ตอนที่ 639. ภารกิจแห่งวิญญาณ

จงโฮยยกกองทัพประชิดด่านแฮบังก๋วน เจียวสีแปรพักตร์หักหลังเปาเขียมนายด่าน ยอมอ่อนน้อมกับจงโฮย เปาเขียมนายด่านผู้ภักดีไม่ยอมให้ข้าศึกจับกุมจึงฆ่าตัวตาย จงโฮยยึดด่านแฮบังก๋วนได้แล้วจึงเฉลิมฉลองชัยชนะ แต่ประสบกับเหตุการณ์ประหลาดจึงออกไปสำรวจดู ก็เผชิญกับการจู่โจมของกองทหารจ๊กก๊กซึ่งไปมาอย่างแปลกประหลาดจึงตกใจ พาทหารหนีจะกลับเข้าด่าน

            จงโฮยพาทหารหนีอย่างไม่คิดชีวิตจนกลับเข้าไปถึงด่านแล้วจึงสำรวจตรวจตราทหาร ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดล้มตายเพราะน้ำมือข้าศึกแม้แต่คนเดียว ทหารซึ่งบาดเจ็บล้วนเกิดจากการพลัดตกลงจากหลังม้าหรือชนต้นไม้ จึงสงสัยเป็นอันมาก จงโฮยไต่ถามทหารทั้งปวงที่ประสบเหตุว่าต่างคนได้ประสบเหตุประการใด

            ทุกคนได้รายงานความตรงกันว่า ทหารจ๊กก๊กซึ่งยกมานั้นเหมือนหนึ่งลอยมาตามสายลม แต่พอมาใกล้ก็หายไป จงโฮยไต่สวนได้ความต้องกันดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจว่าไฉนเราคำนับดวงวิญญาณแฮหัวเอี๋ยนแล้วเหตุการณ์ประหลาดก็ยังบังเกิดขึ้นอีก จึงคิดว่าชะรอยจะมีศาลเทพารักษ์หรือเจ้าป่าสถิตอยู่ในย่านแถบนี้

            จงโฮยจึงเรียกเจียวสีมาสอบถามว่า ที่เขาเตงกุนสันนี้มีศาลเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้างหรือไม่ เจียวสีซึ่งชำนาญภูมิประเทศเป็นอย่างดีจึงรายงานว่า ในแถบเขาเตงกุนสันนี้หาได้มีศาลเทพารักษ์หรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่แต่ประการใดไม่ มีก็แต่ที่ฝังศพของมหาอุปราชขงเบ้งที่ข้างทางในซอกเขาเตงกุนสันเท่านั้น

            จงโฮยได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่าเหตุการณ์ประหลาดที่บังเกิดขึ้นเป็นการสำแดงฤทธิ์ของวิญญาณขงเบ้งประหนึ่งจะบอกเหตุบางประการ

            วันรุ่งขึ้นจงโฮยจึงคุมทหารพาเครื่องเซ่นไปที่ซอกเขาเตงกุนสัน ให้เจียวสีเป็นผู้นำทางไปยังที่ฝังศพขงเบ้ง จงโฮยจุดธูปเทียนบูชาบวงสรวงสังเวยแล้วอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าเป็นนายทหารรุ่นลูกหลานของมหาอุปราช ได้ยินกิตติศัพท์อันเกริกฟ้าก้องดินของมหาอุปราชตลอดระยะเวลาช้านาน ไม่ทราบว่าที่นี่เป็นที่ฝังศพของมหาอุปราชผู้มีสติปัญญาแจ้งฟ้าจบดิน จึงมิได้มากระทำการคำนับตามประเพณี ขอจงอดโทษข้าพเจ้า อย่าได้ถือว่าล่วงเกินเลย ข้าพเจ้ายกกองทัพมาครั้งนี้ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา หาได้ปรารถนายศศักดิ์ส่วนตัวแต่ประการใดไม่ ขอดวงวิญญาณของมหาอุปราชได้ช่วยทำนุบำรุงอุ้มชูให้ข้าพเจ้าทำการสำเร็จดังปรารถนาเถิด จงโฮยอธิษฐานแล้วจึงหมอบคำนับหลุมฝังศพขงเบ้งอีกครู่ใหญ่

            ครั้นจงโฮยทำพิธีเซ่นดวงวิญญาณของขงเบ้งเสร็จแล้ว จึงพาทหารกลับเข้าไปในด่านแฮบังก๋วน ปรารภกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่ามหาอุปราชขงเบ้งมีสติปัญญาในการสงครามเกริกก้อง โชคดีที่สิ้นบุญไปก่อน หาไม่แล้วไหนเลยพวกเราจะยกล่วงเข้ามาถึงด่านแฮบังก๋วนได้

            ในคืนวันนั้นจงโฮยนั่งดูแผนที่คิดอ่านการสงครามจนกระทั่งดึกแล้วม่อยหลับไปที่โต๊ะหนังสือ ในภวังค์นั้นรู้สึกว่ามีสายลมเย็นสายหนึ่งพัดมากระทบกาย เห็นชายวัยห้าสิบปีเศษ ศีรษะโพกผ้าไหมสีน้ำเงิน ในมือถือพัดขนนก สวมเสื้อคลุมขนนกกระเรียนในชุดนักพรตแห่งลัทธิเต๋า สวมรองเท้าเชือกฟาง คาดสายเข็มขัดสีดำ ใบหน้าขาวประดุจหยกบริสุทธิ์หมดจด ริมฝีปากแดงดังชาดแต้ม ขนคิ้วดำสนิท ดวงตามีประกายเจิดจ้าแจ่มใส สูงใหญ่ประมาณแปดฟุต ล่องลอยพริ้วมาตามสายลม เคร่งขรึมสง่าน่าเกรงขาม ดูประหนึ่งดังเทพยดา

            ครั้นชายนั้นพลิ้วเข้ามาตามลมใกล้จะถึงตัวจงโฮยตกใจลุกขึ้นยืน กระทำคำนับแล้วถามว่าท่านคือผู้ใด ชายนั้นได้กล่าวว่าเมื่อเช้าวันนี้เห็นท่านสู้อุตส่าห์สละเวลาไปเยี่ยมเยียนคำนับเคารพเรา เราจึงมาหาด้วยมีวาจาจะว่ากล่าวสักสองสามคำ

            แล้วชายนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า เรามาอยู่กลางป่าเขารกชัฏ รอคอยท่าท่านอยู่นานช้าแล้ว หวังจะพบหน้าบอกฝากวาจาในวันนี้ว่า ชะตาสวรรค์กำหนดให้เมืองเสฉวนแห่งฮั่นถึงคราวจะร่วงลับดับสูญแล้ว ใครไหนไม่อาจฝ่าฝืนได้ แต่ทว่าอาณาประชาราษฎรทั้งหลายนั้นเราสู้ทำนุบำรุงรักษามาแต่ก่อนจึงสงสาร ไม่ต้องการให้ถูกเบียดเบียนย่ำยีฆ่าฟันโดยไม่มีความผิด จึงขอให้ท่านตั้งอยู่ในความเมตตาและเห็นแก่เราซึ่งภักดีต่อเจ้าแลรักสงสารราษฎร หากท่านได้เมืองเสฉวนแล้วอย่าได้สังหารผลาญชีวิตอาณาประชาราษฎรเลย

            ชายนั้นกล่าวสิ้นคำแล้วไม่รอฟังคำตอบของจงโฮย สะบัดชายแขนเสื้อกลับหลังหัน ลอยลับหายไปตามสายลม จงโฮยตกใจตื่นขึ้นมาในกลางดึก รำลึกถึงความฝันก็รู้ว่าความฝันครั้งนี้เป็นเพราะวิญญาณขงเบ้งมาบอกกล่าวฝากฝังชีวิตราษฎร จึงสั่งทหารให้ลั่นกลองระดมพลเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวงในกลางดึกคืนวันนั้น แล้วออกคำสั่งสนามว่าในการยกกองทัพบุกเมืองเสฉวนครั้งนี้ ไม่ว่าจะได้เมืองเสฉวนหรือไม่ประการใด ห้ามไม่ให้ทำร้ายหรือทำลายชีวิตอาณาราษฎรโดยเด็ดขาด ถ้ามาตรแม้นผู้ใดฝ่าฝืนก็จะตัดศีรษะเสีย

            แม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงถูกปลุกขึ้นมาฟังคำสั่งสนามในยามดึกดังนั้นก็พากันแปลกประหลาดใจ

            โอ้! มหาอุปราชจูกัดเหลียง-ขงเบ้งที่สู้สั่งเสียสุดท้ายก่อนจะตายว่าให้เอาศพมาฝังไว้ที่ข้างทางในซอกเขาเตงกุนสัน กรำแดด ตากฝน ตรำน้ำค้างกลางป่าเขาอันเปล่าเปลี่ยว ไม่ยอมให้ศพตัวสถิตอยู่ในสุสานหลวงสมกับอิสริยยศ มีขุนนางเฝ้าจุดตะเกียงปรนนิบัติหน้าหลุมศพ รับการเซ่นไหว้ในเทศกาลตรุษสารทตามประเพณีถึงยี่สิบเก้าปี โดยที่ไม่มีผู้ใดทราบวัตถุประสงค์นั้น บัดนี้ดวงวิญญาณแห่งความภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นและพระเจ้าเล่าปี่ซึ่งได้วนเวียนเฝ้าหลุมศพในซอกเขาเตงกุนสันด้วยสัตยาธิษฐานและความมุ่งมั่นก่อนตายก็ได้กระทำภารกิจสุดท้ายสำแดงอภินิหารปกป้องคุ้มครองชีวิตชาวเมืองเสฉวนซึ่งสู้ทำนุบำรุงมา มิให้เจ็บตายจากการทำอันตรายของข้าศึกในยามที่ราชวงศ์ฮั่นจะถึงกาลอวสาน

ภาพสุสานขงเบ้งในปัจจุบัน อยู่ที่ซอกเขาเตงกุนสัน อำเภอเหมี่ยน เมืองฮั่นจง
หรือเมืองฮันต๋งในสมัยสามก๊ก ปัจจุบันอยู่ในมณฑลซ่านซี


            วันรุ่งขึ้นจงโฮยได้สั่งให้ทำธงสีขาวผืนใหญ่ เขียนความว่า “เมตตาประชาราษฎร์ คุ้มครองราษฎร” แล้วเอาธงผืนใหญ่นั้นปักไว้บนหอรบของด่านแฮบังก๋วน และให้ประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้จะไม่ทำอันตรายแก่ราษฎร ขอให้ทุกคนตั้งอยู่ในความสงบและทำมาหากินตามปกติ

            ครั้นชาวเมืองฮันต๋ง ชาวเมืองก๊กเสีย และชาวเมืองฮันเสียทราบกิตติศัพท์ จึงพากันเข้าอ่อนน้อมกับจงโฮยเป็นอันมาก บรรดาทหารในเมืองก๊กเสียและเมืองฮันเสียเห็นชาวเมืองเข้าด้วยจงโฮยจึงยอมอ่อนน้อมยกเมืองให้แก่จงโฮยทั้งสองเมือง บรรดานายทหารซึ่งรักษาเมืองฮันต๋งทราบว่าจงโฮยได้เมืองก๊กเสียและเมืองฮันเสียแล้วจึงไม่คิดจะต่อสู้ พากันเข้าอ่อนน้อมกับจงโฮยตามไปด้วย

            จงโฮยได้เมืองฮันต๋ง เมืองฮันเสีย และเมืองก๊กเสียโดยไม่ต้องสู้รบปรบมือก็มีความยินดี จัดแจงบ้านเมืองจนเป็นปกติ แล้วตั้งมั่นอยู่ในเมืองฮันต๋ง

            ฝ่ายเกียงอุยตั้งกองทัพอยู่ที่แดนเมืองหลงเส ครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพวุยก๊กยกใกล้เข้ามาแล้ว จึงให้ทหารถือหนังสือไปยังเตียวเอ๊กและเลียวฮัวให้ยกทหารมาช่วย แล้วยกทหารออกไปท้ารบกับทหารวุยก๊ก

            ฝ่ายอองกิ๋นแม่ทัพของเตงงายซึ่งยกมาสกัดกองทัพของเกียงอุยไม่ให้ยกไปช่วยเมืองฮันต๋งนั้น ครั้นเห็นเกียงอุยยกทหารออกมาท้ารบจึงขี่ม้าออกไปหน้าทหาร แล้วลวงเกียงอุยว่า “ทหารพวกเรายกกองทัพมาครั้งนี้ยี่สิบทาง ทหารประมาณร้อยหมื่น ซึ่งเมืองเสฉวนนั้นเราก็ตีได้แล้ว ท่านจงเร่งมานบนอบเราเถิด ซึ่งจะมาตั้งรบอยู่ฉะนี้เห็นหาบังควรไม่”

            เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็ประหวั่นใจว่าเป็นจริงหรือเท็จ แต่โกรธอองกิ๋นที่บังอาจกล่าวความดังนั้น จึงขี่ม้าออกไปรบกับอองกิ๋น ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้สิบเพลง อองกิ๋นทานกำลังเกียงอุยไม่ได้จึงขี่ม้าหนี เกียงอุยจึงคุมทหารไล่ตามไป

            ฝ่ายตันหองแม่ทัพของเตงงายอีกกองหนึ่งซึ่งยกมาสกัดเกียงอุย ตั้งกองทหารซุ่มอยู่ในป่า ครั้นทราบว่าเกียงอุยยกทหารไล่ตามตีอองกิ๋น จึงยกทหารออกมาสกัดไว้ เกียงอุยเห็นตันหองเป็นทหารหน้าใหม่ จึงร้องข่มไปว่าตัวมึงเป็นแต่นายทหารผู้น้อยฝีมือกระจอกงอกง่อย เร่งถอยเอาตัวรอดจะดีกว่า ว่าแล้วเกียงอุยจึงขี่ม้าบุกเข้าไปหาตันหอง

            ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้สิบเพลง ตันหองทานฝีมือของเกียงอุยไม่ได้จึงพาทหารถอยร่นไปทางกองทัพของเตงงาย เกียงอุยจึงคุมทหารไล่ตามไป

            เตงงายคุมกองทัพหลวงยกหนุนตามมา เห็นเกียงอุยพาทหารไล่ตามตีตันหอง จึงขี่ม้าพาทหารออกไปสกัดเกียงอุย เตงงายเข้ารบกับเกียงอุยตัวต่อตัวถึงสิบห้าเพลงยังไม่ทันแพ้ชนะกัน ในขณะนั้นอองกิ๋นและตันหองได้คุมทหารกลับเข้ามาตีกระหนาบทหารของเกียงอุย ทหารของทั้งสองฝ่ายได้รบพุ่งกันเป็นตะลุมบอน บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            เกียงอุยเห็นกำลังข้าศึกหนักเกินจะต้านทาน จึงพาทหารตีฝ่าวงล้อมกลับไปค่าย แล้วให้ทหารตั้งมั่นรักษาค่ายคอยท่ากองทัพของเลียวฮัวและเตียวเอ๊กจะยกมาช่วย

            วันหนึ่งหน่วยลาดตระเวนได้นำความมารายงานกับเกียงอุยว่า บัดนี้จงโฮยยกกองทัพเข้าตีด่านแฮบังก๋วนได้แล้ว เปาเขียมฆ่าตัวตาย เจียวสีแปรพักตร์เข้ากับข้าศึก หลังจากจงโฮยได้ด่านแฮบังก๋วนแล้ว เมืองก๊กเสีย เมืองฮันเสีย และเมืองฮันต๋งได้ยอมสวามิภักดิ์กับจงโฮยตามไปด้วย 

            เกียงอุยได้ทราบความดังนั้นก็ตกใจ รู้สึกท้อถอยท้อแท้เป็นอันมาก เห็นว่าการตั้งกองทัพอยู่ที่แดนเมืองหลงเสต่อไปจะไม่มีประโยชน์อันใดอีก พอค่ำลงเกียงอุยจึงพาทหารหนีออกจากค่ายตรงไปเมืองเสฉวน

            ครั้นมาถึงกลางทางพบเอียวหัวนายทหารวุยก๊กคุมทหารมาตั้งสกัดขวางทางอยู่ เกียงอุยจึงคุมทหารบุกฝ่าออกไป เอียวหัวได้ขี่ม้าออกมาสกัดเกียงอุยไว้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้เพียงสามเพลง เอียวหัวสู้เกียงอุยไม่ได้จึงควบม้าหนี เกียงอุยได้ทีจึงขี่ม้าไล่ตามไปแล้วหยิบเอาเกาทัณฑ์ยิงไปที่เอียวหัวถึงสามดอกแต่พลาดเป้า เกียงอุยโยนเกาทัณฑ์ทิ้งแล้วควบม้าไล่ตามเอียวหัวต่อไป เผอิญม้าของเกียงอุยสะดุดก้อนศิลาเสียหลักล้มลง เกียงอุยพลัดกระเด็นตกจากหลังม้า

            เอียวหัวเห็นได้ทีจึงขี่ม้ากลับมาเงื้อง่าทวนจะแทง เกียงอุยเหลือบไปเห็นเอียวหัวดังนั้นจึงเอาทวนปัดทวนของเอียวหัวและแทงทวนสวนกลับไป เอียวหัวเอี้ยวตัวหลบได้ทัน ทวนของเกียงอุยพลาดไปถูกหลังม้า เอียวหัวเห็นเกียงอุยตั้งหลักได้จึงขี่ม้าหนี

            พอดีม้าของเกียงอุยลุกขึ้น เกียงอุยจึงขึ้นขี่ม้าควบตามเอียวหัวไป ในขณะนั้นเตงงายคุมทหารไล่ตามมาทันจึงให้ทหารเข้าล้อมเกียงอุย ทหารทั้งสองฝ่ายได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ แต่เกียงอุยนั้นอ่อนล้าอิดโรยลงเห็นจะต้านทานไม่ได้ จึงรีบตีฝ่าหนีออกไปจากวงล้อม

            เกียงอุยพาทหารหนีมาได้ร้อยเส้นก็คิดว่าเมื่อเมืองเสฉวนเสียแก่ข้าศึกแล้ว จะไปเมืองเสฉวนก็ป่วยการเปล่า แลเมืองฮันต๋งนั้นถึงจะเสียแก่ข้าศึกก็ยังมีทหารผู้ภักดีอยู่เป็นอันมาก ข้าศึกเพิ่งยึดเมืองได้ เห็นจะยังควบคุมสถานการณ์ทั่วไปไม่ได้ทั้งหมด หากยกไปถึงก็อาจชิงเอาเมืองฮันต๋งกลับคืนได้

            เกียงอุยจึงขี่ม้าพาทหารหนีไปตามเส้นทางลัดตรงไปเมืองฮันต๋ง แต่พอมาถึงกลางทางพบกับหน่วยลาดตระเวนซึ่งพลัดหลงกัน หน่วยลาดตระเวนเห็เกียงอุยจึงรายงานว่า ท่านจะไปเมืองฮันต๋งนั้นไม่ได้ ด้วยจูกัดสูนายทหารวุยก๊กซึ่งเป็นเจ้าเมืองหยงจิ๋วได้คุมทหารมาตั้งสกัดอยู่ที่สะพานปลายช่องแคบอิมเป๋ง

            เกียงอุยจะไปเมืองเสฉวนก็ไม่ได้ จะไปเมืองฮันต๋งก็ไม่ได้ จึงทอดถอนใจใหญ่รำพึงด้วยความท้อใจว่า “ข้างหน้าก็สกัด ข้างหลังก็รุกเข้ามา ครั้งนี้เทพยดาจะแกล้งผลาญชีวิตเรามั่นคงแล้ว”

            ฝ่ายเบงซุยซึ่งเป็นนายทหารคนสนิทของเกียงอุย เห็นเกียงอุยท้อแท้หมดกำลังใจดังนั้นจึงกล่าวว่า จูกัดสูทิ้งเมืองหยงจิ๋วยกมาตั้งสกัดท่านดังนี้ ทหารในเมืองหยงจิ๋วย่อมเบาบาง ควรที่ท่านจะพาทหารไปตามเส้นทางลัดเข้ายึดเอาเมืองหยงจิ๋วไว้เป็นฐานกำลังจึงจะชอบ ข้าพเจ้าพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อจูกัดสูทราบว่าท่านยกไปตีเอาเมือง หยงจิ๋วก็จะถอนทหารจากเชิงสะพานปลายช่องแคบอิมเป๋งยกไปชิงเอาเมือง เราจึงค่อยยกอ้อมวกไปตั้งหลักอยู่ที่ด่านเกียมโก๊ะ คิดอ่านชิงเอาเมืองฮันต๋งคืนเห็นจะได้โดยง่าย

            เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงพาทหารจะไปยึดเอาเมืองหยงจิ๋ว ฝ่ายจูกัดสูครั้นได้ทราบรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่าเกียงอุยกำลังยกทหารจะไปตีเอาเมือง หยงจิ๋วก็ตกใจ จึงจัดแบ่งทหารสองร้อยคนให้รักษาค่ายเชิงสะพานปลายช่องแคบอิมเป๋ง แล้วยกทหารที่เหลือเร่งตามไปที่เมืองหยงจิ๋ว

            ฝ่ายเกียงอุยพาทหารเดินทางไปได้สองร้อยเส้นก็คิดว่าขณะนี้จูกัดสูคงจะทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมแล้ว เห็นจะยกทหารไปตามเส้นทางลัดเพื่อไปช่วยเมืองหยงจิ๋ว ไม่จำเป็นที่จะต้องยกไปเมืองหยงจิ๋วอีกต่อไป ชอบที่จะตีฝ่าออกไปทางสะพานปลายช่องแคบอิมเป๋งจึงจะควร.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร