ตอนที่ 643. เห็นโลงจึงหลั่งน้ำตา

เตงงายพาทหารฝ่ามรณภูมิผ่านช่องแคบอิมเป๋งลงสู่พื้นราบได้เป็นผลสำเร็จ แต่ทหารบาดเจ็บล้มตายลงจำนวนมาก เหลือทหารอยู่เพียงสองพันกว่าคน ไม่อาจล่าถอยกลับทางเดิมได้ มีแต่ต้องบุกรุดหน้าต่อไป จึงวางแผนโจมตีเมืองอิวกั๋งให้ได้โดยไม่ทันให้รู้ตัว ในขณะที่เจ้าเมืองอิวกั๋งตั้งอยู่ในความประมาทและไม่คิดอ่านสู้รบ

            ศรีภรรยาของเจ้าเมืองอิวกั๋งพอได้ฟังคำสามีไม่คิดอ่านป้องกันรักษาเมือง และมีใจที่จะยอมอ่อนน้อมแก่ข้าศึกก็โกรธ ถุยน้ำลายใส่หน้าผู้เป็นสามีแล้วด่าว่า “มึงนี้เสียแรงเกิดมาหาความกตัญญูต่อเจ้าไม่ กินเบี้ยหวัดผ้าปีเสียเปล่า มิได้รักษาเจ้า ประสงค์จะเอาแต่ความสุขใส่ตัว ใครจะนับว่าดี”

            ม้าเชียวได้ยินคำผู้เป็นภรรยาดูหมิ่นอย่างรุนแรง แต่เนื้อความนั้นสะเทือนใจนัก จึงได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าต่อถ้อยร้อยคำกับภรรยาอีกต่อไป บรรยากาศภายในห้องอาหารตึงเครียดและเงียบงันลง

            ในทันใดนั้นทหารรักษาการณ์ได้วิ่งลนลานเข้ามาหาม้าเชียวแล้วรายงานว่า ท่านเจ้าเมืองเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ขณะนี้เตงงายนำกองทัพวุยก๊กยกมาจากทางไหนไม่อาจทราบได้ รุดจู่โจมเข้ามาถึงกลางใจเมือง ยึดเมืองอิวกั๋งไว้ได้แล้ว และได้พาทหารไปตั้งกองบัญชาการอยู่ที่ศาลาว่าราชการ ขุนนางและทหารต่างพากันยอมจำนนกับเตงงายหมดสิ้นแล้ว

            ม้าเชียวได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ แต่เพียงอึดใจก็ตั้งสติได้ จึงรีบแต่งตัวพาทหาร องครักษ์ประจำจวนไปที่ศาลาว่าราชการ ขอเข้าไปหาเตงงาย แล้วคุกเข่าลงคำนับพลางทำทีเป็นร้องไห้แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าตั้งตารอท่าท่านอยู่ตั้งนานแล้วว่ายกมาเมื่อใด จึงมิได้ทำการป้องกันระวังเมือง คอยวันเวลาว่าท่านยกมาแล้วจะออกไปนอบน้อมต่อท่าน ครั้นข่าวคราวเงียบหายไปก็ได้แต่กังวลใจ บัดนี้ท่านยกมาถึงข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอันมาก ขอยอมเป็นข้ารับใช้ท่านไปตลอดชีวิต

            เตงงายเห็นดังนั้นก็มีความยินดี แล้วคิดจะผูกน้ำใจชาวเมืองเสฉวนให้มีน้ำใจยอมอ่อนน้อมอย่างยั่งยืน จึงลุกขึ้นจากเก้าอี้เข้าไปประคองม้าเชียวให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า น้ำใจไมตรีภักดีของท่านในครั้งนี้ข้าพเจ้าจะจำไว้ไม่มีวันลืม จะกราบทูลขอบำเหน็จความชอบให้แก่ท่าน ขอให้ตั้งใจทำราชการโดยเต็มกำลังเถิด

            เตงงายกล่าวสิ้นคำลง ทหารรักษาการณ์ประจำจวนของม้าเชียวได้วิ่งเข้ามารายงานกับม้าเชียวว่า บัดนี้ฮูหยินได้ผูกคอตายเสียแล้ว เตงงายได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึง จึงถามม้าเชียวว่าเพราะเหตุใดภรรยาท่านจึงผูกคอตายเล่า ม้าเชียวขัดไม่ได้จึงเล่าความจริงให้เตงงายฟังทุกประการ

            เตงงายได้ยินดังนั้นจึงสรรเสริญภรรยาของม้าเชียวว่าสมแล้วที่เป็นกุลสตรีศรีเมือง มีน้ำใจกตัญญูภักดีต่อเจ้า ควรจะเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งปวง ดังนั้นเพื่อจะสร้างความนิยมชมชอบในหมู่มหาชน และผูกน้ำใจคนให้จงรักภักดี เตงงายจึงสั่งให้ตั้งการพิธีศพของภรรยาม้าเชียวอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ เขียนป้ายสดุดีหน้าศพว่า “ยอดสตรีผู้ภักดีต่อแผ่นดิน” แล้วแต่งข้าวของเป็นอันมากไปเซ่นไหว้ศพ ครั้นถึงวันฝังศพเตงงายได้ไปเป็นประธานในพิธีฝังศพด้วยตนเอง กิตติศัพท์จึงร่ำลือไปว่าเตงงายนี้เป็นขุนพลผู้ทรงคุณธรรม

            ชาวเมืองทั้งปวงได้ยินกิตติศัพท์ของเตงงายดังนั้นจึงพากันมานบนอบต่อเตงงายเป็นอันมาก เตงงายเห็นผูกใจชาวเมืองเป็นปกติแล้วจึงตั้งให้ม้าเชียวทำหน้าที่เป็นเจ้าเมืองดังแต่ก่อน แล้วให้เกณฑ์เอาไพร่พล ศาสตราวุธ และเสบียงอาหารของเมือง อิวกั๋งและตำบลในสังกัดเข้าเป็นกำลังของกองทัพวุยก๊ก เตรียมจะยกไปตีเมืองโปยเสีย

            ฝ่ายเตงซกนายทหารเอกเห็นว่าทหารยังอ่อนล้าอิดโรย จึงเสนอให้เตงงายพักกองทัพอีกสองสามวันแล้วค่อยยกไป เตงงายได้ฟังก็โกรธ หาว่าเตงซกจะทำให้ทหารท้อถอย หากล่าช้าไปเมืองโปยเสียตั้งตัวได้จะยากแก่การเข้าตี จึงสั่งประหารชีวิตเตงซก แต่บรรดาแม่ทัพนายกองได้ร้องขอให้ยกโทษ เตงซกจึงรอดจากความตาย

            วันรุ่งขึ้นเตงงายจึงตั้งให้ม้าเชียวเป็นกองทัพหน้า เตงงายเป็นกองทัพหลวง เร่งรุดไปเมืองโปยเสีย ผู้รักษาเมืองโปยเสียเห็นกองทัพวุยก๊กยกมาโดยไม่ทันรู้ตัว และเห็นม้าเชียวเป็นกองทัพหน้าว่ากล่าวให้ยอมจำนนแต่โดยดีจะได้มีความสุข  สืบไป จึงพาขุนนางทั้งปวงออกมายอมอ่อนน้อมแก่เตงงายโดยดี

            เตงงายยอมรับการสวามิภักดิ์ของเจ้าเมืองโปยเสียและตั้งให้เป็นเจ้าเมืองดังแต่เก่า แล้วให้ออกประกาศให้ชาวเมืองทั้งปวงตั้งอยู่ในความสงบ ทำมาหากินตามปกติ ด้วยกองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้หมายมุ่งบำรุงอาณาประชาราษฎร์ จะไม่ข่มเหงรังแกให้ขุ่นข้องหมองใจแต่ประการใด ชาวเมืองทั้งปวงก็มีน้ำใจเข้าด้วยเตงงายสิ้น

            เตงงายได้เมืองโปยเสียแล้วจึงปรับปรุงกองทัพครั้งใหญ่ สั่งให้ทหารเมืองโปยเสียเข้าสังกัดกองทัพวุยก๊ก และเกณฑ์ชายฉกรรจ์เข้าเป็นทหารเป็นอันมาก ให้ระดมเสบียงจากเมืองโปยเสียและตำบลข้างเคียงสำหรับบำรุงทหาร และให้ปูนบำเหน็จแก่ทหารทั้งปวงตามความชอบ

