ตอนที่ 654. กลยุทธ์จากหมากล้อม
รอยกรรมรอยเกวียนย่อมหมุนเวียนทับรอยเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามกฎแห่งกรรม ราชวงศ์วุยชิงบัลลังก์มาจากราชวงศ์ฮั่น หลังจากนั้นสี่สิบห้าปีก็ถูกตระกูลสุมาแย่งชิงราชบัลลังก์ไปสถาปนาเป็นราชวงศ์ต้าจิ้น สุมาเอี๋ยนเสวยราชย์แล้วเตรียมการที่จะยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายกาอุ้นซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ครั้นทราบว่าพระเจ้าสุมาเอี๋ยนตรัสสั่งให้เกณฑ์กองทัพจะยกไปตีเมืองกังตั๋งจึงเข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลว่า เมืองกังตั๋งร่วงโรยนั้นจริงอยู่แต่ยังไม่ถึงกับล่วงลับดับสูญ แลเมืองกังตั๋งนี้ตระกูลซุนปกครองแผ่นดินสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว มีความสมบูรณ์พูนสุขเพรียบพร้อม แม้หากจะฟั่นเฟือนไปบ้างแต่ถ้าหากเกิดศึกเหนือเสือใต้ก็จะร่วมใจกันต่อสู้ ถ้าหากหน่วงเวลาให้เนิ่นไปความฟั่นเฟือนวิปริตผันแปรก็จะมากขึ้น เราเสียทหารไปกึ่งหนึ่งก็เห็นจะได้เมืองกังตั๋ง แลถ้าหากหน่วงเวลาให้ความวิปริตฟั่นเฟือนสุกงอมถึงขนาด ชาวเมืองกังตั๋งฆ่าฟันกันเองแล้ว เห็นจะได้เมืองกังตั๋งโดยไม่ต้องสูญเสียไพร่พล ชอบที่พระองค์จะคอยท่าให้เมืองกังตั๋งร่วงโรยจนถึงกาลร่วงหล่นจึงจะควร
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้ฟังคำกราบทูลของกาอุ้นดังนั้น จึงทรงเห็นชอบและให้งดกองทัพไว้ก่อน
ฝ่ายเอียวเก๋าหลังจากแต่งฎีกาเข้าไปถวายพระเจ้าสุมาเอี๋ยนแล้วก็ตั้งตาคอยว่าจะโปรดเกล้าแต่งกองทัพยกไปตีเมืองกังตั๋ง ครั้นทราบว่าทรงรับสั่งให้งดกองทัพ รั้งรอดูท่วงท่าก่อนก็ทอดถอนใจใหญ่ รำพึงกับเพื่อนทหารด้วยความท้อแท้ว่า “เมืองกังตั๋งนี้เสียถึงเก้าส่วนแล้ว ยังแต่ส่วนหนึ่งจะได้โดยง่ายแล้ว พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็มิได้ยกกองทัพมา คิดเสียดายนักมิรู้แล้วเลย”
เอียวเก๋าท้อแท้รันทดใจเพราะเห็นเป็นท่วงทีแล้วการไม่เป็นไปดังที่หวัง ต่อมาเอียวเก๋าจึงตรอมใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับและล้มป่วยลง จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าสุมาเอี๋ยนที่เมืองลกเอี๋ยง ขอลาพักไปรักษาตัวที่บ้านเดิม
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทอดพระเนตรเห็นเอียวเก๋าขุนนางผู้ภักดีและปรีชาสามารถป่วยด้วยอาการหนักก็สงสารจึงทรงอนุญาต และตรัสถามว่าซึ่งท่านเคยมีฎีกาให้เราเร่งยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งนั้นเพราะเหตุใด
เอียวเก๋าจึงกราบทูลว่า พระเจ้าซุนโฮมิได้ครองทศพิธราชธรรม ราชการบ้านเมืองฟั่นเฟือนไปสิ้นแล้ว แม่ทัพนายกองขุนนางและราษฎรล้วนเคียดแค้นชิงชังง่อก๊กจึงอ่อนแอยิ่งกว่าจ๊กก๊ก แลบัดนี้ต้าจิ้นก็เข้มแข็งเกรียงไกรกว่าแต่ก่อน พระองค์ยกกองทัพไปเมื่อใดก็จะได้เมืองกังตั๋งเมื่อนั้น ข้าพระองค์เกรงว่าหากเนิ่นช้าไปพระเจ้าซุนโฮสิ้นพระชนม์ก็ดี ถูกลอบปลงพระชนม์ก็ดี มีกษัตริย์พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ โอกาสอันเลิศนี้จะสูญสลายไป เหตุนี้จึงกราบทูลเร่งเร้าให้พระองค์รีบยกไปตีเอาเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้ฟังคำทูลดังนั้นก็ทรงแจ่มแจ้งในเหตุผล ทรงตกพระทัยที่ทอดเวลาให้เนิ่นช้า จึงลืมนึกไปว่าเอียวเก๋ายามนี้ป่วยหนัก ตรัสสั่งให้เอียวเก๋าเร่งคุม กองทัพยกไปตีเมืองกังตั๋ง
เอียวเก๋าคุกเข่าถวายบังคมด้วยความยากลำบาก แล้วกราบทูลว่าใช่ว่าข้าพระองค์จะเห็นแก่ความสุขสบาย ไม่ยอมรับภารกิจอันสำคัญนี้ แต่บัดนี้ข้าพเจ้าป่วยอาการหนัก สติปัญญาฟั่นเฟือนเชื่องช้าไป ร่างกายก็อ่อนแอ แม้จะทรงกายก็ไม่ถนัด จะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้เลย จึงไม่อาจรับพระราชธุระสำคัญได้ ขอพระองค์ได้ทรงเลือกขุนพลผู้ปรีชาสามารถยกไปตีเมืองกังตั๋งโดยไวเถิด
เอียวเก๋าถวายบังคมลากลับไปรักษาตัวที่บ้านเดิมแต่อาการก็ไม่ทุเลาลง ครั้นถึงเดือนยี่ปลายปีนั้นอาการป่วยของเอียวเก๋าทรุดหนักลง ความทราบถึงพระเจ้าสุมาเอี๋ยน จึงเสด็จไปเยี่ยมไข้ถึงบ้านของเอียวเก๋า เสด็จเข้าไปที่เตียงนอนแล้วตรัสถามอาการที่เป็นไป เอียวเก๋าทราบว่าพระเจ้าสุมาเอี๋ยนมีน้ำพระทัยเมตตาเสด็จมาดังนั้นก็ร้องไห้เป็นอันมาก
เอียวเก๋าข่มความเจ็บปวดทุกขเวทนา ให้คนใช้พยุงตัวนั่งเอนหลังบนเตียงแล้วกราบทูลว่าชีวิตข้าพระองค์ถวายไว้กับแผ่นดิน ไม่เคยเห็นแก่ความยากลำบาก บัดนี้ใกล้จะตายเสียดายอยู่สิ่งเดียวคือไม่มีโอกาสนำกองทัพยกไปตีเอาเมืองกังตั๋งน้อมเกล้าถวายพระองค์ได้
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็ทรงทอดถอนพระทัยใหญ่ ตรัสว่าเป็นความผิดของเราเองที่ฟังคำคนท้วง แล้วให้รอคอยจนกว่าง่อก๊กจะล่มสลายไปเอง มาคิดได้วันนี้ก็เกือบจะสายไปแล้ว เราจึงรีบมาปรึกษาท่านว่าซึ่งจะยกไปตีเมืองกังตั๋งนั้น ท่านเห็นว่าขุนพลผู้ใดในเมืองเรามีสติปัญญาสามารถทำการให้สำเร็จได้
เอียวเก๋าร้องไห้อย่างรันทดใจ แล้วกราบทูลว่าชั่วชีวิตข้าพระองค์ไม่เคยเสนอตัวบุคคลใดเข้าทำหน้าที่ในราชการ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการแผ่นดินของพระเจ้าอยู่หัว แต่บัดนี้ข้าพระองค์ใกล้จะตายแล้ว ไม่มีทรัพย์สินสิ่งใดจะทูลเกล้าถวายแทนน้ำใจภักดี จึงจำละคติเดิม ขอพระราชทานกราบทูลว่าในสายตาของข้าพระองค์นั้นเห็นก็แต่เตาอี้แม่ทัพฝ่ายขวาผู้เดียวที่สามารถทำการให้สำเร็จได้ดังพระราชประสงค์
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นจึงเอาพระหัตถ์กุมมือเอียวเก๋าไว้ แล้วตรัสว่าเราจะทำตามข้อเสนอของท่าน แต่พอวางพระหัตถ์มือของเอียวเก๋าก็พลัดตกลง เอียวเก๋าปลื้มใจถึงแก่ความตายไปต่อหน้าพระพักตร์ ณ บัดนั้น
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทรงโปรดเกล้าให้แต่งการพิธีศพของเอียวเก๋าอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติและมีพระบรมราชโองการยกย่องแต่งตั้งให้เอียวเก๋าเป็นราชครู ชาวเมืองซึ่งเอียวเก๋าเคยปกครองทราบว่าเอียวเก๋าถึงแก่ความตายแล้วก็พากันร้องไห้ไว้ทุกข์ตามประเพณี แล้วพร้อมใจกันตั้งศาลเทพเจ้าเอียวเก๋าขึ้นเป็นที่สักการะบูชา
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยยี่สิบเอ็ดพรรษา เสร็จการศพของเอียวเก๋าแล้ว พระเจ้าสุมาเอี๋ยนจึงโปรดเกล้าตั้งให้เตาอี้เป็นขุนพลผู้พิทักษ์ภาคอาคเนย์ และให้ไปรักษาเมืองซงหยงแทนเอียวเก๋า รับผิดชอบสถานการณ์ในแคว้นเกงจิ๋วทั้งหมด และให้ตระเตรียมกองทัพเพื่อจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
วันหนึ่งพระเจ้าสุมาเอี๋ยนเสด็จออกว่าราชการตามปกติ เตาอี้ได้แต่งฎีกาเข้ามาถวาย พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทรงทราบความจึงโปรดให้อาลักษณ์อ่านฎีกาของเตาอี้ในท้องพระโรง มีเนื้อความว่าข้าพระองค์เตาอี้ผู้รักษาเมืองซงหยง ขอแต่งฎีกากราบทูลพระองค์ได้ทรงทราบว่า บัดนี้เมืองกังตั๋งร่วงโรยสุกงอมแล้ว นายทหารผู้ใหญ่เตงฮองและลกข้องล้วนถึงแก่ความตายไปหมดสิ้น ทหารในเมืองกังตั๋งขาดผู้นำ ไม่เชื่อฟังกันและกัน การปกครองบ้านเมืองเล่าก็วิปริต เพราะพระเจ้าซุนโฮหมกมุ่นแต่การเสวยน้ำจัณฑ์ มิได้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางผู้ใดไปกราบทูลท้วงติงกลับตรัสสั่งให้ตัดลิ้น ตัดจมูก หรือตัดปากเสียเป็นหลายคน ขุนนางและราษฎรต่างเคียดแค้นชิงชังดุจดังพระเจ้าซุนโฮเป็นทรราช เหตุฉะนี้จึงขอกราบบังคมทูลให้โปรดเกล้าแต่งกองทัพยกไปตีเมืองกังตั๋งเห็นจะได้โดยง่าย
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนสดับฎีกาของเตาอี้จบแล้ว จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าความคิดเห็นของเอียวเก๋าและเตาอี้สอดคล้องต้องกัน จึงให้เตรียมกองทัพให้พร้อมที่จะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายอองหุยซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ได้ยินรับสั่งดังนั้นจึงกราบทูลว่า ยังไม่ควรที่ พระองค์จะรีบยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งเพราะพระเจ้าซุนโฮได้แต่งทหารเตรียมการรับศึกไว้พรักพร้อม ข้าศึกพร้อมอยู่ เรารุกรบไปเห็นจะเป็นอันตราย ควรที่จะงดกองทัพไว้อีกหนึ่งปีดูท่วงทีให้ชัดเจนก่อน
เพราะเหตุที่อองหุยเป็นขุนนางคนสนิทของพระเจ้าสุมาเอี๋ยน ดังนั้นจึงทรงเชื่อถือแล้วรับสั่งให้งดกองทัพเอาไว้อีกหนึ่งปี เลิกประชุมขุนนางวันนั้นแล้วเสด็จกลับเข้าไปข้างในที่ประทับ แล้วตรัสสั่งให้หาราชเลขาธิการเข้ามาเล่นหมากล้อม
ราชเลขาธิการเดินหมากปิดล้อมหมากของพระเจ้าสุมาเอี๋ยน จนกำลังหมากลดน้อยถอยลงจากสิบส่วนเหลือเพียงหนึ่งส่วน แต่ราชเลขาธิการเกรงพระทัย ไม่กล้าเอาชัยชนะให้เด็ดขาด พระเจ้าสุมาเอี๋ยนพอได้ทีกระทำจึงทรงตีโต้รุกปิดล้อมจนราชเลขาธิการต้องพ่ายแพ้
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนดีพระทัยที่ได้ชัยชนะ แต่ในพลันนั้นก็ทรงรำลึกถึงคำกราบทูลของเอียวเก๋าที่ว่าได้เก้าส่วน เสียหนึ่งส่วน ก็ชอบที่จะเร่งกระทำการ จึงทรงปัดกระดานหมากล้อมร่วงหล่นลงบนพื้น ราชเลขาธิการเห็นดังนั้นก็ตกใจเพราะไม่ทราบความในพระทัยประการใด ในขณะนั้นทหารรักษาพระองค์ได้เข้ามาเฝ้าแล้วกราบทูลว่า ท่านแม่ทัพเตาอี้มีฎีกาขึ้นมาทูลเกล้าถวายเป็นเรื่องด่วน
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนรับฎีกาออกมาอ่านดูเป็นใจความว่า ซึ่งพระองค์ให้งดกองทัพไว้นั้นกริ่งว่าโอกาสอันเลิศจะสูญเสียไป ที่ผ่านมาท่านราชครูเอียวเก๋าปรึกษาหารือการศึกกังตั๋งเฉพาะกับพระองค์ มิได้ล่วงรู้ไปถึงขุนนางอื่น จึงสับสนไขว้เขวแล้วกราบบังคมทูลทัดทาน ทำให้ยากแก่การตัดสินพระทัย ข้าพระองค์เห็นว่าบัดนี้การเป็นทีแล้ว เมืองกังตั๋งร่วงโรยสุกงอมถึงเก้าส่วน ยังเข้มแข็งอยู่เพียงส่วนเดียว พระเจ้าซุนโฮก็ดูเหมือนว่าทรงเกรงว่าเมืองต้าจิ้นจะยกไปทำร้ายจึงย้ายพระราชฐานไปอยู่ที่เมืองบู๊เฉียง และอพยพราษฎรตามชายทะเลเข้าไปอยู่ในกำแพงเมือง หากยิ่งเนิ่นช้าไปข้าศึกเตรียมการพรักพร้อมขึ้นอีก หรือบังเกิดขุนพลผู้ปรีชาสามารถขึ้นในแคว้นกังตั๋งการสำคัญก็จะไม่ทันท่วงที
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทอดพระเนตรฎีกาแล้วจึงรีบตรัสสั่งให้เรียกประชุมขุนนางเป็นการฉุกเฉิน แล้วรับสั่งว่าการข้างเมืองกังตั๋งนั้นเราตัดสินใจแน่นอนเด็ดขาดแล้ว ห้ามมิให้ผู้ใดทัดทานขัดขวางอีก มิฉะนั้นเราจะตัดศีรษะเสีย
ตรัสดังนั้นแล้วจึงมีพระบรมราชโองการตั้งให้เตาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ปราบปรามภาคใต้และภาคอาคเนย์ บัญชากองทัพบก คุมกองทัพสิบหมื่นยกออกทางเมืองกังเหลงไปตีเมืองกังตั๋ง ให้สุมาเตี้ยมเจ้าเมืองหลงเสียคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางตำบลอิต๋ง ให้ อองหุยคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางเมืองอัวกั๋ง ให้อ๋องหยงคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางเมืองบู๊เฉียง ให้ห่อหุนคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางเมืองแฮเค้า ให้องโยยเป็นรองแม่ทัพใหญ่ บัญชาการกองทัพเรือ ให้ตงปินเป็นผู้ช่วยขององโยย ให้คุมทหารเรือยี่สิบหมื่นและเรือรบสามหมื่นลำยกไปตามลำน้ำแล้วยกพลขึ้นบกที่แดนเมืองกังตั๋ง และรับทหารต้าจิ้นกองอื่น ๆ ของกองทัพบกข้ามแม่น้ำรุกสู่แดนกังตั๋งด้วย ให้บรรดาทหารทั้งกองทัพบก กองทัพเรือเชื่อฟังคำสั่งของเตาอี้แม่ทัพใหญ่แต่เพียงผู้เดียว
ครั้นถึงวันฤกษ์ดีกองทัพทุกกองของต้าจิ้นได้เคลื่อนพลรุกสู่แดนกังตั๋งพร้อมกันทุกด้าน ฝ่ายพระเจ้าซุนโฮครั้นได้ทราบข่าวศึกว่ายกมาทุกทิศทาง กำลังพลมหาศาลก็ตกพระทัย จึงตรัสสั่งให้ประชุมขุนนางแล้วปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด
ฝ่ายเตี๋ยวเค้าครั้นได้ฟังพระราชปรารภดังนั้นจึงกราบทูลว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ชอบที่พระองค์จะยกเป็นกองทัพกษัตริย์เสด็จนำกองทัพด้วยพระองค์เอง ไปตั้งขัดตาทัพไว้ที่เมืองกังเหลง ให้ซุนหลิมคุมทหารยกไปตั้งขัดตาทัพที่เมืองแฮเค้า ข้าพระองค์กับสิมเอ๋งและจูกัดเจ้งขอคุมทหารสิบหมื่นเป็นกองทัพหน้ายกไปตั้งรับศึกที่ตำบลเอียวจู๋
พระเจ้าซุนโฮได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ แต่การข้างเมืองกังเหลงนั้นตรัสสั่งให้ซุนหลิมรับผิดชอบ แต่ให้ง่อเอี๋ยนไปช่วยเป็นรองแม่ทัพ พระเจ้าซุนโฮจะคุมกองทัพหลังรักษาเมืองบู๊เฉียงด้วยพระองค์เอง เสร็จแล้วจึงตรัสสั่งให้เลิกประชุมแล้วเสด็จกลับเข้าไปข้างในที่ประทับ จะจัดแจงเตรียมการนำกองทัพไปรับศึกเมืองต้าจิ้น
ฝ่ายยิมหุนขันทีคนสนิทผู้โปรดปรานของพระเจ้าซุนโฮ เห็นพระเจ้าซุนโฮเสด็จกลับจากว่าราชการแล้วมีพระพักตร์หม่นหมอง จึงถามว่าพระองค์วิตกด้วยสิ่งใดหรือ
พระเจ้าซุนโฮจึงตรัสว่า ซึ่งเมืองต้าจิ้นยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋งในครั้งนี้ เราได้จัดแจงแต่งกองทัพบกขัดตาทัพรับศึกไว้แล้วทุกตำบล ขาดก็แต่ทางกองทัพเรือ ซึ่งองโยยแม่ทัพของข้าศึกยกมานั้น ยังหานายทหารผู้ชำนาญการสงครามไปต่อรบมิได้
ยิมหุนได้ยินดังนั้นจึงกราบทูลว่า ข้อที่พระองค์วิตกนี้ข้าพระองค์มีกลวิธีที่จะเอาชนะกองทัพเรือของเมืองต้าจิ้นได้โดยง่ายดาย พระเจ้าซุนโฮได้ฟังดังนั้นก็แปลกพระทัย จึงลองตรัสถามว่าท่านมีแผนการอย่างไร
ยิมหุนจึงกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าจะขอให้เอาเหล็กมาตีเป็นสายโซ่สักห้าร้อยสาย สายละห้าสิบวา ขึงกั้นแม่น้ำเมืองกังตั๋งเสีย แล้วจะได้ปักขวากเหล็กไว้ใต้น้ำนอกสายโซ่ออกไป ถ้ากองทัพเรือยกมาก็จะโดนขวากเหล็กเข้าติดอยู่ เรือก็จะทะลุล่มลง ทแกล้วทหารก็จะล้มตายฉิบหายไปเอง”
พระเจ้าซุนโฮได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ ตรัสชมยิมหุนว่าตัวท่านรับราชการรับใช้เราอยู่ข้างใน นึกไม่ถึงเลยว่าจะสามารถคิดอ่านแผนการยุทธ์ได้ล้ำลึกฉะนี้ จึงตรัสสั่งให้กองทหารช่างทำการตามแผนการของยิมหุนทุกประการ แล้วให้กองทัพเรือนำโซ่และขวากเหล็กไปปักขึงไว้ที่ทางเลี้ยวจะเข้าแม่น้ำเมืองกังตั๋งทุกตำบล.
ฝ่ายกาอุ้นซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ครั้นทราบว่าพระเจ้าสุมาเอี๋ยนตรัสสั่งให้เกณฑ์กองทัพจะยกไปตีเมืองกังตั๋งจึงเข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลว่า เมืองกังตั๋งร่วงโรยนั้นจริงอยู่แต่ยังไม่ถึงกับล่วงลับดับสูญ แลเมืองกังตั๋งนี้ตระกูลซุนปกครองแผ่นดินสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว มีความสมบูรณ์พูนสุขเพรียบพร้อม แม้หากจะฟั่นเฟือนไปบ้างแต่ถ้าหากเกิดศึกเหนือเสือใต้ก็จะร่วมใจกันต่อสู้ ถ้าหากหน่วงเวลาให้เนิ่นไปความฟั่นเฟือนวิปริตผันแปรก็จะมากขึ้น เราเสียทหารไปกึ่งหนึ่งก็เห็นจะได้เมืองกังตั๋ง แลถ้าหากหน่วงเวลาให้ความวิปริตฟั่นเฟือนสุกงอมถึงขนาด ชาวเมืองกังตั๋งฆ่าฟันกันเองแล้ว เห็นจะได้เมืองกังตั๋งโดยไม่ต้องสูญเสียไพร่พล ชอบที่พระองค์จะคอยท่าให้เมืองกังตั๋งร่วงโรยจนถึงกาลร่วงหล่นจึงจะควร
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้ฟังคำกราบทูลของกาอุ้นดังนั้น จึงทรงเห็นชอบและให้งดกองทัพไว้ก่อน
ฝ่ายเอียวเก๋าหลังจากแต่งฎีกาเข้าไปถวายพระเจ้าสุมาเอี๋ยนแล้วก็ตั้งตาคอยว่าจะโปรดเกล้าแต่งกองทัพยกไปตีเมืองกังตั๋ง ครั้นทราบว่าทรงรับสั่งให้งดกองทัพ รั้งรอดูท่วงท่าก่อนก็ทอดถอนใจใหญ่ รำพึงกับเพื่อนทหารด้วยความท้อแท้ว่า “เมืองกังตั๋งนี้เสียถึงเก้าส่วนแล้ว ยังแต่ส่วนหนึ่งจะได้โดยง่ายแล้ว พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็มิได้ยกกองทัพมา คิดเสียดายนักมิรู้แล้วเลย”
เอียวเก๋าท้อแท้รันทดใจเพราะเห็นเป็นท่วงทีแล้วการไม่เป็นไปดังที่หวัง ต่อมาเอียวเก๋าจึงตรอมใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับและล้มป่วยลง จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าสุมาเอี๋ยนที่เมืองลกเอี๋ยง ขอลาพักไปรักษาตัวที่บ้านเดิม
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทอดพระเนตรเห็นเอียวเก๋าขุนนางผู้ภักดีและปรีชาสามารถป่วยด้วยอาการหนักก็สงสารจึงทรงอนุญาต และตรัสถามว่าซึ่งท่านเคยมีฎีกาให้เราเร่งยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งนั้นเพราะเหตุใด
เอียวเก๋าจึงกราบทูลว่า พระเจ้าซุนโฮมิได้ครองทศพิธราชธรรม ราชการบ้านเมืองฟั่นเฟือนไปสิ้นแล้ว แม่ทัพนายกองขุนนางและราษฎรล้วนเคียดแค้นชิงชังง่อก๊กจึงอ่อนแอยิ่งกว่าจ๊กก๊ก แลบัดนี้ต้าจิ้นก็เข้มแข็งเกรียงไกรกว่าแต่ก่อน พระองค์ยกกองทัพไปเมื่อใดก็จะได้เมืองกังตั๋งเมื่อนั้น ข้าพระองค์เกรงว่าหากเนิ่นช้าไปพระเจ้าซุนโฮสิ้นพระชนม์ก็ดี ถูกลอบปลงพระชนม์ก็ดี มีกษัตริย์พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ โอกาสอันเลิศนี้จะสูญสลายไป เหตุนี้จึงกราบทูลเร่งเร้าให้พระองค์รีบยกไปตีเอาเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้ฟังคำทูลดังนั้นก็ทรงแจ่มแจ้งในเหตุผล ทรงตกพระทัยที่ทอดเวลาให้เนิ่นช้า จึงลืมนึกไปว่าเอียวเก๋ายามนี้ป่วยหนัก ตรัสสั่งให้เอียวเก๋าเร่งคุม กองทัพยกไปตีเมืองกังตั๋ง
เอียวเก๋าคุกเข่าถวายบังคมด้วยความยากลำบาก แล้วกราบทูลว่าใช่ว่าข้าพระองค์จะเห็นแก่ความสุขสบาย ไม่ยอมรับภารกิจอันสำคัญนี้ แต่บัดนี้ข้าพเจ้าป่วยอาการหนัก สติปัญญาฟั่นเฟือนเชื่องช้าไป ร่างกายก็อ่อนแอ แม้จะทรงกายก็ไม่ถนัด จะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้เลย จึงไม่อาจรับพระราชธุระสำคัญได้ ขอพระองค์ได้ทรงเลือกขุนพลผู้ปรีชาสามารถยกไปตีเมืองกังตั๋งโดยไวเถิด
เอียวเก๋าถวายบังคมลากลับไปรักษาตัวที่บ้านเดิมแต่อาการก็ไม่ทุเลาลง ครั้นถึงเดือนยี่ปลายปีนั้นอาการป่วยของเอียวเก๋าทรุดหนักลง ความทราบถึงพระเจ้าสุมาเอี๋ยน จึงเสด็จไปเยี่ยมไข้ถึงบ้านของเอียวเก๋า เสด็จเข้าไปที่เตียงนอนแล้วตรัสถามอาการที่เป็นไป เอียวเก๋าทราบว่าพระเจ้าสุมาเอี๋ยนมีน้ำพระทัยเมตตาเสด็จมาดังนั้นก็ร้องไห้เป็นอันมาก
เอียวเก๋าข่มความเจ็บปวดทุกขเวทนา ให้คนใช้พยุงตัวนั่งเอนหลังบนเตียงแล้วกราบทูลว่าชีวิตข้าพระองค์ถวายไว้กับแผ่นดิน ไม่เคยเห็นแก่ความยากลำบาก บัดนี้ใกล้จะตายเสียดายอยู่สิ่งเดียวคือไม่มีโอกาสนำกองทัพยกไปตีเอาเมืองกังตั๋งน้อมเกล้าถวายพระองค์ได้
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็ทรงทอดถอนพระทัยใหญ่ ตรัสว่าเป็นความผิดของเราเองที่ฟังคำคนท้วง แล้วให้รอคอยจนกว่าง่อก๊กจะล่มสลายไปเอง มาคิดได้วันนี้ก็เกือบจะสายไปแล้ว เราจึงรีบมาปรึกษาท่านว่าซึ่งจะยกไปตีเมืองกังตั๋งนั้น ท่านเห็นว่าขุนพลผู้ใดในเมืองเรามีสติปัญญาสามารถทำการให้สำเร็จได้
เอียวเก๋าร้องไห้อย่างรันทดใจ แล้วกราบทูลว่าชั่วชีวิตข้าพระองค์ไม่เคยเสนอตัวบุคคลใดเข้าทำหน้าที่ในราชการ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการแผ่นดินของพระเจ้าอยู่หัว แต่บัดนี้ข้าพระองค์ใกล้จะตายแล้ว ไม่มีทรัพย์สินสิ่งใดจะทูลเกล้าถวายแทนน้ำใจภักดี จึงจำละคติเดิม ขอพระราชทานกราบทูลว่าในสายตาของข้าพระองค์นั้นเห็นก็แต่เตาอี้แม่ทัพฝ่ายขวาผู้เดียวที่สามารถทำการให้สำเร็จได้ดังพระราชประสงค์
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นจึงเอาพระหัตถ์กุมมือเอียวเก๋าไว้ แล้วตรัสว่าเราจะทำตามข้อเสนอของท่าน แต่พอวางพระหัตถ์มือของเอียวเก๋าก็พลัดตกลง เอียวเก๋าปลื้มใจถึงแก่ความตายไปต่อหน้าพระพักตร์ ณ บัดนั้น
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทรงโปรดเกล้าให้แต่งการพิธีศพของเอียวเก๋าอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติและมีพระบรมราชโองการยกย่องแต่งตั้งให้เอียวเก๋าเป็นราชครู ชาวเมืองซึ่งเอียวเก๋าเคยปกครองทราบว่าเอียวเก๋าถึงแก่ความตายแล้วก็พากันร้องไห้ไว้ทุกข์ตามประเพณี แล้วพร้อมใจกันตั้งศาลเทพเจ้าเอียวเก๋าขึ้นเป็นที่สักการะบูชา
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยยี่สิบเอ็ดพรรษา เสร็จการศพของเอียวเก๋าแล้ว พระเจ้าสุมาเอี๋ยนจึงโปรดเกล้าตั้งให้เตาอี้เป็นขุนพลผู้พิทักษ์ภาคอาคเนย์ และให้ไปรักษาเมืองซงหยงแทนเอียวเก๋า รับผิดชอบสถานการณ์ในแคว้นเกงจิ๋วทั้งหมด และให้ตระเตรียมกองทัพเพื่อจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
วันหนึ่งพระเจ้าสุมาเอี๋ยนเสด็จออกว่าราชการตามปกติ เตาอี้ได้แต่งฎีกาเข้ามาถวาย พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทรงทราบความจึงโปรดให้อาลักษณ์อ่านฎีกาของเตาอี้ในท้องพระโรง มีเนื้อความว่าข้าพระองค์เตาอี้ผู้รักษาเมืองซงหยง ขอแต่งฎีกากราบทูลพระองค์ได้ทรงทราบว่า บัดนี้เมืองกังตั๋งร่วงโรยสุกงอมแล้ว นายทหารผู้ใหญ่เตงฮองและลกข้องล้วนถึงแก่ความตายไปหมดสิ้น ทหารในเมืองกังตั๋งขาดผู้นำ ไม่เชื่อฟังกันและกัน การปกครองบ้านเมืองเล่าก็วิปริต เพราะพระเจ้าซุนโฮหมกมุ่นแต่การเสวยน้ำจัณฑ์ มิได้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางผู้ใดไปกราบทูลท้วงติงกลับตรัสสั่งให้ตัดลิ้น ตัดจมูก หรือตัดปากเสียเป็นหลายคน ขุนนางและราษฎรต่างเคียดแค้นชิงชังดุจดังพระเจ้าซุนโฮเป็นทรราช เหตุฉะนี้จึงขอกราบบังคมทูลให้โปรดเกล้าแต่งกองทัพยกไปตีเมืองกังตั๋งเห็นจะได้โดยง่าย
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนสดับฎีกาของเตาอี้จบแล้ว จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าความคิดเห็นของเอียวเก๋าและเตาอี้สอดคล้องต้องกัน จึงให้เตรียมกองทัพให้พร้อมที่จะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายอองหุยซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ได้ยินรับสั่งดังนั้นจึงกราบทูลว่า ยังไม่ควรที่ พระองค์จะรีบยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งเพราะพระเจ้าซุนโฮได้แต่งทหารเตรียมการรับศึกไว้พรักพร้อม ข้าศึกพร้อมอยู่ เรารุกรบไปเห็นจะเป็นอันตราย ควรที่จะงดกองทัพไว้อีกหนึ่งปีดูท่วงทีให้ชัดเจนก่อน
เพราะเหตุที่อองหุยเป็นขุนนางคนสนิทของพระเจ้าสุมาเอี๋ยน ดังนั้นจึงทรงเชื่อถือแล้วรับสั่งให้งดกองทัพเอาไว้อีกหนึ่งปี เลิกประชุมขุนนางวันนั้นแล้วเสด็จกลับเข้าไปข้างในที่ประทับ แล้วตรัสสั่งให้หาราชเลขาธิการเข้ามาเล่นหมากล้อม
ราชเลขาธิการเดินหมากปิดล้อมหมากของพระเจ้าสุมาเอี๋ยน จนกำลังหมากลดน้อยถอยลงจากสิบส่วนเหลือเพียงหนึ่งส่วน แต่ราชเลขาธิการเกรงพระทัย ไม่กล้าเอาชัยชนะให้เด็ดขาด พระเจ้าสุมาเอี๋ยนพอได้ทีกระทำจึงทรงตีโต้รุกปิดล้อมจนราชเลขาธิการต้องพ่ายแพ้
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนดีพระทัยที่ได้ชัยชนะ แต่ในพลันนั้นก็ทรงรำลึกถึงคำกราบทูลของเอียวเก๋าที่ว่าได้เก้าส่วน เสียหนึ่งส่วน ก็ชอบที่จะเร่งกระทำการ จึงทรงปัดกระดานหมากล้อมร่วงหล่นลงบนพื้น ราชเลขาธิการเห็นดังนั้นก็ตกใจเพราะไม่ทราบความในพระทัยประการใด ในขณะนั้นทหารรักษาพระองค์ได้เข้ามาเฝ้าแล้วกราบทูลว่า ท่านแม่ทัพเตาอี้มีฎีกาขึ้นมาทูลเกล้าถวายเป็นเรื่องด่วน
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนรับฎีกาออกมาอ่านดูเป็นใจความว่า ซึ่งพระองค์ให้งดกองทัพไว้นั้นกริ่งว่าโอกาสอันเลิศจะสูญเสียไป ที่ผ่านมาท่านราชครูเอียวเก๋าปรึกษาหารือการศึกกังตั๋งเฉพาะกับพระองค์ มิได้ล่วงรู้ไปถึงขุนนางอื่น จึงสับสนไขว้เขวแล้วกราบบังคมทูลทัดทาน ทำให้ยากแก่การตัดสินพระทัย ข้าพระองค์เห็นว่าบัดนี้การเป็นทีแล้ว เมืองกังตั๋งร่วงโรยสุกงอมถึงเก้าส่วน ยังเข้มแข็งอยู่เพียงส่วนเดียว พระเจ้าซุนโฮก็ดูเหมือนว่าทรงเกรงว่าเมืองต้าจิ้นจะยกไปทำร้ายจึงย้ายพระราชฐานไปอยู่ที่เมืองบู๊เฉียง และอพยพราษฎรตามชายทะเลเข้าไปอยู่ในกำแพงเมือง หากยิ่งเนิ่นช้าไปข้าศึกเตรียมการพรักพร้อมขึ้นอีก หรือบังเกิดขุนพลผู้ปรีชาสามารถขึ้นในแคว้นกังตั๋งการสำคัญก็จะไม่ทันท่วงที
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทอดพระเนตรฎีกาแล้วจึงรีบตรัสสั่งให้เรียกประชุมขุนนางเป็นการฉุกเฉิน แล้วรับสั่งว่าการข้างเมืองกังตั๋งนั้นเราตัดสินใจแน่นอนเด็ดขาดแล้ว ห้ามมิให้ผู้ใดทัดทานขัดขวางอีก มิฉะนั้นเราจะตัดศีรษะเสีย
ตรัสดังนั้นแล้วจึงมีพระบรมราชโองการตั้งให้เตาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ปราบปรามภาคใต้และภาคอาคเนย์ บัญชากองทัพบก คุมกองทัพสิบหมื่นยกออกทางเมืองกังเหลงไปตีเมืองกังตั๋ง ให้สุมาเตี้ยมเจ้าเมืองหลงเสียคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางตำบลอิต๋ง ให้ อองหุยคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางเมืองอัวกั๋ง ให้อ๋องหยงคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางเมืองบู๊เฉียง ให้ห่อหุนคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางเมืองแฮเค้า ให้องโยยเป็นรองแม่ทัพใหญ่ บัญชาการกองทัพเรือ ให้ตงปินเป็นผู้ช่วยขององโยย ให้คุมทหารเรือยี่สิบหมื่นและเรือรบสามหมื่นลำยกไปตามลำน้ำแล้วยกพลขึ้นบกที่แดนเมืองกังตั๋ง และรับทหารต้าจิ้นกองอื่น ๆ ของกองทัพบกข้ามแม่น้ำรุกสู่แดนกังตั๋งด้วย ให้บรรดาทหารทั้งกองทัพบก กองทัพเรือเชื่อฟังคำสั่งของเตาอี้แม่ทัพใหญ่แต่เพียงผู้เดียว
ครั้นถึงวันฤกษ์ดีกองทัพทุกกองของต้าจิ้นได้เคลื่อนพลรุกสู่แดนกังตั๋งพร้อมกันทุกด้าน ฝ่ายพระเจ้าซุนโฮครั้นได้ทราบข่าวศึกว่ายกมาทุกทิศทาง กำลังพลมหาศาลก็ตกพระทัย จึงตรัสสั่งให้ประชุมขุนนางแล้วปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด
ฝ่ายเตี๋ยวเค้าครั้นได้ฟังพระราชปรารภดังนั้นจึงกราบทูลว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ชอบที่พระองค์จะยกเป็นกองทัพกษัตริย์เสด็จนำกองทัพด้วยพระองค์เอง ไปตั้งขัดตาทัพไว้ที่เมืองกังเหลง ให้ซุนหลิมคุมทหารยกไปตั้งขัดตาทัพที่เมืองแฮเค้า ข้าพระองค์กับสิมเอ๋งและจูกัดเจ้งขอคุมทหารสิบหมื่นเป็นกองทัพหน้ายกไปตั้งรับศึกที่ตำบลเอียวจู๋
พระเจ้าซุนโฮได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ แต่การข้างเมืองกังเหลงนั้นตรัสสั่งให้ซุนหลิมรับผิดชอบ แต่ให้ง่อเอี๋ยนไปช่วยเป็นรองแม่ทัพ พระเจ้าซุนโฮจะคุมกองทัพหลังรักษาเมืองบู๊เฉียงด้วยพระองค์เอง เสร็จแล้วจึงตรัสสั่งให้เลิกประชุมแล้วเสด็จกลับเข้าไปข้างในที่ประทับ จะจัดแจงเตรียมการนำกองทัพไปรับศึกเมืองต้าจิ้น
ฝ่ายยิมหุนขันทีคนสนิทผู้โปรดปรานของพระเจ้าซุนโฮ เห็นพระเจ้าซุนโฮเสด็จกลับจากว่าราชการแล้วมีพระพักตร์หม่นหมอง จึงถามว่าพระองค์วิตกด้วยสิ่งใดหรือ
พระเจ้าซุนโฮจึงตรัสว่า ซึ่งเมืองต้าจิ้นยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋งในครั้งนี้ เราได้จัดแจงแต่งกองทัพบกขัดตาทัพรับศึกไว้แล้วทุกตำบล ขาดก็แต่ทางกองทัพเรือ ซึ่งองโยยแม่ทัพของข้าศึกยกมานั้น ยังหานายทหารผู้ชำนาญการสงครามไปต่อรบมิได้
ยิมหุนได้ยินดังนั้นจึงกราบทูลว่า ข้อที่พระองค์วิตกนี้ข้าพระองค์มีกลวิธีที่จะเอาชนะกองทัพเรือของเมืองต้าจิ้นได้โดยง่ายดาย พระเจ้าซุนโฮได้ฟังดังนั้นก็แปลกพระทัย จึงลองตรัสถามว่าท่านมีแผนการอย่างไร
ยิมหุนจึงกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าจะขอให้เอาเหล็กมาตีเป็นสายโซ่สักห้าร้อยสาย สายละห้าสิบวา ขึงกั้นแม่น้ำเมืองกังตั๋งเสีย แล้วจะได้ปักขวากเหล็กไว้ใต้น้ำนอกสายโซ่ออกไป ถ้ากองทัพเรือยกมาก็จะโดนขวากเหล็กเข้าติดอยู่ เรือก็จะทะลุล่มลง ทแกล้วทหารก็จะล้มตายฉิบหายไปเอง”
พระเจ้าซุนโฮได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ ตรัสชมยิมหุนว่าตัวท่านรับราชการรับใช้เราอยู่ข้างใน นึกไม่ถึงเลยว่าจะสามารถคิดอ่านแผนการยุทธ์ได้ล้ำลึกฉะนี้ จึงตรัสสั่งให้กองทหารช่างทำการตามแผนการของยิมหุนทุกประการ แล้วให้กองทัพเรือนำโซ่และขวากเหล็กไปปักขึงไว้ที่ทางเลี้ยวจะเข้าแม่น้ำเมืองกังตั๋งทุกตำบล.