ตอนที่ 642. ความหวังของคนเดนตาย

จงโฮยสำคัญว่าเตงงายเสนอแผนการบุกเมืองเสฉวนเพื่อให้ตัวเองต้องได้รับอันตรายถึงแก่ความตายในการเดินทัพผ่านเส้นทางอันทุรกันดาร จึงสั่งให้เตงงายทำหน้าที่บุกเมืองเสฉวนตามแผนการที่เตงงายเสนอ เตงงายเล็งเห็นว่าการจะสำเร็จเป็นความชอบใหญ่หลวง จึงรับไปดำเนินการ

            ครั้นเตงต๋งคุมทหารเป็นกองหน้ายกล่วงไปแล้ว เตงงายเห็นว่าซึ่งจะแบ่งทหารเดินทัพเป็นหลายทางจะป่วยการ เนื่องจากจะต้องไปบรรจบกองทัพที่ต้นช่องแคบอิมเป๋งอยู่ดี จึงเคลื่อนกองทัพหนุนไปพร้อมกัน

            ขณะนั้นเป็นกลางฤดูหนาวเทศกาลเดือนสิบสอง อากาศหนาวเหน็บ ตลอดเส้นทางเดินทัพไม่มีบ้านเรือนผู้คนอาศัยแม้แต่หลังเดียว บางช่วงอากาศหนาวเย็นยะเยือกแห้งแล้ง บางช่วงภูมิประเทศเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน เตงงายเคลื่อนทัพได้สองร้อยเส้นก็แบ่งทหารสามพันให้ตั้งค่ายไว้คอยระวังหลัง และทุกสองร้อยเส้นก็แบ่งทหารสามพันตั้งค่ายไว้หนึ่งค่ายเพื่อคอยป้องกันระวังหลังและคอยสนับสนุน

            กองทัพเตงงายเดินทัพฝ่าความยากลำบากในเส้นทางที่สุดแสนทุรกันดารไปตามซอกเขาป่ารกชัฏ ข้ามหนองน้ำลำธารที่เต็มไปด้วยภยันตรายเป็นระยะทางกว่าเจ็ดพันเส้นเหลือทหารอยู่เพียงสองพันคน ถึงสันเขาแห่งหนึ่งชื่อว่ายอดผาเสียดฟ้าสูงตระหง่าน เส้นทางบนยอดเขาคับแคบ ชันและอันตราย ไม่สามารถขี่ม้าต่อไปได้ เตงงายต้องให้ทหารทิ้งม้าลงเดินเท้าและต้องเดินเรียงหนึ่งไปด้วยความระมัดระวัง

            เตงงายพาทหารตามหลังเป็นทิวแถวถึงยอดภูเขาสูงของผาเสียดฟ้า เห็นทหารกองหน้าของเตงต๋งนั่งร้องไห้คร่ำครวญเป็นที่น่าเวทนา จึงเข้าไปถามสาเหตุว่าเป็นประการใดจึงไม่บุกเบิกทางรุดหน้าต่อไป    

            เตงต๋งจึงว่า หนทางข้างหน้าเป็นยอดเขาชัน ได้ให้ทหารเจาะทำลายยอดเขาเพื่อบุกเบิกเป็นเส้นทาง แต่ศิลาบนภูเขานั้นแข็งมาก เครื่องมือไม่สามารถขุดเจาะได้ ทหารต้องยากลำบากเปลืองเรี่ยวแรงโดยเปล่าการ ไม่รู้ที่จะแก้ไขปัญหาประการใด จึงพากันสิ้นหวังอยู่ที่นี่

            เตงงายพาทหารเดินไปดูยอดเขาสูงชันที่ขวางหน้า เห็นหมดหนทางที่จะเดินรุดหน้าต่อไปได้ จึงเลี่ยงมาดูข้างหน้าผา เห็นลาดชันลงไปเบื้องล่างลึกประมาณห้าสิบวา ข้างล่างเห็นแต่ยอดไม้ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน เตงงายจึงเดินกลับมาที่ทหารแล้วปรารภว่า เราเดินทัพมาถึงเพียงนี้แสนยากลำบาก จะล่าถอยกลับไปก็ขัดสน เพราะทหารบาดเจ็บล้มตายไปกว่าห้าพันคนแล้ว ครั้นจะรุดหน้าต่อไปก็ไม่อาจขุดเจาะยอดเขาไปได้ หนทางเดียวก็คือต้องเลื่อนไถลตัวลงไปตามหน้าผาชัน สุดแท้แต่บุญกรรมว่าจะเป็นหรือตาย หากไม่ถึงคราตายข้างล่างหิมะแข็งตัวหยุ่นไหวไปตามกิ่งไม้เบื้องล่างก็เห็นจะรอดตาย แต่หากพลัดตกทะลุจากยอดไม้สูงเกินการ ไม่บาดเจ็บก็ต้องถึงแก่ความตาย แต่ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ท่านทั้งปวงได้กระทำสัตย์ต่อเราว่าจะไม่กลัวยาก ไม่กลัวลำบาก ไม่กลัวตาย บัดนี้ถึงคราที่จะพิสูจน์สัจจะของชาติทหารแล้ว ท่านทั้งปวงจะว่าประการใด

            ทหารทั้งปวงเห็นไม่มีทางใดรอดตายนอกจากเสี่ยงตาย จึงพากันมุมานะกล่าวว่า ขอเพียงอยู่ภายใต้การนำของท่านแม่ทัพ จะเป็นตายร้ายดีก็ไม่เสียดายชีวิต

            เตงงายจึงว่า ถ้าบุญมีรอดตายทางเบื้องหน้าก็จะถึงเมืองอิวกั๋ง จากเมืองอิวกั๋งก็จะเข้าเมืองเสฉวนได้โดยสะดวก ท่านทั้งปวงจงเร่งความเพียรพยายามในวาระอันสำคัญนี้เถิด

            ทหารทั้งปวงได้กล่าวพร้อมกันว่า ขอท่านแม่ทัพได้โปรดบัญชา จะเป็นตายร้ายดีประการใดมอบไว้ให้กับการตัดสินใจของท่านแม่ทัพเพียงผู้เดียว

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความตอนนี้ว่าเตงงายได้ปลุกปลอบเร้าใจทหารว่า “เราอุตส่าห์ทำความเพียรมาถึงเจ็ดพันเส้น จวนจะได้ความชอบอยู่แล้ว ควรหรือท่านทั้งปวงจะมาละความเพียรเสียเล่า ไปอีกหน่อยหนึ่งก็จะถึงเมืองอิวกั๋ง เราทั้งหลายก็จะได้ความสุขดอก จงอุตส่าห์เพียรทำไปสักหน่อยหนึ่งเถิด ถึงมาตรว่าหนทางเป็นหน้าผาโตรกชะงักอยู่ก็ดี เราจะเอาเชือกสายห้อยต่อลงไปให้จงได้ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ชวนกันยกไป ครั้นถึงหน้าผาเป็นชะงักก็เอาอาวุธผูกเชือกหย่อนลงไปก่อน แล้วทหารทั้งปวงก็ยุดเชือกห้อยตัวลงมา”

            สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า “เตงงายบัญชาให้เอายุทโธปกรณ์โยนลงไปก่อน เตงงายใช้ผ้าพรมหุ้มตัวเองแล้วปล่อยตัวให้ลื่นลง บรรดานายทหารที่มีเสื้อพรมก็เอามาหุ้มตัวเอาไว้แล้วปล่อยตัวลื่นตามกันไป ผู้ที่ไม่มีเสื้อพรมก็ใช้เชือกมัดเอว ปีนป่ายต้นไม้เถาวัลย์ใหญ่ตามกันเป็นแถวบุกหน้าไป เตงงาย เตงต๋ง ทั้งทหารสองพันนายนักรบเบิกภูเขาที่เข้มแข็ง ล้วนผ่านสันเขาได้สำเร็จ”

            ในการลื่นไถลตัวลงจากยอดผาครั้งนี้ทหารของเตงงายทั้งกองหน้าที่เหลืออยู่สองพันคน และกองหลังสองพันคนบาดเจ็บล้มตายเกือบสองพันคน เหลือรอดตายเพียงสองพันกว่าคนเท่านั้น ครั้นลงไปถึงเบื้องล่างแล้วต่างคนต่างปัดหิมะค้นหาอาวุธประจำตัว แล้วจัดแจงรวมพล

            เตงงายได้กล่าวว่า บุญของเจ้าเรายังมากอยู่ จึงเหลือทหารถึงสองพันคน หะแรกนั้นเราคิดว่าจะเหลืออยู่เพียงห้าร้อยหรือพันคนเท่านั้น เมื่อเป็นดังนี้เห็นจะตีเมืองอิวกั๋งได้เป็นแม่นมั่น ความชอบก็จะมีแก่ท่านทั้งปวงเป็นอันมาก

            ทหารทั้งปวงได้ยินคำแม่ทัพให้ขวัญกำลังใจดังนั้น ต่างพากันจับมือแสดงความยินดีกันและกัน เตงงายจึงพาทหารออกเดินทางต่อไปจนถึงต้นซอกเขาอิมเป๋งเป็นเส้นทางแคบ ด้านข้างทางเป็นหน้าผาสูงชัน ไม่มีต้นไม้หรือเถาวัลย์ปกคลุม เตงงายทอดสายตามองไปข้างหน้าแล้วเงยขึ้นไปบนหน้าผา พลันก็ตกตะลึง

            เตงงายเห็นรอยจารึกในศิลาที่หน้าผาเป็นความสั้น ๆ ว่า

            “หรดีเรืองรุ่ง            อิสานโรยรา
            สองพยัคฆาเข่นฆ่า   ลิขิตฟ้าฤาอาจฝืน”

            เตงงายอ่านความนั้นด้วยความตกตะลึง พลันสะดุ้งขึ้นทั้งกายเพราะข้างล่าง ข้อความนั้นมีนามบุคคลผู้หนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของรอยศิลาจารึกคือ “มหาอุปราชแห่งจ๊กก๊ก จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง”

            เตงงายอ่านความที่จารึกนั้นก็เข้าใจความหมายว่าหมายถึงวันเวลาที่วุยก๊กรุ่งเรือง แต่จ๊กก๊กโรยราใกล้ดับสูญ แต่ความที่ว่าสองพยัคฆาเข่นฆ่านั้นเตงงายให้รู้สึกสะดุ้งใจ ด้วยกริ่งว่าจะหมายถึงความพยาบาทระหว่างตัวเองกับจงโฮยว่าคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนจะต้องถึงแก่ความตาย และยิ่งตกใจหนักขึ้นเมื่อเห็นความที่ว่านี่คือลิขิตแห่งฟ้าที่ไม่อาจฝ่าฝืนได้

            เตงงายรำพึงขึ้นด้วยความท้อแท้ใจอย่างสุดซึ้งว่า นึกไม่ถึงว่าเส้นทางทุรกันดารถึงปานนี้ขงเบ้งยังอุตส่าห์มาเขียนความจารึกไว้ที่หน้าผาประหนึ่งจะหยั่งรู้ว่าวันเวลาใดที่จ๊กก๊กร่วงโรยถึงกาลดับสูญ ทหารวุยก๊กจะต้องยกมาตามเส้นทางนี้

            เตงงายยืนอึ้งตะลึงงงอยู่ครู่ใหญ่ จึงคุกเข่าลงเบื้องหน้าข้อความที่หน้าผาแห่งนั้น แล้วกล่าวว่า มหาอุปราชมีกิตติศัพท์ว่าแจ้งฟ้ามหาสมุทร เพิ่งประจักษ์แก่ตาข้าพเจ้าในครั้งนี้ เสียดายหนักหนาที่เกิดมาไม่ทันยุคสมัยของท่าน หาไม่แล้วจะได้กราบกรานฝากตัวเป็นศิษย์ร่ำเรียนวิชาจากท่าน ช่างเสียดายนัก ช่างเสียดายนัก

            เตงงายยืนเพ่งพินิจความในจารึกนั้นวนไปวนมาอีกหลายรอบ ในใจก็รู้สึกประหวั่นพรั่งพรึงยิ่งนักด้วยเกรงว่าวันข้างหน้าความขัดแย้งกับจงโฮยหากถึงขีดสุดแล้วต้องฆ่าฟันกันเองจนถึงแก่ความตายไปข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง แต่เมื่อนึกถึงความหยิ่งยะโสโอหังและความไม่สุจริตใจของจงโฮยแล้ว เตงงายก็คิดว่าฟ้าย่อมไม่คุ้มครองคนชั่ว หากลิขิตสวรรค์มีจริงแท้ เสือใหญ่ที่จะต้องถึงแก่ความตายย่อมหาใช่ตัวเตงงายไม่ หากต้องเป็นจงโฮยเป็นมั่นคง 

            เตงงายมานะดังนั้นแล้วจึงนำทหารรุดหน้าต่อไป พอพ้นช่องแคบสุดของหุบเขาเป็นเวิ้งกว้าง เห็นค่ายร้างอยู่แห่งหนึ่งซึ่งมีลักษณะเพิ่งเลิกราไปไม่เกินสองปี เตงงายจึงถามทหารผู้นำทางว่า ผู้ใดมาตั้งค่ายทหารอยู่ที่ป่ารกชัฏแห่งนี้เล่า

            ทหารผู้นำทางได้ตอบว่าเมื่อครั้งที่ขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่นั้นได้จัดทหารสองพันมาตั้งค่ายคอยรักษาเส้นทางอยู่ที่นี่ หลังจากขงเบ้งเสียชีวิตแล้วยี่สิบกว่าปีเมืองเสฉวนก็ยังให้ทหารมาตั้งค่ายรักษาเส้นทางอยู่ตามคำสั่งเสียของขงเบ้ง แต่เมื่อเกือบสองปีมานี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ตรัสสั่งให้เลิกค่ายเรียกทหารกลับไปเมืองเสฉวน

            เตงงายได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ทอดถอนใจใหญ่แล้วกล่าวว่าสติปัญญาความรู้ของขงเบ้งลึกล้ำกว้างขวางนัก ทั้งแจ่มแจ้งในภูมิประเทศทั้งปวง ประหนึ่งนิ้วในฝ่ามือ อย่าว่าแต่จะมีทหารถึงสองพันคนมาตั้งรักษาเส้นทางอยู่เลย แม้มีทหารเพียงร้อยสองร้อยคนตั้งสกัดอยู่ที่ช่องแคบอิมเป๋งนี้แล้ว ข้าศึกก็ไม่อาจยกผ่านไปได้ เพราะไม่อาจฝ่าช่องแคบไปได้ และจะถอยหลังกลับไปก็ไม่ได้เพราะติดหน้าผาสูงชัน ทั้งเสบียงอาหารก็จวนจะหมด เห็นจะพากันตายสิ้น

            เตงงายสูดหายใจลึกเฮือกใหญ่แล้วบ่นรำพึงว่า อนิจจาเล่าเสี้ยนกษัตริย์ที่โง่เขลา ทหารกองนี้กองเดียวเปรียบประหนึ่งเกราะข่ายเพชรที่คุ้มกันเมืองเสฉวน กลับไม่เห็นคุณค่า เราทั้งหลายจึงรอดตายในวันนี้

            เตงงายหันมากล่าวกับทหารทั้งปวงว่า เดชะบุญที่เมืองเสฉวนถอนทหารที่รักษาค่ายออกไป เราจึงพอจะรุดหน้าต่อไปได้ ซึ่งจะล่าถอยไปข้างหลังนั้นอย่าได้หวังอีก เพราะไม่อาจปีนข้ามหน้าผาชันกลับไปได้ จะเป็นจะตายก็ต้องรุดหน้าต่อไป

            ทหารทั้งปวงนิ่งฟังเตงงายด้วยความประหวั่นพรั่นใจ เตงงายจึงกล่าวสืบไปว่า เมืองอิวกั๋งตั้งอยู่ไม่ไกลจากช่องแคบอิมเป๋ง ย่อมคาดคิดไม่ถึงว่าเราจะลอบยกมา เห็นจะไม่คิดอ่านป้องกันระวังเมือง เราจึงอาจช่วงชิงเอาเมืองได้โดยง่ายไม่ให้ทันรู้ตัว แลในเมืองอิวกั๋งนั้นเสบียงอาหารก็สมบูรณ์ ผู้คนก็พรักพร้อม ยึดเมืองอิวกั๋งให้ได้ก็จะมีกำลังทั้งผู้คนและเสบียงยกรุดหน้าไปยึดเมืองเสฉวนได้ ความชอบใหญ่ใกล้จะถึงมือพวกเราแล้ว

            เตงงายได้กำชับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า ปมเงื่อนสำคัญแห่งความสำเร็จในการยึดเมืองอิวกั๋งคือการบุกจู่โจมเข้ายึดเมือง อย่าให้ข้าศึกทันรู้ตัว ด้วยปมเงื่อนเช่นนี้กำลังที่เหลืออยู่น้อยก็จะเอาชนะกำลังมาก ยึดเมืองได้สำเร็จ เมื่อยึดเมืองอิวกั๋งได้แล้วพละกำลังทั้งปวงก็จะเพิ่มพูนขึ้น สามารถจัดเป็นกองทัพใหญ่โดยอาศัยกำลังข้าศึกได้

            ครั้นปรึกษาพร้อมใจกันดังนั้นแล้ว เตงงายจึงให้ทหารพักผ่อน พอค่ำลงก็เร่งยกทหารจะไปยึดเอาเมืองอิวกั๋ง

            ฝ่ายม้าเชียวซึ่งเป็นเจ้าเมืองอิวกั๋งนั้น มีความเชื่อมั่นในชัยภูมิของเมืองอิวกั๋งว่าตั้งอยู่ในชัยภูมิอันเป็นภูมิประเทศที่ข้าศึกไม่อาจยกมารุกรานได้ เพราะทางด้านหน้าหากข้าศึกจะยกมาตามเส้นทางใหญ่ก็จะต้องผ่านด่านเกียมโก๊ะ ซึ่งมีกองทัพเกียงอุยตั้งคุ้มกันรักษาอยู่ เชื่อมั่นได้ว่าข้าศึกจะไม่ยกล่วงมาได้ ส่วนทางด้านหลังมีเทือกเขาสูงชันเป็นป้อมปราการธรรมชาติที่ข้าศึกยากจะยกกองทัพใหญ่ล่วงเข้ามาได้ คงเหลือแต่ทางช่องแคบอิมเป๋งซึ่งเป็นทางสุดแสนทุรกันดาร แม้เมื่อผ่านช่องแคบอิมเป๋งแล้วก็ยังต้องเผชิญกับหน้าผาสูงชัน จึงมั่นใจว่าจะไม่มีข้าศึกยกมาทางนี้โดยเด็ดขาด

            เพราะสภาพภูมิประเทศเป็นเช่นนี้ จงโฮยซึ่งมีแผนที่เส้นทางเข้าเมืองเสฉวนโดยละเอียดจึงเห็นว่าเป็นมรณภูมิ ยากแก่การเข้าตี ถึงยกล่วงเข้าไปได้ก็อาจจะถูกสกัดกั้นสังหารจนหมดสิ้น ดังนั้นเมื่อครั้งที่เตงงายเสนอแผนการให้จงโฮยยกทหารเข้าตีเมืองเสฉวนทางช่องแคบอิมเป๋ง จงโฮยจึงเห็นว่าเตงงายมีแผนการร้ายที่คิดร้ายต่อตัว จึงแกล้งสั่งให้เตงงายยกไปทำการเอง

            ม้าเชียวมั่นใจในความมั่นคงแข็งแกร่งของสภาพภูมิประเทศและกองทัพของเกียงอุยดังนี้ จึงตั้งอยู่ในความประมาท ครั้นทราบว่าเมืองฮันต๋งเสียแก่ทหารวุยก๊กแล้วก็ท้อแท้ คาดหมายว่าในที่สุดเมืองเสฉวนก็จะต้องเสียแก่ข้าศึกด้วย แต่เชื่อว่าหากข้าศึกจะยกมาก็ยังมีกองทัพเกียงอุยสกัดอยู่ข้างหน้า ดังนั้นแต่ละวันม้าเชียวจึงยังคงดูแลบ้านเมืองเช่นยามปกติ พอเวลาเย็นก็กลับบ้านเสพสุรา

            วันหนึ่งในขณะที่ม้าเชียวกำลังเสพสุราอยู่กับภรรยานั้น ผู้เป็นภรรยาได้กล่าวกับม้าเซียวว่าบัดนี้เมืองฮันต๋งเสียแก่ข้าศึกแล้ว อีกไม่ช้านานเห็นข้าศึกจะยกมาตีเอาเมืองอิวกั๋ง เหตุไฉนท่านจึงไม่ตระเตรียมทหารให้พรักพร้อมเพื่อป้องกันรักษาเมือง กลับมาเสพสุราเป็นปกติอยู่ดังนี้

            ม้าเชียวได้ฟังก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าเมืองอิวกั๋งเป็นเมืองน้อย ไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ที่ข้าศึกจะยกเข้าตี จะวิตกไปทำไมกัน หากข้าศึกจะยกมาเห็นจะยกมาตามเส้นทางใหญ่ด้านหน้า ซึ่งมีกองทัพเกียงอุยขวางกั้นอยู่ เห็นจะยกมาไม่ได้ ซึ่งจะยกมาทางด้านหลังตามช่องแคบอิมเป๋งนั้นเหลือวิสัยนัก

            ม้าเชียวกล่าวดังนั้นแล้ว หวนรำลึกถึงสถานการณ์ในเมืองเสฉวนที่วิปริตแปร ปรวนสีหน้าก็สลดลง อึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวสืบไปว่า “แลบัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็โลเล เชื่อถือถ้อยคำฮุยโฮมิได้เอาใจใส่กิจราชการบ้านเมืองแล้ว ก็ต้องการอันใดเราจะขวนขวายทำราชการให้เหนื่อยตัว แม้ทหารวุยก๊กตีเข้ามาได้ เราก็จะเข้านอบน้อมเสียเอาความสุข จะเป็นข้าผู้ใดก็กินข้าวเหมือนกัน”.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร