ตอนที่ 638. ปรากฏการณ์ประหลาด
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเชื่อคนทรงเจ้าเข้าผี ไม่คิดอ่านป้องกันเมืองเสฉวนตามฎีกาของเกียงอุย ในขณะที่กองทัพวุยก๊กยกล่วงมาถึงด่านเมืองลำเต๋ง จงโฮยแม่ทัพใหญ่วุยก๊กพลาดท่าหวุดหวิดจะถูกเล่าซุนสังหาร แต่ซุนไคนายทหารรองได้ยิงเกาทัณฑ์ฆ่าล่อซุน ช่วยชีวิตจงโฮยไว้ทันท่วงที
จงโฮยตั้งหลักได้แล้วจึงสั่งทหารให้รุกจู่โจมทหารจ๊กก๊กที่ซุ่มโจมตีจนแตกพ่ายไป และยกทหารไล่ตามตีทหารจ๊กก๊กจนถึงหน้าด่าน ทหารในด่านรู้ว่าล่อซุนตายแล้วจึงไม่เป็นอันสู้รบ จงโฮยจึงยกทหารเข้าตีเอาด่านลำเต๋งได้โดยสะดวก
จงโฮยยึดด่านลำเต๋งได้แล้วจึงยกกองทัพเข้าไปตั้งอยู่ในด่าน และให้หาเคาหงีแม่ทัพกองทัพหน้าซึ่งคุมกองทหารช่างเข้ามาทำการไต่สวนความผิด
จงโฮยเห็นเคาหงีเข้ามาคุกเข่าคำนับแล้ว จึงกล่าวว่าเราวางใจให้ท่านคุมทหารเป็นกองหน้าบุกเบิกเส้นทางให้กองทัพหลวงยกล่วงเข้าแดนเมืองฮันต๋งโดยสะดวก สิกลับฝ่าฝืนคำสั่ง ไม่สำรวจตรวจตราเส้นทางให้รอบคอบ จนเราพลัดตกลงไปในหนองน้ำหวิดจะถึงแก่ความตาย ดีที่ได้ซุนไคมาช่วยชีวิตไว้ทันท่วงที นี่เป็นความผิดสถานหนึ่ง ท่านลุแก่อำนาจ ยกกองทัพจะเข้าตีด่านลำเต๋งโดยไม่ขออนุญาตจึงพลาดท่าเสียทีแก่ข้าศึก ทหารบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก เป็นความผิดสถานสอง ความผิดท่านครั้งนี้ฉกรรจ์มีโทษถึงประหารชีวิต
กล่าวแล้วจงโฮยจึงสั่งให้ทหารเอาตัวเคาหงีไปตัดศีรษะไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั้งปวงสืบไป บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันตกใจ พากันคุกเข่าร้องขอชีวิตเคาหงี ขอให้จงโฮยยกโทษให้สักครั้งหนึ่ง เพราะเคาหงีนี้เป็นบุตรของเคาทูผู้มีคุณแก่แผ่นดินวุยก๊ก ได้ทำความชอบไว้แก่แผ่นดินเป็นอันมาก จึงควรเห็นแก่ความชอบของเคาทูแต่หนหลัง แล้วยกโทษตายให้เคาหงีสักครั้งหนึ่ง
จงโฮยเห็นดังนั้นก็โกรธ กล่าวว่าแม่ทัพบัญชาการทหารต้องมีความเด็ดขาด ถือกฎอัยการศึกเป็นหลัก หากละเลยเห็นแก่ความสนิทชิดชอบเป็นที่ตั้ง ไหนเลยจะบังคับบัญชาทหารได้ การแผ่นดินของนายเราจะไม่เสียไปหรือ กล่าวแล้วจงโฮยจึงเร่งให้ผู้คุมเอาตัวเคาหงีไปตัดศีรษะ แม่ทัพนายกองทั้งปวงซึ่งเคยนับถือศรัทธาในเคาทูมาแต่ก่อนเห็นจงโฮยเคร่งครัดกับข้าทหารมากเกินไปก็พากันไม่พอใจ แต่เกรงอาญาสิทธิ์ของจงโฮยจึงได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ
เมื่อลงโทษเคาหงีแล้ว จงโฮยจึงว่าซุนไคทำการครั้งนี้มีความชอบ จึงให้ม้าและเกราะเป็นของปูนบำเหน็จ และเลื่อนตำแหน่งให้ซุนไคเป็นนายทหารเอก ซุนไคคำนับขอบคุณจงโฮยแล้วกล่าวว่า พระคุณของท่านในครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ข้าพเจ้าจะสนองคุณท่านไปจนตลอดชีวิต
จงโฮยพักทหารอยู่ในด่านลำเต๋งหกเจ็ดวันแล้ว จึงประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง และตั้งให้ลิจวนคุมทหารกองหนึ่งไปตีเมืองก๊กเสีย ให้ซุนไคคุมทหารยกไปตีเมืองฮันเสีย จงโฮยคุมทหารที่เหลือยกไปตีด่านแฮบังก๋วน ครั้นได้เวลากำหนดกองทัพวุยก๊กจึงแยกยกออกจากด่านลำเต๋งเป็นสามทางตามแผนการที่จงโฮยกำหนดทุกประการ
ฝ่ายเปาเขียมซึ่งเป็นนายด่านแฮบังก๋วน ครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพวุยก๊กตีได้เมืองลำเต๋งแล้ว กำลังยกมาที่ด่านแฮบังก๋วนก็ตกใจ จึงปรึกษากับเจียวสีซึ่งเป็นรองนายด่านว่า กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จะคิดอ่านประการใด
เจียวสีจึงว่า กองทัพวุยก๊กแม้ยกมาเป็นทัพใหญ่แต่ยกมาจากหนทางไกลแสนไกล เห็นจะอ่อนล้าอิดโรย เหมือนหนึ่งเกาทัณฑ์แล่นจากแล่งสุดล้าแล้ว ไหนเลยจะทะลุผ้าไหมอันเบาบางได้ ขอให้ท่านตั้งมั่นอยู่ในด่าน ข้าศึกก็จะสิ้นเสบียงแล้วแตกหนีกลับไปเอง
เปาเขียมจึงว่า กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้เป็นสามทาง หากมัวตั้งมั่นรักษาด่านเห็นจะเสียเมืองฮันเสียและเมืองก๊กเสียซึ่งเป็นหัวเมืองข้างเคียง ถ้าหากข้าศึกได้สองเมืองนี้จะได้ทหารและเสบียงเป็นกำลังเพิ่มขึ้น แล้วด่านแฮบังก๋วนก็จะเสียแก่ข้าศึกด้วย
เจียวสีได้ยินดังนั้นก็คิดว่าถ้าจะยกไปสู้รบกับทหารวุยก๊กซึ่งยกมาเป็นอันมากก็เหมือนหนึ่งเอาน้ำน้อยไปสู้ไฟ จะพากันตายสิ้น แต่เกรงอำนาจของเปาเขียมซึ่งเป็นนายด่าน จึงเก็บความไม่พอใจไว้ในใจ ไม่ทัดทานต่อไป ในทันใดนั้นหน่วยลาดตระเวนได้เข้ามารายงานว่ากองทัพวุยก๊กได้ยกมาประชิดด่านแล้ว
เปาเขียมได้ยินว่าข้าศึกยกมาประชิดด่านอย่างรวดเร็วเกินคาดก็ตกใจ ชวนเจียวสีขึ้นไปบนหอรบบนกำแพงด่าน เห็นจงโฮยแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊กขี่ม้าอยู่หน้าขบวนทหาร ประกอบด้วยธงทิวริ้วขบวนประดุจดังคลื่นในพระสมุทร น่าเกรงขามยิ่งนัก
จงโฮยเห็นเปาเขียมและเจียวสียืนสังเกตการณ์อยู่บนหอรบ จึงเอาแส้ม้าชี้มาที่เปาเขียม และร้องกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ให้ชาวด่านเร่งออกมาอยู่ด้วยเราเถิด เราจะเลี้ยงไว้เป็นทหารปูนบำเหน็จจงมาก ถ้าขัดแข็งมิออกมา เราตีด่านได้แล้วจะตัดศีรษะชาวด่านทั้งปวงเสีย”
เปาเขียมเห็นดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้ยิงเกาทัณฑ์ไปที่จงโฮย แต่เนื่องจากจงโฮยยืนม้าอยู่ไกลรัศมีเกาทัณฑ์จึงไม่ถูกตัว เปาเขียมจึงจัดแจงทหารจะยกออกไปรบกับจงโฮย และสั่งให้เจียวสีคุมทหารรักษาด่าน
จงโฮยเห็นเปาเขียมคุมทหารออกจากด่านจึงโบกธงสัญญาณให้ทหารล่าถอย เปาเขียมไม่รู้กลจึงเร่งพาทหารรุกไล่เข้าโจมตี พอเปาเขียมไล่ตามตีห่างออกไปจากด่าน จงโฮยได้สั่งให้ทหารแปรขบวน กองหลังแปรเป็นกองหน้าเข้าประจัญบาน กองหลังยกหนุนเนื่องเข้ามาแยกออกเป็นสองปีก โอบล้อมเปาเขียมและทหารไว้ในระหว่างกลาง
ทหารวุยก๊กล้อมเปาเขียมและทหารไว้ได้แล้วจึงพากันโห่ร้องและกระชับวงล้อมเข้ามา ทั้งร้องให้ทหารของเปาเขียมยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี มิฉะนั้นก็จะพากันตายสิ้น
เปาเขียมเห็นดังนั้นก็ไม่ระย่อท้อถอย สั่งทหารให้ตีฝ่าวงล้อมออกไป และเนื่องจากแนวล้อมด้านหลังเบาบาง เปาเขียมพาทหารตีฝ่าวงล้อมออกไปได้ จึงพาทหารจะหนีเข้าไปในด่าน
ฝ่ายเจียวสีเมื่อได้รับหน้าที่รักษาด่านแทนเปาเขียมแล้วก็คิดว่าเมืองเสฉวนทุกวันนี้แปรปรวน ขุนนางที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีพากันหนีออกจากราชการ เหลือแต่คนพาลสันดานชั่วแวดล้อมองค์พระเจ้าเล่าเสี้ยน แผ่นดินรอวันล่มสลายเท่านั้น กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงเห็นจะได้เมืองเสฉวน หากแข็งขืนต่อสู้อันตรายจะบังเกิดแก่ตัว
เจียวสีคิดรักตัวกลัวตายดังนั้นจึงขายเจ้าขายแผ่นดิน คิดสร้างความชอบไว้กับ จงโฮย จึงสั่งทหารให้ปิดประตูด่าน แล้วขึ้นไปยืนคุมสถานการณ์อยู่บนหอรบ พอเห็นเปาเขียมพาทหารหนีจะกลับเข้าด่าน จึงร้องบอกเปาเขียมว่าตัวท่านเป็นเพียงแมลงเม่า คิดจะพาพวกเราบินเข้ากองไฟ ใครจะยอมตามท่านเล่า บัดนี้เราและทหารทั้งปวงในด่านยอมสวามิภักดิ์แก่วุยก๊กแล้ว ท่านอย่ากลับเข้ามาในด่านอีกเลย
เปาเขียมได้ยินดังนั้นก็โกรธ ร้องด่าเจียวสีว่าอ้ายข้าขายเจ้า อ้ายบ่าวขายนาย เป็นชายชาติทหารเสียเปล่าแต่กลับรักตัวกลัวตาย ไม่ภักดีแผ่นดินสมกับที่ได้รับความไว้วางใจ
เปาเขียมกล่าวสิ้นคำเห็นทหารวุยก๊กยกตามมาทัน จึงกลับม้าสั่งทหารเข้าสู้ตาย จงโฮยเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้ตีวงล้อมเปาเขียมและทหารไว้ เปาเขียมพยายามจะตีฝ่าออกจากวงล้อมให้ได้ แต่ทหารบาดเจ็บล้มตายลงจนเกือบหมดสิ้น เปาเขียมเองก็อ่อนล้าอิดโรยลง เห็นจะตีฝ่าออกไปไม่ได้ จึงทอดถอนใจใหญ่แล้วรำพึงว่า “เมื่อเรามีชีวิตอยู่ได้เป็นข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ถ้าเราหาชีวิตไม่แล้วจะขอเป็นผีอยู่ในเมืองพระเจ้าเล่าเสี้ยน”
เปาเขียมเห็นว่าจะไม่มีทางหนีรอดออกไปได้ จึงคิดว่าตัวเราเป็นชาติทหาร การตายในสนามรบเป็นเกียรติยศของทหาร จะไม่ยอมตายด้วยน้ำมือของข้าศึกให้เสียเกียรติศักดิ์เป็นอันขาด คิดดังนั้นแล้วจึงเอาทวนแทงตัวเองถึงแก่ความตาย
ทหารของเปาเขียมที่เหลือเห็นตัวนายตายต่อหน้าต่อตาก็พากันเสียน้ำใจ ยอมเข้าอ่อนน้อมต่อจงโฮยหมดสิ้น จงโฮยจึงพาทหารยกไปที่หน้าประตูด่าน เจียวสีก็เปิดประตูด่านแล้วพาทหารรักษาด่านทั้งปวงออกมาคำนับยอมสวามิภักดิ์เข้ากับจงโฮย แล้วเชิญจงโฮยยกทหารเข้าไปตั้งในด่าน
จงโฮยเห็นดังนั้นก็มีความยินดี สั่งให้ทหารวุยก๊กยกเข้าไปตั้งอยู่ในด่านแฮบังก๋วน และให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่เจียวสีเป็นอันมาก
จงโฮยยึดได้ด่านแฮบังก๋วนแล้วจึงตั้งพักทหารอยู่ในด่าน สั่งสมเสบียงอาหารสำหรับคนและม้า และให้เกณฑ์ศาสตราวุธจากในด่านเข้ากองทัพวุยก๊ก เสร็จแล้วจึงเลี้ยงฉลองชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ ทหารวุยก๊กพากันเสพสุราอาหาร ร้องเพลงอย่างสนุกสนานจนเวลาล่วงเข้าต้นยามสอง พลันได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารเป็นอันมากแว่วมาตามสายลม ฟังดูประหนึ่งอยู่ใกล้ แต่พอตั้งใจฟังก็คล้ายกับอยู่ไกล
จงโฮยและทหารทั้งปวงพากันตื่นตระหนกตกใจคิดว่ากองทัพเกียงอุยจะยกมาโจมตี จึงสั่งให้เลิกงานเลี้ยงและให้ทหารทั้งปวงแต่งตัวใส่เกราะขึ้นรักษากำแพงด่านเตรียมพร้อมรบ เสียงนั้นก็เงียบหายไป สายลมเย็นยะเยียบพัดมาแต่ทางทิศหรดีจนจงโฮยและทหารทั้งปวงหนาวสั่นสะท้าน ได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารดังกึกก้องจากแนวป่าด้านทิศหรดีอีกครั้งหนึ่ง จงโฮยและทหารทั้งปวงพากันเพ่งจ้องตามองไปตามต้นเสียงก็ไม่ปรากฏสิ่งใด จึงพากันสงสัยในปรากฏการณ์ประหลาดนั้น
จงโฮยสั่งทหารทั้งปวงให้กวดขันระมัดระวังเวรยามมิได้ประมาท จนกระทั่งรุ่งสางจึงสั่งทหารลาดตระเวนให้ไปสืบข่าวคราวว่ามีทหารจ๊กก๊กยกมาตั้งซุ่มอยู่ในป่าในระยะสองร้อยเส้นหรือไม่ ครั้นเวลาสายหน่วยสอดแนมได้กลับมารายงานว่าไม่เห็นวี่แววทหารจ๊กก๊กแม้แต่น้อย
จงโฮยทราบรายงานดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดใจเพราะเสียงโห่ร้องของทหารที่ดังกึกก้องในตอนกลางคืนได้ยินกันอยู่ทั่วทุกตัวคน และดังขึ้นถึงสองครั้งสองครา แต่ไฉนจึงไม่มีร่องรอยของทหารจ๊กก๊ก
จงโฮยอดความสงสัยไว้มิได้ จึงพาทหารม้าหลายร้อยคนยกออกจากด่านไปตามซอกเขาข้างทิศหรดี จนกระทั่งถึงภูเขาลูกหนึ่งดูเป็นที่สงัดชอบกล จงโฮยมองขึ้นไปบนยอดเขาเห็นผงคลีตลบเหมือนหนึ่งมีกองทหารเคลื่อนไหวอยู่จึงรู้สึกแปลกประหลาดใจ จ้องเขม้นมองอีกพักใหญ่ผงคลีตลบนั้นก็จางหายไป เห็นเป็นเมฆดำทะมึนปกคลุมยอดเขาลอยเข้ามาแทนที่ สายลมเย็นยะเยือกพัดมาแม้แผ่วเบาแต่หนาวสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ
จงโฮยจึงให้ทหารไปจับชาวบ้านในย่านนั้นมาสอบถามว่าท้องที่นี้มีชื่อใด ชาวบ้านถูกจับตัวโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่ากระทำความผิดอันใดจึงพากันตกใจ ครั้นได้ยินคำจงโฮยถามจึงตอบไปตามความจริงว่าที่นี่คือเขาเตงกุนสัน เมื่อครั้งก่อน แฮหัวเอี๋ยนนายทหารเอกของโจโฉรบกับฮองตงทหารเอกของพระเจ้าเล่าปี่ พลาดท่าเสียทีถูกฮองตงสังหารอยู่ในซอกเขาเตงกุนสันนี้
จงโฮยได้ฟังดังนั้นก็จำได้ว่าแฮหัวเอี๋ยนเคยเป็นนายทหารเอกของโจโฉ มีฝีมือลือชาปรากฏทั่วแผ่นดิน และสิ้นชีวิตลงที่เขาเตงกุนสันนี้ จึงสำคัญว่าอาเพศซึ่งบังเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะวิญญาณแฮหัวเอี๋ยนซึ่งเป็นชาววุยก๊กมีความยินดีที่กองทัพวุยก๊กยกมาทำการล่วงถึงเขาเตงกุนสัน จึงบันดาลให้ปรากฏเหตุมหัศจรรย์ขึ้น
จงโฮยคิดดังนั้นแล้วจึงคุกเข่าลงคำนับดวงวิญญาณของแฮหัวเอี๋ยนแล้วอธิษฐานว่าข้าพเจ้าเป็นนายทหารรุ่นหลัง ศรัทธาในกิตติศัพท์ของท่านมาช้านาน บัดนี้กองทัพ วุยก๊กจะยกมาล้างแค้นแทนท่าน ขออัญเชิญดวงวิญญาณท่านกลับไปเมือง รับการเซ่นไหว้จากบุตรหลานตามประเพณีเถิด
จงโฮยกระทำคำนับดวงวิญญาณของแฮหัวเอี๋ยนแล้วจึงพาทหารจะกลับไปค่าย พลันท้องฟ้าก็มืดครึ้ม เมฆดำลอยลงต่ำมืดไปทั้งซอกเขา กระแสลมแรงพัดมาต้องกิ่งไม้ตามแนวป่าลู่ตามลมหักสะบั้นลงตลอดทั้งสองข้างทาง ทหารม้าจ๊กก๊กจำนวนมากในกลุ่มเมฆดำทึบพากันโห่ร้องรุกไล่มาทางด้านหลัง
จงโฮยและทหารเหลียวหลังกลับไปดู เห็นกองทัพม้าของทหารจ๊กก๊กยกไล่มาอย่างรวดเร็ว ธงทิวปลิวไสวอยู่ในท่ามกลางเมฆดำ เบื้องหลังกองทหารม้า คลับคล้ายคลับคลามีเกวียนน้อยพร้อมทหารคุ้มกันคุมขบวนตามมา
จงโฮยเห็นดังนั้นก็ตกใจ สำคัญว่าเกียงอุยยกทหารมาซุ่มโจมตี จึงพาทหารรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว เสียงทหารที่ไล่ตามประหนึ่งจะเข้ามาถึงตัว แต่พลันหายไปตามสายลม ทหารของจงโฮยแตกตื่นตกใจ พลัดตกลงจากหลังม้าเป็นอันมาก บ้างก็ขี่ม้าหนีเข้าป่า บ้างก็ขี่ม้าชนต้นไม้บาดเจ็บ.
จงโฮยตั้งหลักได้แล้วจึงสั่งทหารให้รุกจู่โจมทหารจ๊กก๊กที่ซุ่มโจมตีจนแตกพ่ายไป และยกทหารไล่ตามตีทหารจ๊กก๊กจนถึงหน้าด่าน ทหารในด่านรู้ว่าล่อซุนตายแล้วจึงไม่เป็นอันสู้รบ จงโฮยจึงยกทหารเข้าตีเอาด่านลำเต๋งได้โดยสะดวก
จงโฮยยึดด่านลำเต๋งได้แล้วจึงยกกองทัพเข้าไปตั้งอยู่ในด่าน และให้หาเคาหงีแม่ทัพกองทัพหน้าซึ่งคุมกองทหารช่างเข้ามาทำการไต่สวนความผิด
จงโฮยเห็นเคาหงีเข้ามาคุกเข่าคำนับแล้ว จึงกล่าวว่าเราวางใจให้ท่านคุมทหารเป็นกองหน้าบุกเบิกเส้นทางให้กองทัพหลวงยกล่วงเข้าแดนเมืองฮันต๋งโดยสะดวก สิกลับฝ่าฝืนคำสั่ง ไม่สำรวจตรวจตราเส้นทางให้รอบคอบ จนเราพลัดตกลงไปในหนองน้ำหวิดจะถึงแก่ความตาย ดีที่ได้ซุนไคมาช่วยชีวิตไว้ทันท่วงที นี่เป็นความผิดสถานหนึ่ง ท่านลุแก่อำนาจ ยกกองทัพจะเข้าตีด่านลำเต๋งโดยไม่ขออนุญาตจึงพลาดท่าเสียทีแก่ข้าศึก ทหารบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก เป็นความผิดสถานสอง ความผิดท่านครั้งนี้ฉกรรจ์มีโทษถึงประหารชีวิต
กล่าวแล้วจงโฮยจึงสั่งให้ทหารเอาตัวเคาหงีไปตัดศีรษะไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั้งปวงสืบไป บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันตกใจ พากันคุกเข่าร้องขอชีวิตเคาหงี ขอให้จงโฮยยกโทษให้สักครั้งหนึ่ง เพราะเคาหงีนี้เป็นบุตรของเคาทูผู้มีคุณแก่แผ่นดินวุยก๊ก ได้ทำความชอบไว้แก่แผ่นดินเป็นอันมาก จึงควรเห็นแก่ความชอบของเคาทูแต่หนหลัง แล้วยกโทษตายให้เคาหงีสักครั้งหนึ่ง
จงโฮยเห็นดังนั้นก็โกรธ กล่าวว่าแม่ทัพบัญชาการทหารต้องมีความเด็ดขาด ถือกฎอัยการศึกเป็นหลัก หากละเลยเห็นแก่ความสนิทชิดชอบเป็นที่ตั้ง ไหนเลยจะบังคับบัญชาทหารได้ การแผ่นดินของนายเราจะไม่เสียไปหรือ กล่าวแล้วจงโฮยจึงเร่งให้ผู้คุมเอาตัวเคาหงีไปตัดศีรษะ แม่ทัพนายกองทั้งปวงซึ่งเคยนับถือศรัทธาในเคาทูมาแต่ก่อนเห็นจงโฮยเคร่งครัดกับข้าทหารมากเกินไปก็พากันไม่พอใจ แต่เกรงอาญาสิทธิ์ของจงโฮยจึงได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ
เมื่อลงโทษเคาหงีแล้ว จงโฮยจึงว่าซุนไคทำการครั้งนี้มีความชอบ จึงให้ม้าและเกราะเป็นของปูนบำเหน็จ และเลื่อนตำแหน่งให้ซุนไคเป็นนายทหารเอก ซุนไคคำนับขอบคุณจงโฮยแล้วกล่าวว่า พระคุณของท่านในครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ข้าพเจ้าจะสนองคุณท่านไปจนตลอดชีวิต
จงโฮยพักทหารอยู่ในด่านลำเต๋งหกเจ็ดวันแล้ว จึงประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง และตั้งให้ลิจวนคุมทหารกองหนึ่งไปตีเมืองก๊กเสีย ให้ซุนไคคุมทหารยกไปตีเมืองฮันเสีย จงโฮยคุมทหารที่เหลือยกไปตีด่านแฮบังก๋วน ครั้นได้เวลากำหนดกองทัพวุยก๊กจึงแยกยกออกจากด่านลำเต๋งเป็นสามทางตามแผนการที่จงโฮยกำหนดทุกประการ
ฝ่ายเปาเขียมซึ่งเป็นนายด่านแฮบังก๋วน ครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพวุยก๊กตีได้เมืองลำเต๋งแล้ว กำลังยกมาที่ด่านแฮบังก๋วนก็ตกใจ จึงปรึกษากับเจียวสีซึ่งเป็นรองนายด่านว่า กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จะคิดอ่านประการใด
เจียวสีจึงว่า กองทัพวุยก๊กแม้ยกมาเป็นทัพใหญ่แต่ยกมาจากหนทางไกลแสนไกล เห็นจะอ่อนล้าอิดโรย เหมือนหนึ่งเกาทัณฑ์แล่นจากแล่งสุดล้าแล้ว ไหนเลยจะทะลุผ้าไหมอันเบาบางได้ ขอให้ท่านตั้งมั่นอยู่ในด่าน ข้าศึกก็จะสิ้นเสบียงแล้วแตกหนีกลับไปเอง
เปาเขียมจึงว่า กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้เป็นสามทาง หากมัวตั้งมั่นรักษาด่านเห็นจะเสียเมืองฮันเสียและเมืองก๊กเสียซึ่งเป็นหัวเมืองข้างเคียง ถ้าหากข้าศึกได้สองเมืองนี้จะได้ทหารและเสบียงเป็นกำลังเพิ่มขึ้น แล้วด่านแฮบังก๋วนก็จะเสียแก่ข้าศึกด้วย
เจียวสีได้ยินดังนั้นก็คิดว่าถ้าจะยกไปสู้รบกับทหารวุยก๊กซึ่งยกมาเป็นอันมากก็เหมือนหนึ่งเอาน้ำน้อยไปสู้ไฟ จะพากันตายสิ้น แต่เกรงอำนาจของเปาเขียมซึ่งเป็นนายด่าน จึงเก็บความไม่พอใจไว้ในใจ ไม่ทัดทานต่อไป ในทันใดนั้นหน่วยลาดตระเวนได้เข้ามารายงานว่ากองทัพวุยก๊กได้ยกมาประชิดด่านแล้ว
เปาเขียมได้ยินว่าข้าศึกยกมาประชิดด่านอย่างรวดเร็วเกินคาดก็ตกใจ ชวนเจียวสีขึ้นไปบนหอรบบนกำแพงด่าน เห็นจงโฮยแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊กขี่ม้าอยู่หน้าขบวนทหาร ประกอบด้วยธงทิวริ้วขบวนประดุจดังคลื่นในพระสมุทร น่าเกรงขามยิ่งนัก
จงโฮยเห็นเปาเขียมและเจียวสียืนสังเกตการณ์อยู่บนหอรบ จึงเอาแส้ม้าชี้มาที่เปาเขียม และร้องกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ให้ชาวด่านเร่งออกมาอยู่ด้วยเราเถิด เราจะเลี้ยงไว้เป็นทหารปูนบำเหน็จจงมาก ถ้าขัดแข็งมิออกมา เราตีด่านได้แล้วจะตัดศีรษะชาวด่านทั้งปวงเสีย”
เปาเขียมเห็นดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้ยิงเกาทัณฑ์ไปที่จงโฮย แต่เนื่องจากจงโฮยยืนม้าอยู่ไกลรัศมีเกาทัณฑ์จึงไม่ถูกตัว เปาเขียมจึงจัดแจงทหารจะยกออกไปรบกับจงโฮย และสั่งให้เจียวสีคุมทหารรักษาด่าน
จงโฮยเห็นเปาเขียมคุมทหารออกจากด่านจึงโบกธงสัญญาณให้ทหารล่าถอย เปาเขียมไม่รู้กลจึงเร่งพาทหารรุกไล่เข้าโจมตี พอเปาเขียมไล่ตามตีห่างออกไปจากด่าน จงโฮยได้สั่งให้ทหารแปรขบวน กองหลังแปรเป็นกองหน้าเข้าประจัญบาน กองหลังยกหนุนเนื่องเข้ามาแยกออกเป็นสองปีก โอบล้อมเปาเขียมและทหารไว้ในระหว่างกลาง
ทหารวุยก๊กล้อมเปาเขียมและทหารไว้ได้แล้วจึงพากันโห่ร้องและกระชับวงล้อมเข้ามา ทั้งร้องให้ทหารของเปาเขียมยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี มิฉะนั้นก็จะพากันตายสิ้น
เปาเขียมเห็นดังนั้นก็ไม่ระย่อท้อถอย สั่งทหารให้ตีฝ่าวงล้อมออกไป และเนื่องจากแนวล้อมด้านหลังเบาบาง เปาเขียมพาทหารตีฝ่าวงล้อมออกไปได้ จึงพาทหารจะหนีเข้าไปในด่าน
ฝ่ายเจียวสีเมื่อได้รับหน้าที่รักษาด่านแทนเปาเขียมแล้วก็คิดว่าเมืองเสฉวนทุกวันนี้แปรปรวน ขุนนางที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีพากันหนีออกจากราชการ เหลือแต่คนพาลสันดานชั่วแวดล้อมองค์พระเจ้าเล่าเสี้ยน แผ่นดินรอวันล่มสลายเท่านั้น กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงเห็นจะได้เมืองเสฉวน หากแข็งขืนต่อสู้อันตรายจะบังเกิดแก่ตัว
เจียวสีคิดรักตัวกลัวตายดังนั้นจึงขายเจ้าขายแผ่นดิน คิดสร้างความชอบไว้กับ จงโฮย จึงสั่งทหารให้ปิดประตูด่าน แล้วขึ้นไปยืนคุมสถานการณ์อยู่บนหอรบ พอเห็นเปาเขียมพาทหารหนีจะกลับเข้าด่าน จึงร้องบอกเปาเขียมว่าตัวท่านเป็นเพียงแมลงเม่า คิดจะพาพวกเราบินเข้ากองไฟ ใครจะยอมตามท่านเล่า บัดนี้เราและทหารทั้งปวงในด่านยอมสวามิภักดิ์แก่วุยก๊กแล้ว ท่านอย่ากลับเข้ามาในด่านอีกเลย
เปาเขียมได้ยินดังนั้นก็โกรธ ร้องด่าเจียวสีว่าอ้ายข้าขายเจ้า อ้ายบ่าวขายนาย เป็นชายชาติทหารเสียเปล่าแต่กลับรักตัวกลัวตาย ไม่ภักดีแผ่นดินสมกับที่ได้รับความไว้วางใจ
เปาเขียมกล่าวสิ้นคำเห็นทหารวุยก๊กยกตามมาทัน จึงกลับม้าสั่งทหารเข้าสู้ตาย จงโฮยเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้ตีวงล้อมเปาเขียมและทหารไว้ เปาเขียมพยายามจะตีฝ่าออกจากวงล้อมให้ได้ แต่ทหารบาดเจ็บล้มตายลงจนเกือบหมดสิ้น เปาเขียมเองก็อ่อนล้าอิดโรยลง เห็นจะตีฝ่าออกไปไม่ได้ จึงทอดถอนใจใหญ่แล้วรำพึงว่า “เมื่อเรามีชีวิตอยู่ได้เป็นข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ถ้าเราหาชีวิตไม่แล้วจะขอเป็นผีอยู่ในเมืองพระเจ้าเล่าเสี้ยน”
เปาเขียมเห็นว่าจะไม่มีทางหนีรอดออกไปได้ จึงคิดว่าตัวเราเป็นชาติทหาร การตายในสนามรบเป็นเกียรติยศของทหาร จะไม่ยอมตายด้วยน้ำมือของข้าศึกให้เสียเกียรติศักดิ์เป็นอันขาด คิดดังนั้นแล้วจึงเอาทวนแทงตัวเองถึงแก่ความตาย
ทหารของเปาเขียมที่เหลือเห็นตัวนายตายต่อหน้าต่อตาก็พากันเสียน้ำใจ ยอมเข้าอ่อนน้อมต่อจงโฮยหมดสิ้น จงโฮยจึงพาทหารยกไปที่หน้าประตูด่าน เจียวสีก็เปิดประตูด่านแล้วพาทหารรักษาด่านทั้งปวงออกมาคำนับยอมสวามิภักดิ์เข้ากับจงโฮย แล้วเชิญจงโฮยยกทหารเข้าไปตั้งในด่าน
จงโฮยเห็นดังนั้นก็มีความยินดี สั่งให้ทหารวุยก๊กยกเข้าไปตั้งอยู่ในด่านแฮบังก๋วน และให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่เจียวสีเป็นอันมาก
จงโฮยยึดได้ด่านแฮบังก๋วนแล้วจึงตั้งพักทหารอยู่ในด่าน สั่งสมเสบียงอาหารสำหรับคนและม้า และให้เกณฑ์ศาสตราวุธจากในด่านเข้ากองทัพวุยก๊ก เสร็จแล้วจึงเลี้ยงฉลองชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ ทหารวุยก๊กพากันเสพสุราอาหาร ร้องเพลงอย่างสนุกสนานจนเวลาล่วงเข้าต้นยามสอง พลันได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารเป็นอันมากแว่วมาตามสายลม ฟังดูประหนึ่งอยู่ใกล้ แต่พอตั้งใจฟังก็คล้ายกับอยู่ไกล
จงโฮยและทหารทั้งปวงพากันตื่นตระหนกตกใจคิดว่ากองทัพเกียงอุยจะยกมาโจมตี จึงสั่งให้เลิกงานเลี้ยงและให้ทหารทั้งปวงแต่งตัวใส่เกราะขึ้นรักษากำแพงด่านเตรียมพร้อมรบ เสียงนั้นก็เงียบหายไป สายลมเย็นยะเยียบพัดมาแต่ทางทิศหรดีจนจงโฮยและทหารทั้งปวงหนาวสั่นสะท้าน ได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารดังกึกก้องจากแนวป่าด้านทิศหรดีอีกครั้งหนึ่ง จงโฮยและทหารทั้งปวงพากันเพ่งจ้องตามองไปตามต้นเสียงก็ไม่ปรากฏสิ่งใด จึงพากันสงสัยในปรากฏการณ์ประหลาดนั้น
จงโฮยสั่งทหารทั้งปวงให้กวดขันระมัดระวังเวรยามมิได้ประมาท จนกระทั่งรุ่งสางจึงสั่งทหารลาดตระเวนให้ไปสืบข่าวคราวว่ามีทหารจ๊กก๊กยกมาตั้งซุ่มอยู่ในป่าในระยะสองร้อยเส้นหรือไม่ ครั้นเวลาสายหน่วยสอดแนมได้กลับมารายงานว่าไม่เห็นวี่แววทหารจ๊กก๊กแม้แต่น้อย
จงโฮยทราบรายงานดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดใจเพราะเสียงโห่ร้องของทหารที่ดังกึกก้องในตอนกลางคืนได้ยินกันอยู่ทั่วทุกตัวคน และดังขึ้นถึงสองครั้งสองครา แต่ไฉนจึงไม่มีร่องรอยของทหารจ๊กก๊ก
จงโฮยอดความสงสัยไว้มิได้ จึงพาทหารม้าหลายร้อยคนยกออกจากด่านไปตามซอกเขาข้างทิศหรดี จนกระทั่งถึงภูเขาลูกหนึ่งดูเป็นที่สงัดชอบกล จงโฮยมองขึ้นไปบนยอดเขาเห็นผงคลีตลบเหมือนหนึ่งมีกองทหารเคลื่อนไหวอยู่จึงรู้สึกแปลกประหลาดใจ จ้องเขม้นมองอีกพักใหญ่ผงคลีตลบนั้นก็จางหายไป เห็นเป็นเมฆดำทะมึนปกคลุมยอดเขาลอยเข้ามาแทนที่ สายลมเย็นยะเยือกพัดมาแม้แผ่วเบาแต่หนาวสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ
จงโฮยจึงให้ทหารไปจับชาวบ้านในย่านนั้นมาสอบถามว่าท้องที่นี้มีชื่อใด ชาวบ้านถูกจับตัวโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่ากระทำความผิดอันใดจึงพากันตกใจ ครั้นได้ยินคำจงโฮยถามจึงตอบไปตามความจริงว่าที่นี่คือเขาเตงกุนสัน เมื่อครั้งก่อน แฮหัวเอี๋ยนนายทหารเอกของโจโฉรบกับฮองตงทหารเอกของพระเจ้าเล่าปี่ พลาดท่าเสียทีถูกฮองตงสังหารอยู่ในซอกเขาเตงกุนสันนี้
จงโฮยได้ฟังดังนั้นก็จำได้ว่าแฮหัวเอี๋ยนเคยเป็นนายทหารเอกของโจโฉ มีฝีมือลือชาปรากฏทั่วแผ่นดิน และสิ้นชีวิตลงที่เขาเตงกุนสันนี้ จึงสำคัญว่าอาเพศซึ่งบังเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะวิญญาณแฮหัวเอี๋ยนซึ่งเป็นชาววุยก๊กมีความยินดีที่กองทัพวุยก๊กยกมาทำการล่วงถึงเขาเตงกุนสัน จึงบันดาลให้ปรากฏเหตุมหัศจรรย์ขึ้น
จงโฮยคิดดังนั้นแล้วจึงคุกเข่าลงคำนับดวงวิญญาณของแฮหัวเอี๋ยนแล้วอธิษฐานว่าข้าพเจ้าเป็นนายทหารรุ่นหลัง ศรัทธาในกิตติศัพท์ของท่านมาช้านาน บัดนี้กองทัพ วุยก๊กจะยกมาล้างแค้นแทนท่าน ขออัญเชิญดวงวิญญาณท่านกลับไปเมือง รับการเซ่นไหว้จากบุตรหลานตามประเพณีเถิด
จงโฮยกระทำคำนับดวงวิญญาณของแฮหัวเอี๋ยนแล้วจึงพาทหารจะกลับไปค่าย พลันท้องฟ้าก็มืดครึ้ม เมฆดำลอยลงต่ำมืดไปทั้งซอกเขา กระแสลมแรงพัดมาต้องกิ่งไม้ตามแนวป่าลู่ตามลมหักสะบั้นลงตลอดทั้งสองข้างทาง ทหารม้าจ๊กก๊กจำนวนมากในกลุ่มเมฆดำทึบพากันโห่ร้องรุกไล่มาทางด้านหลัง
จงโฮยและทหารเหลียวหลังกลับไปดู เห็นกองทัพม้าของทหารจ๊กก๊กยกไล่มาอย่างรวดเร็ว ธงทิวปลิวไสวอยู่ในท่ามกลางเมฆดำ เบื้องหลังกองทหารม้า คลับคล้ายคลับคลามีเกวียนน้อยพร้อมทหารคุ้มกันคุมขบวนตามมา
จงโฮยเห็นดังนั้นก็ตกใจ สำคัญว่าเกียงอุยยกทหารมาซุ่มโจมตี จึงพาทหารรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว เสียงทหารที่ไล่ตามประหนึ่งจะเข้ามาถึงตัว แต่พลันหายไปตามสายลม ทหารของจงโฮยแตกตื่นตกใจ พลัดตกลงจากหลังม้าเป็นอันมาก บ้างก็ขี่ม้าหนีเข้าป่า บ้างก็ขี่ม้าชนต้นไม้บาดเจ็บ.