            เตงงายสั่งให้ทหารออกตรวจตราเวรยามป้องกันโจรผู้ร้าย รักษาความ ปลอดภัยให้กับชาวเมืองอย่างเข้มงวด ใครมีเรื่องเดือดร้อนขุ่นข้องหมองใจก็เข้าช่วยแก้ไขไกล่เกลี่ย กิตติศัพท์ของเตงงายว่าทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและเอื้ออาทรต่อราษฎรจึงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว กองทัพของเตงงายจึงเติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้นในท่ามกลางสงครามนั้น

            ข่าวคราวที่เตงงายยึดได้เมืองอิวกั๋งและเมืองโปยเสียสะเทือนเลือนลั่นดังเข้าไปถึงเมืองเสฉวน ความทราบถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ตกพระทัย เพราะไม่เคยคาดคิดมาแต่ก่อนว่าข้าศึกจะยกล่วงเข้ามาในแดนเมืองเสฉวนได้ถึงเพียงนี้ จวนจะประชิดเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นจ๊กอยู่แล้ว แต่แทนที่ความใหญ่ฉะนี้จะทรงปรึกษากับขุนนางผู้ใหญ่ กลับปรึกษาฮุยโฮขันทีว่าจะคิดอ่านประการใด

            ฮุยโฮจึงกราบทูลว่า ซึ่งข่าวคราวทั้งนี้หาเป็นความจริงไม่ เกียงอุยยังคงตั้งกองทัพอยู่ที่แดนเมืองหลงเส ข้าศึกไหนจะกล้าฝ่าล่วงเข้ามาได้ กิตติศัพท์เล่าลือดังนี้เป็นอุบายข้าศึกแสร้งทำให้ระส่ำระสายดอก หากพระองค์ไม่ทรงเชื่อข้าพระองค์ก็จะเชิญยายท้าวหมอผีเข้ามาทรงเทวดา จะได้ทรงทราบความจริง 

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ ฮุยโฮจึงให้ขันทีน้อยออกไปเชิญยายท้าวหมอผีคนทรง แต่พักหนึ่งขันทีน้อยได้กลับมารายงานว่ายายท้าวหมอผีกลัวภัยสงครามจึงหลบหนีออกจากบ้านไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปแห่งหนตำบลใด

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินคำขันทีน้อยก็ยิ่งตกพระทัย ทรงคิดว่าขนาดยายท้าวคนทรงเทวดายังต้องหลบหนีภัยสงคราม อันตรายเห็นจะใกล้พระองค์เป็นแน่แท้ จึงทรงพระวิตกทุกข์ร้อนนัก ตรัสสั่งให้ประชุมขุนนางในทันที

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จออกประทับพระราชบัลลังก์ ขุนนางทั้งปวงได้ถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ถวายบังคมแล้วกลับมิได้เงยหน้าขึ้นตามปกติ ต่างคนต่างก้มหน้ามองพื้นนิ่งอยู่

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นดังนั้นก็มิรู้ที่จะตรัสประการใด ราชเลขาธิการจึงถวายรายงานว่า หลายวันมานี้มีใบบอกเข้ามาจากหัวเมืองต่าง ๆ ถี่ยิบราวกับเม็ดฝนในวสันตฤดู ล้วนรายงานว่าข้าศึกบุกยึดหัวเมืองต่าง ๆ และบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายได้เข้าอ่อนน้อมแก่ทหารวุยก๊กเป็นอันมาก ขณะนี้กองทัพวุยก๊กยกมาตั้งอยู่ที่เมืองโปยเสียเตรียมจะยกมาตีเมืองเอ๊กจิ๋วอยู่แล้ว

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบรายงานดังนั้นก็ยิ่งตกพระทัย ตรัสถามขุนนางว่าสถานการณ์ดังนี้จะคิดอ่านประการใด แต่ไม่มีเสียงกราบทูล มีแต่เสียงลมพัดหวิวหวูเข้ามาในท้องพระโรง

            ฝ่ายขับเจ้งขุนนางผู้ใหญ่เห็นดังนั้นจึงกราบทูลว่า แม่ทัพนายกองทั้งปวงที่มีฝีมือในเมืองเสฉวนนี้ต่างพากันลาออกจากราชการไปสิ้นแล้ว ผู้ครองตำแหน่งแทนล้วนเป็นพลเรือนหรือไม่ก็พ่อค้าวาณิช ไม่สามารถบัญชาทหารในการสู้รบได้ เมื่อถึงยามคับขันดังนี้จึงควรที่พระองค์จะได้มีพระบรมราชโองการเรียกจูกัดเจี๋ยมเข้ามารับตำแหน่งเป็นแม่ทัพรับมือกับข้าศึก เห็นจะป้องกันเมืองหลวงไว้มิให้เป็นอันตรายได้

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินคำขับเจ้งดังนั้นก็ทรงรู้ว่าขับเจ้งตำหนิติเตียนที่พระองค์ไม่ใส่พระทัยในราชการ ปล่อยให้ฮุยโฮจัดการราชการแผ่นดินไปตามอำเภอใจ จนขุนนางข้าราชการผู้มีสติปัญญาแลฝีมือพากันลาออกจากราชการ แล้วฮุยโฮเอาตำแหน่งไปขายให้กับพ่อค้าวาณิชและพลเรือนเข้ามาเป็นแม่ทัพนายกอง ไม่อาจใช้รบพุ่งป้องกันเมืองได้ ก็ทรงขุ่นพระทัย แต่ในที่สุดก็ทรงข่มพระทัยได้ แล้วรู้สึกสำนึกผิดที่ทรงเลอะเลือนวิปริตผันแปรไปถึงเพียงนั้น

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงรำลึกว่า จูกัดเจี๋ยมนี้คือบุตรชายของขงเบ้งที่เกิดจากนาง อุ๋ยซีผู้เป็นบุตรีของอุ๋ยสิง่าน แลนางอุ๋ยซีนี้ “รูปชั่วตัวดำ หน้าออกฝี มีลักษณะวิปริต ทั้งกายใจหางามสักสิ่งหนึ่งก็มิได้ แต่ทว่ามีปัญญาพาทีหลักแหลม รู้วิชาการในแผ่นดินแลอากาศ” รอบรู้ในตำราพิชัยสงครามและพยุหะทั้งปวง ขงเบ้งทราบกิตติศัพท์ว่านางอุ๋ยซีมีสติปัญญาวิชาคุณจึงแต่งเป็นภรรยา แล้วได้แลกเปลี่ยนความรู้ในศาสตร์ทั้งปวงกันและกันเป็นอันมาก ครั้นขงเบ้งถึงแก่ความตายนางอุ๋ยซีก็ตรอมใจ ในไม่ช้าก็ตายตามขงเบ้งไป

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงโปรดปรานจูกัดเจี๋ยมมาตั้งแต่น้อย เพราะทรงเห็นว่ามีสติปัญญาวิทยาการเป็นอันมาก พอเจริญวัยขึ้นจึงพระราชทานพระราชธิดาให้เป็นภรรยาจูกัดเจี๋ยม ดังนั้นจูกัดเจี๋ยมจึงมีฐานะเป็นพระราชบุตรเขยและมีบุตรด้วยกันคนหนึ่งชื่อว่าจูกัดสง พระเจ้าเล่าเสี้ยนโปรดเกล้าตั้งให้จูกัดเจี๋ยมเป็นผู้บัญชากองกำลังรักษาพระนครเมืองเสฉวน และตั้งให้จูกัดสงเป็นนายทหารในกองกำลังรักษาพระนคร ครั้นต่อมาราชการวิปริตผันแปรไปเพราะทรงเชื่อฟังคำฮุยโฮขันที จูกัดเจี๋ยมอัดอั้นตันใจไม่อาจทำราชการได้ตามปกติ จึงถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่านางอุ๋ยซีผู้นี้ขงเบ้งได้ถ่ายทอดความรู้และวิชาต่าง ๆ ให้เป็นอันมาก ในขณะที่สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่านางอุ๋ยซีมีความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ ยิ่งกว่าขงเบ้ง และเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ต่าง ๆ แก่ขงเบ้ง ซึ่งไม่เห็นสม ทั้งฉบับภาษาจีนและฉบับวิจารณ์ระบุความตรงกันว่า ทั้ง ขงเบ้งและนางอุ๋ยซีต่างเป็นปราชญ์รอบรู้สรรพศาสตร์เป็นอันมาก จึงต่างคนต่างแลกเปลี่ยนถ่ายทอดความรู้แก่กันและกัน อนึ่งเล่าสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าจูกัดเจี๋ยมมีตำแหน่งเป็นมหาอุปราช ซึ่งเป็นการคลาดเคลื่อน เพราะตำแหน่งมหาอุปราชเป็นตำแหน่งของเกียงอุย จูกัดเจี๋ยมมีอิสริยยศเป็นราชบุตรเขยก็จริงอยู่ แต่ตำแหน่งในราชการนั้นคงเป็นเพียงผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนครเท่านั้น

            ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนระลึกถึงจูกัดเจี๋ยมขึ้นมาได้จึงทรงเห็นชอบกับคำทูลของขับเจ้ง และตรัสสั่งให้หาจูกัดเจี๋ยมเข้ามาเฝ้า จูกัดเจี๋ยมยังคงน้อยใจพระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงแสร้งบอกว่าป่วย ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนมีหมายรับสั่งไปถึงสามครั้ง จูกัดเจี๋ยมขัดมิได้จึงเข้ามาเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนถึงพระตำหนักที่ประทับ

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนทอดพระเนตรเห็นจูกัดเจี๋ยมก็ทรงระลึกถึง “ท่านพ่อมหาอุปราชจูกัดเหลียง-ขงเบ้ง” จึงทรงกันแสง แล้วตรัสว่าตัวเราลืมคำสั่งสอนของท่านพ่อมหาอุปราชที่ให้ห่างคนชั่ว คบคนดีมีปัญญา ทำความผิดใหญ่หลวงนัก บ้านเมืองจึงถึงครายุคเข็ญ ขอท่านได้ยกโทษแก่เราด้วย แลบัดนี้เตงงายแม่ทัพวุยก๊กได้ยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองโปยเสีย คุกคามเมืองเอ๊กจิ๋วจนสู่ขั้นวิกฤต ท่านจงละความขุ่นแค้นเคืองใจเรา เห็นแก่ท่านพ่อมหาอุปราชผู้ล่วงลับ จงเข้ามารับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แก้ไขปัญหาวิกฤตครั้งนี้ให้ผ่านพ้นด้วยดีเถิด

            จูกัดเจี๋ยมเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนสำนึกผิดก็สงสาร จึงทอดถอนใจใหญ่ ร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วกราบทูลว่า พระเจ้าเล่าปี่และพระองค์ทรงเมตตาทั้งบิดาและข้าพระองค์เป็นอันมาก ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกร้อยชาติก็ไม่อาจแทนพระคุณได้หมด ข้าพระองค์มิกล้าโกรธแค้นขุ่นเคืองพระองค์ดอก และพร้อมที่จะทำการถวายสนอง พระคุณชาติตราบชีวิตจะหาไม่ หากพระองค์ทรงวางพระทัยแล้วขอได้โปรดมอบหมายกองทหารทั้งปวงให้อยู่ในบังคับบัญชาของข้าพระองค์เถิด

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นจูกัดเจี๋ยมไม่ถือโทษโกรธขึ้งอีกต่อไปก็ดีพระทัย โปรดเกล้าตั้งให้จูกัดเจี๋ยมเป็นแม่ทัพใหญ่ เกณฑ์ทหารทั่วทั้งเมืองเอ๊กจิ๋วได้เจ็ดหมื่นคนให้อยู่ในบังคับบัญชาของจูกัดเจี๋ยม

            จูกัดเจี๋ยมรับอาญาสิทธิ์และตราประจำตำแหน่งแม่ทัพแล้วจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วถามว่าจะมีผู้ใดอาสาเป็นกองทัพหน้ายกไปต่อรบกับข้าศึกบ้าง

            ฝ่ายจูกัดสงผู้บุตรของจูกัดเจี๋ยมอายุได้สิบเก้าปี ได้ฟังคำบิดาดังนั้นจึงขันอาสาขอเป็นแม่ทัพหน้า จูกัดเจี๋ยมได้ยินคำบุตรอาสาก็คิดว่าแม้จูกัดสงอายุจะยังเยาว์แต่ได้ร่ำเรียนตำราพิชัยสงครามมาไม่น้อย เห็นจะได้ราชการ และไม่เห็นมีผู้ใดขันอาสา จึงตั้งให้จูกัดสงเป็นแม่ทัพหน้า

            ครั้นจูกัดเจี๋ยมจัดแจงกองทัพพร้อมพรักแล้วจึงสั่งให้เคลื่อนพลออกจากเมืองเอ๊กจิ๋ว ตรงไปที่เมืองโปยเสีย.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร