ตอนที่ 651. สิ้บบุญเกียงอุย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยเจ็ดพรรษา เดือนห้า ความหวาดระแวงแคลงใจกันระหว่างจงโฮยกับสุมาเจียวได้ขยายตัวเป็นความขัดแย้งที่ต่างฝ่ายต่างคิดกำจัดกันและกัน แต่ลิขิตสวรรค์นั้นใครไหนเล่าจะอาจฝืน แม่ทัพนายกองชาววุยก๊กเห็นว่าจงโฮยเป็นขบถจึงคิดอ่านจะกำจัดจงโฮยเสียก่อน
เกียงอุยฟังจงโฮยเล่าความฝันให้ฟังตลอดแล้วก็รู้ว่าเป็นนิมิตร้าย เห็นจงโฮยจะถึงแก่ความตายก็มีความยินดี แต่ครั้นจะกล่าวความไปตามจริงก็เกรงว่าแผนการกอบกู้ฮั่นจะชะงักงันลงไป จึงแสร้งกล่าวว่าซึ่งท่านฝันทั้งนี้เป็นมงคล ด้วยบรรดางูใหญ่นั้นย่อมหมายถึงทายาทของมังกร แลมังกรนั้นย่อมหมายถึงบัลลังก์พระจักรพรรดิ บุญของท่านมาถึงแล้ว เทพยดาอารักษ์จึงบันดาลนิมิตให้ปรากฏ
จงโฮยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี มั่นใจว่ากำลังกองทัพและอำนาจครองเมืองเสฉวนที่มีอยู่นั้น ถ้าหากกำจัดสุมาเจียวได้ก็จะได้ครองอำนาจเป็นใหญ่ในวุยก๊ก หรือถ้าหากจำต้องล่าถอยก็อาจตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ในเมืองเสฉวนตามแบบอย่างของพระเจ้าฮั่นโกโจและพระเจ้าเล่าปี่
เกียงอุยเห็นจงโฮยกำเริบในอำนาจวาสนาตามความฝันฉะนั้น จึงเร่งยุจงโฮยว่าท่านได้กักขังขุนนางและแม่ทัพนายกองไว้หลายเพลาแล้ว แต่ไม่เห็นมีผู้ใดพร้อมใจ ยินยอมทำการด้วยท่าน หากกักขังไว้เช่นนี้สืบไปก็เหมือนบ่งหนามไว้ในใจ จะหาความสุขมิได้ ตัวท่านมีสติปัญญา ควรเร่งคิดอ่านทำการเถิด
จงโฮยได้ฟังดังนั้นจึงว่า เมื่อท่านเห็นว่าป่วยการที่จะกักขังคนพวกนี้ไว้ต่อไป ก็จงนำทหารไปคุมเอาตัวขุนนางและแม่ทัพนายกองเหล่านั้นเอาไปตัดศีรษะเสียให้สิ้น
เกียงอุยรับคำจงโฮยแล้วคำนับลาพาทหารห้าร้อยคนขี่ม้าตรงไปที่ศาลาว่าราชการเมืองเอ๊กจิ๋ว แต่พอออกไปถึงหน้าจวนที่พักของจงโฮยเกียงอุยให้รู้สึกแน่นจุกในหัวอก ฟุบสิ้นสติอยู่บนหลังม้า ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปประคองเกียงอุยลงจากหลังม้ามานั่งพักที่ข้างทางแล้วช่วยกันนวดเฟ้น
พอเกียงอุยฟื้นลืมตาขึ้นให้รู้สึกอ่อนเพลีย มืออ่อน เท้าอ่อน จึงรีบถามทหารว่าข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน ยังไม่ทันที่ทหารจะตอบ พลันได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารดังกึกก้องดังมาจากข้างนอกกำแพงเมืองทั้งสี่ด้าน เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปหาจงโฮย แล้วรายงานว่าบัดนี้มีทหารจำนวนมากกำลังจู่โจมจะเข้าตีเมืองทั้งสี่ด้าน ชะรอยจะเป็นทหารวุยก๊กพรรคพวกของขุนนางและแม่ทัพนายกองซึ่งถูกจำขังไว้เป็นมั่นคง
จงโฮยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ แต่มิทันที่จะกล่าวประการใด พลันเห็นแสงไฟลุกขึ้นข้างในเมืองเอ๊กจิ๋ว และมีเสียงร้องบอกต่อ ๆ กันว่าเฮาเกียนและอุยก๋วนยกทหารเข้าเมืองมาแล้ว จงโฮยผลุนผลันร้องเรียกนายทหารเพื่อจะสั่งการให้ต่อสู้ แต่ทันใดนั้นทหารของอุยก๋วนและเฮาเกียนได้ยกมาถึงจวนของจงโฮย แล้วกรูกันเข้ามาข้างในจวน
จงโฮยเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบวิ่งขึ้นไปอยู่บนชั้นสองของจวน ทหารของเฮาเกียนและอุยก๋วนจึงเอาเพลิงสุมไว้ที่ข้างนอกจวน จงโฮยเห็นเหตุการณ์จวนตัวคับขันจึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ตัวกูก็เป็นชาติทหาร หาได้เกรงกลัวต่อความตายไม่ กล่าวแล้วจงโฮยจึงชักกระบี่ออกมาไล่ฆ่าฟันทหารของเฮาเกียนและอุยก๋วนบาดเจ็บล้มตายลงสิบกว่าคน ทหารของเฮาเกียนและอุยก๋วนเห็นจงโฮยบ้าระห่ำจึงล้อมจงโฮยไว้ห่าง ๆ แล้วระดมยิงเกาทัณฑ์ไปที่จงโฮย ถูกจงโฮยล้มลงถึงแก่ความตาย ทหารของเฮาเกียนจึงวิ่งเข้าไปตัดศีรษะจงโฮย
ฝ่ายเกียงอุยเห็นทหารวุยก๊กจู่โจมเข้ามาโดยไม่คาดฝันดังนั้น จึงชักกระบี่ไล่ฆ่าฟันทหารวุยก๊ก แต่พลันให้จุกแน่นขึ้นในอกซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ยืนทรงกายไม่ได้ต้องทรุดตัวลงนั่ง เกียงอุยทอดถอนใจใหญ่คิดว่าเราสิคิดอ่านอุบายหมายให้ทหารวุยก๊กฆ่าฟันกันเองแล้วจะเชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์สืบไป การทั้งปวงเป็นไปตามแผนอุบายลุล่วงจวนตลอดแล้ว แต่สวรรค์ไม่เป็นใจจึงบันดาลให้พลิกผันไปสิ้น เมื่อฟ้าตาบอดมืดมัว บำรุงคนชั่วให้มีอำนาจฉะนี้จะมีชีวิตไปก็ป่วยการ เกียงอุยคิดดังนั้นแล้วจึงเอากระบี่เชือดคอตาย ในขณะนั้นเกียงอุยมีอายุได้ห้าสิบเก้าปี
ในขณะนั้นบรรดาขุนนางและทหารวุยก๊กซึ่งคูเกี๋ยนได้ปล่อยตัวเป็นอิสระแล้ว ต่างคนต่างรู้ว่าจงโฮยและเกียงอุยร่วมกันคิดอ่านกักขังพวกตัว จึงพากันยกมาที่จวนของจงโฮย พอเห็นศพเกียงอุยก็ยิ่งโกรธ คิดว่าเกียงอุยเป็นผู้ยุยงให้จงโฮยก่อการกบฏ จึงชวนกันเข้าไปเอากระบี่ฟาดฟันศพของเกียงอุย และผ่าอกของเกียงอุยตลอดไปถึงหน้าท้อง เห็นดีของเกียงอุยโตเท่าไข่ห่าน
นายกองคนหนึ่งเห็นดีของเกียงอุยจึงกล่าวขึ้นว่า “เกียงอุยมีดีใหญ่ฉะนี้หรือ จะมิกล้าหาญเข้มแข็งเป็นทหารเอก” กล่าวแล้วก็วิ่งเข้าไปตัดศีรษะเกียงอุย
ฝ่ายทหารของจงโฮยพอทราบว่าจงโฮยถูกจู่โจมสังหารก็โกรธ พากันยกพวกมารบพุ่งกับทหารของเฮาเกียนและอุยก๋วน ทั้งสองฝ่ายได้ฆ่าฟันกันเองบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ชาวเมืองเสฉวนเห็นเหตุการณ์วุ่นวายเป็นจลาจลจึงพากันปิดประตูบ้าน บ้างก็พากันหนีเข้าป่าหลบภัย
ฝ่ายทหารซึ่งเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเตงงาย ครั้นเห็นเหตุการณ์เป็นจลาจลดังนั้นจึงพากันติดตามหาตัวเตงงายว่าถูกกักขังอยู่ในที่ใด ครั้นได้ทราบว่าเตงงายถูกจงโฮยส่งตัวไปเมืองลกเอี๋ยง จึงพากันติดตามไปหวังจะชิงเอาตัวเตงงายในระหว่างทาง
ครั้นอุยก๋วนได้ทราบว่าทหารใต้บังคับบัญชาของเตงงายพากันยกติดตามจะไปชิงเอาตัวเตงงายในระหว่างทางก็ตกใจกลัว รีบปรึกษากับเตงซกซึ่งเป็นคนสนิทว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้คิดอ่านวางแผนการจับตัวเตงงาย หากเตงงายถูกช่วยเหลือออกมาแล้วเห็นจะคุมทหารกลับมาล้างแค้นข้าพเจ้า ท่านจะเห็นประการใด
เตงซกจึงว่าข้าพเจ้ามีความพยาบาทอาฆาตแค้นอยู่กับเตงงายเป็นอันมาก เพราะเมื่อครั้งที่เตงงายจะยกไปตีเอาเมืองโปยเสียนั้น ข้าพเจ้าได้ทัดทานขอให้พักทหารบำรุงเลี้ยงพอหายอิดโรยก่อนจึงค่อยยกไป เตงงายโกรธ สั่งประหารชีวิตข้าพเจ้า โชคดีที่เพื่อนนายทหารร้องขอชีวิตไว้จึงรอดจากความตาย ซึ่งเตงงายถูกจับกุมในครั้งนี้เห็นจะคิดว่าข้าพเจ้าร่วมก่อการวางแผนด้วย หากปล่อยให้เตงงายรอดออกมา ทั้งท่านและข้าพเจ้าจะถึงแก่ความตายเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะขออาสานำทหารเร่งรุดตามไปฆ่าเตงงายเสียก่อนจึงจะพ้นจากอันตราย
อุยก๋วนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จัดแจงทหารม้าห้าร้อยนายให้เตงซกรีบยกตามเตงงายไป เตงซกรับคำสั่งแล้วคำนับลาอุยก๋วนออกมาจัดแจงทหารแล้วเร่งไล่ติดตามเตงงายไปแต่ในเพลานั้น ครั้นไปทันกับขบวนควบคุมตัวของเตงงายในระหว่างทาง เตงซกไม่พูดจาพาที ชักกระบี่ออกตัดศีรษะเตงงายและเตงต๋งสองพ่อลูก แล้วขับไล่ทหารในขบวนควบคุมจนแตกหนีไป
ทหารวุยก๊กของทั้งฝ่ายเตงงาย ฝ่ายจงโฮย และฝ่ายอุยก๋วนและเฮาเกียนต่างรบพุ่งฆ่าฟันกันจนเกิดจลาจลไปทั่วทั้งเมือง ลุกลามไปถึงขุนนางข้าราชการเมืองเสฉวนพลอยรับความเดือดร้อนไปด้วย ทหารวุยก๊กเห็นขุนนางข้าราชการเมืองเสฉวนคนใดสนิทชิดเชื้อกับทหารวุยก๊กอีกฝ่ายหนึ่งก็พากันเข้าไปทำร้ายเข่นฆ่าบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก เตียวเอ๊กนายทหารผู้ใหญ่ของเมืองเสฉวนและกวนอี้บุตรของกวนอูซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ รวมทั้งราชบุตรคนหนึ่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็พลอยถูกลูกหลงถึงแก่ความตายในการจลาจลด้วย
เหตุการณ์จลาจลในเมืองเสฉวนขยายตัวลุกลาม บ้านเรือนราษฎรและขุนนางข้าราชการถูกเผาผลาญเป็นจำนวนมาก แปดวันต่อมากาอุ้นซึ่งได้รับคำสั่งจากสุมาเจียวให้คุมกองทัพยกหนุนมาแต่เมืองเตียงอันได้ยกทหารมาถึง จึงได้ทำการปราบปรามการจลาจล แล้วสั่งให้ทหารของทุกฝ่ายยุติการรบราฆ่าฟันและจัดสังกัดกรมกองใหม่
กาอุ้นคุมทหารทั้งปวงอยู่ในความสงบเรียบร้อยแล้ว จึงออกหมายประกาศให้ราษฎรทั้งปวงกลับบ้านเรือนทำมาหากินตามปกติ แล้วแต่งตั้งให้อุยก๋วนทำหน้าที่รักษาการเจ้าเมืองเอ๊กจิ๋ว
ครั้นกาอุ้นจัดแจงเมืองเสฉวนเป็นปกติแล้ว จึงเชิญตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนพร้อมกับขุนนางผู้ใหญ่อีกสี่คน คือฮวนเกี๋ยน เตงเจี๋ยว เจียวจิ๋ว และขับเจ้ง ออกจากเมืองเอ๊กจิ๋วเดินทางไปเมืองเตียงอัน
ฝ่ายเตงฮองแม่ทัพของง่อก๊กซึ่งยกมาตั้งรักษาการอยู่ที่ชายแดนเมืองเสฉวนตามที่จูกัดเจี๋ยมได้ร้องขอต่อพระเจ้าซุนฮิว ครั้นได้ทราบว่าเมืองเสฉวนเสียแก่วุยก๊กแล้ว จึงเลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋งแล้วรายงานความทั้งปวงให้พระเจ้าซุนฮิวทราบ
พระเจ้าซุนฮิวทราบความก็ตกพระทัย ตรัสว่า “เมืองเสฉวนกับเมืองเราก็เหมือนฟันกับปาก เมื่อแลเมืองเสฉวนเสียแก่สุมาเจียวฉะนี้แล้ว เห็นว่าสุมาเจียวจะมิหยุด จะยกมาทำร้ายแก่เมืองเราเป็นมั่นคง”
พระเจ้าซุนฮิวตรัสดังนั้นแล้ว จึงมีหมายรับสั่งตั้งให้ลกข้องซึ่งเป็นบุตรของลกซุนไปรักษาเมืองเกงจิ๋ว ให้แต่งทหารเพิ่มเติมรักษาด่านและหัวเมืองทั้งปวง ให้ซุนฮีไปรักษาเมืองลำชี ให้ทำหน้าที่สอดแนมข่าวสารความเคลื่อนไหวของกองทัพวุยก๊ก และมีหมายเกณฑ์ทหารไปตั้งค่ายอยู่ตามชายทะเลและแม่น้ำรอบแดนเมืองกังตั๋งรวมสามร้อยค่าย และปลุกขวัญกำลังใจให้ราษฎรทั้งปวงเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสงคราม
พระเจ้าซุนฮิวจัดแจงแต่งทหารป้องกันเมืองกังตั๋งดังนั้นแล้ว จึงรับสั่งตั้งให้เตงฮองขุนพลผู้เฒ่าเป็นแม่ทัพใหญ่บังคับบัญชาการกองทัพทุกกรมกอง และให้กวดขันตรวจตราด่านทั้งปวงอันเป็นทางที่กองทัพวุยก๊กจะยกล่วงมาแดนเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายกาอุ้นครั้นนำขบวนพระเจ้าเล่าเสี้ยนและทหารกลับไปถึงเมืองเตียงอันแล้ว ได้จัดแจงที่พักรับรองให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนและขุนนางเมืองเสฉวนพำนัก และเข้าไปรายงานความให้สุมาเจียวทราบทุกประการ
วันรุ่งขึ้นสุมาเจียวจึงให้กาอุ้นนำพระเจ้าเล่าเสี้ยนเข้ามาพบ พระเจ้าเล่าเสี้ยนพร้อมกับขุนนางเมืองเสฉวนได้กระทำคำนับสุมาเจียวตามธรรมเนียมแล้วโอภาปราศรัยตามประเพณีเจ้าหัวเมืองขึ้นกระทำต่อเจ้าประเทศราช หลังจากนั้นอีกสองวันสุมาเจียวจึงยกทหารและพาพระเจ้าเล่าเสี้ยนพร้อมกับขุนนางเมืองเสฉวนกลับไปเมืองลกเอี๋ยง แล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจฮวน กราบทูลให้ทรงทราบความทุกประการ
สุมาเจียวกลับออกจากที่เฝ้าแล้วสั่งทหารให้ไปเชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนเข้ามาหา แล้วตำหนิติเตียนว่า ตัวท่านเป็นเชื้อสายกษัตริย์แต่หาได้ประพฤติพระองค์อยู่ในทำนองคลองธรรมไม่ หมกมุ่นอยู่กับสุรานารีและขันทีจนลืมราชกิจ ถอดถอนขับไล่ไสส่งขุนนางผู้มีสติปัญญาความสามารถออกจากราชการ คบหาแต่คนชั่วช้าแล้วยกย่องให้เป็นใหญ่ในราชสำนัก บ้านเมืองจึงฟั่นเฟือนผันแปรวิปริตไป ราษฎรทั้งปวงได้ยากลำบากเป็นอันมาก นับเป็นความผิดฉกรรจ์ ควรที่จะต้องประหารชีวิตเสียมิให้เป็นแบบอย่าง
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ก้มหน้าหมอบนิ่งอยู่กับที่ บรรดาที่ปรึกษาของสุมาเจียวได้ยินดังนั้นจึงพากันทัดทานว่า เป็นประเพณีแต่โบราณมา เมื่อแคว้นอื่นยอมเป็นข้าในขอบขัณฑสีมาจะได้รับยกเว้นโทษประหาร เป็นวิเทโศบายให้แคว้นอื่นยอมจำนนโดยสมัครใจ จึงไม่ควรที่จะประหารเล่าเสี้ยนให้ผิดประเพณีไป
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านทั้งปวงอย่าได้ปรารมภ์ ซึ่งเรากล่าวความทั้งนี้เพื่อหยอกล้อหยั่งดูขวัญกำลังใจพระเจ้าเล่าเสี้ยนดอก กล่าวแล้วสุมาเจียวจึงตั้งให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีตำแหน่งเป็นหลวงสุขสันต์ มีบรรดาศักดิ์ชั้นกง ให้จัดบ้านพักรับรองเป็นที่พัก มีเบี้ยหวัดผ้าปีตามศักดิ์ชั้นกง มอบผ้าแพรและคนใช้ชายหญิงให้คอยรับใช้ สำหรับขุนนางจากเมืองเสฉวนซึ่งคุมตัวมาพร้อมกับพระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้นตั้งให้เป็นขุนนางตำแหน่งลอยในราชสำนัก
พระเจ้าเล่าเสี้ยนและขุนนางจากเมืองเสฉวนได้คำนับขอบคุณสุมาเจียว และถูกนำตัวไปยังที่พำนักตามที่สุมาเจียวได้สั่งการจัดให้นั้น
วันหนึ่งทหารรักษาการณ์ได้รายงานสุมาเจียวว่า ฮุยโฮขันทีของพระเจ้าเล่าเสี้ยนซึ่งหลบหนีเข้ามาอยู่ในแผ่นดินวุยก๊กนั้นถูกจับตัวได้แล้ว สุมาเจียวได้ไต่สวนความทราบว่าฮุยโฮเป็นขันทีสุดชั่วช้า ปรนเปรอพระเจ้าเล่าเสี้ยนจนแผ่นดินเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าเป็นความผิดฉกรรจ์ จึงให้คุมตัวฮุยโฮไปตัดแขนตัดขาที่กลางตลาด ประกาศความผิดให้คนทั้งปวงทราบ เสร็จแล้วให้ตัดศีรษะเสีย
วันรุ่งขึ้นสุมาเจียวได้จัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนยอมสวามิภักดิ์ที่จวนของมหาอุปราช จัดให้มีการฟ้อนรำและดนตรีเป็นที่สนุกสนาน สุมาเจียวลอบสังเกตดูเห็นบรรดาขุนนางจากเมืองเสฉวนพากันคิดถึงบ้าน ครอบครัว บุตรภรรยา มีสีหน้าซึมเศร้า แต่กลับเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนกำลังทรงพระเกษมสำราญกับการระบำรำฟ้อนมิได้ทุกข์ร้อนประการใด
สุมาเจียวจึงแสร้งถามพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ท่านมาอยู่เมืองลกเอี๋ยงนี้มิได้คิดถึงเมืองเสฉวนบ้างหรืออย่างไร.
เกียงอุยฟังจงโฮยเล่าความฝันให้ฟังตลอดแล้วก็รู้ว่าเป็นนิมิตร้าย เห็นจงโฮยจะถึงแก่ความตายก็มีความยินดี แต่ครั้นจะกล่าวความไปตามจริงก็เกรงว่าแผนการกอบกู้ฮั่นจะชะงักงันลงไป จึงแสร้งกล่าวว่าซึ่งท่านฝันทั้งนี้เป็นมงคล ด้วยบรรดางูใหญ่นั้นย่อมหมายถึงทายาทของมังกร แลมังกรนั้นย่อมหมายถึงบัลลังก์พระจักรพรรดิ บุญของท่านมาถึงแล้ว เทพยดาอารักษ์จึงบันดาลนิมิตให้ปรากฏ
จงโฮยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี มั่นใจว่ากำลังกองทัพและอำนาจครองเมืองเสฉวนที่มีอยู่นั้น ถ้าหากกำจัดสุมาเจียวได้ก็จะได้ครองอำนาจเป็นใหญ่ในวุยก๊ก หรือถ้าหากจำต้องล่าถอยก็อาจตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ในเมืองเสฉวนตามแบบอย่างของพระเจ้าฮั่นโกโจและพระเจ้าเล่าปี่
เกียงอุยเห็นจงโฮยกำเริบในอำนาจวาสนาตามความฝันฉะนั้น จึงเร่งยุจงโฮยว่าท่านได้กักขังขุนนางและแม่ทัพนายกองไว้หลายเพลาแล้ว แต่ไม่เห็นมีผู้ใดพร้อมใจ ยินยอมทำการด้วยท่าน หากกักขังไว้เช่นนี้สืบไปก็เหมือนบ่งหนามไว้ในใจ จะหาความสุขมิได้ ตัวท่านมีสติปัญญา ควรเร่งคิดอ่านทำการเถิด
จงโฮยได้ฟังดังนั้นจึงว่า เมื่อท่านเห็นว่าป่วยการที่จะกักขังคนพวกนี้ไว้ต่อไป ก็จงนำทหารไปคุมเอาตัวขุนนางและแม่ทัพนายกองเหล่านั้นเอาไปตัดศีรษะเสียให้สิ้น
เกียงอุยรับคำจงโฮยแล้วคำนับลาพาทหารห้าร้อยคนขี่ม้าตรงไปที่ศาลาว่าราชการเมืองเอ๊กจิ๋ว แต่พอออกไปถึงหน้าจวนที่พักของจงโฮยเกียงอุยให้รู้สึกแน่นจุกในหัวอก ฟุบสิ้นสติอยู่บนหลังม้า ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปประคองเกียงอุยลงจากหลังม้ามานั่งพักที่ข้างทางแล้วช่วยกันนวดเฟ้น
พอเกียงอุยฟื้นลืมตาขึ้นให้รู้สึกอ่อนเพลีย มืออ่อน เท้าอ่อน จึงรีบถามทหารว่าข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน ยังไม่ทันที่ทหารจะตอบ พลันได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารดังกึกก้องดังมาจากข้างนอกกำแพงเมืองทั้งสี่ด้าน เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปหาจงโฮย แล้วรายงานว่าบัดนี้มีทหารจำนวนมากกำลังจู่โจมจะเข้าตีเมืองทั้งสี่ด้าน ชะรอยจะเป็นทหารวุยก๊กพรรคพวกของขุนนางและแม่ทัพนายกองซึ่งถูกจำขังไว้เป็นมั่นคง
จงโฮยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ แต่มิทันที่จะกล่าวประการใด พลันเห็นแสงไฟลุกขึ้นข้างในเมืองเอ๊กจิ๋ว และมีเสียงร้องบอกต่อ ๆ กันว่าเฮาเกียนและอุยก๋วนยกทหารเข้าเมืองมาแล้ว จงโฮยผลุนผลันร้องเรียกนายทหารเพื่อจะสั่งการให้ต่อสู้ แต่ทันใดนั้นทหารของอุยก๋วนและเฮาเกียนได้ยกมาถึงจวนของจงโฮย แล้วกรูกันเข้ามาข้างในจวน
จงโฮยเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบวิ่งขึ้นไปอยู่บนชั้นสองของจวน ทหารของเฮาเกียนและอุยก๋วนจึงเอาเพลิงสุมไว้ที่ข้างนอกจวน จงโฮยเห็นเหตุการณ์จวนตัวคับขันจึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ตัวกูก็เป็นชาติทหาร หาได้เกรงกลัวต่อความตายไม่ กล่าวแล้วจงโฮยจึงชักกระบี่ออกมาไล่ฆ่าฟันทหารของเฮาเกียนและอุยก๋วนบาดเจ็บล้มตายลงสิบกว่าคน ทหารของเฮาเกียนและอุยก๋วนเห็นจงโฮยบ้าระห่ำจึงล้อมจงโฮยไว้ห่าง ๆ แล้วระดมยิงเกาทัณฑ์ไปที่จงโฮย ถูกจงโฮยล้มลงถึงแก่ความตาย ทหารของเฮาเกียนจึงวิ่งเข้าไปตัดศีรษะจงโฮย
ฝ่ายเกียงอุยเห็นทหารวุยก๊กจู่โจมเข้ามาโดยไม่คาดฝันดังนั้น จึงชักกระบี่ไล่ฆ่าฟันทหารวุยก๊ก แต่พลันให้จุกแน่นขึ้นในอกซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ยืนทรงกายไม่ได้ต้องทรุดตัวลงนั่ง เกียงอุยทอดถอนใจใหญ่คิดว่าเราสิคิดอ่านอุบายหมายให้ทหารวุยก๊กฆ่าฟันกันเองแล้วจะเชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์สืบไป การทั้งปวงเป็นไปตามแผนอุบายลุล่วงจวนตลอดแล้ว แต่สวรรค์ไม่เป็นใจจึงบันดาลให้พลิกผันไปสิ้น เมื่อฟ้าตาบอดมืดมัว บำรุงคนชั่วให้มีอำนาจฉะนี้จะมีชีวิตไปก็ป่วยการ เกียงอุยคิดดังนั้นแล้วจึงเอากระบี่เชือดคอตาย ในขณะนั้นเกียงอุยมีอายุได้ห้าสิบเก้าปี
ในขณะนั้นบรรดาขุนนางและทหารวุยก๊กซึ่งคูเกี๋ยนได้ปล่อยตัวเป็นอิสระแล้ว ต่างคนต่างรู้ว่าจงโฮยและเกียงอุยร่วมกันคิดอ่านกักขังพวกตัว จึงพากันยกมาที่จวนของจงโฮย พอเห็นศพเกียงอุยก็ยิ่งโกรธ คิดว่าเกียงอุยเป็นผู้ยุยงให้จงโฮยก่อการกบฏ จึงชวนกันเข้าไปเอากระบี่ฟาดฟันศพของเกียงอุย และผ่าอกของเกียงอุยตลอดไปถึงหน้าท้อง เห็นดีของเกียงอุยโตเท่าไข่ห่าน
นายกองคนหนึ่งเห็นดีของเกียงอุยจึงกล่าวขึ้นว่า “เกียงอุยมีดีใหญ่ฉะนี้หรือ จะมิกล้าหาญเข้มแข็งเป็นทหารเอก” กล่าวแล้วก็วิ่งเข้าไปตัดศีรษะเกียงอุย
ฝ่ายทหารของจงโฮยพอทราบว่าจงโฮยถูกจู่โจมสังหารก็โกรธ พากันยกพวกมารบพุ่งกับทหารของเฮาเกียนและอุยก๋วน ทั้งสองฝ่ายได้ฆ่าฟันกันเองบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ชาวเมืองเสฉวนเห็นเหตุการณ์วุ่นวายเป็นจลาจลจึงพากันปิดประตูบ้าน บ้างก็พากันหนีเข้าป่าหลบภัย
ฝ่ายทหารซึ่งเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเตงงาย ครั้นเห็นเหตุการณ์เป็นจลาจลดังนั้นจึงพากันติดตามหาตัวเตงงายว่าถูกกักขังอยู่ในที่ใด ครั้นได้ทราบว่าเตงงายถูกจงโฮยส่งตัวไปเมืองลกเอี๋ยง จึงพากันติดตามไปหวังจะชิงเอาตัวเตงงายในระหว่างทาง
ครั้นอุยก๋วนได้ทราบว่าทหารใต้บังคับบัญชาของเตงงายพากันยกติดตามจะไปชิงเอาตัวเตงงายในระหว่างทางก็ตกใจกลัว รีบปรึกษากับเตงซกซึ่งเป็นคนสนิทว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้คิดอ่านวางแผนการจับตัวเตงงาย หากเตงงายถูกช่วยเหลือออกมาแล้วเห็นจะคุมทหารกลับมาล้างแค้นข้าพเจ้า ท่านจะเห็นประการใด
เตงซกจึงว่าข้าพเจ้ามีความพยาบาทอาฆาตแค้นอยู่กับเตงงายเป็นอันมาก เพราะเมื่อครั้งที่เตงงายจะยกไปตีเอาเมืองโปยเสียนั้น ข้าพเจ้าได้ทัดทานขอให้พักทหารบำรุงเลี้ยงพอหายอิดโรยก่อนจึงค่อยยกไป เตงงายโกรธ สั่งประหารชีวิตข้าพเจ้า โชคดีที่เพื่อนนายทหารร้องขอชีวิตไว้จึงรอดจากความตาย ซึ่งเตงงายถูกจับกุมในครั้งนี้เห็นจะคิดว่าข้าพเจ้าร่วมก่อการวางแผนด้วย หากปล่อยให้เตงงายรอดออกมา ทั้งท่านและข้าพเจ้าจะถึงแก่ความตายเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะขออาสานำทหารเร่งรุดตามไปฆ่าเตงงายเสียก่อนจึงจะพ้นจากอันตราย
อุยก๋วนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จัดแจงทหารม้าห้าร้อยนายให้เตงซกรีบยกตามเตงงายไป เตงซกรับคำสั่งแล้วคำนับลาอุยก๋วนออกมาจัดแจงทหารแล้วเร่งไล่ติดตามเตงงายไปแต่ในเพลานั้น ครั้นไปทันกับขบวนควบคุมตัวของเตงงายในระหว่างทาง เตงซกไม่พูดจาพาที ชักกระบี่ออกตัดศีรษะเตงงายและเตงต๋งสองพ่อลูก แล้วขับไล่ทหารในขบวนควบคุมจนแตกหนีไป
ทหารวุยก๊กของทั้งฝ่ายเตงงาย ฝ่ายจงโฮย และฝ่ายอุยก๋วนและเฮาเกียนต่างรบพุ่งฆ่าฟันกันจนเกิดจลาจลไปทั่วทั้งเมือง ลุกลามไปถึงขุนนางข้าราชการเมืองเสฉวนพลอยรับความเดือดร้อนไปด้วย ทหารวุยก๊กเห็นขุนนางข้าราชการเมืองเสฉวนคนใดสนิทชิดเชื้อกับทหารวุยก๊กอีกฝ่ายหนึ่งก็พากันเข้าไปทำร้ายเข่นฆ่าบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก เตียวเอ๊กนายทหารผู้ใหญ่ของเมืองเสฉวนและกวนอี้บุตรของกวนอูซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ รวมทั้งราชบุตรคนหนึ่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็พลอยถูกลูกหลงถึงแก่ความตายในการจลาจลด้วย
เหตุการณ์จลาจลในเมืองเสฉวนขยายตัวลุกลาม บ้านเรือนราษฎรและขุนนางข้าราชการถูกเผาผลาญเป็นจำนวนมาก แปดวันต่อมากาอุ้นซึ่งได้รับคำสั่งจากสุมาเจียวให้คุมกองทัพยกหนุนมาแต่เมืองเตียงอันได้ยกทหารมาถึง จึงได้ทำการปราบปรามการจลาจล แล้วสั่งให้ทหารของทุกฝ่ายยุติการรบราฆ่าฟันและจัดสังกัดกรมกองใหม่
กาอุ้นคุมทหารทั้งปวงอยู่ในความสงบเรียบร้อยแล้ว จึงออกหมายประกาศให้ราษฎรทั้งปวงกลับบ้านเรือนทำมาหากินตามปกติ แล้วแต่งตั้งให้อุยก๋วนทำหน้าที่รักษาการเจ้าเมืองเอ๊กจิ๋ว
ครั้นกาอุ้นจัดแจงเมืองเสฉวนเป็นปกติแล้ว จึงเชิญตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนพร้อมกับขุนนางผู้ใหญ่อีกสี่คน คือฮวนเกี๋ยน เตงเจี๋ยว เจียวจิ๋ว และขับเจ้ง ออกจากเมืองเอ๊กจิ๋วเดินทางไปเมืองเตียงอัน
ฝ่ายเตงฮองแม่ทัพของง่อก๊กซึ่งยกมาตั้งรักษาการอยู่ที่ชายแดนเมืองเสฉวนตามที่จูกัดเจี๋ยมได้ร้องขอต่อพระเจ้าซุนฮิว ครั้นได้ทราบว่าเมืองเสฉวนเสียแก่วุยก๊กแล้ว จึงเลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋งแล้วรายงานความทั้งปวงให้พระเจ้าซุนฮิวทราบ
พระเจ้าซุนฮิวทราบความก็ตกพระทัย ตรัสว่า “เมืองเสฉวนกับเมืองเราก็เหมือนฟันกับปาก เมื่อแลเมืองเสฉวนเสียแก่สุมาเจียวฉะนี้แล้ว เห็นว่าสุมาเจียวจะมิหยุด จะยกมาทำร้ายแก่เมืองเราเป็นมั่นคง”
พระเจ้าซุนฮิวตรัสดังนั้นแล้ว จึงมีหมายรับสั่งตั้งให้ลกข้องซึ่งเป็นบุตรของลกซุนไปรักษาเมืองเกงจิ๋ว ให้แต่งทหารเพิ่มเติมรักษาด่านและหัวเมืองทั้งปวง ให้ซุนฮีไปรักษาเมืองลำชี ให้ทำหน้าที่สอดแนมข่าวสารความเคลื่อนไหวของกองทัพวุยก๊ก และมีหมายเกณฑ์ทหารไปตั้งค่ายอยู่ตามชายทะเลและแม่น้ำรอบแดนเมืองกังตั๋งรวมสามร้อยค่าย และปลุกขวัญกำลังใจให้ราษฎรทั้งปวงเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสงคราม
พระเจ้าซุนฮิวจัดแจงแต่งทหารป้องกันเมืองกังตั๋งดังนั้นแล้ว จึงรับสั่งตั้งให้เตงฮองขุนพลผู้เฒ่าเป็นแม่ทัพใหญ่บังคับบัญชาการกองทัพทุกกรมกอง และให้กวดขันตรวจตราด่านทั้งปวงอันเป็นทางที่กองทัพวุยก๊กจะยกล่วงมาแดนเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายกาอุ้นครั้นนำขบวนพระเจ้าเล่าเสี้ยนและทหารกลับไปถึงเมืองเตียงอันแล้ว ได้จัดแจงที่พักรับรองให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนและขุนนางเมืองเสฉวนพำนัก และเข้าไปรายงานความให้สุมาเจียวทราบทุกประการ
วันรุ่งขึ้นสุมาเจียวจึงให้กาอุ้นนำพระเจ้าเล่าเสี้ยนเข้ามาพบ พระเจ้าเล่าเสี้ยนพร้อมกับขุนนางเมืองเสฉวนได้กระทำคำนับสุมาเจียวตามธรรมเนียมแล้วโอภาปราศรัยตามประเพณีเจ้าหัวเมืองขึ้นกระทำต่อเจ้าประเทศราช หลังจากนั้นอีกสองวันสุมาเจียวจึงยกทหารและพาพระเจ้าเล่าเสี้ยนพร้อมกับขุนนางเมืองเสฉวนกลับไปเมืองลกเอี๋ยง แล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจฮวน กราบทูลให้ทรงทราบความทุกประการ
สุมาเจียวกลับออกจากที่เฝ้าแล้วสั่งทหารให้ไปเชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนเข้ามาหา แล้วตำหนิติเตียนว่า ตัวท่านเป็นเชื้อสายกษัตริย์แต่หาได้ประพฤติพระองค์อยู่ในทำนองคลองธรรมไม่ หมกมุ่นอยู่กับสุรานารีและขันทีจนลืมราชกิจ ถอดถอนขับไล่ไสส่งขุนนางผู้มีสติปัญญาความสามารถออกจากราชการ คบหาแต่คนชั่วช้าแล้วยกย่องให้เป็นใหญ่ในราชสำนัก บ้านเมืองจึงฟั่นเฟือนผันแปรวิปริตไป ราษฎรทั้งปวงได้ยากลำบากเป็นอันมาก นับเป็นความผิดฉกรรจ์ ควรที่จะต้องประหารชีวิตเสียมิให้เป็นแบบอย่าง
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ก้มหน้าหมอบนิ่งอยู่กับที่ บรรดาที่ปรึกษาของสุมาเจียวได้ยินดังนั้นจึงพากันทัดทานว่า เป็นประเพณีแต่โบราณมา เมื่อแคว้นอื่นยอมเป็นข้าในขอบขัณฑสีมาจะได้รับยกเว้นโทษประหาร เป็นวิเทโศบายให้แคว้นอื่นยอมจำนนโดยสมัครใจ จึงไม่ควรที่จะประหารเล่าเสี้ยนให้ผิดประเพณีไป
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านทั้งปวงอย่าได้ปรารมภ์ ซึ่งเรากล่าวความทั้งนี้เพื่อหยอกล้อหยั่งดูขวัญกำลังใจพระเจ้าเล่าเสี้ยนดอก กล่าวแล้วสุมาเจียวจึงตั้งให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีตำแหน่งเป็นหลวงสุขสันต์ มีบรรดาศักดิ์ชั้นกง ให้จัดบ้านพักรับรองเป็นที่พัก มีเบี้ยหวัดผ้าปีตามศักดิ์ชั้นกง มอบผ้าแพรและคนใช้ชายหญิงให้คอยรับใช้ สำหรับขุนนางจากเมืองเสฉวนซึ่งคุมตัวมาพร้อมกับพระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้นตั้งให้เป็นขุนนางตำแหน่งลอยในราชสำนัก
พระเจ้าเล่าเสี้ยนและขุนนางจากเมืองเสฉวนได้คำนับขอบคุณสุมาเจียว และถูกนำตัวไปยังที่พำนักตามที่สุมาเจียวได้สั่งการจัดให้นั้น
วันหนึ่งทหารรักษาการณ์ได้รายงานสุมาเจียวว่า ฮุยโฮขันทีของพระเจ้าเล่าเสี้ยนซึ่งหลบหนีเข้ามาอยู่ในแผ่นดินวุยก๊กนั้นถูกจับตัวได้แล้ว สุมาเจียวได้ไต่สวนความทราบว่าฮุยโฮเป็นขันทีสุดชั่วช้า ปรนเปรอพระเจ้าเล่าเสี้ยนจนแผ่นดินเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าเป็นความผิดฉกรรจ์ จึงให้คุมตัวฮุยโฮไปตัดแขนตัดขาที่กลางตลาด ประกาศความผิดให้คนทั้งปวงทราบ เสร็จแล้วให้ตัดศีรษะเสีย
วันรุ่งขึ้นสุมาเจียวได้จัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนยอมสวามิภักดิ์ที่จวนของมหาอุปราช จัดให้มีการฟ้อนรำและดนตรีเป็นที่สนุกสนาน สุมาเจียวลอบสังเกตดูเห็นบรรดาขุนนางจากเมืองเสฉวนพากันคิดถึงบ้าน ครอบครัว บุตรภรรยา มีสีหน้าซึมเศร้า แต่กลับเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนกำลังทรงพระเกษมสำราญกับการระบำรำฟ้อนมิได้ทุกข์ร้อนประการใด
สุมาเจียวจึงแสร้งถามพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ท่านมาอยู่เมืองลกเอี๋ยงนี้มิได้คิดถึงเมืองเสฉวนบ้างหรืออย่างไร.