ตอนที่ 650. บทเรียนเมื่อนายระแวงบ่าว

หลังจากกำจัดเตงงายแล้ว เกียงอุยได้วางแผนยุยงให้จงโฮยเป็นกบฏต่อวุยก๊กซึ่งสบอัธยาศัยของจงโฮย เพราะเมื่อได้ครองอำนาจในเมืองเสฉวนแล้วจงโฮยก็กำเริบในอำนาจ จึงทำการสร้างความนิยมในหมู่ประชาชน ซ่องสุมทหารและเสบียงเตรียมพร้อมที่จะป้องกันรักษาเมืองเสฉวนและยกไปตีเมืองกังตั๋งและเมืองลกเอี๋ยงต่อไป

            วันหนึ่งทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานจงโฮยว่า สุมาเจียวใช้ทหารให้ถือหนังสือมามอบแก่จงโฮย ครั้นจงโฮยรับหนังสือนั้นมาเปิดออกอ่านดู ปรากฏความว่าสุมาเจียวได้ยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองเตียงอัน เพราะเกรงว่ากองทัพของจงโฮยจะไม่สามารถกำจัดเตงงายได้ตามคำสั่ง และให้จงโฮยรายงานความข้างเมืองเสฉวนไปให้สุมาเจียวทราบโดยพลัน

            จงโฮยอ่านจบความก็ตกใจ รีบปรึกษากับเกียงอุยว่าข้าพเจ้ายกกองทัพมาครั้งนี้มีกำลังไพร่พลมากกว่าทหารของเตงงายถึงหกเท่า มหาอุปราชจิ้นก๋งย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าด้วยกำลังกองทัพระดับนี้ย่อมสามารถกำจัดเตงงายได้โดยง่าย การที่จิ้นก๋งยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองเตียงอันเห็นจะไม่ใช่ยกมาช่วยข้าพเจ้า หากเป็นเพราะจิ้นก๋งแคลงใจ ข้าพเจ้าว่าจะเอาใจออกหากเป็นมั่นคง

            เกียงอุยทราบความดังนั้นก็ดีใจ เห็นโอกาสที่แผนการจะสำเร็จในขั้นสุดท้าย จึงกล่าวเสริมว่าข้าพเจ้าได้แจ้งแก่ท่านก่อนแล้วว่า มีอำนาจเป็นที่สองรองคนอื่นนั้นจักเป็นอันตราย บทเรียนของยอดขุนพลฮั่นสินที่ถูกพระเจ้าฮั่นโกโจสังหารกำลังจะปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว โบราณว่าเมื่อผู้เป็นนายแคลงใจบ่าว ชีวิตบ่าวก็ต้อง  ดับดิ้นดังตัวอย่างที่สุมาเจียวคิดอ่านกำจัดเตงงายนั้น สุมาเจียวยกมาครั้งนี้เห็นจะคิดกำจัดท่านเป็นแน่แล้ว

            จงโฮยจึงว่า ท่านจะกล่าวความซ้ำอีกให้มากความไย ความในใจข้าพเจ้าเป็นประการใดท่านก็ประจักษ์แจ้งอยู่แล้ว เมื่อจิ้นก๋งหวาดระแวงยกทหารมาจะกำจัดข้าพเจ้าดังนี้แล้ว วิสัยชายชาติทหารไหนเลยจะยอมงอมืองอเท้าให้ถูกเข่นฆ่าตามอำเภอใจได้ จำจะยกไปรบพุ่งกับสุมาเจียวให้ประจักษ์ฝีมือ หากแม้นขัดสนประการใดก็จะล่าถอยทัพกลับเข้าเมืองเสฉวน ตั้งตัวเป็นใหญ่ตามแบบอย่างของพระเจ้าฮั่นโกโจและพระเจ้าเล่าปี่นั้นเถิด

            เกียงอุยจึงว่า เมื่อท่านตัดสินใจเด็ดขาดฉะนี้แล้ว ชอบที่จะทำลายความชอบธรรมของสุมาเจียวก่อน เพื่อให้ทหารทั้งปวงเอาใจออกหากจากสุมาเจียว จึงจะกำจัดสุมาเจียวได้โดยสะดวก 

            จงโฮยจึงถามว่า ท่านจะคิดอ่านแผนการอย่างใดเล่า

            เกียงอุยจึงว่า ข้าพเจ้าได้ทราบว่าพระนางก๊วยไทเฮาเพิ่งเสด็จสวรรคต ขอให้ท่านแต่งเป็นพระราชโองการของพระนางก๊วยไทเฮาว่า สุมาเจียวคิดจะชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉ จึงให้ขุนนางทั้งปวงผู้ภักดีช่วยกันคิดอ่านกำจัดสุมาเจียวเสีย ด้วยสติปัญญาความสามารถของท่านนั้นอย่าว่าแต่จะกำจัดสุมาเจียวเลย แม้จะยึดครองแผ่นดินตงง้วนมาเป็นสิทธิ แล้วรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่งเหมือนพระเจ้าฮั่นโกโจก็จะสำเร็จดังปรารถนา

            จงโฮยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ และกล่าวว่าท่านยกย่องข้าพเจ้าจะให้ทำการอย่างพระเจ้าฮั่นโกโจ แล้วตัวท่านเล่าจะมิใช่เตียวเหลียงดอกหรือ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ชวนกันหัวเราะ และกล่าวว่าข้าพเจ้ายอมเป็นข้าท่านสุดแต่จะไหว้วานใช้สอย จึงขออาสาท่านเป็นกองทัพหน้า แต่เกรงว่าทหารวุยก๊กอาจจะไม่เชื่อฟังคำสั่ง

            จงโฮยจึงว่า ตัวท่านเป็นเพื่อนร่วมสาบานของข้าพเจ้า ทหารวุยก๊กอยู่ในบังคับบัญชาของข้าพเจ้าประการใดก็ย่อมต้องเชื่อฟังอยู่ในบังคับบัญชาของท่านประการนั้น หากแม้นผู้ใดฝ่าฝืนข้าพเจ้าก็จะตัดศีรษะเสีย

            จงโฮยกล่าวสืบไปว่า วันพรุ่งนี้เป็นเทศกาลฉลองรับเจ้าซึ่งเสด็จกลับจากสรวงสวรรค์มาประจำอยู่ที่มนุษยโลก จะมีงานฉลองตามประเพณี ข้าพเจ้าจะแต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางข้าราชการและแม่ทัพนายกองทั้งปวง จะประกาศแต่งตั้งให้ท่านเป็นแม่ทัพหน้า หากผู้ใดไม่ยอมเชื่อฟังก็จะประหารชีวิตเสียทั้งสิ้น เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี คำนับขอบคุณจงโฮย

            พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยเจ็ดพรรษา เดือนสาม แรมสิบห้าค่ำเป็นเทศกาลที่ถือว่าบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายซึ่งสถิตอยู่ในมนุษยโลกหลังจากที่ได้ขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้บนสวรรค์ก่อนเทศกาลวันตรุษได้กลับสู่มนุษยโลกแล้ว จึงมีประเพณีการเซ่นไหว้บูชาต้อนรับและมีงานเฉลิมฉลอง จงโฮยจึงได้จัดงานสันนิบาตสโมสรขึ้นที่ศาลาว่าราชการเมืองเอ๊กจิ๋ว

            หลังจากขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวงเสพสุราอาหารผ่านไปครู่หนึ่ง จงโฮยได้ถือจอกสุราไปยืนอยู่ข้างหน้าคนทั้งปวงแล้วทำทีเป็นร้องไห้ บรรดาขุนนางและแม่ทัพนายกองเห็นดังนั้นก็ประหลาดใจ จึงถามจงโฮยว่าเหตุไฉนท่านจึงร้องไห้

            จงโฮยจึงกล่าวว่า เราร้องไห้ก็เพราะรำลึกถึงพระนางก๊วยไทเฮาผู้มีพระคุณต่อแผ่นดิน ก่อนที่พระนางจะสวรรคตได้มีพระราชโองการลับฉบับหนึ่งมาถึงเราว่า จิ้นก๋งสุมาเจียวคิดกบฏจะชิงเอาราชสมบัติ ให้ขุนนางผู้ภักดีทั้งปวงร่วมแรงร่วมใจกันกำจัดสุมาเจียวเสีย พวกเรายกมาทำงานเพื่อแผ่นดินอยู่แดนไกล คิดไม่ถึงว่าสุมาเจียวจะคิดอ่านกำเริบเป็นกบฏต่อแผ่นดินจึงแค้นใจนัก ขอเชิญชวนท่านทั้งปวงเข้าชื่อร่วมเป็นผู้ก่อการทำการกำจัดสุมาเจียวตามพระราชโองการนี้พร้อมกันเถิด

            บรรดาขุนนางและแม่ทัพนายกองของวุยก๊กได้ยินคำจงโฮยดังนั้นก็ตกใจ เพราะไม่เคยนึกฝันมาแต่ก่อน จึงลังเลไม่อาจตัดสินใจ พากันมองหน้ามองตากันปริบ ๆ

            จงโฮยเห็นดังนั้นจึงชักเอากระบี่ชูขึ้นแล้วประกาศว่า เป็นชาติทหารจำต้องยอมพลีชีวิตอุทิศเพื่อพระจักรพรรดิ หากเป็นข้าทหารแล้วไม่มีน้ำใจภักดีต่อเจ้าตายเสียย่อมดีกว่าอยู่ ดังนั้นใครไม่เข้าร่วมด้วยเราย่อมถือได้ว่าเป็นผู้ไม่ภักดีต่อเจ้า เลี้ยงไว้ก็เปลืองข้าวแดงแกงร้อนหาประโยชน์มิได้ เราจะตัดศีรษะเสีย

            บรรดาขุนนางและแม่ทัพนายกองชาววุยก๊กเห็นจงโฮยผู้เป็นแม่ทัพใหญ่แข็งกร้าวปานนั้นก็ไม่อาจขัดขืนได้ จึงพากันลงชื่อเข้าเป็นผู้ร่วมก่อการตั้งขบวนการกำจัดสุมาเจียว

            ครั้นคนทั้งปวงลงชื่อเสร็จแล้ว จงโฮยเกรงว่าความจะแพร่งพรายเพราะสังเกตเห็นว่าแม่ทัพนายกองหลายคนลงชื่อแบบเสียไม่ได้ จึงมีคำสั่งกักบริเวณขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวงไว้ภายในศาลาว่าราชการเมืองเอ๊กจิ๋ว และให้ทหารคุ้มกันประตูเข้าออก ห้ามมิให้คนในออก ห้ามมิให้คนนอกเข้า

            เกียงอุยต้องการจะบั่นทอนกำลังทหารวุยก๊ก จึงเข้าไปกล่าวกับจงโฮยว่าความซึ่งท่านกล่าวกับขุนนางแลแม่ทัพนายกองนั้นเป็นเรื่องใหญ่และคอขาดบาดตาย หากแพร่งพรายไปอันตรายก็จะมาถึงตัวท่านเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าแม่ทัพนายกองทั้งนั้นลงชื่อสักแต่พอเป็นพิธี หามีน้ำใจสุจริตต่อแผ่นดินไม่ ซึ่งจะกักขังไว้ต่อไปก็ป่วยการ ควรที่จะประหารชีวิตเสียให้สิ้น จะได้หมดกังวลสืบไป

            จงโฮยจึงว่า ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกับท่าน จึงได้สั่งการให้ทหารขุดหลุมขนาดใหญ่เตรียมไว้ข้างในพระราชวัง จะคุมเอาตัวขุนนางและแม่ทัพนายกองมาสอบถามความสมัครใจอีกครั้งหนึ่ง หากใครขัดขืนก็จะตัดหัวฝังเสียในหลุมนั้น

            ฝ่ายคูเกี๋ยนนายทหารวุยก๊กเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเฮาเหลก ต่อมาจงโฮยรักใคร่ในฝีมือและไว้วางใจ จึงเรียกมาใช้สอยเป็นนายทหารคนสนิท ครั้นได้ยินคำของจงโฮยก็เกรงว่าเฮาเหลกจะเป็นอันตราย คูเกี๋ยนมีน้ำใจรักภักดีต่อเฮาเหลกผู้เป็นนายเก่าซึ่งถูกกักขังร่วมกับขุนนางและแม่ทัพนายกองชาววุยก๊กที่ศาลาว่าราชการเมืองเอ๊กจิ๋ว จึงลอบเข้าไปหาเฮาเหลกและเล่าความให้ฟังทุกประการ

            เฮาเหลกเป็นขุนนางฝ่ายทหารผู้ภักดีต่อวุยก๊ก พอทราบความจากคูเกี๋ยน ดังนั้นก็ตกใจ ร้องไห้แล้วกล่าวกับคูเกี๋ยนว่า นึกไม่ถึงว่าจงโฮยซึ่งได้รับความไว้วางใจจากจิ้นก๋งสิคิดอ่านไม่ซื่อเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แล้วมิหนำยังมีน้ำใจอำมหิตคิดสังหารขุนนางแม่ทัพนายกองซึ่งไม่มีความผิดอีกเล่า วิตกก็แต่เฮาเกียนบุตรของเราซึ่งคุมทหารตั้งอยู่นอกเมือง ไม่ทราบความนัยจะหลงเป็นใจไปเข้าด้วยจงโฮยผู้กบฏ ขอท่านได้เห็นแก่บุญคุณของเราที่เคยเมตตาท่านมาแต่ก่อน ช่วยส่งข่าวคราวแจ้งให้เฮาเกียนบุตรของเราได้ทราบความ อย่าได้เข้าด้วยผู้กบฏเป็นอันขาด ตัวเราจะเป็นตายประการใดก็สุดแท้แต่บุญกรรมเถิด

            คูเกี๋ยนได้ฟังคำเฮาเหลกดังนั้นก็สงสาร น้ำตาแห่งความภักดีต่อผู้เป็นนายไหลปรี่นองใบหน้า แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าไปอยู่กับจงโฮยตามหน้าที่ในราชการนั้นดอก แต่น้ำใจยังใฝ่ภักดีต่อฮ่องเต้ ท่านอย่าได้ปรารมภ์สืบไปเลย ข้าพเจ้าจะคิดอ่านกำจัดจงโฮยผู้กบฏให้จงได้ กล่าวแล้วคูเกี๋ยนจึงคำนับลาเฮาเหลกแล้วกลับไปหาจงโฮย

            คูเกี๋ยนคำนับจงโฮยแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ออกไปตรวจตราการควบคุม ขุนนางแลแม่ทัพนายกองทั้งปวง เห็นว่าการส่งข้าวปลาอาหารให้แก่คนเหล่านั้นยังหละหลวม หากพลาดพลั้งก็จะเกิดเหตุร้ายขึ้นมาได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจะขออาสาทำหน้าที่เป็นผู้กำกับการส่งข้าวปลาอาหารให้แก่ขุนนางและแม่ทัพนายกองซึ่งถูกกักขังเหล่านั้น

            จงโฮยได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ กำชับให้คูเกี๋ยนคอยกำกับการส่งข้าวปลาอาหารอย่างเข้มงวดกวดขัน ถ้าเห็นผู้ใดเต็มใจจะมาเข้าด้วยก็ให้นำความมารายงาน คูเกี๋ยนเห็นการสำเร็จดังประสงค์ก็ดีใจ คำนับลาจงโฮยออกมากำกับการอยู่ที่ศาลาว่าราชการเมืองเอ๊กจิ๋ว

            ครั้นคูเกี๋ยนได้เข้าไปพบเฮาเหลกแล้วแจ้งความให้ทราบ เฮาเหลกได้มอบเสื้อซับในให้แก่คูเกี๋ยนแล้วสั่งว่า ท่านจงเอาเสื้อซับในตัวนี้ไปมอบให้แก่เฮาเกียนบุตรของเราด้วย คูเกี๋ยนรับเอาเสื้อซับในของเฮาเหลกมาคลี่ออกดู ปรากฏเป็นอักษรโลหิตที่เฮาเหลกตัดนิ้วมือแล้วเอาเลือดเขียนเป็นตัวหนังสือใจความว่า จงโฮยเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ให้คิดอ่านกำจัดเสีย

            คูเกี๋ยนเห็นดังนั้นจึงรีบเก็บเสื้อซับในของเฮาเหลกไว้ในเสื้อคลุม ครั้นออกมาจากที่กักขังจึงเอาเสื้อซับในของเฮาเหลกใส่ในถุงหนัง แล้วสั่งทหารคนสนิทให้นำออกไปมอบแก่เฮาเกียนที่ค่ายนอกเมือง

            ฝ่ายเฮาเกียนครั้นได้ทราบความจากสารโลหิตของบิดา จึงสอบถามความจากทหารคนสนิทของคูเกี๋ยน ครั้นทราบความทั้งปวงแล้วเฮาเกียนโกรธจงโฮยเป็นอันมาก จึงเชิญเพื่อนนายทหารที่ควบคุมกำลังเข้ามาปรึกษาพร้อมกัน แล้วเล่าความให้ฟังสิ้นทุกประการ

            บรรดานายทหารผู้ควบคุมกำลังได้ทราบความก็โกรธ กล่าวพร้อมกันว่า “ตัวเราก็ชาติทหาร ได้ทำการสงครามมาก็หลายครั้ง มาตรว่าตัวจะตายด้วยความสัตย์ซื่อ ก็ดูประเสริฐกว่าเป็นข้าของจงโฮยต้องการอันใด เราทั้งปวงจะกระทำตามอำนาจของจงโฮยก็พลอยจะเป็นกบฏ ปรากฏชื่อชั่วตัวไปด้วย เราจะช่วยกันคิดตัดการเสียให้จงได้”

            ปรึกษากันแล้วนายทหารที่ควบคุมกำลังจึงกำหนดให้นายกองแต่ละคนไปแจ้งความให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทราบ แล้วตั้งผู้แทนไปปรึกษากับอุยก๋วนผู้ตรวจราชการกองทัพว่าบรรดาทหารทั้งปวงจะคิดอ่านกำจัดจงโฮยผู้ขบถต่อแผ่นดิน ท่านจะเห็นประการใด

            อุยก๋วนจึงว่า มหาอุปราชจิ้นก๋งคาดการณ์ไม่ผิดเพี้ยนว่าจงโฮยจะคิดขบถต่อแผ่นดิน จึงให้เรามาตรวจราชการกองทัพ ซึ่งพวกท่านทั้งปวงมีความจงรักภักดีต่อ แผ่นดินนั้นควรอยู่แล้ว เราเห็นชอบทุกประการ จงเร่งทำการอย่าได้ชักช้า ตัวเราก็จะร่วมการกำจัดจงโฮยในครั้งนี้ว่าแล้วอุยก๋วนจึงสั่งให้ทหารทั้งปวงเตรียมการให้พร้อมแล้วเร่งยกไปอย่าให้จงโฮยทันได้รู้ตัว อุยก๋วนเร่งให้ทหารของคูเกี๋ยนรีบนำความไปแจ้งให้คูเกี๋ยนทราบ และกำชับว่าเมื่อการข้างในพร้อมแล้วก็ให้จุดเพลิงขึ้นเป็นสัญญาณ ทหารวุยก๊กข้างนอกเมืองก็จะยกเข้าไปพร้อมกัน เห็นจะกำจัดจงโฮยได้เป็นมั่นคง

            ครั้นคูเกี๋ยนทราบความจึงลอบนำความเข้าไปแจ้งให้เฮาเหลกและขุนนาง แม่ทัพนายกองซึ่งถูกกักขังอยู่นั้นให้ทราบทุกประการ และบอกว่าให้ทุกคนเตรียมตัวไว้ให้พร้อม เวลาเที่ยงวันพรุ่งนี้จะจุดเพลิงขึ้นเป็นสัญญาณ แล้วปล่อยให้ท่านทั้งปวงออกมาระดมผู้ใต้บังคับบัญชาจู่โจมเข้าสังหารจงโฮยให้จงได้ ขุนนางและแม่ทัพนายกองที่ถูกจำขังได้ทราบความดังนั้นก็พากันยินดี

            ในคืนวันนั้นเวลาใกล้รุ่งจงโฮยนอนหลับ ฝันเห็นงูใหญ่นับพันตัวเลื้อยจู่โจมเข้ามาถึงตัวแล้วขบกัดรัดพัน จึงตกใจตื่นขึ้น จงโฮยรู้สึกพรั่นใจจึงใช้ให้ทหารรีบไปตามเกียงอุยมาหา จงโฮยได้เล่าความฝันให้เกียงอุยฟังแล้วถามว่าซึ่งข้าพเจ้าฝัน ดังนี้ดีแลร้ายประการใด.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร