ตอนที่ 646. เตงงายเข้าเมืองเสฉวน
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยหกพรรษา แรมสิบสองค่ำ เดือนอ้ายปลายปี ราชวงศ์ฮั่นได้ถึงกาลดับสูญ เล่าเสี้ยนกษัตริย์ถ่อยได้ยกราชบัลลังก์ที่พระเจ้าเล่าปี่และขงเบ้งเพียรสร้างมาด้วยความยากลำบากสุดแสนลำเค็ญให้แก่เตงงาย แต่เตงงายนั้นหวังจะครองใจชาวเมืองเสฉวน จึงสั่งให้พระเจ้าเล่าเสี้ยน ปกครองเมืองเสฉวนดังแต่ก่อน
เตงงายตั้งให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนปกครองเมืองเสฉวนดังแต่ก่อนโดยมิได้ขอความเห็นชอบจากสุมาเจียว และโดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าโจฮวนก่อน ย่อมเป็นการล่วงละเมิดอำนาจมหาอุปราชและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ เป็นการกระทำที่ประหนึ่งว่าเตงงายตั้งตัวเป็นใหญ่ ตัดสินใจทำการด้วยอำเภอน้ำใจตนเอง ซึ่งย่อมนำเภทภัยมาสู่ตนเองในภายภาคหน้า แต่ในส่วนของเตงงายนั้นย่อมเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเตงงายบุกป่าฝ่าดงมาด้วยความยากลำเค็ญ มีทหารเพียงสองพันติดตามมาเท่านั้น ไม่มีทรัพย์สินสิ่งของสำหรับครอง น้ำใจคนแม้แต่สักสิ่ง จึงเหลือเพียงยศถาศักดิ์อันเป็นเครื่องยึดถือของปุถุชนเพียงสิ่งเดียวที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการครองน้ำใจชาวเมืองเสฉวนได้ ทั้งเมืองเสฉวนก็เป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางภาคตะวันตก ยามที่เล่าปี่ได้เมืองเสฉวนก็ต้องใช้เวลากว่าสามปี จึงจะควบคุมสถานการณ์ให้เป็นปกติได้ เตงงายจึงไม่มีทางอื่นเลือก จำต้องใช้วิธีครองใจด้วยทำทีเป็นมีคุณธรรมเมตตาเอื้ออาทรต่อคนทั้งปวง เพื่อหวังสร้างความสงบขึ้นในเมืองเสฉวน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นทรงทราบว่าคณะทูตเดินทางกลับมาจากกองทัพของเตงงาย จึงเสด็จออกให้คณะทูตเข้าเฝ้า ครั้นได้ทราบความตามที่เตงงายได้บอกมาแล้วก็ทรงดีพระทัย ตรัสสั่งราชเลขาธิการให้ทำหมายรับสั่งแจ้งไปถึงเกียงอุยให้ยอมสวามิภักดิ์แก่กองทัพวุยก๊กในทันที และตรัสสั่งให้เจ้ากรมกำลังพลและเจ้ากรมพลาจัดทำบัญชีรายชื่อกำลังพลและทะเบียนราษฎรพร้อมกับบัญชีเสบียงอาหาร ศาสตราวุธ ม้าศึกทั้งปวงเพื่อมอบแก่เตงงายต่อไปตามประเพณี
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า บัญชีราชการก๊กเสฉวนที่มอบให้แก่เตงงายในครั้งนี้ประกอบด้วยทะเบียนครัวเรือนยี่สิบแปดหมื่นครัวเรือน หญิงชายเก้าสิบสี่หมื่นคน นายทหารทั้งไพร่พลสิบหมื่นสองพันคน ขุนนางสี่หมื่นคน เสบียงอาหาร สี่สิบกว่าหมื่นชั่ง เงินทองสามพันชั่ง ผ้าแพรสีวิจิตรทั้งผ้าแพรขาวและผ้าแพรลวดลายอย่างละยี่สิบหมื่นพับ สิ่งของต่าง ๆ ในท้องพระคลังอีกเป็นจำนวนมาก กำหนดวันขึ้นค่ำหนึ่ง เดือนยี่ เป็นวันทำพิธีสวามิภักดิ์กับเตงงาย
ฝ่ายราชบุตรเล่าขำครั้นทราบว่าพระราชบิดาจะเสด็จออกไปยอมนอบน้อมแก่เตงงายก็โกรธ ถือกระบี่เดินเข้าไปหานางซุยฮูหยินผู้เป็นภรรยาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางซุยฮูหยินเห็นเล่าขำดังนั้นจึงถามว่า วันนี้สีหน้าพระองค์บึ้งตึงผิดปกติไป ผู้ใดทำให้ขัดข้องพระทัยหรือ
เล่าขำจึงว่า บัดนี้กองทัพวุยก๊กยกมาตีเมืองเสฉวน พระราชบิดาไม่คิดถึงพระอัยกา ไม่คิดอ่านรักษาป้องกันเมือง กลับยอมจำนนต่อข้าศึก เราจึงรู้สึกอัปยศอดสูมิรู้ที่จะเอาหน้าไปพบผู้ใดได้ “ตัวเราเกิดมาในวงศ์ของพระเจ้าเล่าปี่ มิเคยได้อ่อนน้อมแก่ผู้ใด ครั้งนี้จะพลอยคำนับข้าศึกนั้นก็เสียดายชาติตระกูลของเรา ผิดก็จะเชือดคอตายเสียดีกว่าอย่าให้เสียศักดิ์”
นางซุยฮูหยินจึงว่า ตัวข้าพเจ้าเป็นภรรยาท่าน หากท่านตายแล้วข้าพเจ้าก็ไม่อาจอยู่สู้ชีวิตสืบไปให้ศัตรูข่มเหง จะขอโดยเสด็จตายตามพระองค์ไปจะเป็นเกียรติยศยิ่งกว่า ทูลเพียงเท่านั้นแล้วนางซุยฮูหยินจึงวิ่งเอาศีรษะกระแทกเสาพระตำหนักสิ้นพระชนม์
เล่าขำเห็นฮูหยินตายต่อหน้าต่อตา จึงถือกระบี่เข้าไปหาบุตรทั้งสามคน สั่งให้คุกเข่าถวายบังคมรำลึกถึงพระเจ้าเล่าปี่ แล้วตัดศีรษะพระราชบุตรทั้งสามพระองค์นั้นแล้วตัดศีรษะศพของนางซุยฮูหยินพาไปตั้งไว้บนแท่นบูชาในสุสานฝังพระบรมศพของพระเจ้าเล่าปี่
เล่าขำคุกเข่าถวายบังคมพระป้ายพระเจ้าเล่าปี่ภายในสุสานพระบรมศพแล้วร้องไห้ พลางกล่าวว่า “ตัวข้าพเจ้าเป็นหลานของพระองค์ ตั้งใจจะรักษาแผ่นดินมิให้เสียเกียรติยศของพระองค์ไป บัดนี้ข้าพเจ้าจะรักษาจารีตประเพณีของพระองค์ไว้มิได้ ข้าพเจ้ามีแต่ชีวิตจะขอบูชาสนองคุณพระองค์ ซึ่งทรงอุตส่าห์ตั้งภูมิฐานไว้ให้เป็นที่พำนักแก่ข้าพเจ้าผู้เป็นหลาน”
เล่าขำกล่าวความจบแล้วจึงโขกศีรษะลงกับพื้นศิลา แล้วชักกระบี่ออกเชือดคอตนเองถึงแก่ความตาย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยหกพรรษา เดือนยี่ ขึ้นหนึ่งค่ำ ซึ่งเป็นวันกำหนดการทำพิธีสวามิภักดิ์อย่างเป็นทางการ เตงงายได้ยกกองทัพจากเมืองโปยเสียไปที่เมืองเอ๊กจิ๋วเพื่อรับการสวามิภักดิ์จากพระเจ้าเล่าเสี้ยน เตงงายได้แต่งขบวนทัพพร้อมด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก ประดับธงทิวแห่แหนแน่นขนัด ขบวนม้าล่อฆ้องกลองตีม้าล่อฆ้องกลองเสียงดังกึกก้องตลอดทาง เตงงายแต่งเครื่องเกราะเต็มยศตามหลังขบวนทหารม้าด้วยสีหน้าที่เบิกบาน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยน ครั้นทราบว่าขบวนของเตงงายกำลังยกเข้ามาใกล้เมืองเอ๊กจิ๋ว จึงพาพระราชบุตรที่เหลือทั้งหกพระองค์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่หกสิบคนพร้อมขบวนอิสริยยศสำหรับพระมหากษัตริย์ออกไปรอต้อนรับเตงงายที่หน้าประตูเมือง และตรัสสั่งให้อาณาประชาราษฎรชาวเมืองเสฉวนแต่งโต๊ะบูชาเตงงายตลอดทางตั้งแต่ประตูเมืองไปจนถึงพระบรมมหาราชวัง
ครั้นเตงงายนำขบวนมาถึงหน้าประตูเมือง เห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนคุมขบวนขุนนางมาต้อนรับ จึงหวังจะผูกน้ำใจพระเจ้าเล่าเสี้ยนและชาวเมืองเสฉวนไว้ จึงรีบกระโดดลงจากหลังม้าเดินเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วทูลว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยน้ำพระทัยเมตตาอาทรต่อประชาราษฎร์ คล้อยตามลิขิตสวรรค์ แต่นี้ต่อไปเห็นบ้านเมืองจะรุ่งเรืองเป็นสุข
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นเตงงายมิได้ถือเนื้อถือตัว ทั้งที่เป็นแม่ทัพของเจ้าประเทศราช และกระทำการโอภาปราศรัยต่อพระองค์อย่างนอบน้อมก็มีน้ำพระทัยยินดี เมื่อได้ปฏิสันถารกับเตงงายตามประเพณีแล้ว จึงเชื้อเชิญเตงงายเข้าไปที่ท้องพระโรงเมืองเสฉวน เชิญให้เตงงายนั่งบนพระราชบัลลังก์ แต่เตงงายไม่ยอมขึ้นไปนั่ง พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ไม่กล้านั่งบนพระราชบัลลังก์เหมือนดังแต่ก่อน และประทับนั่งบนพระเก้าอี้ข้างพระราชบัลลังก์นั้น
เตงงายก้าวเท้าไปยืนอยู่เบื้องหน้าพระราชบัลลังก์ ขุนนางเมืองเสฉวนและแม่ทัพนายกองทั้งปวงพากันคำนับเตงงายตามธรรมเนียม เตงงายรับคำนับแล้วจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าถือรับสั่งยกกองทัพมาครั้งนี้มิได้ปรารถนาจะข่มเหงยำเยงอาณาประชาราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อนแต่ประการใด ลิขิตสวรรค์ได้กำหนดให้แผ่นดินทั้งปวงต้องรวมกันเป็นเอกภาพ บัดนี้เมืองเสฉวนตระหนักและคล้อยตามในลิขิตสวรรค์ จึงยอมนบนอบต่อแผ่นดินวุยก๊ก ขอให้คนทั้งปวงได้ทำหน้าที่ตามปกติ อย่าได้วิตกทุกข์ร้อน ทหารวุยก๊กทุกคนจะไม่ข่มเหงปล้นชิงฆ่าฟันราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเด็ดขาด ขุนนางทั้งปวงให้ยังคงดำรงตำแหน่งเดิม และปฏิบัติหน้าที่ไปตามเดิมทุกประการ
สำหรับองค์พระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้นเตงงายได้แต่งตั้งให้เป็นรองอัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นวุย ในตำแหน่งที่แพ้วกี๋จงกุ๋น
การแต่งตั้งพระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นรองอัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นวุยในตำแหน่งแพ้วกี๋จงกุ๋นครั้งนี้ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจของเตงงาย และไม่อาจทำได้โดยพลการเพราะเป็นพระราชอำนาจของพระเจ้าโจฮวนโดยเฉพาะ และพระเจ้าโจฮวนจะทรงใช้พระราชอำนาจนี้ได้ก็ด้วยการกราบบังคมทูลเสนอของสุมาเจียวมหาอุปราช แต่เตงงายไม่มีทางอื่นเลือกเพราะนี่เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะใช้เป็นเครื่องร้อยรัดน้ำใจชาวเมืองเสฉวนมิให้ต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกลับคืน เพราะเมืองเสฉวนเป็นหัวเมืองใหญ่ ยังมีกำลังทหารและผู้คนจำนวนมาก เตงงายแม้จะมีทหารเป็นจำนวนไม่น้อย แต่หากต้องกระจายกำลังไปรักษาหัวเมืองต่าง ๆ กำลังทหารก็จะลดเหลือน้อยกว่าน้อย อาจจะถูกแย่งชิงอำนาจได้โดยง่าย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเชิดพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เป็นศูนย์รวมผู้คนเอาไว้ก่อน ทั้งจะได้ใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่การกระทำครั้งนี้ใหญ่หลวงเกินอำนาจนัก ย่อมเป็นเหตุที่จะหาได้ว่าเตงงายเหลิงระเริงอำนาจ ทำการประหนึ่งเป็นพระเจ้าโจฮวนหรือสุมาเจียวเสียเอง เหตุนี้เงาวิบัติจึงแผ่ปกคลุมเหนือหัวของเตงงายตั้งแต่บัดนั้น
เตงงายได้ทำพิธีรับมอบทรัพย์สินสิ่งของในท้องพระคลัง ศาสตราวุธและเสบียงอาหาร ตลอดจนบัญชีทหารทั้งไพร่บ้านและพลเมืองตามประเพณีแล้ว จึงให้ออกประกาศแจ้งแก่ชาวเมืองทั้งปวงให้ตั้งหน้าทำมาหากินตามปกติ แล้วแต่งฎีการายงานความทั้งปวงส่งเข้าไปเมืองลกเอี๋ยง กราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจฮวนทรงทราบ และสั่งให้สำนักราชเลขาธิการมีหมายรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปถึงหัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นกับเมืองเสฉวนให้ยอมอ่อนน้อมขึ้นต่อวุยก๊ก และตั้งให้เจียวเอี๋ยนถือหมายรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนเดินทางไปหาเกียงอุย เกลี้ยกล่อมให้เกียงอุยยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี
ขุนนางเมืองเสฉวนหลายคนที่เคียดแค้นชิงชังไม่พอใจฮุยโฮขันที ได้นำความแจ้งแก่เตงงายว่าซึ่งเมืองเสฉวนถึงกาลดับสูญเกิดจากฮุยโฮขันทียุยงพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้กระทำแต่กรรมชั่ว ข่มเหงขุนนางข้าราชการผู้ภักดีต่อแผ่นดิน ขุนนางและชาวเมืองเสฉวนล้วนชิงชังฮุยโฮ อยากจะฉีกเนื้อฮุยโฮออกเป็นชิ้น ๆ เอาให้กากินเพื่อให้หายแค้นด้วยกันทั้งสิ้น
เตงงายได้ทราบความดังนั้นจึงเห็นเป็นทีที่จะสร้างภาพลักษณ์ว่ารักคนดี ชังคนชั่ว และเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรม จึงสั่งทหารให้ไปจับตัวฮุยโฮแล้วให้เอาตัวไปประหารชีวิตเสีย
ฝ่ายฮุยโฮนั้นเป็นจอมขันทีผู้เจนจบจัดจ้านครบครันในสุดยอดวิชาขันที ยามมีอำนาจก็ปรนเปรอจนพระเจ้าเล่าเสี้ยนหลงใหลเชื่อฟัง ครั้นถึงคราวิกฤตแผ่นดินล่มสลายก็คิดอ่านหาทางเอาตัวรอด พอได้ทราบข่าวว่าบรรดาขุนนางพากันไปฟ้องร้องต่อเตงงายก็รู้ว่าชะตากรรมร้ายจะมาถึงตัว จึงเอาเงินทองเพชรนิลจินดาไปติดสินบน นายทหารของเตงงายแล้วหนีออกไปอยู่ต่างเมือง
ทหารของเตงงายติดตามหาตัวฮุยโฮไม่พบจึงนำความไปรายงานให้กับคนสนิทของเตงงายทราบ แต่สินบนที่คนสนิทของเตงงายกินเข้าไปคับอยู่ในปาก ดังนั้นคนสนิทของเตงงายจึงนำความไปรายงานให้เตงงายทราบว่า ฮุยโฮรู้ตัวว่าจะต้องโทษจึงหลบหนีไปและถูกโจรปล้นฆ่าถึงแก่ความตายในระหว่างทางแล้ว ฮุยโฮจึงรอดตายด้วยสุดยอดวิชาขันทีที่ว่าด้วยการติดสินบนและการเพ็ดทูลเอาตัวรอดด้วยประการฉะนี้
ฝ่ายเจียวเอี๋ยนครั้นถือหมายรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปถึงด่านเกียมโก๊ะ จึงเข้าไปหาเกียงอุย มอบหนังสือรับสั่งนั้นแล้วแจ้งความทั้งปวงให้เกียงอุยทราบ
เกียงอุยทราบความว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนยอมสวามิภักดิ์ยกเมืองเสฉวนให้แก่วุยก๊กแล้ว และยังมีหมายรับสั่งให้ยอมจำนนอีกก็ตกใจ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “เกียงอุยแจ้งเนื้อความในข้อรับสั่งก็ตกใจนิ่งตะลึงไปทั้งตัว ทหารทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ชวนกันร้องไห้อึงคะนึงขึ้นว่า เราทั้งหลายอุตส่าห์ออกมาทรมานอยู่ ปรารถนาจะกำจัดศัตรูเสีย เหตุใดพระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงมายกเมืองให้เตงงายโดยง่ายฉะนี้มิควรเลย”
เกียงอุยเห็นทหารทั้งปวงยังมีใจจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นดังนั้นจึงปลอบประโลมว่า ท่านทั้งปวงอย่าเพิ่งวิตกทุกข์ร้อน ข้าพเจ้ามีแผนการอุบายที่จะกอบกู้แผ่นดินได้สำเร็จ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นจึงพากันไต่ถามว่าแผนการอุบายท่านเป็นประการใด
เกียงอุยจึงว่า ถ้าหากพระเจ้าเล่าเสี้ยนยังเป็นหลักชัยของแผ่นดิน การบรรลุถึงแผนการดังกล่าวก็เป็นเรื่องง่ายดาย แต่บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนมิได้เป็นหลักร่มธงชัยให้แก่ทหารและราษฎรแล้ว คงเหลืออยู่ก็แต่ข้าพเจ้า จึงกริ่งว่าถ้าหากทหารและอาณาประชาราษฎรไม่พร้อมเพรียงน้ำใจกันแล้ว ถึงจะมีแผนการอุบายอันล้ำเลิศก็ไม่อาจบรรลุผลได้ดังปรารถนา
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นจึงว่า ในยามคับขันเช่นนี้ไม่มีทางอื่นใดเลือก เมื่อแผ่นดินสิ้นเจ้าแล้วขอให้ท่านเป็นร่มฉัตรธงชัยให้แก่กองทัพ รวบรวมทหารและอาณาประชาราษฎรซึ่งยังมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่น แล้วทำการกอบกู้แผ่นดินกลับคืนเถิด ข้าพเจ้าทั้งปวงพร้อมที่จะพลีชีวิตร่วมทำการกับท่านไปจนถึงที่สุด.
เตงงายตั้งให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนปกครองเมืองเสฉวนดังแต่ก่อนโดยมิได้ขอความเห็นชอบจากสุมาเจียว และโดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าโจฮวนก่อน ย่อมเป็นการล่วงละเมิดอำนาจมหาอุปราชและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ เป็นการกระทำที่ประหนึ่งว่าเตงงายตั้งตัวเป็นใหญ่ ตัดสินใจทำการด้วยอำเภอน้ำใจตนเอง ซึ่งย่อมนำเภทภัยมาสู่ตนเองในภายภาคหน้า แต่ในส่วนของเตงงายนั้นย่อมเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเตงงายบุกป่าฝ่าดงมาด้วยความยากลำเค็ญ มีทหารเพียงสองพันติดตามมาเท่านั้น ไม่มีทรัพย์สินสิ่งของสำหรับครอง น้ำใจคนแม้แต่สักสิ่ง จึงเหลือเพียงยศถาศักดิ์อันเป็นเครื่องยึดถือของปุถุชนเพียงสิ่งเดียวที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการครองน้ำใจชาวเมืองเสฉวนได้ ทั้งเมืองเสฉวนก็เป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางภาคตะวันตก ยามที่เล่าปี่ได้เมืองเสฉวนก็ต้องใช้เวลากว่าสามปี จึงจะควบคุมสถานการณ์ให้เป็นปกติได้ เตงงายจึงไม่มีทางอื่นเลือก จำต้องใช้วิธีครองใจด้วยทำทีเป็นมีคุณธรรมเมตตาเอื้ออาทรต่อคนทั้งปวง เพื่อหวังสร้างความสงบขึ้นในเมืองเสฉวน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นทรงทราบว่าคณะทูตเดินทางกลับมาจากกองทัพของเตงงาย จึงเสด็จออกให้คณะทูตเข้าเฝ้า ครั้นได้ทราบความตามที่เตงงายได้บอกมาแล้วก็ทรงดีพระทัย ตรัสสั่งราชเลขาธิการให้ทำหมายรับสั่งแจ้งไปถึงเกียงอุยให้ยอมสวามิภักดิ์แก่กองทัพวุยก๊กในทันที และตรัสสั่งให้เจ้ากรมกำลังพลและเจ้ากรมพลาจัดทำบัญชีรายชื่อกำลังพลและทะเบียนราษฎรพร้อมกับบัญชีเสบียงอาหาร ศาสตราวุธ ม้าศึกทั้งปวงเพื่อมอบแก่เตงงายต่อไปตามประเพณี
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า บัญชีราชการก๊กเสฉวนที่มอบให้แก่เตงงายในครั้งนี้ประกอบด้วยทะเบียนครัวเรือนยี่สิบแปดหมื่นครัวเรือน หญิงชายเก้าสิบสี่หมื่นคน นายทหารทั้งไพร่พลสิบหมื่นสองพันคน ขุนนางสี่หมื่นคน เสบียงอาหาร สี่สิบกว่าหมื่นชั่ง เงินทองสามพันชั่ง ผ้าแพรสีวิจิตรทั้งผ้าแพรขาวและผ้าแพรลวดลายอย่างละยี่สิบหมื่นพับ สิ่งของต่าง ๆ ในท้องพระคลังอีกเป็นจำนวนมาก กำหนดวันขึ้นค่ำหนึ่ง เดือนยี่ เป็นวันทำพิธีสวามิภักดิ์กับเตงงาย
ฝ่ายราชบุตรเล่าขำครั้นทราบว่าพระราชบิดาจะเสด็จออกไปยอมนอบน้อมแก่เตงงายก็โกรธ ถือกระบี่เดินเข้าไปหานางซุยฮูหยินผู้เป็นภรรยาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางซุยฮูหยินเห็นเล่าขำดังนั้นจึงถามว่า วันนี้สีหน้าพระองค์บึ้งตึงผิดปกติไป ผู้ใดทำให้ขัดข้องพระทัยหรือ
เล่าขำจึงว่า บัดนี้กองทัพวุยก๊กยกมาตีเมืองเสฉวน พระราชบิดาไม่คิดถึงพระอัยกา ไม่คิดอ่านรักษาป้องกันเมือง กลับยอมจำนนต่อข้าศึก เราจึงรู้สึกอัปยศอดสูมิรู้ที่จะเอาหน้าไปพบผู้ใดได้ “ตัวเราเกิดมาในวงศ์ของพระเจ้าเล่าปี่ มิเคยได้อ่อนน้อมแก่ผู้ใด ครั้งนี้จะพลอยคำนับข้าศึกนั้นก็เสียดายชาติตระกูลของเรา ผิดก็จะเชือดคอตายเสียดีกว่าอย่าให้เสียศักดิ์”
นางซุยฮูหยินจึงว่า ตัวข้าพเจ้าเป็นภรรยาท่าน หากท่านตายแล้วข้าพเจ้าก็ไม่อาจอยู่สู้ชีวิตสืบไปให้ศัตรูข่มเหง จะขอโดยเสด็จตายตามพระองค์ไปจะเป็นเกียรติยศยิ่งกว่า ทูลเพียงเท่านั้นแล้วนางซุยฮูหยินจึงวิ่งเอาศีรษะกระแทกเสาพระตำหนักสิ้นพระชนม์
เล่าขำเห็นฮูหยินตายต่อหน้าต่อตา จึงถือกระบี่เข้าไปหาบุตรทั้งสามคน สั่งให้คุกเข่าถวายบังคมรำลึกถึงพระเจ้าเล่าปี่ แล้วตัดศีรษะพระราชบุตรทั้งสามพระองค์นั้นแล้วตัดศีรษะศพของนางซุยฮูหยินพาไปตั้งไว้บนแท่นบูชาในสุสานฝังพระบรมศพของพระเจ้าเล่าปี่
เล่าขำคุกเข่าถวายบังคมพระป้ายพระเจ้าเล่าปี่ภายในสุสานพระบรมศพแล้วร้องไห้ พลางกล่าวว่า “ตัวข้าพเจ้าเป็นหลานของพระองค์ ตั้งใจจะรักษาแผ่นดินมิให้เสียเกียรติยศของพระองค์ไป บัดนี้ข้าพเจ้าจะรักษาจารีตประเพณีของพระองค์ไว้มิได้ ข้าพเจ้ามีแต่ชีวิตจะขอบูชาสนองคุณพระองค์ ซึ่งทรงอุตส่าห์ตั้งภูมิฐานไว้ให้เป็นที่พำนักแก่ข้าพเจ้าผู้เป็นหลาน”
เล่าขำกล่าวความจบแล้วจึงโขกศีรษะลงกับพื้นศิลา แล้วชักกระบี่ออกเชือดคอตนเองถึงแก่ความตาย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยหกพรรษา เดือนยี่ ขึ้นหนึ่งค่ำ ซึ่งเป็นวันกำหนดการทำพิธีสวามิภักดิ์อย่างเป็นทางการ เตงงายได้ยกกองทัพจากเมืองโปยเสียไปที่เมืองเอ๊กจิ๋วเพื่อรับการสวามิภักดิ์จากพระเจ้าเล่าเสี้ยน เตงงายได้แต่งขบวนทัพพร้อมด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก ประดับธงทิวแห่แหนแน่นขนัด ขบวนม้าล่อฆ้องกลองตีม้าล่อฆ้องกลองเสียงดังกึกก้องตลอดทาง เตงงายแต่งเครื่องเกราะเต็มยศตามหลังขบวนทหารม้าด้วยสีหน้าที่เบิกบาน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยน ครั้นทราบว่าขบวนของเตงงายกำลังยกเข้ามาใกล้เมืองเอ๊กจิ๋ว จึงพาพระราชบุตรที่เหลือทั้งหกพระองค์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่หกสิบคนพร้อมขบวนอิสริยยศสำหรับพระมหากษัตริย์ออกไปรอต้อนรับเตงงายที่หน้าประตูเมือง และตรัสสั่งให้อาณาประชาราษฎรชาวเมืองเสฉวนแต่งโต๊ะบูชาเตงงายตลอดทางตั้งแต่ประตูเมืองไปจนถึงพระบรมมหาราชวัง
ครั้นเตงงายนำขบวนมาถึงหน้าประตูเมือง เห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนคุมขบวนขุนนางมาต้อนรับ จึงหวังจะผูกน้ำใจพระเจ้าเล่าเสี้ยนและชาวเมืองเสฉวนไว้ จึงรีบกระโดดลงจากหลังม้าเดินเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วทูลว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยน้ำพระทัยเมตตาอาทรต่อประชาราษฎร์ คล้อยตามลิขิตสวรรค์ แต่นี้ต่อไปเห็นบ้านเมืองจะรุ่งเรืองเป็นสุข
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นเตงงายมิได้ถือเนื้อถือตัว ทั้งที่เป็นแม่ทัพของเจ้าประเทศราช และกระทำการโอภาปราศรัยต่อพระองค์อย่างนอบน้อมก็มีน้ำพระทัยยินดี เมื่อได้ปฏิสันถารกับเตงงายตามประเพณีแล้ว จึงเชื้อเชิญเตงงายเข้าไปที่ท้องพระโรงเมืองเสฉวน เชิญให้เตงงายนั่งบนพระราชบัลลังก์ แต่เตงงายไม่ยอมขึ้นไปนั่ง พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ไม่กล้านั่งบนพระราชบัลลังก์เหมือนดังแต่ก่อน และประทับนั่งบนพระเก้าอี้ข้างพระราชบัลลังก์นั้น
เตงงายก้าวเท้าไปยืนอยู่เบื้องหน้าพระราชบัลลังก์ ขุนนางเมืองเสฉวนและแม่ทัพนายกองทั้งปวงพากันคำนับเตงงายตามธรรมเนียม เตงงายรับคำนับแล้วจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าถือรับสั่งยกกองทัพมาครั้งนี้มิได้ปรารถนาจะข่มเหงยำเยงอาณาประชาราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อนแต่ประการใด ลิขิตสวรรค์ได้กำหนดให้แผ่นดินทั้งปวงต้องรวมกันเป็นเอกภาพ บัดนี้เมืองเสฉวนตระหนักและคล้อยตามในลิขิตสวรรค์ จึงยอมนบนอบต่อแผ่นดินวุยก๊ก ขอให้คนทั้งปวงได้ทำหน้าที่ตามปกติ อย่าได้วิตกทุกข์ร้อน ทหารวุยก๊กทุกคนจะไม่ข่มเหงปล้นชิงฆ่าฟันราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเด็ดขาด ขุนนางทั้งปวงให้ยังคงดำรงตำแหน่งเดิม และปฏิบัติหน้าที่ไปตามเดิมทุกประการ
สำหรับองค์พระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้นเตงงายได้แต่งตั้งให้เป็นรองอัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นวุย ในตำแหน่งที่แพ้วกี๋จงกุ๋น
การแต่งตั้งพระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นรองอัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นวุยในตำแหน่งแพ้วกี๋จงกุ๋นครั้งนี้ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจของเตงงาย และไม่อาจทำได้โดยพลการเพราะเป็นพระราชอำนาจของพระเจ้าโจฮวนโดยเฉพาะ และพระเจ้าโจฮวนจะทรงใช้พระราชอำนาจนี้ได้ก็ด้วยการกราบบังคมทูลเสนอของสุมาเจียวมหาอุปราช แต่เตงงายไม่มีทางอื่นเลือกเพราะนี่เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะใช้เป็นเครื่องร้อยรัดน้ำใจชาวเมืองเสฉวนมิให้ต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกลับคืน เพราะเมืองเสฉวนเป็นหัวเมืองใหญ่ ยังมีกำลังทหารและผู้คนจำนวนมาก เตงงายแม้จะมีทหารเป็นจำนวนไม่น้อย แต่หากต้องกระจายกำลังไปรักษาหัวเมืองต่าง ๆ กำลังทหารก็จะลดเหลือน้อยกว่าน้อย อาจจะถูกแย่งชิงอำนาจได้โดยง่าย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเชิดพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เป็นศูนย์รวมผู้คนเอาไว้ก่อน ทั้งจะได้ใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่การกระทำครั้งนี้ใหญ่หลวงเกินอำนาจนัก ย่อมเป็นเหตุที่จะหาได้ว่าเตงงายเหลิงระเริงอำนาจ ทำการประหนึ่งเป็นพระเจ้าโจฮวนหรือสุมาเจียวเสียเอง เหตุนี้เงาวิบัติจึงแผ่ปกคลุมเหนือหัวของเตงงายตั้งแต่บัดนั้น
เตงงายได้ทำพิธีรับมอบทรัพย์สินสิ่งของในท้องพระคลัง ศาสตราวุธและเสบียงอาหาร ตลอดจนบัญชีทหารทั้งไพร่บ้านและพลเมืองตามประเพณีแล้ว จึงให้ออกประกาศแจ้งแก่ชาวเมืองทั้งปวงให้ตั้งหน้าทำมาหากินตามปกติ แล้วแต่งฎีการายงานความทั้งปวงส่งเข้าไปเมืองลกเอี๋ยง กราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจฮวนทรงทราบ และสั่งให้สำนักราชเลขาธิการมีหมายรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปถึงหัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นกับเมืองเสฉวนให้ยอมอ่อนน้อมขึ้นต่อวุยก๊ก และตั้งให้เจียวเอี๋ยนถือหมายรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนเดินทางไปหาเกียงอุย เกลี้ยกล่อมให้เกียงอุยยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี
ขุนนางเมืองเสฉวนหลายคนที่เคียดแค้นชิงชังไม่พอใจฮุยโฮขันที ได้นำความแจ้งแก่เตงงายว่าซึ่งเมืองเสฉวนถึงกาลดับสูญเกิดจากฮุยโฮขันทียุยงพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้กระทำแต่กรรมชั่ว ข่มเหงขุนนางข้าราชการผู้ภักดีต่อแผ่นดิน ขุนนางและชาวเมืองเสฉวนล้วนชิงชังฮุยโฮ อยากจะฉีกเนื้อฮุยโฮออกเป็นชิ้น ๆ เอาให้กากินเพื่อให้หายแค้นด้วยกันทั้งสิ้น
เตงงายได้ทราบความดังนั้นจึงเห็นเป็นทีที่จะสร้างภาพลักษณ์ว่ารักคนดี ชังคนชั่ว และเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรม จึงสั่งทหารให้ไปจับตัวฮุยโฮแล้วให้เอาตัวไปประหารชีวิตเสีย
ฝ่ายฮุยโฮนั้นเป็นจอมขันทีผู้เจนจบจัดจ้านครบครันในสุดยอดวิชาขันที ยามมีอำนาจก็ปรนเปรอจนพระเจ้าเล่าเสี้ยนหลงใหลเชื่อฟัง ครั้นถึงคราวิกฤตแผ่นดินล่มสลายก็คิดอ่านหาทางเอาตัวรอด พอได้ทราบข่าวว่าบรรดาขุนนางพากันไปฟ้องร้องต่อเตงงายก็รู้ว่าชะตากรรมร้ายจะมาถึงตัว จึงเอาเงินทองเพชรนิลจินดาไปติดสินบน นายทหารของเตงงายแล้วหนีออกไปอยู่ต่างเมือง
ทหารของเตงงายติดตามหาตัวฮุยโฮไม่พบจึงนำความไปรายงานให้กับคนสนิทของเตงงายทราบ แต่สินบนที่คนสนิทของเตงงายกินเข้าไปคับอยู่ในปาก ดังนั้นคนสนิทของเตงงายจึงนำความไปรายงานให้เตงงายทราบว่า ฮุยโฮรู้ตัวว่าจะต้องโทษจึงหลบหนีไปและถูกโจรปล้นฆ่าถึงแก่ความตายในระหว่างทางแล้ว ฮุยโฮจึงรอดตายด้วยสุดยอดวิชาขันทีที่ว่าด้วยการติดสินบนและการเพ็ดทูลเอาตัวรอดด้วยประการฉะนี้
ฝ่ายเจียวเอี๋ยนครั้นถือหมายรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปถึงด่านเกียมโก๊ะ จึงเข้าไปหาเกียงอุย มอบหนังสือรับสั่งนั้นแล้วแจ้งความทั้งปวงให้เกียงอุยทราบ
เกียงอุยทราบความว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนยอมสวามิภักดิ์ยกเมืองเสฉวนให้แก่วุยก๊กแล้ว และยังมีหมายรับสั่งให้ยอมจำนนอีกก็ตกใจ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “เกียงอุยแจ้งเนื้อความในข้อรับสั่งก็ตกใจนิ่งตะลึงไปทั้งตัว ทหารทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ชวนกันร้องไห้อึงคะนึงขึ้นว่า เราทั้งหลายอุตส่าห์ออกมาทรมานอยู่ ปรารถนาจะกำจัดศัตรูเสีย เหตุใดพระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงมายกเมืองให้เตงงายโดยง่ายฉะนี้มิควรเลย”
เกียงอุยเห็นทหารทั้งปวงยังมีใจจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นดังนั้นจึงปลอบประโลมว่า ท่านทั้งปวงอย่าเพิ่งวิตกทุกข์ร้อน ข้าพเจ้ามีแผนการอุบายที่จะกอบกู้แผ่นดินได้สำเร็จ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นจึงพากันไต่ถามว่าแผนการอุบายท่านเป็นประการใด
เกียงอุยจึงว่า ถ้าหากพระเจ้าเล่าเสี้ยนยังเป็นหลักชัยของแผ่นดิน การบรรลุถึงแผนการดังกล่าวก็เป็นเรื่องง่ายดาย แต่บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนมิได้เป็นหลักร่มธงชัยให้แก่ทหารและราษฎรแล้ว คงเหลืออยู่ก็แต่ข้าพเจ้า จึงกริ่งว่าถ้าหากทหารและอาณาประชาราษฎรไม่พร้อมเพรียงน้ำใจกันแล้ว ถึงจะมีแผนการอุบายอันล้ำเลิศก็ไม่อาจบรรลุผลได้ดังปรารถนา
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นจึงว่า ในยามคับขันเช่นนี้ไม่มีทางอื่นใดเลือก เมื่อแผ่นดินสิ้นเจ้าแล้วขอให้ท่านเป็นร่มฉัตรธงชัยให้แก่กองทัพ รวบรวมทหารและอาณาประชาราษฎรซึ่งยังมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่น แล้วทำการกอบกู้แผ่นดินกลับคืนเถิด ข้าพเจ้าทั้งปวงพร้อมที่จะพลีชีวิตร่วมทำการกับท่านไปจนถึงที่สุด.