ตอนที่ 645. สิ้นราชวงศ์ฮั่น
เมืองกังตั๋งได้รับการขอร้องจากเกียงอุยให้ยกกองทัพไปช่วยตีโต้กองทัพวุยก๊ก แต่แทนที่จะยกกองทัพไปช่วยเหลืออย่างจริงจัง กลับยกไปตั้งเพียงเพื่อป้องกันระวังเมืองกังตั๋งเท่านั้น หาได้ตระหนักว่าถ้าเมืองเสฉวนเสียแก่วุยก๊กแล้วเมืองกังตั๋งก็จะตกเป็นเมืองขึ้นแก่วุยก๊กด้วย
ฝ่ายจูกัดเจี๋ยมคุมทหารรักษาเมืองกิมก๊กอยู่หลายวัน คอยท่ากองทัพเมืองกังตั๋งยกมาช่วยก็ไม่เห็นทหารเมืองกังตั๋งยกมา เสบียงอาหารภายในเมืองก็ขาดแคลนลง จึงตัดสินใจสู้ตาย จะยกกองทัพตีฝ่าแนวล้อมของทหารวุยก๊กออกไปให้จงได้
จูกัดเจี๋ยมสั่งให้จูกัดสงผู้บุตรและเตียวจุ๋นอยู่รักษาเมืองกิมก๊ก แล้วพาทหารสามพันเปิดประตูเมืองจู่โจมออกไปที่แนวล้อมของทหารวุยก๊ก เตงงายเห็นจูกัดเจี๋ยมคุมทหารออกมาดังนั้นจึงเข้ารบกับจูกัดเจี๋ยมได้ห้าเพลง แล้วพาทหารล่าถอยไกลออกไปจากแนวกำแพงเมือง
จูกัดเจี๋ยมเห็นได้ทีจึงไล่ตามตีกองทัพวุยก๊ก แต่พอห่างออกไปจากกำแพงเมืองห้าสิบเส้นกลับเห็นทหารวุยก๊กแปรขบวนตีปีกโอบเข้ามาล้อมทหารจ๊กก๊กไว้ในวงล้อมไว้อย่างแน่นหนา และค่อย ๆ บีบวงล้อมกระชับเข้ามาอย่างช้า ๆ
เตงงายให้แนวล้อมข้างหน้าระดมยิงเกาทัณฑ์ไปที่ทหารของจูกัดเจี๋ยมบาดเจ็บ ล้มตายลงเป็นอันมาก จูกัดเจี๋ยมเห็นดังนั้นก็โกรธ พยายามตีฝ่าจะหักออกจากแนวล้อม แต่ทหารวุยก๊กได้ยกหนุนมาสกัดไว้ไม่อาจตีฝ่าออกไปได้ จูกัดเจี๋ยมพยายามตีฝ่าออกไปทางด้านข้างและด้านหลังหลายครั้งหลายหนแต่ไม่อาจตีฝ่าออกไปได้ เห็นทหารจ๊กก๊กซึ่งติดตามมาถูกเกาทัณฑ์บาดเจ็บล้มตายลงเกือบหมดสิ้นก็ระย่อท้อถอย ทั้งกำลังก็อิดโรยลง กระบวนรบพุ่งจึงเชื่องช้าตามไปด้วย
ในทันใดทหารวุยก๊กได้ยิงเกาทัณฑ์ถูกจูกัดเจี๋ยมที่ข้างหลังและข้างตัวสองสามดอกพลัดตกลงจากหลังม้า จูกัดเจี๋ยมพยายามอดทนฝืนความเจ็บพยุงตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ทอดสายตาไปโดยรอบเห็นทหารวุยก๊กกระชับวงล้อมเข้ามาใกล้อย่างแน่นหนา ไม่อาจฝ่าออกไปได้ จึงร้องกล่าวกับทหารจ๊กก๊กที่เหลือด้วยเสียงอันดังว่าตัวเรานี้เป็นชายชาติทหาร ได้รับคำสั่งสอนจากขงเบ้งผู้บิดาให้จงรักภักดีต่อเจ้า สนองคุณชาติจนถึงที่สุด จะต่อสู้ต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ให้ทหารทั้งปวงรักษาเกียรติศักดิ์ทหารเมืองเสฉวน สู้ตายให้ลือชาปรากฏไปในภายหน้าพร้อมกันเถิด
ในขณะนั้นทหารวุยก๊กเห็นจูกัดเจี๋ยมบาดเจ็บ จึงพากันกรูเข้าไปจะจับตัวจูกัดเจี๋ยมเห็นดังนั้นก็เกรงว่าหากตกอยู่ในเงื้อมมือของข้าศึกจะถูกบังคับข่มเหงให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของทหาร เสื่อมเสียเกียรติคุณของขงเบ้งผู้บิดา จึงเอากระบี่เชือดคอตาย
ฝ่ายจูกัดสงผู้บุตรของจูกัดเจี๋ยมยืนสังเกตการรบอยู่บนหอรบ เห็นจูกัดเจี๋ยมถึงแก่ความตายก็โกรธ รีบวิ่งลงจากหอรบจะออกไปรบกับเตงงาย ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ พากันช่วยห้ามปรามแต่จูกัดสงก็ไม่ฟัง พาทหารยกออกไปนอกประตูเมือง ตรงเข้าไปรบกับทหารวุยก๊ก
เตงงายเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารวุยก๊กให้ตีวงโอบล้อมจูกัดสงไว้ในวงล้อม แล้วให้ระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปพร้อมกัน ถูกจูกัดสงและทหารจ๊กก๊กถึงแก่ความตายจนหมดสิ้น
เตงงายเห็นได้ทีจึงสั่งทหารวุยก๊กยกเข้าตีเมืองกิมก๊ก ทหารข้างในเมืองกิมก๊กเห็นจูกัดเจี๋ยมและแม่ทัพนายกองถึงแก่ความตายเป็นจำนวนมากก็สิ้นกำลังใจจะต่อสู้ จึงพากันยอมจำนนแก่เตงงาย เปิดประตูเมืองรับเตงงายเข้าไปในเมือง
เตงงายยกทหารเข้าไปในเมืองแล้วได้ตั้งผู้รักษาเมืองและปูนบำเหน็จแก่ทหารซึ่งมีความชอบเป็นอันมาก จากนั้นจึงสั่งเกณฑ์กำลังพลและเสบียงอาหารเมืองกิมก๊กเข้ากองทัพ แล้วให้ทหารพักผ่อนอยู่ในเมืองสามวัน ครบกำหนดแล้วจึงยกกองทัพออกจากเมืองกิมก๊กจะยกไปตีเมืองเอ๊กจิ๋ว ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นเสฉวน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นทรงทราบว่าเมืองกิมก๊กเสียแก่ข้าศึก จูกัดเจี๋ยมและจูกัดสงพ่อลูกเสียทีตายในที่รบ และทหารเจ็ดหมื่นบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก พวกที่เหลือยอมจำนนแก่ข้าศึกสิ้นแล้วก็ตกพระทัย ตรัสสั่งให้เรียกประชุมขุนนางทั้งปวงเป็นการฉุกเฉิน
ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายการข่าวได้รายงานว่า ขณะนี้มีใบบอกเข้ามาจากหัวเมืองต่าง ๆ ว่าไม่อาจต้านรับกองทัพวุยก๊กได้ ข้าศึกกำลังยกทัพตรงมายังเมืองเอ๊กจิ๋วเป็นหลายทาง ราษฎรทั้งปวงพากันอพยพหลบหนีภัยกระสานซ่านเซ็นไป
ไม่ทันที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนจะตรัสประการใด ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามากราบทูลว่าขณะนี้ได้รับรายงานว่า กองทัพหน้าของวุยก๊กกำลังยกเข้ามาทางด้านทิศใต้ของประตูเมือง ขุนนางทั้งปวงได้ยินคำกราบทูลดังนั้นก็พากันตกใจ คิดถึงครอบครัวลูกเมียว่าจะเป็นอันตราย จึงพากันกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ทิ้งเมืองเอ๊กจิ๋วหนีไปพึ่งหัวเมืองในภาคใต้ซึ่งมีอยู่ถึงเจ็ดหัวเมืองเป็นการชั่วคราว เพราะเป็นพื้นที่ทุรกันดาร ยากที่ข้าศึกจะยกไปตามตี ถึงข้าศึกจะติดตามไปก็สามารถถอยไปขออาศัยเมืองกังตั๋งได้โดยสะดวก เมื่อรวบรวมผู้คนพร้อมแล้วจะได้ขอยืมทหารจากเมืองหมั่นอ๋องและเมืองกังตั๋งกลับมากอบกู้เอาเมืองเอ๊กจิ๋วกลับคืน
ฝ่ายเจียวจิ๋วขุนนางในสำนักราชเลขาธิการ ได้ฟังคำขุนนางดังนั้นจึงคัดค้านว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะไปขออาศัยกำลังผู้อื่นแลบ้านผู้อื่นอยู่นั้น ไม่ใช่ฐานะที่จะพึงเป็นไปได้ อันชาวเมืองหมั่นอ๋องนั้นเคยเป็นขบถต่อเมืองเราจนมหาอุปราชขงเบ้งต้องยกไปปราบจึงราบคาบลง ความคิดจะพึ่งพาพวกขบถเหมือนคิดเอาเนื้อไปฝากไว้ในปากเสือ มีแต่จะเป็นอันตรายแก่ตัว ซึ่งจะคิดไปอาศัยเมืองกังตั๋งนั้นเล่าจะได้หรือ เมื่อใดที่เมืองเสฉวนเสียแก่วุยก๊กแล้ว เมืองกังตั๋งก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่ช้านานก็ต้องตกเป็นเมืองขึ้นแก่วุยก๊กอยู่ดี พระองค์ไปขออาศัยเมืองกังตั๋งได้รับความอัปยศครั้งหนึ่งแล้ว ยังจะต้องได้รับความอัปยศในยามเมืองกังตั๋งตกแก่วุยก๊กเป็นซ้ำสองเล่า สู้ยอมสวามิภักดิ์ในขณะนี้ถึงแม้อัปยศก็อัปยศแต่เพียงครั้งเดียวจะไม่ดีกว่าหรือ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุคำเจียวจิ๋วตอนนี้ว่า “อันธรรมเนียมโบราณ ซึ่งจะตั้งตัวเป็นเจ้าแผ่นดินนั้น จะได้อาศัยกำลังผู้อื่นหามิได้ ย่อมเพียรพยายามได้เป็นดีด้วยปัญญาความคิดแลกำลังของตัวเอง เมื่อแลต่อด้วยข้าศึกมิได้ เข้าไปนบนอบเมืองกังตั๋งนั้น ใช่ว่าเมืองกังตั๋งจะตั้งมั่นเป็นเอกโทอยู่ก็หาไม่ จะเสียแก่วุยก๊กเป็นมั่นคง นานไปก็ต้องกลับไปคำนับเขา ก็จะมิได้อัปยศเป็นสองซ้ำไปหรือ จะต้องการอันใด ถ้าเข้าคำนับแก่พระเจ้าวุยก๊กเสียครั้งนี้ เห็นจะได้อายแต่ครั้งเดียว ขอให้พระองค์ดำริดูเถิด”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำขุนนางส่วนใหญ่ซึ่งเกรงกลัวทหารวุยก๊กจะให้ยกหนีไปพึ่งเมืองกังตั๋ง แต่คำเจียวจิ๋วแม้เป็นความเห็นของคน ๆ เดียว แต่ชอบด้วยเหตุผล พระเจ้าเล่าเสี้ยนฟังคำทั้งสองฝ่ายแล้วไม่อาจตัดสินพระทัยได้ จึงเสด็จลงจากพระราชบัลลังก์เข้าไปข้างในพระตำหนัก
ภายในท้องพระโรงได้เกิดการโต้เถียงกันเป็นสองฝ่ายอื้ออึงไปแต่หาข้อยุติไม่ได้ จึงเป็นอันต้องเลิกประชุมโดยปริยาย วันรุ่งขึ้นขุนนางทั้งปวงได้พากันมาที่ท้องพระโรง แล้วโต้แย้งกันอีกแต่หาข้อยุติไม่ได้ เจียวจิ๋วเห็นดังนั้นจึงแต่งฎีกาเข้าไปถวายพระเจ้า เล่าเสี้ยนว่า ข้าศึกจะยกมาถึงเมืองอยู่แล้ว ชอบที่พระองค์จะตัดสินพระทัยไปทางใดทางหนึ่ง หากยอมสวามิภักดิ์ก็จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองดังแต่ก่อน มีความสุขสืบไป แต่ถ้าหากหนีไปพึ่งเมืองอื่นอันตรายก็จะบังเกิดแก่พระองค์ ขอได้ทรงพิจารณาในทันที
พระเจ้าเล่าเสี้ยนกำลังกลัดกลุ้มพระทัย ไม่รู้ที่จะตัดสินพระทัยประการใด ในขณะที่ลังเลอยู่นั้นเมื่อได้ทอดพระเนตรฎีกาของเจียวจิ๋วก็ทรงเห็นชอบ ตรัสสั่งให้เตรียมการออกไปขอสวามิภักดิ์กับเตงงาย เจ้าพนักงานสำนักราชเลขาธิการจึงจัดแจงขบวนสำหรับราชทูตเชิญพระราชสาส์นของพระเจ้าเล่าเสี้ยนออกไปอ่อนน้อมกับเตงงาย เพราะพระเจ้าเล่าเสี้ยนยังไม่ตัดสินพระทัยเป็นที่แน่นอนว่าจะเสด็จออกไปนอบน้อมด้วยพระองค์เองหรือไม่
ในขณะที่ขบวนตั้งพร้อมอยู่นั้น พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จออกจากพระตำหนักที่ประทับมาที่ท้องพระโรง เจียวจิ๋วได้ตามเสด็จออกมาด้วย ทันใดนั้นได้ยินเสียงร้องด่าเจียวจิ๋วด้วยเสียงอันดังว่า ไอ้เจียวจิ๋วคนขายชาติขายแผ่นดิน ริอ่านทำลายแผ่นดินฮั่นยกให้แก่ข้าศึกนั้นไม่ชอบ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินเสียงดังนั้นก็ตกพระทัย ทอดพระเนตรไปเห็นเล่าขำพระราชบุตร จึงตรัสว่าตัวเจ้าเป็นเพียงเด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม สิบังอาจล่วงเกินขุนนางผู้อาวุโส จะมิทำให้อาณาประชาราษฎรเดือดร้อนล้มตายหรือไฉน
พระราชบุตรเล่าขำถวายบังคมตามประเพณีแล้วทูลว่า เมืองเสฉวนนี้มีกำแพงเมืองสูงใหญ่ ถึงแม้ข้าศึกยกมาก็พอจะตั้งรับข้าศึกได้ แลเกียงอุยมหาอุปราชก็ยังมีทหารอยู่เป็นอันมาก ทราบข่าวศึกแล้วเห็นจะยกกองทัพมาช่วย เกียงอุยยกมาเมื่อใด ตีกระหนาบข้าศึกเข้าไปพร้อมกันแล้วเห็นข้าศึกจะแตกพ่ายไป ไฉนพระองค์จึงจะยอมอ่อนน้อมให้เสียเกียรติยศของบรรพบุรุษราชวงศ์ฮั่นเล่า
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็ทรงพิโรธ ตรัสว่าตัวเจ้าเป็นเพียงเด็ก ว่ากล่าวความไปตามน้ำใจคิด ไม่ได้รู้เห็นสถานการณ์ที่เป็นจริง อย่าได้กล่าวสืบไปเลย
พระราชบุตรเล่าขำได้ฟังคำพระราชบิดาดังนั้นจึงทูลว่าพระอัยกาเล่าปี่สู้ยากตรากตรำพระวรกายตลอดชีวิต จึงได้เมืองเสฉวนไว้เป็นสิทธิ์ได้สืบเชื้อสายราชวงศ์แห่งพระเจ้าฮั่นโกโจ บรรดาทหารและขุนนางผู้ภักดีได้พลีชีวิตนับไม่ถ้วน ราชบัลลังก์จึงตั้งสถิตสืบมาถึงวันนี้ ซึ่งพระองค์จะยอมยกพระราชบัลลังก์แก่ข้าศึกจะไม่นึกถึงพระอัยกาบ้างเจียวหรือ ถึงมาตรแม้นข้าศึกรุกหนักคับขันมา พวกข้าพระองค์ซึ่งเป็นบุตรทั้งเจ็ดคนจะร่วมกับขุนนางทั้งปวงคุมทหารออกต่อรบด้วยข้าศึก หากพลาดท่าเสียทีสิ้นชีวิตก็ยังเป็นเกียรติสืบไปในประวัติศาสตร์ ดวงวิญญาณจะไป พานพบพระอัยกาและขงเบ้งก็พานพบได้โดยไม่ละอายใจเลย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งทรงพิโรธ จึงตรัสสั่งขันทีให้ขับพระราชบุตรออกไปจากพระราชวัง เล่าขำเห็นดังนั้นก็น้อยใจ ร้องไห้เดินออกจากบริเวณพระบรมมหาราชวังกลับไปจวน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จไปถึงท้องพระโรงแล้ว ตรัสสั่งให้เตียวเจี๋ยวซึ่งเป็นราชบุตรเขยเป็นหัวหน้าคณะราชทูต พร้อมกับเจียวจิ๋วและเตงเลียงผู้ช่วยเจ้าเมืองเอ๊กจิ๋ว ติดตามราชทูตคุมเครื่องบรรณาการและเชิญตราพระราชลัญจกรสำหรับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นออกไปขออ่อนน้อมกับเตงงาย สามขุนนางรับพระบรมราชโองการแล้วถวายบังคมลา พาขบวนออกจากเมืองเสฉวนตรงไปทางเมืองโปยเสีย
ฝ่ายเตงงายครั้นได้ทราบว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงยินยอมสวามิภักดิ์ก็มีความยินดี ตั้งขบวนต้อนรับราชทูตอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ ด้วยหวังจะครองน้ำใจชาวเมืองเสฉวนให้เป็นปกติจะได้คิดการใหญ่ยกไปตีเมืองกังตั๋งต่อไป ครั้นคณะทูตมาถึงเตงงายจึงตรงออกไปต้อนรับทำทีเป็นถวายบังคมตราพระราชลัญจกรแล้วคำนับทักทายราชทูตราวกับว่าสนิทสนมมาเนิ่นนานปี
คณะทูตคำนับทักทายตามธรรมเนียมแล้ว เตงงายจึงเชิญคณะทูตเข้าไปสนทนากัน คณะทูตได้แจ้งความตามรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วมอบตราพระราชลัญจกรและเครื่องบรรณาการแก่เตงงาย
เตงงายได้ถวายบังคมน้อมรับตราพระราชลัญจกรจากราชทูตและให้ทหารรับของบรรณาการเข้าไปเก็บไว้ แล้วกล่าวกับคณะทูตว่า “ให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนอยู่ปกป้องอาณาประชาราษฎร ไพร่บ้านพลเมืองให้เป็นสุขเถิด เรามิได้ทำอันตรายแก่ท่านแล้ว” จ๊กก๊กจึงเป็นอันตกอยู่ในขอบขัณฑสีมาของวุยก๊กนับแต่บัดนั้น
อนาถนักหนาแผ่นดินเมืองเสฉวน อาณาจักรชิ้นสุดท้ายอันเป็นสมบัติของพระราชวงศ์ฮั่นที่พระเจ้าเล่าปี่ทุ่มเททั้งชีวิต ได้อาศัยสติปัญญาความคิดอ่านของขงเบ้ง อาศัยกำลังฝีมือรบพุ่งของกวนอู เตียวหุย จูล่ง ฮองตง ม้าเฉียว และทหารเอกทหารรองจำนวนมาก จนได้มาเป็นที่ตั้งสถิตพระราชบัลลังก์มังกร สืบสายเชื้อวงศ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจด้วยความลำบากยากเย็นแสนเข็ญ ต้องพลีชีวิตบังทองเป็นเครื่องสังเวยและพลีชีวิตขงเบ้งในการป้องกันรักษาเมืองเสฉวนไว้มิให้เป็นอันตราย และอยู่เย็นเป็นสุขถึงยี่สิบเก้าปีหลังจากที่ขงเบ้งสิ้นบุญ แต่เพราะพระเจ้าเล่าเสี้ยนกษัตริย์ถ่อยมิได้เอาเยี่ยงอย่างบรรพบุรุษ หลงเชื่อฟังขันที เสพสุขสนุกสนาน ไม่ใส่ใจในราชการแผ่นดิน คบหาคนพาลยกย่องให้มีอำนาจ ขับไล่ไสส่งขุนนางผู้จงรักภักดีมีสติปัญญาออกจากราชการจนบ้านเมืองผุพัง อาณาจักรจ๊กก๊กจึงล้มครืนลงสืบไปเบื้องหน้าเล่าเสี้ยนหาชีวิตไม่แล้วจะมีหน้าพาดวงวิญญาณไปกราบกรานพระเจ้าเล่าปี่และพบขงเบ้งที่ปรภพได้หรือไฉน บทเรียนสุดอัปยศอันพึงจดพึงจำของกษัตริย์ถ่อยผู้นี้มีคุณค่าด้านกลับยิ่งใหญ่นัก แต่กระนั้นเหตุการณ์เช่นเดียวกันในยุคหลัง ๆ ก็ยังคงบังเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ จะว่าเป็นเพราะลิขิตสวรรค์ประการเดียวนั้นย่อมไม่ควร หากต้องว่าอุปนิสัยคนเลวทรามต่ำช้านั้นไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนหรือชาติใดก็เหมือนกันไปทั้งสิ้น.
ฝ่ายจูกัดเจี๋ยมคุมทหารรักษาเมืองกิมก๊กอยู่หลายวัน คอยท่ากองทัพเมืองกังตั๋งยกมาช่วยก็ไม่เห็นทหารเมืองกังตั๋งยกมา เสบียงอาหารภายในเมืองก็ขาดแคลนลง จึงตัดสินใจสู้ตาย จะยกกองทัพตีฝ่าแนวล้อมของทหารวุยก๊กออกไปให้จงได้
จูกัดเจี๋ยมสั่งให้จูกัดสงผู้บุตรและเตียวจุ๋นอยู่รักษาเมืองกิมก๊ก แล้วพาทหารสามพันเปิดประตูเมืองจู่โจมออกไปที่แนวล้อมของทหารวุยก๊ก เตงงายเห็นจูกัดเจี๋ยมคุมทหารออกมาดังนั้นจึงเข้ารบกับจูกัดเจี๋ยมได้ห้าเพลง แล้วพาทหารล่าถอยไกลออกไปจากแนวกำแพงเมือง
จูกัดเจี๋ยมเห็นได้ทีจึงไล่ตามตีกองทัพวุยก๊ก แต่พอห่างออกไปจากกำแพงเมืองห้าสิบเส้นกลับเห็นทหารวุยก๊กแปรขบวนตีปีกโอบเข้ามาล้อมทหารจ๊กก๊กไว้ในวงล้อมไว้อย่างแน่นหนา และค่อย ๆ บีบวงล้อมกระชับเข้ามาอย่างช้า ๆ
เตงงายให้แนวล้อมข้างหน้าระดมยิงเกาทัณฑ์ไปที่ทหารของจูกัดเจี๋ยมบาดเจ็บ ล้มตายลงเป็นอันมาก จูกัดเจี๋ยมเห็นดังนั้นก็โกรธ พยายามตีฝ่าจะหักออกจากแนวล้อม แต่ทหารวุยก๊กได้ยกหนุนมาสกัดไว้ไม่อาจตีฝ่าออกไปได้ จูกัดเจี๋ยมพยายามตีฝ่าออกไปทางด้านข้างและด้านหลังหลายครั้งหลายหนแต่ไม่อาจตีฝ่าออกไปได้ เห็นทหารจ๊กก๊กซึ่งติดตามมาถูกเกาทัณฑ์บาดเจ็บล้มตายลงเกือบหมดสิ้นก็ระย่อท้อถอย ทั้งกำลังก็อิดโรยลง กระบวนรบพุ่งจึงเชื่องช้าตามไปด้วย
ในทันใดทหารวุยก๊กได้ยิงเกาทัณฑ์ถูกจูกัดเจี๋ยมที่ข้างหลังและข้างตัวสองสามดอกพลัดตกลงจากหลังม้า จูกัดเจี๋ยมพยายามอดทนฝืนความเจ็บพยุงตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ทอดสายตาไปโดยรอบเห็นทหารวุยก๊กกระชับวงล้อมเข้ามาใกล้อย่างแน่นหนา ไม่อาจฝ่าออกไปได้ จึงร้องกล่าวกับทหารจ๊กก๊กที่เหลือด้วยเสียงอันดังว่าตัวเรานี้เป็นชายชาติทหาร ได้รับคำสั่งสอนจากขงเบ้งผู้บิดาให้จงรักภักดีต่อเจ้า สนองคุณชาติจนถึงที่สุด จะต่อสู้ต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ให้ทหารทั้งปวงรักษาเกียรติศักดิ์ทหารเมืองเสฉวน สู้ตายให้ลือชาปรากฏไปในภายหน้าพร้อมกันเถิด
ในขณะนั้นทหารวุยก๊กเห็นจูกัดเจี๋ยมบาดเจ็บ จึงพากันกรูเข้าไปจะจับตัวจูกัดเจี๋ยมเห็นดังนั้นก็เกรงว่าหากตกอยู่ในเงื้อมมือของข้าศึกจะถูกบังคับข่มเหงให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของทหาร เสื่อมเสียเกียรติคุณของขงเบ้งผู้บิดา จึงเอากระบี่เชือดคอตาย
ฝ่ายจูกัดสงผู้บุตรของจูกัดเจี๋ยมยืนสังเกตการรบอยู่บนหอรบ เห็นจูกัดเจี๋ยมถึงแก่ความตายก็โกรธ รีบวิ่งลงจากหอรบจะออกไปรบกับเตงงาย ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ พากันช่วยห้ามปรามแต่จูกัดสงก็ไม่ฟัง พาทหารยกออกไปนอกประตูเมือง ตรงเข้าไปรบกับทหารวุยก๊ก
เตงงายเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารวุยก๊กให้ตีวงโอบล้อมจูกัดสงไว้ในวงล้อม แล้วให้ระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปพร้อมกัน ถูกจูกัดสงและทหารจ๊กก๊กถึงแก่ความตายจนหมดสิ้น
เตงงายเห็นได้ทีจึงสั่งทหารวุยก๊กยกเข้าตีเมืองกิมก๊ก ทหารข้างในเมืองกิมก๊กเห็นจูกัดเจี๋ยมและแม่ทัพนายกองถึงแก่ความตายเป็นจำนวนมากก็สิ้นกำลังใจจะต่อสู้ จึงพากันยอมจำนนแก่เตงงาย เปิดประตูเมืองรับเตงงายเข้าไปในเมือง
เตงงายยกทหารเข้าไปในเมืองแล้วได้ตั้งผู้รักษาเมืองและปูนบำเหน็จแก่ทหารซึ่งมีความชอบเป็นอันมาก จากนั้นจึงสั่งเกณฑ์กำลังพลและเสบียงอาหารเมืองกิมก๊กเข้ากองทัพ แล้วให้ทหารพักผ่อนอยู่ในเมืองสามวัน ครบกำหนดแล้วจึงยกกองทัพออกจากเมืองกิมก๊กจะยกไปตีเมืองเอ๊กจิ๋ว ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นเสฉวน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นทรงทราบว่าเมืองกิมก๊กเสียแก่ข้าศึก จูกัดเจี๋ยมและจูกัดสงพ่อลูกเสียทีตายในที่รบ และทหารเจ็ดหมื่นบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก พวกที่เหลือยอมจำนนแก่ข้าศึกสิ้นแล้วก็ตกพระทัย ตรัสสั่งให้เรียกประชุมขุนนางทั้งปวงเป็นการฉุกเฉิน
ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายการข่าวได้รายงานว่า ขณะนี้มีใบบอกเข้ามาจากหัวเมืองต่าง ๆ ว่าไม่อาจต้านรับกองทัพวุยก๊กได้ ข้าศึกกำลังยกทัพตรงมายังเมืองเอ๊กจิ๋วเป็นหลายทาง ราษฎรทั้งปวงพากันอพยพหลบหนีภัยกระสานซ่านเซ็นไป
ไม่ทันที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนจะตรัสประการใด ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามากราบทูลว่าขณะนี้ได้รับรายงานว่า กองทัพหน้าของวุยก๊กกำลังยกเข้ามาทางด้านทิศใต้ของประตูเมือง ขุนนางทั้งปวงได้ยินคำกราบทูลดังนั้นก็พากันตกใจ คิดถึงครอบครัวลูกเมียว่าจะเป็นอันตราย จึงพากันกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ทิ้งเมืองเอ๊กจิ๋วหนีไปพึ่งหัวเมืองในภาคใต้ซึ่งมีอยู่ถึงเจ็ดหัวเมืองเป็นการชั่วคราว เพราะเป็นพื้นที่ทุรกันดาร ยากที่ข้าศึกจะยกไปตามตี ถึงข้าศึกจะติดตามไปก็สามารถถอยไปขออาศัยเมืองกังตั๋งได้โดยสะดวก เมื่อรวบรวมผู้คนพร้อมแล้วจะได้ขอยืมทหารจากเมืองหมั่นอ๋องและเมืองกังตั๋งกลับมากอบกู้เอาเมืองเอ๊กจิ๋วกลับคืน
ฝ่ายเจียวจิ๋วขุนนางในสำนักราชเลขาธิการ ได้ฟังคำขุนนางดังนั้นจึงคัดค้านว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะไปขออาศัยกำลังผู้อื่นแลบ้านผู้อื่นอยู่นั้น ไม่ใช่ฐานะที่จะพึงเป็นไปได้ อันชาวเมืองหมั่นอ๋องนั้นเคยเป็นขบถต่อเมืองเราจนมหาอุปราชขงเบ้งต้องยกไปปราบจึงราบคาบลง ความคิดจะพึ่งพาพวกขบถเหมือนคิดเอาเนื้อไปฝากไว้ในปากเสือ มีแต่จะเป็นอันตรายแก่ตัว ซึ่งจะคิดไปอาศัยเมืองกังตั๋งนั้นเล่าจะได้หรือ เมื่อใดที่เมืองเสฉวนเสียแก่วุยก๊กแล้ว เมืองกังตั๋งก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่ช้านานก็ต้องตกเป็นเมืองขึ้นแก่วุยก๊กอยู่ดี พระองค์ไปขออาศัยเมืองกังตั๋งได้รับความอัปยศครั้งหนึ่งแล้ว ยังจะต้องได้รับความอัปยศในยามเมืองกังตั๋งตกแก่วุยก๊กเป็นซ้ำสองเล่า สู้ยอมสวามิภักดิ์ในขณะนี้ถึงแม้อัปยศก็อัปยศแต่เพียงครั้งเดียวจะไม่ดีกว่าหรือ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุคำเจียวจิ๋วตอนนี้ว่า “อันธรรมเนียมโบราณ ซึ่งจะตั้งตัวเป็นเจ้าแผ่นดินนั้น จะได้อาศัยกำลังผู้อื่นหามิได้ ย่อมเพียรพยายามได้เป็นดีด้วยปัญญาความคิดแลกำลังของตัวเอง เมื่อแลต่อด้วยข้าศึกมิได้ เข้าไปนบนอบเมืองกังตั๋งนั้น ใช่ว่าเมืองกังตั๋งจะตั้งมั่นเป็นเอกโทอยู่ก็หาไม่ จะเสียแก่วุยก๊กเป็นมั่นคง นานไปก็ต้องกลับไปคำนับเขา ก็จะมิได้อัปยศเป็นสองซ้ำไปหรือ จะต้องการอันใด ถ้าเข้าคำนับแก่พระเจ้าวุยก๊กเสียครั้งนี้ เห็นจะได้อายแต่ครั้งเดียว ขอให้พระองค์ดำริดูเถิด”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำขุนนางส่วนใหญ่ซึ่งเกรงกลัวทหารวุยก๊กจะให้ยกหนีไปพึ่งเมืองกังตั๋ง แต่คำเจียวจิ๋วแม้เป็นความเห็นของคน ๆ เดียว แต่ชอบด้วยเหตุผล พระเจ้าเล่าเสี้ยนฟังคำทั้งสองฝ่ายแล้วไม่อาจตัดสินพระทัยได้ จึงเสด็จลงจากพระราชบัลลังก์เข้าไปข้างในพระตำหนัก
ภายในท้องพระโรงได้เกิดการโต้เถียงกันเป็นสองฝ่ายอื้ออึงไปแต่หาข้อยุติไม่ได้ จึงเป็นอันต้องเลิกประชุมโดยปริยาย วันรุ่งขึ้นขุนนางทั้งปวงได้พากันมาที่ท้องพระโรง แล้วโต้แย้งกันอีกแต่หาข้อยุติไม่ได้ เจียวจิ๋วเห็นดังนั้นจึงแต่งฎีกาเข้าไปถวายพระเจ้า เล่าเสี้ยนว่า ข้าศึกจะยกมาถึงเมืองอยู่แล้ว ชอบที่พระองค์จะตัดสินพระทัยไปทางใดทางหนึ่ง หากยอมสวามิภักดิ์ก็จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองดังแต่ก่อน มีความสุขสืบไป แต่ถ้าหากหนีไปพึ่งเมืองอื่นอันตรายก็จะบังเกิดแก่พระองค์ ขอได้ทรงพิจารณาในทันที
พระเจ้าเล่าเสี้ยนกำลังกลัดกลุ้มพระทัย ไม่รู้ที่จะตัดสินพระทัยประการใด ในขณะที่ลังเลอยู่นั้นเมื่อได้ทอดพระเนตรฎีกาของเจียวจิ๋วก็ทรงเห็นชอบ ตรัสสั่งให้เตรียมการออกไปขอสวามิภักดิ์กับเตงงาย เจ้าพนักงานสำนักราชเลขาธิการจึงจัดแจงขบวนสำหรับราชทูตเชิญพระราชสาส์นของพระเจ้าเล่าเสี้ยนออกไปอ่อนน้อมกับเตงงาย เพราะพระเจ้าเล่าเสี้ยนยังไม่ตัดสินพระทัยเป็นที่แน่นอนว่าจะเสด็จออกไปนอบน้อมด้วยพระองค์เองหรือไม่
ในขณะที่ขบวนตั้งพร้อมอยู่นั้น พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จออกจากพระตำหนักที่ประทับมาที่ท้องพระโรง เจียวจิ๋วได้ตามเสด็จออกมาด้วย ทันใดนั้นได้ยินเสียงร้องด่าเจียวจิ๋วด้วยเสียงอันดังว่า ไอ้เจียวจิ๋วคนขายชาติขายแผ่นดิน ริอ่านทำลายแผ่นดินฮั่นยกให้แก่ข้าศึกนั้นไม่ชอบ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินเสียงดังนั้นก็ตกพระทัย ทอดพระเนตรไปเห็นเล่าขำพระราชบุตร จึงตรัสว่าตัวเจ้าเป็นเพียงเด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม สิบังอาจล่วงเกินขุนนางผู้อาวุโส จะมิทำให้อาณาประชาราษฎรเดือดร้อนล้มตายหรือไฉน
พระราชบุตรเล่าขำถวายบังคมตามประเพณีแล้วทูลว่า เมืองเสฉวนนี้มีกำแพงเมืองสูงใหญ่ ถึงแม้ข้าศึกยกมาก็พอจะตั้งรับข้าศึกได้ แลเกียงอุยมหาอุปราชก็ยังมีทหารอยู่เป็นอันมาก ทราบข่าวศึกแล้วเห็นจะยกกองทัพมาช่วย เกียงอุยยกมาเมื่อใด ตีกระหนาบข้าศึกเข้าไปพร้อมกันแล้วเห็นข้าศึกจะแตกพ่ายไป ไฉนพระองค์จึงจะยอมอ่อนน้อมให้เสียเกียรติยศของบรรพบุรุษราชวงศ์ฮั่นเล่า
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็ทรงพิโรธ ตรัสว่าตัวเจ้าเป็นเพียงเด็ก ว่ากล่าวความไปตามน้ำใจคิด ไม่ได้รู้เห็นสถานการณ์ที่เป็นจริง อย่าได้กล่าวสืบไปเลย
พระราชบุตรเล่าขำได้ฟังคำพระราชบิดาดังนั้นจึงทูลว่าพระอัยกาเล่าปี่สู้ยากตรากตรำพระวรกายตลอดชีวิต จึงได้เมืองเสฉวนไว้เป็นสิทธิ์ได้สืบเชื้อสายราชวงศ์แห่งพระเจ้าฮั่นโกโจ บรรดาทหารและขุนนางผู้ภักดีได้พลีชีวิตนับไม่ถ้วน ราชบัลลังก์จึงตั้งสถิตสืบมาถึงวันนี้ ซึ่งพระองค์จะยอมยกพระราชบัลลังก์แก่ข้าศึกจะไม่นึกถึงพระอัยกาบ้างเจียวหรือ ถึงมาตรแม้นข้าศึกรุกหนักคับขันมา พวกข้าพระองค์ซึ่งเป็นบุตรทั้งเจ็ดคนจะร่วมกับขุนนางทั้งปวงคุมทหารออกต่อรบด้วยข้าศึก หากพลาดท่าเสียทีสิ้นชีวิตก็ยังเป็นเกียรติสืบไปในประวัติศาสตร์ ดวงวิญญาณจะไป พานพบพระอัยกาและขงเบ้งก็พานพบได้โดยไม่ละอายใจเลย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งทรงพิโรธ จึงตรัสสั่งขันทีให้ขับพระราชบุตรออกไปจากพระราชวัง เล่าขำเห็นดังนั้นก็น้อยใจ ร้องไห้เดินออกจากบริเวณพระบรมมหาราชวังกลับไปจวน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จไปถึงท้องพระโรงแล้ว ตรัสสั่งให้เตียวเจี๋ยวซึ่งเป็นราชบุตรเขยเป็นหัวหน้าคณะราชทูต พร้อมกับเจียวจิ๋วและเตงเลียงผู้ช่วยเจ้าเมืองเอ๊กจิ๋ว ติดตามราชทูตคุมเครื่องบรรณาการและเชิญตราพระราชลัญจกรสำหรับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นออกไปขออ่อนน้อมกับเตงงาย สามขุนนางรับพระบรมราชโองการแล้วถวายบังคมลา พาขบวนออกจากเมืองเสฉวนตรงไปทางเมืองโปยเสีย
ฝ่ายเตงงายครั้นได้ทราบว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงยินยอมสวามิภักดิ์ก็มีความยินดี ตั้งขบวนต้อนรับราชทูตอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ ด้วยหวังจะครองน้ำใจชาวเมืองเสฉวนให้เป็นปกติจะได้คิดการใหญ่ยกไปตีเมืองกังตั๋งต่อไป ครั้นคณะทูตมาถึงเตงงายจึงตรงออกไปต้อนรับทำทีเป็นถวายบังคมตราพระราชลัญจกรแล้วคำนับทักทายราชทูตราวกับว่าสนิทสนมมาเนิ่นนานปี
คณะทูตคำนับทักทายตามธรรมเนียมแล้ว เตงงายจึงเชิญคณะทูตเข้าไปสนทนากัน คณะทูตได้แจ้งความตามรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วมอบตราพระราชลัญจกรและเครื่องบรรณาการแก่เตงงาย
เตงงายได้ถวายบังคมน้อมรับตราพระราชลัญจกรจากราชทูตและให้ทหารรับของบรรณาการเข้าไปเก็บไว้ แล้วกล่าวกับคณะทูตว่า “ให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนอยู่ปกป้องอาณาประชาราษฎร ไพร่บ้านพลเมืองให้เป็นสุขเถิด เรามิได้ทำอันตรายแก่ท่านแล้ว” จ๊กก๊กจึงเป็นอันตกอยู่ในขอบขัณฑสีมาของวุยก๊กนับแต่บัดนั้น
อนาถนักหนาแผ่นดินเมืองเสฉวน อาณาจักรชิ้นสุดท้ายอันเป็นสมบัติของพระราชวงศ์ฮั่นที่พระเจ้าเล่าปี่ทุ่มเททั้งชีวิต ได้อาศัยสติปัญญาความคิดอ่านของขงเบ้ง อาศัยกำลังฝีมือรบพุ่งของกวนอู เตียวหุย จูล่ง ฮองตง ม้าเฉียว และทหารเอกทหารรองจำนวนมาก จนได้มาเป็นที่ตั้งสถิตพระราชบัลลังก์มังกร สืบสายเชื้อวงศ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจด้วยความลำบากยากเย็นแสนเข็ญ ต้องพลีชีวิตบังทองเป็นเครื่องสังเวยและพลีชีวิตขงเบ้งในการป้องกันรักษาเมืองเสฉวนไว้มิให้เป็นอันตราย และอยู่เย็นเป็นสุขถึงยี่สิบเก้าปีหลังจากที่ขงเบ้งสิ้นบุญ แต่เพราะพระเจ้าเล่าเสี้ยนกษัตริย์ถ่อยมิได้เอาเยี่ยงอย่างบรรพบุรุษ หลงเชื่อฟังขันที เสพสุขสนุกสนาน ไม่ใส่ใจในราชการแผ่นดิน คบหาคนพาลยกย่องให้มีอำนาจ ขับไล่ไสส่งขุนนางผู้จงรักภักดีมีสติปัญญาออกจากราชการจนบ้านเมืองผุพัง อาณาจักรจ๊กก๊กจึงล้มครืนลงสืบไปเบื้องหน้าเล่าเสี้ยนหาชีวิตไม่แล้วจะมีหน้าพาดวงวิญญาณไปกราบกรานพระเจ้าเล่าปี่และพบขงเบ้งที่ปรภพได้หรือไฉน บทเรียนสุดอัปยศอันพึงจดพึงจำของกษัตริย์ถ่อยผู้นี้มีคุณค่าด้านกลับยิ่งใหญ่นัก แต่กระนั้นเหตุการณ์เช่นเดียวกันในยุคหลัง ๆ ก็ยังคงบังเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ จะว่าเป็นเพราะลิขิตสวรรค์ประการเดียวนั้นย่อมไม่ควร หากต้องว่าอุปนิสัยคนเลวทรามต่ำช้านั้นไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนหรือชาติใดก็เหมือนกันไปทั้งสิ้น.