ตอนที่ 653. สถาปนาราชวงศ์ต้าจิ้น
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยแปดพรรษา เดือนยี่ ปลายปี ขึ้นหนึ่งค่ำ พระเจ้าโจฮวนโปรดเกล้าให้แต่งการพิธีสละราชสมบัติมอบราชบัลลังก์แก่ สุมาเอี๋ยนตามแบบอย่างการพิธีเมื่อครั้งที่พระเจ้าเหี้ยนเต้สละราชสมบัติแก่พระเจ้าโจผีทุกประการ ราชวงศ์วุยของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉจึงสิ้นสุดลงหลังการสิ้นสุดของราชวงศ์ฮั่นเพียงปีเดียว
จิ้นอ๋องสุมาเอี๋ยนรับเอาตราพระราชลัญจกรสำหรับที่พระมหากษัตริย์จากพระเจ้าโจฮวนแล้วได้ขึ้นไปนั่งบนแท่นพิธีชั้นสูงสุด พระเจ้าโจฮวนลงมาหมอบถวายบังคมอยู่ข้างล่าง จิ้นอ๋องยืนชูกระบี่บนแท่นพิธีท่ามกลางขุนนางและทหารเรียงราย ล้อมรอบแท่นพิธีแน่นขนัดกว่าสิบหมื่นคน ขุนนางและทหารทั้งปวงพากันโห่ร้องถวายพระพรจิ้นอ๋องในฐานะฮ่องเต้พระองค์ใหม่
จิ้นอ๋องรับความเคารพจากคนทั้งปวงแล้วประทับนั่งบนแท่นพิธี อาลักษณ์ได้อ่านประกาศความว่า เมื่อเจี้ยนอันศกปีที่ยี่สิบห้า โจผีรับราชสมบัติจากพระเจ้าเหี้ยนเต้สถาปนาราชวงศ์วุยขึ้นครองแผ่นดิน สืบเชื้อวงศ์ต่อมาถึงบัดนี้เป็นเวลาสี่สิบห้าปีแล้ว บัดนี้สวรรค์ลิขิตให้ราชวงศ์วุยเป็นอันสิ้นสุดดับสูญ จิ้นอ๋องเชื้อสายแห่งตระกูลสุมาทำความชอบไว้แก่แผ่นดินและราษฎรยิ่งฟ้าพระมหาสมุทร สมควรเป็นพระมหากษัตริย์ครองแผ่นดินทำนุบำรุงอาณาราษฎรทั้งปวงให้เป็นสุขสืบไป ดังนั้นเราพระเจ้าโจฮวนจึงเต็มใจสละราชสมบัติให้แก่ผู้ปรีชาสามารถจิ้นอ๋องแบกรับภารกิจตามลิขิตสวรรค์ สร้างสรรค์บ้านเมืองให้ร่มเย็นรุ่งเรือง ทำนุบำรุงราษฎรให้อยู่ในศีลธรรม อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป
ครั้นเสร็จการพิธีปราบดาภิเษกแล้ว สุมาเอี๋ยนจึงตั้งให้พระเจ้าโจฮวนเป็นตันลิวอ๋องไปครองเมืองตันลิว ห้ามมิให้เดินทางเข้าเมืองหลวงเว้นแต่จะมีหมายรับสั่ง พระเจ้าโจฮวนร้องไห้ ถวายความเคารพสุมาเอี๋ยนแล้วทหารได้เชิญตัวไปจัดเก็บข้าวของและพาบริวารเดินทางออกจากเมืองลกเอี๋ยงไปเมืองตันลิวในวันนั้น
สุมาเอี๋ยนปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์แล้ว โปรดเกล้าให้ตั้งศักราชใหม่เป็นศักราชไต้อี้ หรือศักราชปฐมมหาราช เปลี่ยนชื่อแคว้นวุยเป็นแคว้นต้าจิ้นและให้เลื่อนอิสริยยศของสุมาอี้ขึ้นเป็นเจ้าที่พระเจ้าซวนเต้ เลื่อนอิสริยยศของสุมาสูขึ้นเป็นเจ้าที่พระเจ้าบุ้นเต้ เลื่อนอิสริยยศของสุมาเจียวขึ้นเป็นเจ้าที่พระเจ้าเก้งเต้ และให้ตั้งศาลบูรพกษัตริย์ถึงเจ็ดศาลสำหรับเป็นที่สถิตพระป้ายดวงวิญญาณพระญาติพระวงศ์ แล้วโปรดเกล้าให้ปล่อยนักโทษการเมืองและยกเว้นภาษีแก่ราษฎรสามปีตามธรรมเนียม ส่วนบรรดาขุนนางทั้งปวงก็ให้ปูนบำเหน็จเลื่อนขั้นตำแหน่งถ้วนหน้ากัน
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนจัดแจงบ้านเมืองเป็นปกติแล้ว จึงมีพระราชดำริว่าบัดนี้เมืองเสฉวนได้ขึ้นอยู่ในขอบขัณฑสีมาของต้าจิ้นเราแล้ว เหลือแต่เมืองกังตั๋งยังตั้งขัดแข็งอยู่ จำจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ครั้นขุนนางทั้งปวงเห็นชอบพร้อมกันแล้วจึงตรัสสั่งให้เกณฑ์ทหารทั่วทั้งแคว้นต้าจิ้น รอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายพระเจ้าซุนฮิวนับแต่ได้ทราบว่าเมืองเสฉวนเสียแก่วุยก๊กแล้ว ก็ทรงพระวิตกว่าเมืองกังตั๋งจะเป็นอันตราย จึงตรอมพระทัยและทรงพระประชวร ครั้นต่อมาทรงทราบว่าสุมาเอี๋ยนชิงเอาราชสมบัติจากพระเจ้าโจฮวน ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองทั้งปวงจะยกมาตีเมืองกังตั๋งก็ตกพระทัยและสิ้นพระชนม์
ขุนนางทั้งปวงได้พร้อมใจกันแต่งการพิธีพระบรมศพตามประเพณีแล้วปรึกษากันว่าจะเชิญซุนเปียนพระราชบุตรขึ้นสืบราชสมบัติตามประเพณี แต่ขุนนางผู้ใหญ่ได้ทักท้วงว่าซุนเปียนราชบุตรยังเยาว์แก่ความนัก ไม่อาจว่าราชการแผ่นดินได้ ชอบที่จะเชิญซุนโฮซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้าซุนเหลียง หลานของพระเจ้าซุนกวน ซึ่งมีสติปัญญาความสามารถขึ้นเสวยราชย์ ขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบพร้อมกัน
ครั้นถึงวันขึ้นค่ำหนึ่งเดือนเก้า ขุนนางทั้งปวงได้พร้อมใจกันตั้งการพิธีบรมราชาภิเษกซุนโฮขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เสวยราชสมบัติสืบต่อมา พระเจ้าซุนโฮทรงโปรดเกล้าให้สถาปนาพระราชบุตรซุนเปียนขึ้นเป็นเจี๋ยงอ๋อง และตั้งให้เตงฮองขุนพลผู้เฒ่าเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตั้งศักราชใหม่เป็นศักราชง่วนเฮง
หลังจากพระเจ้าซุนโฮเสวยราชย์แล้ว ทรงกำเริบพระทัยในอำนาจราชศักดิ์ซึ่งได้มาโดยไม่คาดคิดมาแต่ก่อน ทุกวันทรงเสวยน้ำจัณฑ์กับยิมหุนขันทีจนเมามาย มิได้เอาพระทัยใส่ในราชการ ยิมหุนก็เอาพระทัยจัดหานางสนมกำนัลเข้ามาปรนเปรอ จัดระบำรำฟ้อนและทูลเชิญให้พระเจ้าซุนโฮทรงพระเกษมสำราญในพระราชอุทยานตั้งแต่บ่ายจนถึงใกล้รุ่งจึงเลิกรา ราชการบ้านเมืองจึงวิปริตผันแปรไป
เอียงเหียงและเตียวเป๋าซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่เห็นพระเจ้าซุนโฮแปรปรวนไปถึงปานนั้น จึงเข้าไปกราบบังคมทูลตักเตือนเป็นหลายครั้ง ครั้งแรก ๆ พระเจ้าซุนโฮก็เกรงใจ มิได้ตรัสประการใด แต่ครั้นหลายครั้งเข้าก็ทรงพระกริ้ว ครั้งสุดท้ายทรงกริ้วสองขุนนางเป็นอันมาก ที่บังอาจรบเร้าทูลเตือนไม่ย่อหย่อน จึงตรัสสั่งให้จับตัวสองขุนนางเอาไปตัดศีรษะเสีย
หลังจากนั้นแล้วขุนนางทั้งปวงก็ไม่กล้ากราบทูลทัดทานใด ๆ อีก พระเจ้าซุนโฮจึงทรงกำเริบในพระราชอำนาจมากขึ้น มีพระราชดำริว่าพระราชวังเก่าสร้างมาช้านานแล้ว ผีสางนางไม้มีประจำเป็นจำนวนมาก ทั้งล้าสมัยไม่เป็นที่สุขสบายพระทัย จึงโปรดเกล้าให้สร้างพระราชวังใหม่ขึ้นที่ตำบลบู๊เฉียง โปรดเกล้าให้เกณฑ์ราษฎรหลายหมื่นคนไปตัดไม้ปั้นอิฐและทำการก่อสร้างพระราชวัง เร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ขุนนางและอาณาประชาราษฎรต่างเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
ในที่สุดพระราชวังแห่งใหม่ก็แล้วเสร็จตามพระราชประสงค์ พระเจ้าซุนโฮจึงย้ายไปประทับที่พระบรมมหาราชวังแห่งใหม่นับแต่นั้นมา วันหนึ่งได้ตรัสสั่งให้หาหอกหยกขุนนางเข้ามาปรึกษาว่า เมื่อปลายแผ่นดินพระเจ้าซุนฮิวได้จัดแจงแต่งทหารไว้เป็นอันมาก แต่เป็นไปเพื่อปกป้องขอบขัณฑสีมามิให้กองทัพวุยก๊กยกมารุกราน การคิดตั้งรับฉะนี้เห็นป่วยการ ชอบที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊กเสียทีเดียวจึงจะควร
ตรัสแล้วจึงทรงปรึกษาว่า ซึ่งจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กนั้นท่านจะคิดประการใด หอกหยกจึงกราบทูลว่า เมืองกังตั๋งเราแต่ไหนแต่ไรมาล้วนทำสงครามเชิงรับ หาถนัดเชิงรุกไม่ แลบัดนี้วุยก๊กเปลี่ยนเป็นต้าจิ้นแล้ว ได้ผนวกเอาแคว้นเสฉวนเข้ามาอยู่ในขอบขัณฑสีมา มีทหารแลเสบียงเป็นอันมาก ทั้งสุมาเอี๋ยนก็มีน้ำใจกำเริบ จะยกมาตีเมืองกังตั๋งอยู่แล้ว จึงชอบที่จะเตรียมการป้องกันรักษาเมืองไว้ดังเดิมจึงจะควร
พระเจ้าซุนโฮได้ยินคำทัดทานก็ไม่ต้องด้วยพระทัย ตรัสว่าเราคิดอ่านจะยกไปตีเมืองต้าจิ้นเอาฤกษ์เอาชัยไว้สำหรับแผ่นดิน ท่านสิมิรู้การอันควรไม่ควร บังอาจมาทัดทานให้เป็นอัปมงคล มีความผิดสถานหนัก ชอบที่จะตัดศีรษะเสียมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง แต่เราเห็นท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ก่อนจึงผ่อนผันไม่เอาโทษ นับแต่นี้อย่าได้เข้ามาให้เราเห็นหน้าอีกเลย แล้วตรัสสั่งให้ทหารรักษาการณ์ขับไล่หอกหยกออกไปจากพระตำหนัก
หอกหยกได้รับความอัปยศเป็นอันมาก ต่อมาได้อ้างว่าป่วยแล้วถวายบังคมลาออกจากราชการ
พระเจ้าซุนโฮยังคงดำรงพระทัยที่จะยกกองทัพไปตีต้าจิ้น จึงตรัสสั่งให้ลกข้องซึ่งรักษาเมืองเกงจิ๋วยกไปตีเมืองซงหยง ลกข้องรับรับสั่งของพระเจ้าซุนโฮแล้วจึงจัดแจงแต่งกองทัพจะยกไปตีเมืองซงหยง
ฝ่ายหน่วยสอดแนมของต้าจิ้น ครั้นทราบข่าวว่าลกข้องยกกองทัพเมืองกังตั๋งจะมาตีเอาเมืองซงหยง จึงนำความไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทรงทราบ
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทรงปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงว่าจะคิดอ่านประการใด กาอุ้นซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้กราบทูลว่า ชาวเมืองกังตั๋งนั้นถนัดแต่เชิงรับ ไม่ถนัดเชิงรุก แลบัดนี้ราชการบ้านเมืองกังตั๋งก็วิปริตแปรปรวน จึงควรที่พระองค์จะมีหมายรับสั่งให้เอียวเก๋าซึ่งรักษาเมืองซงหยงให้ตั้งรับ ดูท่วงท่าชาวเมืองกังตั๋งก่อน หากเห็นเหลือกำลังนักพระองค์จึงค่อยยกกองทัพไป แล้วยกล่วงไปตีเอาเมืองกังตั๋งก็จะได้โดยง่าย พระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยสิบเจ็ดพรรษา เดือนสี่ พระเจ้าสุมาเอี๋ยนโปรดให้มีหมายรับสั่งไปถึงเอียวเก๋าตามแผนการของกาอุ้นทุกประการ เอียวเก๋าทราบหมายรับสั่งแล้วจึงจัดแจงแต่งทหารระมัดระวังตรวจตราด่านและ หัวเมืองรายทางทุกตำบล และแต่งหน่วยสอดแนมสืบข่าวคราวความเคลื่อนไหวของกองทัพลกข้อง
วันหนึ่งหน่วยสอดแนมได้นำความมารายงานแก่เอียวเก๋าว่า ซึ่งกองทัพลกข้องยกมาตั้งอยู่ที่ปลายแดนเมืองซงหยงนั้นดูวิปริตแปรปรวนนัก มิได้เป็นระเบียบวินัยตามกระบวนรบ ชอบที่จะยกกองทัพไปจู่โจมเห็นจะได้ชัยชนะ
เอียวเก๋าจึงว่า ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ตั้งมั่นรับศึก หากล่วงละเมิดรับสั่งย่อมเป็นความผิดฐานขบถประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งเล่าลกข้องเป็นบุตรของลกซุนมีสติปัญญาในการสงคราม เห็นจะปกครองกองทัพตามระบอบกระบวนรบ ซึ่งทหารระส่ำระสายนี้อาจจะเป็นอุบายของลกข้อง จึงวู่วามมิได้ ชอบที่จะดูท่วงท่าอีกสักระยะหนึ่ง หากกองทัพลกข้องระส่ำระสายจริงแล้ว เรายกไปโจมตีในภายหลังก็ไม่สายเกินไป เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง
ฝ่ายพระเจ้าซุนโฮหลังจากลกข้องยกกองทัพไปแล้วก็ทรงติดตามสดับรับฟังข่าวสารการสงคราม ครั้นทรงทราบว่ากองทัพลกข้องยกไปตั้งอยู่ที่ชายแดนแต่ไม่รุกคืบหน้าไปแต่ประการใด จึงมีหมายรับสั่งไปเร่งรัดให้ลกข้องรีบยกกองทัพเข้าตีเมืองซงหยง
ลกข้องทราบความตามหมายรับสั่งแล้ว จึงแต่งฎีกากราบทูลพระเจ้าซุนโฮว่า ซึ่งจะรีบรุดเข้าตีเอาเมืองซงหยงนั้นเห็นขัดสนนัก ด้วยชาวเมืองซงหยงรู้ตัวคิดอ่านระวังรักษาเมืองมิได้ประมาท จึงขอตั้งมั่นดูท่วงท่าก่อน เห็นเป็นทีแล้วก็จะยกเข้าตีจึงจะได้ชัยชนะแต่ถ่ายเดียว พระองค์อย่าทรงพระวิตกด้วยการสงครามครั้งนี้เลย
ครั้นพระเจ้าซุนโฮทอดพระเนตรเห็นฎีกาของลกข้องดังนั้นก็ทรงระแวงลกข้อง เพราะทรงทราบว่ามีความรู้จักมักคุ้นกับเอียวเก๋าผู้รักษาเมืองซงหยงมาแต่ก่อน
ในขณะนั้นหน่วยสอดแนมได้รายงานราชการลับเข้ามาถวายพระเจ้าซุนโฮว่า หลังจากลกข้องยกกองทัพไปตั้งอยู่แดนเมืองซงหยงแล้ว ลกข้องและเอียวเก๋าต่างเกรงน้ำใจกัน ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินกัน ต่างฝ่ายต่างสั่งทหารมิให้ล่วงล้ำเขตแดนกันและกัน ทหารฝ่ายใดหลงเข้าไปล่าสัตว์หรือทำความเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่กัน มิหนำซ้ำยังส่งคนไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนและส่งของกำนัลกันและกันมิได้ขาด ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งป่วยไข้ อีกฝ่ายหนึ่งยังส่งยามาช่วยรักษาพยาบาล เหตุการณ์ดังนี้หาใช่ลักษณะกองทัพที่จะรบพุ่งแก่กันไม่
พระเจ้าซุนโฮทรงทราบดังนั้นจึงทรงคิดว่าลกข้องเกรงใจเอียวเก๋าจึงแสร้งถ่วงเวลาไม่โจมตีเมืองซงหยง และหากเนิ่นช้าสืบไป ดีร้ายลกข้องอาจแปรพักตร์ไปเข้ากับเอียวเก๋า อันตรายก็จะเกิดแก่เมืองกังตั๋ง
พระเจ้าซุนโฮระแวงลกข้องดังนั้นแล้วก็โกรธ ตรัสสั่งตั้งให้ซุนอี้คุมทหารไปรับหน้าที่แทนลกข้อง และมีพระบรมราชโองการให้ถอดลกข้องออกจากตำแหน่ง และเรียกตัวกลับเมืองกังตั๋งในทันที ขุนนางผู้ใหญ่สามคนทัดทานก็ตรัสสั่งให้จับตัวไปประหารชีวิตทั้งหมด
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยยี่สิบพรรษา ลกข้องถูกถอดออกจากตำแหน่งก็น้อยใจ ถวายบังคมลาออกจากราชการ นับแต่นั้นมาซุนอี้จึงปกครองกองทัพแทนลกข้อง แต่ซุนอี้นั้นมิได้คุ้นเคยกับทหารและไม่ชำนาญการสงคราม ดังนั้นแต่ละวันจึงชักชวนทหารคนสนิทเสพสุราจนเมามาย บรรดาทหารทั้งปวงก็ระส่ำระสาย ระเบียบวินัยและเวรยามก็หย่อนยานฟั่นเฟือนไป
ฝ่ายเอียวเก๋าครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมจึงทำฎีกาขึ้นไปกราบบังคมทูลพระเจ้าสุมาเอี๋ยนว่า บัดนี้แผ่นดินเมืองกังตั๋งระส่ำระสายใกล้จะดับสูญแล้ว พระเจ้า ซุนโฮมิได้ปกครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม เอาแต่หมกมุ่นในสุรานารีจนราชการบ้านเมืองฟั่นเฟือนไปสิ้น บัดนี้ได้ถอดลกข้องออกจากตำแหน่งแล้วแต่งให้ซุนอี้ซึ่งไม่มีความรู้ความสามารถทางการทหารแม้แต่น้อยมาปกครองกองทัพ ทหารทั้งปวงทั้งในเมืองกังตั๋งและหัวเมืองต่างพากันสิ้นขวัญกำลังใจไม่ศรัทธาพระเจ้าซุนโฮแล้ว ถึงกาลอันควรที่พระองค์จะได้ยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทรงทราบฎีกาของเอียวเก๋าแล้วทรงเห็นชอบ และตรัสสั่งให้เกณฑ์ทหารจากหัวเมืองทั้งปวง รอวันฤกษ์ดีแล้วจะกรีฑาทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋ง.
จิ้นอ๋องสุมาเอี๋ยนรับเอาตราพระราชลัญจกรสำหรับที่พระมหากษัตริย์จากพระเจ้าโจฮวนแล้วได้ขึ้นไปนั่งบนแท่นพิธีชั้นสูงสุด พระเจ้าโจฮวนลงมาหมอบถวายบังคมอยู่ข้างล่าง จิ้นอ๋องยืนชูกระบี่บนแท่นพิธีท่ามกลางขุนนางและทหารเรียงราย ล้อมรอบแท่นพิธีแน่นขนัดกว่าสิบหมื่นคน ขุนนางและทหารทั้งปวงพากันโห่ร้องถวายพระพรจิ้นอ๋องในฐานะฮ่องเต้พระองค์ใหม่
จิ้นอ๋องรับความเคารพจากคนทั้งปวงแล้วประทับนั่งบนแท่นพิธี อาลักษณ์ได้อ่านประกาศความว่า เมื่อเจี้ยนอันศกปีที่ยี่สิบห้า โจผีรับราชสมบัติจากพระเจ้าเหี้ยนเต้สถาปนาราชวงศ์วุยขึ้นครองแผ่นดิน สืบเชื้อวงศ์ต่อมาถึงบัดนี้เป็นเวลาสี่สิบห้าปีแล้ว บัดนี้สวรรค์ลิขิตให้ราชวงศ์วุยเป็นอันสิ้นสุดดับสูญ จิ้นอ๋องเชื้อสายแห่งตระกูลสุมาทำความชอบไว้แก่แผ่นดินและราษฎรยิ่งฟ้าพระมหาสมุทร สมควรเป็นพระมหากษัตริย์ครองแผ่นดินทำนุบำรุงอาณาราษฎรทั้งปวงให้เป็นสุขสืบไป ดังนั้นเราพระเจ้าโจฮวนจึงเต็มใจสละราชสมบัติให้แก่ผู้ปรีชาสามารถจิ้นอ๋องแบกรับภารกิจตามลิขิตสวรรค์ สร้างสรรค์บ้านเมืองให้ร่มเย็นรุ่งเรือง ทำนุบำรุงราษฎรให้อยู่ในศีลธรรม อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป
ครั้นเสร็จการพิธีปราบดาภิเษกแล้ว สุมาเอี๋ยนจึงตั้งให้พระเจ้าโจฮวนเป็นตันลิวอ๋องไปครองเมืองตันลิว ห้ามมิให้เดินทางเข้าเมืองหลวงเว้นแต่จะมีหมายรับสั่ง พระเจ้าโจฮวนร้องไห้ ถวายความเคารพสุมาเอี๋ยนแล้วทหารได้เชิญตัวไปจัดเก็บข้าวของและพาบริวารเดินทางออกจากเมืองลกเอี๋ยงไปเมืองตันลิวในวันนั้น
สุมาเอี๋ยนปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์แล้ว โปรดเกล้าให้ตั้งศักราชใหม่เป็นศักราชไต้อี้ หรือศักราชปฐมมหาราช เปลี่ยนชื่อแคว้นวุยเป็นแคว้นต้าจิ้นและให้เลื่อนอิสริยยศของสุมาอี้ขึ้นเป็นเจ้าที่พระเจ้าซวนเต้ เลื่อนอิสริยยศของสุมาสูขึ้นเป็นเจ้าที่พระเจ้าบุ้นเต้ เลื่อนอิสริยยศของสุมาเจียวขึ้นเป็นเจ้าที่พระเจ้าเก้งเต้ และให้ตั้งศาลบูรพกษัตริย์ถึงเจ็ดศาลสำหรับเป็นที่สถิตพระป้ายดวงวิญญาณพระญาติพระวงศ์ แล้วโปรดเกล้าให้ปล่อยนักโทษการเมืองและยกเว้นภาษีแก่ราษฎรสามปีตามธรรมเนียม ส่วนบรรดาขุนนางทั้งปวงก็ให้ปูนบำเหน็จเลื่อนขั้นตำแหน่งถ้วนหน้ากัน
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนจัดแจงบ้านเมืองเป็นปกติแล้ว จึงมีพระราชดำริว่าบัดนี้เมืองเสฉวนได้ขึ้นอยู่ในขอบขัณฑสีมาของต้าจิ้นเราแล้ว เหลือแต่เมืองกังตั๋งยังตั้งขัดแข็งอยู่ จำจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ครั้นขุนนางทั้งปวงเห็นชอบพร้อมกันแล้วจึงตรัสสั่งให้เกณฑ์ทหารทั่วทั้งแคว้นต้าจิ้น รอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายพระเจ้าซุนฮิวนับแต่ได้ทราบว่าเมืองเสฉวนเสียแก่วุยก๊กแล้ว ก็ทรงพระวิตกว่าเมืองกังตั๋งจะเป็นอันตราย จึงตรอมพระทัยและทรงพระประชวร ครั้นต่อมาทรงทราบว่าสุมาเอี๋ยนชิงเอาราชสมบัติจากพระเจ้าโจฮวน ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองทั้งปวงจะยกมาตีเมืองกังตั๋งก็ตกพระทัยและสิ้นพระชนม์
ขุนนางทั้งปวงได้พร้อมใจกันแต่งการพิธีพระบรมศพตามประเพณีแล้วปรึกษากันว่าจะเชิญซุนเปียนพระราชบุตรขึ้นสืบราชสมบัติตามประเพณี แต่ขุนนางผู้ใหญ่ได้ทักท้วงว่าซุนเปียนราชบุตรยังเยาว์แก่ความนัก ไม่อาจว่าราชการแผ่นดินได้ ชอบที่จะเชิญซุนโฮซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้าซุนเหลียง หลานของพระเจ้าซุนกวน ซึ่งมีสติปัญญาความสามารถขึ้นเสวยราชย์ ขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบพร้อมกัน
ครั้นถึงวันขึ้นค่ำหนึ่งเดือนเก้า ขุนนางทั้งปวงได้พร้อมใจกันตั้งการพิธีบรมราชาภิเษกซุนโฮขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เสวยราชสมบัติสืบต่อมา พระเจ้าซุนโฮทรงโปรดเกล้าให้สถาปนาพระราชบุตรซุนเปียนขึ้นเป็นเจี๋ยงอ๋อง และตั้งให้เตงฮองขุนพลผู้เฒ่าเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตั้งศักราชใหม่เป็นศักราชง่วนเฮง
หลังจากพระเจ้าซุนโฮเสวยราชย์แล้ว ทรงกำเริบพระทัยในอำนาจราชศักดิ์ซึ่งได้มาโดยไม่คาดคิดมาแต่ก่อน ทุกวันทรงเสวยน้ำจัณฑ์กับยิมหุนขันทีจนเมามาย มิได้เอาพระทัยใส่ในราชการ ยิมหุนก็เอาพระทัยจัดหานางสนมกำนัลเข้ามาปรนเปรอ จัดระบำรำฟ้อนและทูลเชิญให้พระเจ้าซุนโฮทรงพระเกษมสำราญในพระราชอุทยานตั้งแต่บ่ายจนถึงใกล้รุ่งจึงเลิกรา ราชการบ้านเมืองจึงวิปริตผันแปรไป
เอียงเหียงและเตียวเป๋าซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่เห็นพระเจ้าซุนโฮแปรปรวนไปถึงปานนั้น จึงเข้าไปกราบบังคมทูลตักเตือนเป็นหลายครั้ง ครั้งแรก ๆ พระเจ้าซุนโฮก็เกรงใจ มิได้ตรัสประการใด แต่ครั้นหลายครั้งเข้าก็ทรงพระกริ้ว ครั้งสุดท้ายทรงกริ้วสองขุนนางเป็นอันมาก ที่บังอาจรบเร้าทูลเตือนไม่ย่อหย่อน จึงตรัสสั่งให้จับตัวสองขุนนางเอาไปตัดศีรษะเสีย
หลังจากนั้นแล้วขุนนางทั้งปวงก็ไม่กล้ากราบทูลทัดทานใด ๆ อีก พระเจ้าซุนโฮจึงทรงกำเริบในพระราชอำนาจมากขึ้น มีพระราชดำริว่าพระราชวังเก่าสร้างมาช้านานแล้ว ผีสางนางไม้มีประจำเป็นจำนวนมาก ทั้งล้าสมัยไม่เป็นที่สุขสบายพระทัย จึงโปรดเกล้าให้สร้างพระราชวังใหม่ขึ้นที่ตำบลบู๊เฉียง โปรดเกล้าให้เกณฑ์ราษฎรหลายหมื่นคนไปตัดไม้ปั้นอิฐและทำการก่อสร้างพระราชวัง เร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ขุนนางและอาณาประชาราษฎรต่างเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
ในที่สุดพระราชวังแห่งใหม่ก็แล้วเสร็จตามพระราชประสงค์ พระเจ้าซุนโฮจึงย้ายไปประทับที่พระบรมมหาราชวังแห่งใหม่นับแต่นั้นมา วันหนึ่งได้ตรัสสั่งให้หาหอกหยกขุนนางเข้ามาปรึกษาว่า เมื่อปลายแผ่นดินพระเจ้าซุนฮิวได้จัดแจงแต่งทหารไว้เป็นอันมาก แต่เป็นไปเพื่อปกป้องขอบขัณฑสีมามิให้กองทัพวุยก๊กยกมารุกราน การคิดตั้งรับฉะนี้เห็นป่วยการ ชอบที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊กเสียทีเดียวจึงจะควร
ตรัสแล้วจึงทรงปรึกษาว่า ซึ่งจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กนั้นท่านจะคิดประการใด หอกหยกจึงกราบทูลว่า เมืองกังตั๋งเราแต่ไหนแต่ไรมาล้วนทำสงครามเชิงรับ หาถนัดเชิงรุกไม่ แลบัดนี้วุยก๊กเปลี่ยนเป็นต้าจิ้นแล้ว ได้ผนวกเอาแคว้นเสฉวนเข้ามาอยู่ในขอบขัณฑสีมา มีทหารแลเสบียงเป็นอันมาก ทั้งสุมาเอี๋ยนก็มีน้ำใจกำเริบ จะยกมาตีเมืองกังตั๋งอยู่แล้ว จึงชอบที่จะเตรียมการป้องกันรักษาเมืองไว้ดังเดิมจึงจะควร
พระเจ้าซุนโฮได้ยินคำทัดทานก็ไม่ต้องด้วยพระทัย ตรัสว่าเราคิดอ่านจะยกไปตีเมืองต้าจิ้นเอาฤกษ์เอาชัยไว้สำหรับแผ่นดิน ท่านสิมิรู้การอันควรไม่ควร บังอาจมาทัดทานให้เป็นอัปมงคล มีความผิดสถานหนัก ชอบที่จะตัดศีรษะเสียมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง แต่เราเห็นท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ก่อนจึงผ่อนผันไม่เอาโทษ นับแต่นี้อย่าได้เข้ามาให้เราเห็นหน้าอีกเลย แล้วตรัสสั่งให้ทหารรักษาการณ์ขับไล่หอกหยกออกไปจากพระตำหนัก
หอกหยกได้รับความอัปยศเป็นอันมาก ต่อมาได้อ้างว่าป่วยแล้วถวายบังคมลาออกจากราชการ
พระเจ้าซุนโฮยังคงดำรงพระทัยที่จะยกกองทัพไปตีต้าจิ้น จึงตรัสสั่งให้ลกข้องซึ่งรักษาเมืองเกงจิ๋วยกไปตีเมืองซงหยง ลกข้องรับรับสั่งของพระเจ้าซุนโฮแล้วจึงจัดแจงแต่งกองทัพจะยกไปตีเมืองซงหยง
ฝ่ายหน่วยสอดแนมของต้าจิ้น ครั้นทราบข่าวว่าลกข้องยกกองทัพเมืองกังตั๋งจะมาตีเอาเมืองซงหยง จึงนำความไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทรงทราบ
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทรงปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงว่าจะคิดอ่านประการใด กาอุ้นซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้กราบทูลว่า ชาวเมืองกังตั๋งนั้นถนัดแต่เชิงรับ ไม่ถนัดเชิงรุก แลบัดนี้ราชการบ้านเมืองกังตั๋งก็วิปริตแปรปรวน จึงควรที่พระองค์จะมีหมายรับสั่งให้เอียวเก๋าซึ่งรักษาเมืองซงหยงให้ตั้งรับ ดูท่วงท่าชาวเมืองกังตั๋งก่อน หากเห็นเหลือกำลังนักพระองค์จึงค่อยยกกองทัพไป แล้วยกล่วงไปตีเอาเมืองกังตั๋งก็จะได้โดยง่าย พระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยสิบเจ็ดพรรษา เดือนสี่ พระเจ้าสุมาเอี๋ยนโปรดให้มีหมายรับสั่งไปถึงเอียวเก๋าตามแผนการของกาอุ้นทุกประการ เอียวเก๋าทราบหมายรับสั่งแล้วจึงจัดแจงแต่งทหารระมัดระวังตรวจตราด่านและ หัวเมืองรายทางทุกตำบล และแต่งหน่วยสอดแนมสืบข่าวคราวความเคลื่อนไหวของกองทัพลกข้อง
วันหนึ่งหน่วยสอดแนมได้นำความมารายงานแก่เอียวเก๋าว่า ซึ่งกองทัพลกข้องยกมาตั้งอยู่ที่ปลายแดนเมืองซงหยงนั้นดูวิปริตแปรปรวนนัก มิได้เป็นระเบียบวินัยตามกระบวนรบ ชอบที่จะยกกองทัพไปจู่โจมเห็นจะได้ชัยชนะ
เอียวเก๋าจึงว่า ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ตั้งมั่นรับศึก หากล่วงละเมิดรับสั่งย่อมเป็นความผิดฐานขบถประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งเล่าลกข้องเป็นบุตรของลกซุนมีสติปัญญาในการสงคราม เห็นจะปกครองกองทัพตามระบอบกระบวนรบ ซึ่งทหารระส่ำระสายนี้อาจจะเป็นอุบายของลกข้อง จึงวู่วามมิได้ ชอบที่จะดูท่วงท่าอีกสักระยะหนึ่ง หากกองทัพลกข้องระส่ำระสายจริงแล้ว เรายกไปโจมตีในภายหลังก็ไม่สายเกินไป เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง
ฝ่ายพระเจ้าซุนโฮหลังจากลกข้องยกกองทัพไปแล้วก็ทรงติดตามสดับรับฟังข่าวสารการสงคราม ครั้นทรงทราบว่ากองทัพลกข้องยกไปตั้งอยู่ที่ชายแดนแต่ไม่รุกคืบหน้าไปแต่ประการใด จึงมีหมายรับสั่งไปเร่งรัดให้ลกข้องรีบยกกองทัพเข้าตีเมืองซงหยง
ลกข้องทราบความตามหมายรับสั่งแล้ว จึงแต่งฎีกากราบทูลพระเจ้าซุนโฮว่า ซึ่งจะรีบรุดเข้าตีเอาเมืองซงหยงนั้นเห็นขัดสนนัก ด้วยชาวเมืองซงหยงรู้ตัวคิดอ่านระวังรักษาเมืองมิได้ประมาท จึงขอตั้งมั่นดูท่วงท่าก่อน เห็นเป็นทีแล้วก็จะยกเข้าตีจึงจะได้ชัยชนะแต่ถ่ายเดียว พระองค์อย่าทรงพระวิตกด้วยการสงครามครั้งนี้เลย
ครั้นพระเจ้าซุนโฮทอดพระเนตรเห็นฎีกาของลกข้องดังนั้นก็ทรงระแวงลกข้อง เพราะทรงทราบว่ามีความรู้จักมักคุ้นกับเอียวเก๋าผู้รักษาเมืองซงหยงมาแต่ก่อน
ในขณะนั้นหน่วยสอดแนมได้รายงานราชการลับเข้ามาถวายพระเจ้าซุนโฮว่า หลังจากลกข้องยกกองทัพไปตั้งอยู่แดนเมืองซงหยงแล้ว ลกข้องและเอียวเก๋าต่างเกรงน้ำใจกัน ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินกัน ต่างฝ่ายต่างสั่งทหารมิให้ล่วงล้ำเขตแดนกันและกัน ทหารฝ่ายใดหลงเข้าไปล่าสัตว์หรือทำความเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่กัน มิหนำซ้ำยังส่งคนไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนและส่งของกำนัลกันและกันมิได้ขาด ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งป่วยไข้ อีกฝ่ายหนึ่งยังส่งยามาช่วยรักษาพยาบาล เหตุการณ์ดังนี้หาใช่ลักษณะกองทัพที่จะรบพุ่งแก่กันไม่
พระเจ้าซุนโฮทรงทราบดังนั้นจึงทรงคิดว่าลกข้องเกรงใจเอียวเก๋าจึงแสร้งถ่วงเวลาไม่โจมตีเมืองซงหยง และหากเนิ่นช้าสืบไป ดีร้ายลกข้องอาจแปรพักตร์ไปเข้ากับเอียวเก๋า อันตรายก็จะเกิดแก่เมืองกังตั๋ง
พระเจ้าซุนโฮระแวงลกข้องดังนั้นแล้วก็โกรธ ตรัสสั่งตั้งให้ซุนอี้คุมทหารไปรับหน้าที่แทนลกข้อง และมีพระบรมราชโองการให้ถอดลกข้องออกจากตำแหน่ง และเรียกตัวกลับเมืองกังตั๋งในทันที ขุนนางผู้ใหญ่สามคนทัดทานก็ตรัสสั่งให้จับตัวไปประหารชีวิตทั้งหมด
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยยี่สิบพรรษา ลกข้องถูกถอดออกจากตำแหน่งก็น้อยใจ ถวายบังคมลาออกจากราชการ นับแต่นั้นมาซุนอี้จึงปกครองกองทัพแทนลกข้อง แต่ซุนอี้นั้นมิได้คุ้นเคยกับทหารและไม่ชำนาญการสงคราม ดังนั้นแต่ละวันจึงชักชวนทหารคนสนิทเสพสุราจนเมามาย บรรดาทหารทั้งปวงก็ระส่ำระสาย ระเบียบวินัยและเวรยามก็หย่อนยานฟั่นเฟือนไป
ฝ่ายเอียวเก๋าครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมจึงทำฎีกาขึ้นไปกราบบังคมทูลพระเจ้าสุมาเอี๋ยนว่า บัดนี้แผ่นดินเมืองกังตั๋งระส่ำระสายใกล้จะดับสูญแล้ว พระเจ้า ซุนโฮมิได้ปกครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม เอาแต่หมกมุ่นในสุรานารีจนราชการบ้านเมืองฟั่นเฟือนไปสิ้น บัดนี้ได้ถอดลกข้องออกจากตำแหน่งแล้วแต่งให้ซุนอี้ซึ่งไม่มีความรู้ความสามารถทางการทหารแม้แต่น้อยมาปกครองกองทัพ ทหารทั้งปวงทั้งในเมืองกังตั๋งและหัวเมืองต่างพากันสิ้นขวัญกำลังใจไม่ศรัทธาพระเจ้าซุนโฮแล้ว ถึงกาลอันควรที่พระองค์จะได้ยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทรงทราบฎีกาของเอียวเก๋าแล้วทรงเห็นชอบ และตรัสสั่งให้เกณฑ์ทหารจากหัวเมืองทั้งปวง รอวันฤกษ์ดีแล้วจะกรีฑาทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋ง.