล้ว กุยกีก็อาเจียนออกมาเป็นอันมาก อาการปวดท้องก็หาย
กุยกีจึงเชื่อโดยสนิทใจว่าลิฉุยมุ่งร้ายวางยาพิษคิดสังหารตัวเพื่อครองอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียวสมจริงตามที่ภรรยาได้ตักเตือนมาตั้งแต่ต้นก็โกรธลิฉุย แล้วคิดว่าเมื่อ ลิฉุยคิดอ่านกำจัดเราเช่นนี้แล้ว หากละไว้นานไปความคิดของลิฉุยก็คงสัมฤทธิ์ผลขึ้นสักวันหนึ่ง จำเป็นที่เราจะต้องสังหารลิฉุยเสียก่อน
คิดดังนี้แล้วจึงสั่งให้จัดทหารเตรียมจะยกไปล้อมบ้านลิฉุยเพื่อจับลิฉุยฆ่าเสีย
ขณะนั้นเอียวปิวและจูฮีเฝ้าติดตามสถานการณ์อยู่อย่างใกล้ชิด ครั้นทราบเหตุการณ์ที่กุยกีสั่งให้จัดเตรียมทหารเพื่อจะยกไปบ้านลิฉุย จึงให้คนรีบลอบไปบอกแก่ลิฉุยว่ากุยกีกำลังเตรียมการยึดอำนาจแผ่นดินไว้แต่ผู้เดียว ขณะนี้กำลังเตรียมทหารเพื่อจะยกมาจับลิฉุยฆ่าเสีย
ลิฉุยได้ทราบดังนั้นก็โกรธ คิดว่าตัวเราไม่เคยคิดร้ายต่อกุยกี ไม่ได้ทำผิดต่อกุยกีแม้แต่น้อย แต่กลับถูกกุยกีคิดทรยศ จะยึดอำนาจแล้วฆ่าตัวเราเสีย จำเป็นที่เราจะต้องฆ่ากุยกีเสียก่อนแล้วจึงสั่งให้ลิเซียมผู้เป็นหลานยกทหารกองหนึ่งไปอารักขาพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตัวลิฉุยเองยกทหารอีกกองหนึ่งจะไปที่บ้านของกุยกี
ครั้นลิฉุยยกมาถึงกลางทางพบกับกุยกียกทหารมา ลิฉุยก็ยิ่งมั่นใจว่ากุยกีคิดทรยศต่อตัวเอง จึงสั่งทหารให้เข้าตีทหารของกุยกีจับตัวกุยกีให้ได้ไม่ว่าเป็นหรือตาย ทหารทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ ครั้นอ่อนล้าลงทั้งสองฝ่ายจึงต่างถอยทหารออกมา
กุยกีถอยทหารมาแล้วคิดขึ้นได้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นกลไกสำคัญแห่งอำนาจรัฐ ใครยึดฮ่องเต้ไว้ได้ก็จะมีความชอบธรรมที่จะครองและใช้อำนาจรัฐต่อไป จึงสั่งทหารให้เคลื่อนไปทางพระราชวัง พอดีสวนกับลิเซียมหลานกุยกีและกาเซี่ยง คุมขบวนเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระมเหสี พระสนมและขันทีทั้งปวงจะหนีออกจากพระราชวังไปที่กองทหารของลิฉุย กุยกีจึงสั่งทหารให้ระดมยิงเกาทัณฑ์ใส่ขบวนเสด็จ
ทหารของลิเซียม พระสนม นางกำนัลและขันทีหลายคนถูกเกาทัณฑ์ของทหารกุยกีล้มตายลง พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ดังนั้นก็ทรงตกพระทัยมิรู้ที่จะทำประการใด
ฝ่ายลิฉุยครั้นได้รับรายงานว่ากุยกีถอนทหารแล้วยกไปล้อมขบวนเสด็จ จึงยกทหารไล่ตามมาและล้อมทหารกุยกีไว้ ทหารของทั้งสองฝ่ายได้หันเข้าต่อสู้กันอีกครั้งหนึ่ง กุยกีเห็นว่าสู้ไม่ได้ก็ยกทหารเข้าไปในพระราชวัง
ลิฉุยจึงเข้าถวายการอารักขาพระเจ้าเหี้ยนเต้และนำขบวนไปตั้งพลับพลาที่ประทับชั่วคราวอยู่นอกพระราชวัง และให้ทหารไปสืบข่าวในพระราชวังว่ากุยกีได้ทำประการใด
ด้านกุยกีเมื่อยกทหารเข้าไปในพระราชวังแล้วยึดเอาทรัพย์สินเงินทองในท้องพระคลังหลวง จับเอาสาวสนมนางกำนัลและข้าราชสำนักไว้เป็นจำนวนมาก แล้วให้ทหารเอาไฟเผาพระราชวังเสียทั้งสิ้น
กุยกีแม้ยังมีตำแหน่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ แต่บัดนี้กระทำการเยี่ยงโจรไปเสียแล้ว แต่การตัดสินใจเผาพระราชวังนั้นเป็นเรื่องไร้เหตุผลสิ้นเชิง แต่จะหวังเอาเหตุผลกับคนไร้เหตุผลแบบกุยกีนั้นย่อมหวังอะไรไม่ได้ เหมือนกับการที่จะหวังเอาความสำนึกรับผิดชอบจากนักการเมืองที่ทุศีล ไร้คุณธรรมก็ย่อมหวังอะไรไม่ได้
บรรดาขุนนางข้าราชการที่เหลือต่างพากันหนีเอาตัวรอด บ้างก็พากันไปตามเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ บ้างก็หนีกลับภูมิลำเนาเดิม
ฝ่ายกุยกีครั้นรู้ข่าวว่าลิฉุยได้ถวายการอารักขาพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่นอกพระราชวังก็ยกทหารตามไปเพื่อจะชิงเอาพระเจ้าเหี้ยนเต้มาไว้ในอารักขาเสียเอง ทหารของกุยกีปะทะกับทหารของลิฉุยแต่สู้ทหารของลิฉุยไม่ได้ จึงถอยออกมาตั้งค่ายคุมเชิงกันอยู่
ฝ่ายลิฉุยครั้นเห็นไฟไหม้พระราชวังจนหมดสิ้นจึงให้อัญเชิญขบวนเสด็จไปยังเมืองหลวงแห่งที่สองที่ตั๋งโต๊ะสร้างไว้ แต่เนื่องจากเมืองหลวงแห่งที่สองก็ทรุดโทรมและเสบียงไม่พอเพียง ดังนั้นลิฉุยจึงกำชับลิเซียมผู้หลานไม่ให้ส่งอาหารแก่บรรดาพระสนม นางกำนัลและขันที คงให้ส่งถวายเฉพาะพระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสีเท่านั้น
อุบายเสี้ยมสองเสือให้กัดกันในบ้านตัวเองได้ส่งผลให้เสือกัดกันก็จริงอยู่ แต่จากการที่สองเสือฟาดฟันกันเองนั้น ย่อมทำให้บรรดาทรัพย์สินข้าวของภายในบ้านฉิบหายวายวอดจนหมดสิ้น แม้กระทั่งเจ้าบ้านก็ต้องไร้ที่อยู่ ตกเป็นผู้ระเหเร่ร่อนตั้งแต่บัดนั้น ถึงขณะนี้อุบายเสี้ยมสองเสือจึงกลายเป็นแผนการเผาบ้านตัวเองเพื่อไล่หนู ที่ไม่เพียงแต่จะกำจัดหนูไม่ได้เท่านั้น ไฟกลับเผาผลาญบ้านจนวอดวายไปหมดสิ้น ทำให้เดือดร้อนและตกอยู่ในความเสี่ยงแห่งหายนะเพิ่มขึ้น.
เอียวปิวจึงบอกจูฮีว่า ภรรยาของข้าพเจ้ามีความสนิทคุ้นเคยและไปมาหาสู่กับภรรยาของกุยกีอยู่เสมอ เพราะภรรยาของกุยกีนั้นชอบเล่นไพ่ เช่นเดียวกับภรรยาของขุนนางอีกหลายคน จึงมักเรียกหาภรรยาข้าพเจ้าไปร่วมวงไพ่เป็นประจำ ดังนั้นข้าพเจ้าจะให้ภรรยาไปยุภรรยาของกุยกี ทำให้กุยกีกับลิฉุยแตกคอแล้วล้างผลาญกันให้จงได้ ท่านจงวางใจในธุระนี้ ข้าพเจ้าจักคิดอ่านทำการไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นเป็นอันขาด
จูฮีฟังคำเอียวปิวแล้วก็เห็นลู่ทางที่จะเสี้ยมสองเสือให้ล้างผลาญกันเอง จึงเป็นที่พอใจ แล้วลาเอียวปิวกลับไปบ้าน
เอียวปิวจึงเรียกภรรยามาปรึกษาและอธิบายความทุกข์ร้อนของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่ถูกทรราชย์ข่มเหงย่ำยี ตลอดจนแผนการที่จะยุยงภรรยาของกุยกีให้ภรรยาฟังโดยละเอียด ภรรยาของเอียวปิวมีใจภักดีมั่นคงในราชสำนักจึงเต็มใจทำการสนองพระเดชพระคุณ
วันรุ่งขึ้นภรรยาเอียวปิวจึงทำทีไปเยี่ยมภรรยากุยกีตามปกติ ครั้นทักทายปราศรัยกันประสาคนคุ้นเคยแล้ว ภรรยาเอียวปิวจึงว่า บัดนี้ข้าพเจ้ามีเรื่องสำคัญจำเป็นต้องบอกกล่าวให้ท่านทราบ เพราะหากละเสียแล้วข้าพเจ้าก็จะได้ชื่อว่าไม่ซื่อตรงต่อมิตร เห็นภยันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่มิตรผู้เป็นที่รักเคารพแล้วทิ้งธุระเสีย แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องลับเกี่ยวกับชื่อเสียงเกียรติคุณของกุยกีสามีท่าน ไม่อาจกล่าวในที่แจ้งได้
ภรรยากุยกีได้ฟังดังนั้นก็ประหวั่นใจว่าเป็นเรื่องร้ายของสามีตัว จึงรีบพาภรรยาเอียวปิวเข้าไปที่ข้างใน แล้วเร่งเร้าให้ภรรยาเอียวปิวรีบบอกความตามที่ทราบมา
ภรรยาเอียวปิวจึงแสร้งถามแต่พอได้ยินว่า ระยะนี้กุยกีกลับมาค้างคืนที่บ้านทุกคืนหรือไม่ ภรรยากุยกีจึงว่าระยะหลัง ๆ มานี้กุยกีไม่ค่อยได้กลับบ้าน บอกว่าค้างที่บ้านของลิฉุยเพื่อปรึกษาราชการ
ภรรยาเอียวปิวจึงกล่าวด้วยความห่วงใยว่าท่านใจซื่ออยู่แต่ในบ้าน มิรู้ความนัย บัดนี้มีกิตติศัพท์ซุบซิบกันว่า กุยกีสามีท่านไปติดพันด้วยภรรยาของลิฉุย ดังนั้นถ้าหากลิฉุยทราบเรื่องเข้าวันใดคงจะสังหารสามีท่านเสียในวันนั้น ข้าพเจ้าเอ็นดูว่าท่านจะเป็นหม้าย จึงนำความลับมาบอกให้ท่านคิดอ่านป้องกันแก้ไขเสียให้ทันการ
ภรรยาเอียวปิวอ้างเอาความสงสารเห็นแก่ภรรยากุยกีว่าจะเป็นหม้าย ปกปิดเจตนาที่แท้จริงมิให้เกิดความสงสัย โดยกล่าวความข้ามเรื่องความหึงหวงของอิสตรีไป แต่ภรรยากุยกีฟังความแล้วจิตใจหึงหวงหนักหน่วงกว่าจิตใจห่วงใยกุยกี กระทบเข้ากับแก่นใจถนัดถนี่ อารมณ์หวงหึงจึงพุ่งประดังเข้าครองใจภรรยากุยกี ครั้นหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็เห็นสมจริงตามคำของภรรยาเอียวปิว มิได้เกิดความระแวงสงสัยใด ๆ กลับรู้สึกขอบใจภรรยาเอียวปิวที่ภักดีต่อน้ำมิตรแห่งวงไพ่ จึงบอกกับภรรยา เอียวปิวว่ามิน่าเล่ากุยกีจึงไม่ค่อยกลับมาค้างคืนที่บ้าน ตัวเราสิวางใจว่าเป็นขุนนางผู้ใหญ่มีราชการบ้านเมืองเป็นอันมากจึงมิได้คิดสงสัย บัดนี้มาไตร่ตรองดูแล้วจะมีราชการอะไรหนักหนาจึงถึงกับต้องค้างคืนที่บ้านลิฉุยเป็นประจำ การสมจริงตามคำซุบซิบนินทาเป็นแม่นมั่น
แล้วภรรยากุยกีจึงกล่าวขอบใจภรรยาเอียวปิวเป็นอันมาก จึงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องลับของสามีเรา อาจกระทบต่อหน้าที่การงาน ชื่อเสียง และเกียรติคุณ ขอท่านอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้อื่นได้รู้อีกเป็นอันขาด เพราะถ้าหากล่วงรู้ถึงลิฉุย สามีเราก็จักเป็นอันตราย
ภรรยาเอียวปิวจึงกล่าวว่าท่านจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าไม่มีวันเห็นอื่นไกลยิ่งไปกว่าท่านซึ่งเป็นมิตรที่เคารพแล้ว ส่วนตัวท่านก็เช่นเดียวกัน ขอจงอย่าแพร่งพรายความที่ข้าพเจ้านำมาบอกให้ผู้ใดได้ล่วงรู้เป็นอันขาด มิฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าก็จะไม่สามารถสืบหาข่าวคราวมารายงานท่านได้อีกต่อไป
ภรรยากุยกีจึงว่าต่อไปนี้เราจะหาทางห้ามปรามและกีดกันมิให้กุยกีไปบ้านลิฉุย ถ้าหากท่านมีข่าวคราวความคืบหน้าประการใด ก็ให้รีบมาแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ จักไม่ลืมพระคุณเลย ภรรยาเอียวปิวทำการสำเร็จดังประสงค์แล้วก็ขอลากลับบ้าน
อันอารมณ์หึงหวงของสตรีนั้นมีอยู่ประจำทั่วทุกตัวคน เป็นแต่ระดับจะมีมากบ้างน้อยบ้างตามอัธยาศัยของแต่ละคน ไม่ว่าจะมีฐานะตำแหน่งเป็นเมียเดี่ยว หรือเมียหลวง หรือเมียน้อยก็ตามที ถ้าหากภรรยากุยกีนั้นเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลอื่นแล้วกุยกีไปแย่งเอามาครอง ก็ย่อมยากที่จะอ้างหรือแสดงความหึงหวงสตรีอื่นให้ปรากฏได้อย่างเต็มที่ เพราะสตรีอื่นย่อมมีสิทธิที่จะโต้แย้งได้ว่าหามีสิทธิประการใดไม่ เนื่องจากฐานะตัวเป็นเพียงชู้ของกุยกีเท่านั้น และถ้าหากเกิดการโต้แย้งขึ้นดังนี้แล้ว หน้ากากของกุยกีที่พยายามแสดงต่อสาธารณชนโดยตลอดมาว่าเป็นคนมีคุณธรรมก็จะเสื่อมเสียไปสิ้น
แต่ภรรยาของกุยกีนั้นเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงหึงหวงกุยกีได้โดยไม่มีสิ่งใดกีดคั่นให้เป็นที่ครหา ทั้งไม่ต้องห่วงใยว่าจะมีหญิงใดเที่ยวโพนทะนาเรียกหาใบหย่าให้เป็นที่ยุ่งยากลำบากใจ
หลังจากนั้นวันสองวันลิฉุยให้คนมาเชิญกุยกีไปกินโต๊ะที่บ้าน กุยกีก็รับคำเชิญตามปกติ ภรรยากุยกีทราบความจึงห้ามกุยกีว่าบ้านเมืองทุกวันนี้อำนาจสิทธิขาดอยู่ที่ลิฉุยกับท่านเพียงสองคน ตัวลิฉุยนั้นคิดอ่านจะครองอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว หาทางกำจัดท่านอยู่ การที่ท่านจะไปกินโต๊ะที่บ้านลิฉุย ถ้าหากท่านเมาสุราแล้วลิฉุยเอายาพิษให้ท่านกิน หรือแสร้งให้ทหารมาก่อวิวาทกับท่านแล้วสังหารท่านเสีย ท่านก็จักได้รับอันตราย ตัวข้าพเจ้าเป็นสตรีจะพึ่งพาผู้ใดได้เล่า
กุยกีเป็นคนกลัวเมีย ฟังคำเมียปรามด้วยเหตุและผลดังนี้จึงอ้างว่าป่วย นอนอยู่ที่บ้าน ถึงเวลาก็ไม่ไปกินโต๊ะที่บ้านลิฉุย ฝ่ายลิฉุยรอกุยกีอยู่ ครั้นทราบว่ากุยกีป่วยมากินโต๊ะไม่ได้จึงให้คนส่งอาหารที่จะเลี้ยงโต๊ะนั้นไปให้กุยกีถึงที่บ้าน
ภรรยากุยกีเห็นดังนั้นจึงลอบเอายาพิษใส่ไว้ในอาหาร แล้วเตรียมรอกุยกี ครั้นได้เวลากุยกีและภรรยาก็มาพร้อมกันที่ห้องอาหาร ภรรยากุยกีได้ปรารภขึ้นว่าลิฉุยเชิญท่านไปกินโต๊ะที่บ้าน ครั้นท่านไม่ไปยังอุตส่าห์ส่งโต๊ะมาให้ถึงบ้าน ข้าพเจ้าสงสัยว่าเหตุใดลิฉุยจึงอยากให้ท่านกินโต๊ะนั้น ดังนั้นเราควรพิสูจน์อาหารที่ลิฉุยส่งมานี้เสียก่อน กุยกีก็ตามใจภรรยา
ภรรยากุยกีจึงแบ่งเอาอาหารนั้นให้สุนัขกิน สุนัขกินแล้วก็ตาย กุยกีเห็นเช่นนั้นก็ตกใจคิดไม่ถึงว่าอาหารที่ลิฉุยส่งมาจะใส่ยาพิษ ภรรยากุยกีจึงแสร้งทำตกใจตามไปด้วยแล้วว่าเดชะบุญท่านยังไม่สิ้น ดังนั้นเทพยดาจึงบันดาลให้ท่านพบเหตุเสียก่อน กุยกีฟังคำภรรยาแล้วก็เห็นจริงจึงเกิดความคิดระแวงลิฉุยตั้งแต่บัดนั้น
รุ่งขึ้นอีกสองวันหลังจากออกจากที่เฝ้าแล้ว ลิฉุยก็ชวนกุยกีไปปรึกษาราชการที่จวน เสร็จแล้วก็ชวนกินโต๊ะ ครั้นกลับมาถึงบ้านกุยกีมีอาการปวดท้อง ภรรยากุยกีจึงถามว่าออกจากที่เฝ้าวันนี้แล้วท่านไปที่ไหนมา กุยกีจึงเล่าความที่ลิฉุยชวนไปบ้านแล้วเลี้ยงโต๊ะ ภรรยากุยกีก็ทำเป็นตกใจแล้วเอายาถอนพิษมากรอกปากกุยกี ครั้นกุยกีกินยาถอนพิษซึ่งมีคุณสมบัติที่ทำให้คนอาเจียนแล้ว กุยกีก็อาเจียนออกมาเป็นอันมาก อาการปวดท้องก็หาย
กุยกีจึงเชื่อโดยสนิทใจว่าลิฉุยมุ่งร้ายวางยาพิษคิดสังหารตัวเพื่อครองอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียวสมจริงตามที่ภรรยาได้ตักเตือนมาตั้งแต่ต้นก็โกรธลิฉุย แล้วคิดว่าเมื่อ ลิฉุยคิดอ่านกำจัดเราเช่นนี้แล้ว หากละไว้นานไปความคิดของลิฉุยก็คงสัมฤทธิ์ผลขึ้นสักวันหนึ่ง จำเป็นที่เราจะต้องสังหารลิฉุยเสียก่อน
คิดดังนี้แล้วจึงสั่งให้จัดทหารเตรียมจะยกไปล้อมบ้านลิฉุยเพื่อจับลิฉุยฆ่าเสีย
ขณะนั้นเอียวปิวและจูฮีเฝ้าติดตามสถานการณ์อยู่อย่างใกล้ชิด ครั้นทราบเหตุการณ์ที่กุยกีสั่งให้จัดเตรียมทหารเพื่อจะยกไปบ้านลิฉุย จึงให้คนรีบลอบไปบอกแก่ลิฉุยว่ากุยกีกำลังเตรียมการยึดอำนาจแผ่นดินไว้แต่ผู้เดียว ขณะนี้กำลังเตรียมทหารเพื่อจะยกมาจับลิฉุยฆ่าเสีย
ลิฉุยได้ทราบดังนั้นก็โกรธ คิดว่าตัวเราไม่เคยคิดร้ายต่อกุยกี ไม่ได้ทำผิดต่อกุยกีแม้แต่น้อย แต่กลับถูกกุยกีคิดทรยศ จะยึดอำนาจแล้วฆ่าตัวเราเสีย จำเป็นที่เราจะต้องฆ่ากุยกีเสียก่อนแล้วจึงสั่งให้ลิเซียมผู้เป็นหลานยกทหารกองหนึ่งไปอารักขาพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตัวลิฉุยเองยกทหารอีกกองหนึ่งจะไปที่บ้านของกุยกี
ครั้นลิฉุยยกมาถึงกลางทางพบกับกุยกียกทหารมา ลิฉุยก็ยิ่งมั่นใจว่ากุยกีคิดทรยศต่อตัวเอง จึงสั่งทหารให้เข้าตีทหารของกุยกีจับตัวกุยกีให้ได้ไม่ว่าเป็นหรือตาย ทหารทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ ครั้นอ่อนล้าลงทั้งสองฝ่ายจึงต่างถอยทหารออกมา
กุยกีถอยทหารมาแล้วคิดขึ้นได้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นกลไกสำคัญแห่งอำนาจรัฐ ใครยึดฮ่องเต้ไว้ได้ก็จะมีความชอบธรรมที่จะครองและใช้อำนาจรัฐต่อไป จึงสั่งทหารให้เคลื่อนไปทางพระราชวัง พอดีสวนกับลิเซียมหลานกุยกีและกาเซี่ยง คุมขบวนเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระมเหสี พระสนมและขันทีทั้งปวงจะหนีออกจากพระราชวังไปที่กองทหารของลิฉุย กุยกีจึงสั่งทหารให้ระดมยิงเกาทัณฑ์ใส่ขบวนเสด็จ
ทหารของลิเซียม พระสนม นางกำนัลและขันทีหลายคนถูกเกาทัณฑ์ของทหารกุยกีล้มตายลง พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ดังนั้นก็ทรงตกพระทัยมิรู้ที่จะทำประการใด
ฝ่ายลิฉุยครั้นได้รับรายงานว่ากุยกีถอนทหารแล้วยกไปล้อมขบวนเสด็จ จึงยกทหารไล่ตามมาและล้อมทหารกุยกีไว้ ทหารของทั้งสองฝ่ายได้หันเข้าต่อสู้กันอีกครั้งหนึ่ง กุยกีเห็นว่าสู้ไม่ได้ก็ยกทหารเข้าไปในพระราชวัง
ลิฉุยจึงเข้าถวายการอารักขาพระเจ้าเหี้ยนเต้และนำขบวนไปตั้งพลับพลาที่ประทับชั่วคราวอยู่นอกพระราชวัง และให้ทหารไปสืบข่าวในพระราชวังว่ากุยกีได้ทำประการใด
ด้านกุยกีเมื่อยกทหารเข้าไปในพระราชวังแล้วยึดเอาทรัพย์สินเงินทองในท้องพระคลังหลวง จับเอาสาวสนมนางกำนัลและข้าราชสำนักไว้เป็นจำนวนมาก แล้วให้ทหารเอาไฟเผาพระราชวังเสียทั้งสิ้น
กุยกีแม้ยังมีตำแหน่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ แต่บัดนี้กระทำการเยี่ยงโจรไปเสียแล้ว แต่การตัดสินใจเผาพระราชวังนั้นเป็นเรื่องไร้เหตุผลสิ้นเชิง แต่จะหวังเอาเหตุผลกับคนไร้เหตุผลแบบกุยกีนั้นย่อมหวังอะไรไม่ได้ เหมือนกับการที่จะหวังเอาความสำนึกรับผิดชอบจากนักการเมืองที่ทุศีล ไร้คุณธรรมก็ย่อมหวังอะไรไม่ได้
บรรดาขุนนางข้าราชการที่เหลือต่างพากันหนีเอาตัวรอด บ้างก็พากันไปตามเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ บ้างก็หนีกลับภูมิลำเนาเดิม
ฝ่ายกุยกีครั้นรู้ข่าวว่าลิฉุยได้ถวายการอารักขาพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่นอกพระราชวังก็ยกทหารตามไปเพื่อจะชิงเอาพระเจ้าเหี้ยนเต้มาไว้ในอารักขาเสียเอง ทหารของกุยกีปะทะกับทหารของลิฉุยแต่สู้ทหารของลิฉุยไม่ได้ จึงถอยออกมาตั้งค่ายคุมเชิงกันอยู่
ฝ่ายลิฉุยครั้นเห็นไฟไหม้พระราชวังจนหมดสิ้นจึงให้อัญเชิญขบวนเสด็จไปยังเมืองหลวงแห่งที่สองที่ตั๋งโต๊ะสร้างไว้ แต่เนื่องจากเมืองหลวงแห่งที่สองก็ทรุดโทรมและเสบียงไม่พอเพียง ดังนั้นลิฉุยจึงกำชับลิเซียมผู้หลานไม่ให้ส่งอาหารแก่บรรดาพระสนม นางกำนัลและขันที คงให้ส่งถวายเฉพาะพระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสีเท่านั้น
อุบายเสี้ยมสองเสือให้กัดกันในบ้านตัวเองได้ส่งผลให้เสือกัดกันก็จริงอยู่ แต่จากการที่สองเสือฟาดฟันกันเองนั้น ย่อมทำให้บรรดาทรัพย์สินข้าวของภายในบ้านฉิบหายวายวอดจนหมดสิ้น แม้กระทั่งเจ้าบ้านก็ต้องไร้ที่อยู่ ตกเป็นผู้ระเหเร่ร่อนตั้งแต่บัดนั้น ถึงขณะนี้อุบายเสี้ยมสองเสือจึงกลายเป็นแผนการเผาบ้านตัวเองเพื่อไล่หนู ที่ไม่เพียงแต่จะกำจัดหนูไม่ได้เท่านั้น ไฟกลับเผาผลาญบ้านจนวอดวายไปหมดสิ้น ทำให้เดือดร้อนและตกอยู่ในความเสี่ยงแห่งหายนะเพิ่มขึ้น.