ตอนที่ 647. แผนการกอบกู้ฮั่น
เกียงอุยทราบความตามหมายรับสั่งว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนยอมสวามิภักดิ์แก่วุยก๊ก ยกเมืองเสฉวนให้แก่เตงงายโดยง่ายก็ตกใจตะลึงงง พอตั้งสติได้จึงปรึกษากับแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วเสนอแผนการกอบกู้ราชวงศ์ฮั่น ชิงเมืองเสฉวนกลับคืน ทหารทั้งปวงต่างพร้อมใจกันยกให้เกียงอุยเป็นผู้นำในการกอบกู้ฮั่นต่อไป
เกียงอุยได้ยินคำแม่ทัพนายกองทั้งปวงพร้อมเพรียงน้ำใจกันดังนั้นก็มีความยินดี จึงกล่าวว่ามหาอุปราชขงเบ้งได้สอนสั่งวิทยาการการทหารทั้งการรุก การรับ การซุ่มโจมตี การตั้งค่ายกลพยุหะแก่ข้าพเจ้าไว้เป็นอันมาก สุดยอดกลยุทธ์ทางการทหารนั้น มหาอุปราชได้สั่งสอนไว้ว่าคือการหนี เพราะการหนีนั้นคือการรักษาตัวรอดไม่ให้พ่ายแพ้แก่ข้าศึก ตราบใดที่ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ย่อมมีวิสัยที่จะช่วงชิงชัยชนะต่อไปได้
เกียงอุยกล่าวสืบไปว่า การทหารนั้นเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งของการเมือง เป็นไปเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง การจะรบหรือไม่รบ การจะถอยหรือไม่ถอย การจะเอาชนะหรือแพ้ย่อมสุดแท้แต่เป้าหมายทางการเมือง แลสุดยอดกลยุทธ์ทางการเมืองนั้นคือการใช้กำลังศัตรูทำลายศัตรู มหาอุปราชได้เปรียบเทียบไว้ว่าตัวเลขสองของอักษรจีนคือตัวเลขหนึ่งสองตัวหรือขีดสองขีดวางซ้อนกัน เมื่อเอาเลขหนึ่งลบด้วยเลขหนึ่งก็จะกลายเป็นศูนย์ นั่นคือเมื่อใช้กำลังข้าศึกทำลายข้าศึก ข้าศึกก็ย่อมล่มสลายไป เราจึงค่อยชิงชัยชนะโดยมิพักต้องเหนื่อยแรง
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นจึงพากันสรรเสริญว่า ซึ่งท่านกล่าวมานี้หลักแหลม ลึกซึ้งนัก แต่จะทำการประการใดเล่าจึงจะทำลายข้าศึกแล้วกอบกู้ราชวงศ์ฮั่นได้
เกียงอุยจึงว่า กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้เป็นสองสาย สายหนึ่งจงโฮยเป็นแม่ทัพใหญ่ยกไปตีเอาเมืองฮันต๋ง อีกสายหนึ่งเตงงายเป็นปลัดทัพยกมาตีเอาเมืองเสฉวน เตงงายมีตำแหน่งเป็นผู้น้อยกว่าจงโฮย ซึ่งยึดเมืองเสฉวนได้ครั้งนี้เป็นความชอบยิ่งกว่าจงโฮย เห็นจงโฮยจะไม่พอใจ ซึ่งจงโฮยใช้เตงงายให้เดินทัพผ่านเส้นทางอันทุรกันดารเพราะมีความขัดแย้งภายในระหว่างจงโฮยกับเตงงาย ดังนั้นจงโฮยจึงใช้เตงงายให้มาตีเมืองเสฉวน ต้องการให้เตงงายถึงแก่ความตายในระหว่างเดินทัพ แต่โชคของเตงงายยังดีอยู่จึงทำการได้สำเร็จ อนึ่งเล่าเตงงายได้เมืองเสฉวนแล้วใช้อำนาจแต่งตั้งพระเจ้าเล่าเสี้ยนครองแผ่นดินเมืองเสฉวนต่อไปอีกเกินอำนาจนัก เตงงายทำการโดยเหลิงระเริงในอำนาจ คิดชิงความชอบข้ามหน้าข้ามตาจงโฮย สถานการณ์มีฐานะที่จงโฮยและเตงงายจะหักล้างกันเองจนตายไปข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างได้ ดังนั้นแผนการอุบายของข้าพเจ้าคือทำให้จงโฮยและเตงงายฆ่าฟันกันเองแล้วเราค่อยซ้ำเติมเอาในภายหลัง เห็นจะกอบกู้เมืองเสฉวนได้เป็นมั่นคง
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นจึงพากันเห็นด้วย และให้เกียงอุยเร่งทำการตามความคิด เกียงอุยจึงชักชวนแม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงกระทำสัตย์สาบานว่าจะร่วมแรงร่วมใจด้วยความภักดีต่อพระราชวงศ์ฮั่น ช่วงชิงเมืองเสฉวนกลับคืนให้จงได้
เวลาบ่ายวันนั้นเกียงอุยจึงให้ปักธงขาวแสดงความยอมจำนนบนด่านเกียมโก๊ะและแต่งทูตเดินทางไปหาจงโฮย แจ้งว่าบัดนี้เตงงายยึดได้เมืองเสฉวนแล้ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีหมายรับสั่งให้เกียงอุยยอมสวามิภักดิ์ แต่เกียงอุยนั้นมีน้ำใจศรัทธาต่อจงโฮยจึงประสงค์จะมายอมนอบน้อมต่อจงโฮยโดยตรง
จงโฮยได้ทราบความก็พรั่นใจว่าเตงงายทำการสำเร็จมีความชอบใหญ่หลวงนัก แต่รีบข่มความรู้สึกไว้ในบัดดล กล่าวกับทูตว่าซึ่งท่านแม่ทัพเกียงอุยจะยอมมาอยู่ด้วยเรานี้ เรามีความยินดีเป็นอันมาก ท่านจงกลับไปบอกเกียงอุยให้ออกมาหาเราเถิด ทูตของเกียงอุยจึงคำนับลาจงโฮยกลับไปด่านเกียมโก๊ะ
ฝ่ายเกียงอุยครั้นทราบความจากทูตแล้ว จึงพาเลียวฮัวและเตียวเอ๊กพร้อมกับแม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงยกไปหาจงโฮย
จงโฮยทราบความก็มีความยินดี จึงพาทหารองครักษ์ออกไปต้อนรับเกียงอุยอย่างสมเกียรติ ต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วจงโฮยจึงเชิญเกียงอุยเข้าไปสนทนากันในค่ายบัญชาการ ให้เกียงอุยนั่งในที่อันสมควรแก่ตำแหน่งแล้วจึงถามเกียงอุยว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนมีหมายรับสั่งให้ท่านไปสวามิภักดิ์กับเตงงาย แล้วไฉนจึงมายอมสวามิภักดิ์ต่อเราเล่า
เกียงอุยจึงว่า “ตัวข้าพเจ้านี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนตั้งให้เป็นผู้ใหญ่รับมอบราชการบ้านเมืองทั้งปวง ข้าพเจ้าเป็นคนมีธุระมาก ถึงมาตรว่ามาคำนับท่านบัดนี้ก็เร็วอยู่อีก จะช้านักก็หามิได้ ด้วยข้าพเจ้าแจ้งว่าตัวท่านมีสติปัญญามาก ยกมาทั้งนี้ทแกล้วทหารทั้งปวงก็เข้มแข็ง ข้าพเจ้าประมาณการดูเห็นจะสู้มิได้จึงเข้ามาคำนับ แม้ว่าเตงงายยกมาทางนี้ที่ไหนข้าพเจ้าจะออกหา ก็จะสู้รบกว่าจะสิ้นชีวิตลงด้วยกัน อนึ่งข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่แต่ก่อนมาว่าพระเจ้าโจฮวนได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ทั้งนี้ก็เพราะปัญญาความคิดของท่านช่วยทำนุบำรุงให้ ปากผู้คำคนก็เลื่องลือสรรเสริญท่านเป็นอันมาก”
ถ้อยคำเกียงอุยบัดนี้ประจักษ์ชัดว่าเกียงอุยนั้นหาได้เป็นเพียงแค่นายทหารผู้มีฝีมือรบพุ่งเก่งกาจกล้าหาญ ชำนาญการพิชัยสงครามแต่อย่างเดียวเท่านั้นไม่ หากสุดยอดวิชาขันทีที่ขงเบ้งก็เจนจบนั้นก็ได้ถูกถ่ายทอดมาถึงเกียงอุยจนมีความชำนาญเช่นเดียวกันด้วย เพราะความซึ่งเกียงอุยเจรจาครั้งนี้คือสุดยอดวิชาขันที ที่ว่าด้วยการเจรจาแสวงหาความชอบใส่ตัว และการใช้วาจาในการสร้างความแตกแยกเพื่อให้ข้าศึกทำลายล้างกันเองนั่นเอง
จงโฮยได้ยินคำเกียงอุยสรรเสริญยกย่องเป็นอันมากก็มีความยินดี เนื้อความที่เกียงอุยไม่นับถือศรัทธาเตงงายนั้นต้องด้วยอัธยาศัยของจงโฮยเป็นอันมาก จงโฮยได้ยินกิตติศัพท์มาแต่ก่อนว่าเกียงอุยเป็นชายชาติทหาร มีความจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายอย่างสูงส่ง มีฝีมือรบพุ่งเก่งกล้าสามารถ ชำนาญชาญฉลาดในการพิชัยสงคราม ก็มีความเลื่อมใสเกียงอุยเป็นทุนอยู่แต่เดิม เมื่อได้พบหน้าค่าตาสนทนาพาทีไต่ถามความบ้านการเมืองและการทหารตัวต่อตัวแล้วก็ยิ่งถูกอกต้องใจ
จงโฮยจึงสั่งทหารให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเกียงอุย แล้วชวนสนทนาในเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองอย่างลึกซึ้งและยิ่งถูกอกต้องใจเป็นอันมาก เกียงอุยก็ทำทีภักดีโดยสุจริต ยอมเป็นข้าให้ช่วงใช้โดยไม่คำนึงถึงชีวิต
จงโฮยเห็นดังนั้นก็เชื่อมั่นว่าเกียงอุยเลื่อมใสศรัทธาภักดีตัวโดยสุจริต จึงกล่าวว่าตัวท่านมีสติปัญญาแกร่งกล้ากิตติศัพท์เลื่องลือมาช้านาน อย่าได้คิดว่าเป็นข้ารับใช้ข้าพเจ้าเลย เราสองคนจงมาเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันเถิด เกียงอุยก็ทำทีเป็นยินดี คำนับจงโฮยแล้วกล่าวว่าเมื่อท่านแม่ทัพไม่ถือตัว ลดตัวลงมาคบหาข้าพเจ้าดังนี้เป็นพระคุณใหญ่หลวงนัก ทั้งชีวิตนี้จะทุ่มเทความภักดีต่อท่านไม่คลอนแคลนเลย
จงโฮยได้ยินคำเกียงอุยดังนั้น จึงเรียกเอาเกาทัณฑ์จากทหารมาดอกหนึ่ง แล้วชวนเกียงอุยถือเกาทัณฑ์ไว้คนละข้าง กระทำสัตย์สาบานไว้ต่อกันว่านับแต่นี้สืบไปเราสองคนจะเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย จะไม่ทำร้ายหักหลังกัน มีสุขจะร่วมเสพ มีทุกข์จะร่วมต้าน ผู้ใดฝืนคำสาบานนี้ขอให้มีอันตรายเหมือนดังหนึ่งลูกเกาทัณฑ์นี้ ขอเทพยดาฟ้าดินจงเป็นพยานให้แก่เราสองคน
ครั้นกล่าวคำสาบานแล้วทั้งจงโฮยและเกียงอุยจึงหักดอกเกาทัณฑ์ออกเป็นสองส่วน
จงโฮยวางใจดังนั้นแล้วจึงให้เกียงอุยเป็นแม่ทัพตามตำแหน่งดังก่อน ให้ทำหน้าที่บัญชาทหารจ๊กก๊กที่เคยบัญชามาแต่เดิม เกียงอุยคำนับลาจงโฮยแล้วจึงพาทหารกลับไปที่ด่านเกียมโก๊ะ และให้เจียวเอี๋ยนผู้ถือหมายรับสั่งกลับไปเมืองเสฉวน
ฝ่ายเตงงายครั้นควบคุมสถานการณ์ในเมืองเสฉวนเป็นปกติแล้ว จึงปรับปรุงตำแหน่งขุนนางเพื่อให้มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพมากขึ้น ตั้งให้สุมาปองเป็นเจ้าเมืองเอ๊กจิ๋ว ให้อองกิ๋นและตันหองคุมทหารออกไปตั้งปราบปรามหัวเมืองห่างไกลที่แข็งข้อไม่ยอมสวามิภักดิ์ ครั้นจัดแจงการทั้งปวงเสร็จแล้วเตงงายจึงยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองกิมก๊กซึ่งเป็นหัวเมืองยุทธศาสตร์
เตงงายยกทหารมาตั้งในเมืองกิมก๊กแล้วก็กริ่งว่าจงโฮยจะยกทหารจากเมืองฮันต๋งมาเมืองเสฉวน แล้วเกรงว่าขุนนางและทหารเมืองเสฉวนจะน้อมใจใฝ่เข้าหาจงโฮยเพราะมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ จึงต้องการผูกใจขุนนางและทหารเมืองเสฉวนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ดังนั้นเตงงายจึงสั่งให้จัดงานสันนิบาตสโมสรอย่างยิ่งใหญ่ที่เมือง กิมก๊ก แล้วเชิญขุนนางผู้ใหญ่และแม่ทัพนายกองของเมืองเสฉวนมากินโต๊ะพร้อมกัน
ในระหว่างงานเลี้ยงเตงงายได้ประกาศว่า ข้าพเจ้ายกกองทัพมาเมืองเสฉวนครั้งนี้มิได้เบียดเบียนเข่นฆ่าอาณาประชาราษฎร หรือข่มเหงยำเยงข้าราชการขุนนางแม้แต่สักน้อยนิด นับเป็นบุญของชาวเมืองเสฉวนที่ข้าพเจ้าเป็นแม่ทัพยกมาเอง จึงร่มเย็นเป็นสุขปกติอยู่ หากเป็นแม่ทัพนายกองของวุยก๊กผู้อื่นยกมา เห็นจะข่มเหงฆ่าฟันท่านทั้งปวง และราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน ไหนเลยจะมานั่งเสพสุรากินโต๊ะอย่างมีความสุขเช่นนี้ได้
ขุนนางและทหารเมืองเสฉวนได้ฟังดังนั้นต่างพากันลุกขึ้นคำนับเตงงาย แล้วกล่าวว่า ขอบารมีท่านแม่ทัพช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเราทั้งปวงให้มีความสุขสืบไปเถิด เตงงายเห็นการสมคะเนก็มีความยินดี ประกาศขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าท่านทั้งปวงจงวางใจ เราครองเมืองเสฉวนอยู่ตราบใดจะไม่ให้ผู้ใดมาข่มเหงพวกท่านเป็นอันขาด
เตงงายกล่าวขาดคำลง ทหารรักษาการณ์ได้วิ่งเข้าไปรายงานว่าขณะนี้เจียวเอี๋ยนได้กลับมาจากด่านเกียมโก๊ะแล้ว มีราชการเร่งด่วนจะขอเข้ามารายงาน เตงงายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ จึงสั่งให้ทหารไปนำตัวเจียวเอี๋ยนเข้ามาหา
เจียวเอี๋ยนคำนับเตงงายแล้วรายงานว่า เกียงอุยได้รับหมายรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่ให้มายอมนอบน้อมต่อท่านแล้ว กลับพาทหารไปสวามิภักดิ์กับจงโฮย เห็นจงโฮยและเกียงอุยจะยกทหารมาที่เมืองเสฉวน
เตงงายได้ยินดังนั้น “ก็มีใจโกรธจงโฮยดังหนึ่งเพลิงสุมอยู่ในอก” แล้วคิดว่าจงโฮยได้เกียงอุยเป็นพวกแล้ว ทหารเมืองเสฉวนซึ่งยังมีความจงรักภักดีก็จะพากันไปเข้ากับจงโฮย หากจงโฮยยกมาเมืองเสฉวนแล้วเห็นจะยกไปตีเมืองกังตั๋งชิงเอาความชอบเสีย จึงรีบแต่งหนังสือให้ทหารถือไปให้แก่สุมาเจียวที่เมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายสุมาเจียวได้ทราบรายงานการสงครามอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ทีมีชัยก็มีความยินดี ครั้นได้รับหนังสือของเตงงายจึงรีบเปิดอ่านดู ปรากฏความว่า “ข้าพเจ้าเตงงายขอคำนับมาถึงจิ้นก๋งมหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้ายกทหารมาตีเมืองเสฉวนนั้นก็ได้สำเร็จแล้ว ครั้นจะยกทัพกลับมาโดยเร็ว ทแกล้วทหารทั้งปวงก็บอบช้ำอิดโรยนัก จะขอพักทหารยับยั้งอยู่ ณ เมืองเสฉวน ให้ทแกล้วทหารมีความผาสุขก่อน แลตัวเล่าเสี้ยนนั้นข้าพเจ้าตั้งให้เป็นที่แพ้วกี๋จงกุ๋น แลทรัพย์สิ่งของทั้งปวงนั้นครั้นข้าพเจ้าจะส่งมาก่อนก็เป็นทางไกล เกลือกจะเกิดอันตรายในกลางทาง ตัวข้าพเจ้ามิพ้นความผิด บัดนี้ข้าพเจ้าเก็บรวบรวมกันไว้เป็นปกติอยู่ อนึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองกังตั๋งก็ยังมิอ่อนน้อม กระด้างกระเดื่องนัก ถ้าแลทแกล้วทหารทั้งปวงหายอิดโรยจะได้ ตบแต่งเรือรบยกไปตีเมืองกังตั๋งทีเดียว ฝ่ายพระเจ้าซุนฮิวรู้ว่าเมืองเสฉวนเสียแก่เรา ก็เห็นจะไม่แข็งอยู่ได้ ดีร้ายจะเข้ามาอ่อนน้อมต่อเรา อันเมืองกังตั๋งนั้นก็จะได้โดยง่ายเป็นมั่นคง ถ้าสำเร็จการทั้งนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะยกทหารกลับมาคำนับท่าน”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้ระบุความด้วยว่า ในหนังสือของเตงงายฉบับนี้เตงงายได้เสนอว่ายังไม่สมควรส่งตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนเข้าไปเมืองลกเอี๋ยงตามประเพณี เพราะน้ำใจราษฎรยังไม่เป็นปกติ คอยท่าจนถึงฤดูร้อนปีหน้าจะส่งตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนเข้าไปเมืองลกเอี๋ยง และขอเสนอให้กราบทูลพระเจ้าโจฮวนให้โปรดเกล้าตั้งพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ดำรงอิสริยยศเป็นอ๋อง เพื่อเป็นศูนย์รวมน้ำใจชาวเมืองเสฉวนต่อไป
สุมาเจียวได้ทราบหนังสือรายงานของเตงงายครั้งก่อน ๆ ก็มีความแคลงใจเตงงายอยู่แล้วว่าได้ใช้อำนาจโดยพลการ ครั้นอ่านหนังสือของเตงงายจบก็ยิ่งเพิ่มความหวาดระแวง คิดว่าการที่เตงงายได้รับชัยชนะแล้วไม่ยอมยกทัพกลับไปเมืองหลวง กลับตั้งซ่องสุมไพร่พลและเสบียงอาหาร และเชิดเอาพระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นศูนย์รวมน้ำใจผู้คนอีก เป็นการกำเริบในอำนาจ ขืนปล่อยให้เตงงายยกไปตีเอาเมืองกังตั๋งได้อีกเตงงายก็จะยิ่งกำเริบ อาจคิดการกบฏยึดครองจ๊กก๊กและง่อก๊กเสียเอง หรือหากเตงงายไม่ขบถแล้วกลับเข้าเมืองหลวงก็จะมีกฤษดานุภาพเกินหน้ายิ่งกว่าตัวเราจิ้นก๋งผู้เป็นมหาอุปราช เหมือนกับเมื่อครั้งตั๋งโต๊ะหรือโจโฉกระทำกับ พระเจ้าเหี้ยนเต้ ดังนั้นจำจะคิดอ่านตัดรอนอำนาจของเตงงายเสียก่อนที่จะเติบกล้าไปยิ่งกว่านี้.
เกียงอุยได้ยินคำแม่ทัพนายกองทั้งปวงพร้อมเพรียงน้ำใจกันดังนั้นก็มีความยินดี จึงกล่าวว่ามหาอุปราชขงเบ้งได้สอนสั่งวิทยาการการทหารทั้งการรุก การรับ การซุ่มโจมตี การตั้งค่ายกลพยุหะแก่ข้าพเจ้าไว้เป็นอันมาก สุดยอดกลยุทธ์ทางการทหารนั้น มหาอุปราชได้สั่งสอนไว้ว่าคือการหนี เพราะการหนีนั้นคือการรักษาตัวรอดไม่ให้พ่ายแพ้แก่ข้าศึก ตราบใดที่ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ย่อมมีวิสัยที่จะช่วงชิงชัยชนะต่อไปได้
เกียงอุยกล่าวสืบไปว่า การทหารนั้นเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งของการเมือง เป็นไปเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง การจะรบหรือไม่รบ การจะถอยหรือไม่ถอย การจะเอาชนะหรือแพ้ย่อมสุดแท้แต่เป้าหมายทางการเมือง แลสุดยอดกลยุทธ์ทางการเมืองนั้นคือการใช้กำลังศัตรูทำลายศัตรู มหาอุปราชได้เปรียบเทียบไว้ว่าตัวเลขสองของอักษรจีนคือตัวเลขหนึ่งสองตัวหรือขีดสองขีดวางซ้อนกัน เมื่อเอาเลขหนึ่งลบด้วยเลขหนึ่งก็จะกลายเป็นศูนย์ นั่นคือเมื่อใช้กำลังข้าศึกทำลายข้าศึก ข้าศึกก็ย่อมล่มสลายไป เราจึงค่อยชิงชัยชนะโดยมิพักต้องเหนื่อยแรง
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นจึงพากันสรรเสริญว่า ซึ่งท่านกล่าวมานี้หลักแหลม ลึกซึ้งนัก แต่จะทำการประการใดเล่าจึงจะทำลายข้าศึกแล้วกอบกู้ราชวงศ์ฮั่นได้
เกียงอุยจึงว่า กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้เป็นสองสาย สายหนึ่งจงโฮยเป็นแม่ทัพใหญ่ยกไปตีเอาเมืองฮันต๋ง อีกสายหนึ่งเตงงายเป็นปลัดทัพยกมาตีเอาเมืองเสฉวน เตงงายมีตำแหน่งเป็นผู้น้อยกว่าจงโฮย ซึ่งยึดเมืองเสฉวนได้ครั้งนี้เป็นความชอบยิ่งกว่าจงโฮย เห็นจงโฮยจะไม่พอใจ ซึ่งจงโฮยใช้เตงงายให้เดินทัพผ่านเส้นทางอันทุรกันดารเพราะมีความขัดแย้งภายในระหว่างจงโฮยกับเตงงาย ดังนั้นจงโฮยจึงใช้เตงงายให้มาตีเมืองเสฉวน ต้องการให้เตงงายถึงแก่ความตายในระหว่างเดินทัพ แต่โชคของเตงงายยังดีอยู่จึงทำการได้สำเร็จ อนึ่งเล่าเตงงายได้เมืองเสฉวนแล้วใช้อำนาจแต่งตั้งพระเจ้าเล่าเสี้ยนครองแผ่นดินเมืองเสฉวนต่อไปอีกเกินอำนาจนัก เตงงายทำการโดยเหลิงระเริงในอำนาจ คิดชิงความชอบข้ามหน้าข้ามตาจงโฮย สถานการณ์มีฐานะที่จงโฮยและเตงงายจะหักล้างกันเองจนตายไปข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างได้ ดังนั้นแผนการอุบายของข้าพเจ้าคือทำให้จงโฮยและเตงงายฆ่าฟันกันเองแล้วเราค่อยซ้ำเติมเอาในภายหลัง เห็นจะกอบกู้เมืองเสฉวนได้เป็นมั่นคง
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นจึงพากันเห็นด้วย และให้เกียงอุยเร่งทำการตามความคิด เกียงอุยจึงชักชวนแม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงกระทำสัตย์สาบานว่าจะร่วมแรงร่วมใจด้วยความภักดีต่อพระราชวงศ์ฮั่น ช่วงชิงเมืองเสฉวนกลับคืนให้จงได้
เวลาบ่ายวันนั้นเกียงอุยจึงให้ปักธงขาวแสดงความยอมจำนนบนด่านเกียมโก๊ะและแต่งทูตเดินทางไปหาจงโฮย แจ้งว่าบัดนี้เตงงายยึดได้เมืองเสฉวนแล้ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีหมายรับสั่งให้เกียงอุยยอมสวามิภักดิ์ แต่เกียงอุยนั้นมีน้ำใจศรัทธาต่อจงโฮยจึงประสงค์จะมายอมนอบน้อมต่อจงโฮยโดยตรง
จงโฮยได้ทราบความก็พรั่นใจว่าเตงงายทำการสำเร็จมีความชอบใหญ่หลวงนัก แต่รีบข่มความรู้สึกไว้ในบัดดล กล่าวกับทูตว่าซึ่งท่านแม่ทัพเกียงอุยจะยอมมาอยู่ด้วยเรานี้ เรามีความยินดีเป็นอันมาก ท่านจงกลับไปบอกเกียงอุยให้ออกมาหาเราเถิด ทูตของเกียงอุยจึงคำนับลาจงโฮยกลับไปด่านเกียมโก๊ะ
ฝ่ายเกียงอุยครั้นทราบความจากทูตแล้ว จึงพาเลียวฮัวและเตียวเอ๊กพร้อมกับแม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงยกไปหาจงโฮย
จงโฮยทราบความก็มีความยินดี จึงพาทหารองครักษ์ออกไปต้อนรับเกียงอุยอย่างสมเกียรติ ต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วจงโฮยจึงเชิญเกียงอุยเข้าไปสนทนากันในค่ายบัญชาการ ให้เกียงอุยนั่งในที่อันสมควรแก่ตำแหน่งแล้วจึงถามเกียงอุยว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนมีหมายรับสั่งให้ท่านไปสวามิภักดิ์กับเตงงาย แล้วไฉนจึงมายอมสวามิภักดิ์ต่อเราเล่า
เกียงอุยจึงว่า “ตัวข้าพเจ้านี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนตั้งให้เป็นผู้ใหญ่รับมอบราชการบ้านเมืองทั้งปวง ข้าพเจ้าเป็นคนมีธุระมาก ถึงมาตรว่ามาคำนับท่านบัดนี้ก็เร็วอยู่อีก จะช้านักก็หามิได้ ด้วยข้าพเจ้าแจ้งว่าตัวท่านมีสติปัญญามาก ยกมาทั้งนี้ทแกล้วทหารทั้งปวงก็เข้มแข็ง ข้าพเจ้าประมาณการดูเห็นจะสู้มิได้จึงเข้ามาคำนับ แม้ว่าเตงงายยกมาทางนี้ที่ไหนข้าพเจ้าจะออกหา ก็จะสู้รบกว่าจะสิ้นชีวิตลงด้วยกัน อนึ่งข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่แต่ก่อนมาว่าพระเจ้าโจฮวนได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ทั้งนี้ก็เพราะปัญญาความคิดของท่านช่วยทำนุบำรุงให้ ปากผู้คำคนก็เลื่องลือสรรเสริญท่านเป็นอันมาก”
ถ้อยคำเกียงอุยบัดนี้ประจักษ์ชัดว่าเกียงอุยนั้นหาได้เป็นเพียงแค่นายทหารผู้มีฝีมือรบพุ่งเก่งกาจกล้าหาญ ชำนาญการพิชัยสงครามแต่อย่างเดียวเท่านั้นไม่ หากสุดยอดวิชาขันทีที่ขงเบ้งก็เจนจบนั้นก็ได้ถูกถ่ายทอดมาถึงเกียงอุยจนมีความชำนาญเช่นเดียวกันด้วย เพราะความซึ่งเกียงอุยเจรจาครั้งนี้คือสุดยอดวิชาขันที ที่ว่าด้วยการเจรจาแสวงหาความชอบใส่ตัว และการใช้วาจาในการสร้างความแตกแยกเพื่อให้ข้าศึกทำลายล้างกันเองนั่นเอง
จงโฮยได้ยินคำเกียงอุยสรรเสริญยกย่องเป็นอันมากก็มีความยินดี เนื้อความที่เกียงอุยไม่นับถือศรัทธาเตงงายนั้นต้องด้วยอัธยาศัยของจงโฮยเป็นอันมาก จงโฮยได้ยินกิตติศัพท์มาแต่ก่อนว่าเกียงอุยเป็นชายชาติทหาร มีความจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายอย่างสูงส่ง มีฝีมือรบพุ่งเก่งกล้าสามารถ ชำนาญชาญฉลาดในการพิชัยสงคราม ก็มีความเลื่อมใสเกียงอุยเป็นทุนอยู่แต่เดิม เมื่อได้พบหน้าค่าตาสนทนาพาทีไต่ถามความบ้านการเมืองและการทหารตัวต่อตัวแล้วก็ยิ่งถูกอกต้องใจ
จงโฮยจึงสั่งทหารให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเกียงอุย แล้วชวนสนทนาในเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองอย่างลึกซึ้งและยิ่งถูกอกต้องใจเป็นอันมาก เกียงอุยก็ทำทีภักดีโดยสุจริต ยอมเป็นข้าให้ช่วงใช้โดยไม่คำนึงถึงชีวิต
จงโฮยเห็นดังนั้นก็เชื่อมั่นว่าเกียงอุยเลื่อมใสศรัทธาภักดีตัวโดยสุจริต จึงกล่าวว่าตัวท่านมีสติปัญญาแกร่งกล้ากิตติศัพท์เลื่องลือมาช้านาน อย่าได้คิดว่าเป็นข้ารับใช้ข้าพเจ้าเลย เราสองคนจงมาเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันเถิด เกียงอุยก็ทำทีเป็นยินดี คำนับจงโฮยแล้วกล่าวว่าเมื่อท่านแม่ทัพไม่ถือตัว ลดตัวลงมาคบหาข้าพเจ้าดังนี้เป็นพระคุณใหญ่หลวงนัก ทั้งชีวิตนี้จะทุ่มเทความภักดีต่อท่านไม่คลอนแคลนเลย
จงโฮยได้ยินคำเกียงอุยดังนั้น จึงเรียกเอาเกาทัณฑ์จากทหารมาดอกหนึ่ง แล้วชวนเกียงอุยถือเกาทัณฑ์ไว้คนละข้าง กระทำสัตย์สาบานไว้ต่อกันว่านับแต่นี้สืบไปเราสองคนจะเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย จะไม่ทำร้ายหักหลังกัน มีสุขจะร่วมเสพ มีทุกข์จะร่วมต้าน ผู้ใดฝืนคำสาบานนี้ขอให้มีอันตรายเหมือนดังหนึ่งลูกเกาทัณฑ์นี้ ขอเทพยดาฟ้าดินจงเป็นพยานให้แก่เราสองคน
ครั้นกล่าวคำสาบานแล้วทั้งจงโฮยและเกียงอุยจึงหักดอกเกาทัณฑ์ออกเป็นสองส่วน
จงโฮยวางใจดังนั้นแล้วจึงให้เกียงอุยเป็นแม่ทัพตามตำแหน่งดังก่อน ให้ทำหน้าที่บัญชาทหารจ๊กก๊กที่เคยบัญชามาแต่เดิม เกียงอุยคำนับลาจงโฮยแล้วจึงพาทหารกลับไปที่ด่านเกียมโก๊ะ และให้เจียวเอี๋ยนผู้ถือหมายรับสั่งกลับไปเมืองเสฉวน
ฝ่ายเตงงายครั้นควบคุมสถานการณ์ในเมืองเสฉวนเป็นปกติแล้ว จึงปรับปรุงตำแหน่งขุนนางเพื่อให้มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพมากขึ้น ตั้งให้สุมาปองเป็นเจ้าเมืองเอ๊กจิ๋ว ให้อองกิ๋นและตันหองคุมทหารออกไปตั้งปราบปรามหัวเมืองห่างไกลที่แข็งข้อไม่ยอมสวามิภักดิ์ ครั้นจัดแจงการทั้งปวงเสร็จแล้วเตงงายจึงยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองกิมก๊กซึ่งเป็นหัวเมืองยุทธศาสตร์
เตงงายยกทหารมาตั้งในเมืองกิมก๊กแล้วก็กริ่งว่าจงโฮยจะยกทหารจากเมืองฮันต๋งมาเมืองเสฉวน แล้วเกรงว่าขุนนางและทหารเมืองเสฉวนจะน้อมใจใฝ่เข้าหาจงโฮยเพราะมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ จึงต้องการผูกใจขุนนางและทหารเมืองเสฉวนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ดังนั้นเตงงายจึงสั่งให้จัดงานสันนิบาตสโมสรอย่างยิ่งใหญ่ที่เมือง กิมก๊ก แล้วเชิญขุนนางผู้ใหญ่และแม่ทัพนายกองของเมืองเสฉวนมากินโต๊ะพร้อมกัน
ในระหว่างงานเลี้ยงเตงงายได้ประกาศว่า ข้าพเจ้ายกกองทัพมาเมืองเสฉวนครั้งนี้มิได้เบียดเบียนเข่นฆ่าอาณาประชาราษฎร หรือข่มเหงยำเยงข้าราชการขุนนางแม้แต่สักน้อยนิด นับเป็นบุญของชาวเมืองเสฉวนที่ข้าพเจ้าเป็นแม่ทัพยกมาเอง จึงร่มเย็นเป็นสุขปกติอยู่ หากเป็นแม่ทัพนายกองของวุยก๊กผู้อื่นยกมา เห็นจะข่มเหงฆ่าฟันท่านทั้งปวง และราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน ไหนเลยจะมานั่งเสพสุรากินโต๊ะอย่างมีความสุขเช่นนี้ได้
ขุนนางและทหารเมืองเสฉวนได้ฟังดังนั้นต่างพากันลุกขึ้นคำนับเตงงาย แล้วกล่าวว่า ขอบารมีท่านแม่ทัพช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเราทั้งปวงให้มีความสุขสืบไปเถิด เตงงายเห็นการสมคะเนก็มีความยินดี ประกาศขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าท่านทั้งปวงจงวางใจ เราครองเมืองเสฉวนอยู่ตราบใดจะไม่ให้ผู้ใดมาข่มเหงพวกท่านเป็นอันขาด
เตงงายกล่าวขาดคำลง ทหารรักษาการณ์ได้วิ่งเข้าไปรายงานว่าขณะนี้เจียวเอี๋ยนได้กลับมาจากด่านเกียมโก๊ะแล้ว มีราชการเร่งด่วนจะขอเข้ามารายงาน เตงงายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ จึงสั่งให้ทหารไปนำตัวเจียวเอี๋ยนเข้ามาหา
เจียวเอี๋ยนคำนับเตงงายแล้วรายงานว่า เกียงอุยได้รับหมายรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่ให้มายอมนอบน้อมต่อท่านแล้ว กลับพาทหารไปสวามิภักดิ์กับจงโฮย เห็นจงโฮยและเกียงอุยจะยกทหารมาที่เมืองเสฉวน
เตงงายได้ยินดังนั้น “ก็มีใจโกรธจงโฮยดังหนึ่งเพลิงสุมอยู่ในอก” แล้วคิดว่าจงโฮยได้เกียงอุยเป็นพวกแล้ว ทหารเมืองเสฉวนซึ่งยังมีความจงรักภักดีก็จะพากันไปเข้ากับจงโฮย หากจงโฮยยกมาเมืองเสฉวนแล้วเห็นจะยกไปตีเมืองกังตั๋งชิงเอาความชอบเสีย จึงรีบแต่งหนังสือให้ทหารถือไปให้แก่สุมาเจียวที่เมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายสุมาเจียวได้ทราบรายงานการสงครามอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ทีมีชัยก็มีความยินดี ครั้นได้รับหนังสือของเตงงายจึงรีบเปิดอ่านดู ปรากฏความว่า “ข้าพเจ้าเตงงายขอคำนับมาถึงจิ้นก๋งมหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้ายกทหารมาตีเมืองเสฉวนนั้นก็ได้สำเร็จแล้ว ครั้นจะยกทัพกลับมาโดยเร็ว ทแกล้วทหารทั้งปวงก็บอบช้ำอิดโรยนัก จะขอพักทหารยับยั้งอยู่ ณ เมืองเสฉวน ให้ทแกล้วทหารมีความผาสุขก่อน แลตัวเล่าเสี้ยนนั้นข้าพเจ้าตั้งให้เป็นที่แพ้วกี๋จงกุ๋น แลทรัพย์สิ่งของทั้งปวงนั้นครั้นข้าพเจ้าจะส่งมาก่อนก็เป็นทางไกล เกลือกจะเกิดอันตรายในกลางทาง ตัวข้าพเจ้ามิพ้นความผิด บัดนี้ข้าพเจ้าเก็บรวบรวมกันไว้เป็นปกติอยู่ อนึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองกังตั๋งก็ยังมิอ่อนน้อม กระด้างกระเดื่องนัก ถ้าแลทแกล้วทหารทั้งปวงหายอิดโรยจะได้ ตบแต่งเรือรบยกไปตีเมืองกังตั๋งทีเดียว ฝ่ายพระเจ้าซุนฮิวรู้ว่าเมืองเสฉวนเสียแก่เรา ก็เห็นจะไม่แข็งอยู่ได้ ดีร้ายจะเข้ามาอ่อนน้อมต่อเรา อันเมืองกังตั๋งนั้นก็จะได้โดยง่ายเป็นมั่นคง ถ้าสำเร็จการทั้งนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะยกทหารกลับมาคำนับท่าน”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้ระบุความด้วยว่า ในหนังสือของเตงงายฉบับนี้เตงงายได้เสนอว่ายังไม่สมควรส่งตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนเข้าไปเมืองลกเอี๋ยงตามประเพณี เพราะน้ำใจราษฎรยังไม่เป็นปกติ คอยท่าจนถึงฤดูร้อนปีหน้าจะส่งตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนเข้าไปเมืองลกเอี๋ยง และขอเสนอให้กราบทูลพระเจ้าโจฮวนให้โปรดเกล้าตั้งพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ดำรงอิสริยยศเป็นอ๋อง เพื่อเป็นศูนย์รวมน้ำใจชาวเมืองเสฉวนต่อไป
สุมาเจียวได้ทราบหนังสือรายงานของเตงงายครั้งก่อน ๆ ก็มีความแคลงใจเตงงายอยู่แล้วว่าได้ใช้อำนาจโดยพลการ ครั้นอ่านหนังสือของเตงงายจบก็ยิ่งเพิ่มความหวาดระแวง คิดว่าการที่เตงงายได้รับชัยชนะแล้วไม่ยอมยกทัพกลับไปเมืองหลวง กลับตั้งซ่องสุมไพร่พลและเสบียงอาหาร และเชิดเอาพระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นศูนย์รวมน้ำใจผู้คนอีก เป็นการกำเริบในอำนาจ ขืนปล่อยให้เตงงายยกไปตีเอาเมืองกังตั๋งได้อีกเตงงายก็จะยิ่งกำเริบ อาจคิดการกบฏยึดครองจ๊กก๊กและง่อก๊กเสียเอง หรือหากเตงงายไม่ขบถแล้วกลับเข้าเมืองหลวงก็จะมีกฤษดานุภาพเกินหน้ายิ่งกว่าตัวเราจิ้นก๋งผู้เป็นมหาอุปราช เหมือนกับเมื่อครั้งตั๋งโต๊ะหรือโจโฉกระทำกับ พระเจ้าเหี้ยนเต้ ดังนั้นจำจะคิดอ่านตัดรอนอำนาจของเตงงายเสียก่อนที่จะเติบกล้าไปยิ่งกว่านี้.