ตอนที่ 636. เปิดศึกตีเมืองเสฉวน
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยห้าพรรษา เดือนสิบ เกียงอุยจัดแจงตั้งผู้รักษาเมืองฮันต๋งและหัวเมืองข้างเคียง ตลอดจนตั้งหน่วยลาดตระเวนระยะไกลเพื่อป้องกันเมืองฮันต๋งเสร็จแล้ว จึงยกกองทัพแปดหมื่นไปตั้งอยู่ที่ตำบลหลงเสตามแผนการของขับเจ้ง
ฝ่ายเตงงายตั้งมั่นอยู่ที่ตำบลเขากิสานเพื่อรับมือกับกองทัพเมืองเสฉวนอยู่ดังเดิม วันหนึ่งได้รับรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่า เกียงอุยได้ยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองหลงเส วางค่ายรายเรียงถึงสิบสี่ค่ายก็รู้สึกสงสัย เพราะการที่เกียงอุยยกกองทัพมาตั้งอยู่ดังนี้ จะว่าเตรียมการยกมาตีวุยก๊กก็ไม่ใช่ จะว่าป้องกันรักษาเมืองเสฉวนก็ไม่เชิง ดังนั้นเตงงายจึงให้ทหารหน่วยสอดแนมลอบวาดแผนที่การตั้งค่ายของเกียงอุยและส่งเป็นรายงานเข้าไปให้แก่สุมาเจียวที่เมืองลกเอี๋ยง
สุมาเจียวได้ทราบรายงานของเตงงายและเห็นแผนที่การตั้งค่ายของเกียงอุยแล้วสำคัญว่าเกียงอุยตั้งซ่องสุมเสบียงอาหารและไพร่พลเพื่อเตรียมจะยกมาตีวุยก๊กอีกก็โกรธ กล่าวกับบรรดาขุนนางและแม่ทัพนายกองว่า “อ้ายเกียงอุยคนนี้เคยยกมาทำการศึกแก่เราเนือง ๆ ครั้งนี้เราจะคิดกำจัดมันเสียให้ได้”
ฝ่ายซุนโจยซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายสืบราชการลับ ได้ยินคำสุมาเจียวดังนั้นจึงกล่าวว่า ซึ่งเกียงอุยยกกองทัพมาตั้งอยู่ดังนี้หาใช่จะยกกองทัพมาตีวุยก๊กไม่ เป็นแต่เพียงแผนการเอาตัวรอดจากการคิดร้ายของขันที ด้วยแผ่นดินเมืองเสฉวนทุกวันนี้นั้น “พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีใจหลงรักผู้หญิงแลเสพสุรามิได้ขาด เชื่อถือถ้อยคำอ้ายฮุยโฮซึ่งเป็นขันทีคนหนึ่ง บัดนี้ขุนนางซึ่งมีสติปัญญาในเมืองเสฉวนนั้นมีความน้อยใจ ต่างคนต่างเอาตัวออกหาก ซึ่งเกียงอุยมาตั้งค่ายอยู่ตำบลหลงเสก็หวังจะให้พ้นอันตราย ขอท่านจงเร่งให้ยกทหารไปตีเอาเมืองเสฉวนเถิด เห็นจะได้โดยง่าย”
สุมาเจียวได้ยินดังนั้นจึงรำพึงขึ้นด้วยความดีใจว่า เป็นเช่นนี้ดอกหรือ แล้วกล่าวว่าเมื่อคนดีมีสติปัญญาในเมืองเสฉวนพากันหนีออกหากสิ้นแล้ว เห็นเชื้อวงศ์ฮั่นจะดับสูญเป็นแน่แท้ ตัวเรานี้คิดจะยกกองทัพไปล้างแค้นชาวเมืองเสฉวนช้านานแล้ว แต่ติดขัดอยู่หลายครั้งหลายหน บัดนี้เมื่อเหตุการณ์เป็นทีแล้วจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองเสฉวนให้จงได้ แลบรรดาแม่ทัพนายกองนั้นท่านทั้งปวงเห็นว่าผู้ใดควรที่จะเป็นแม่ทัพยกไปทำการครั้งนี้
ซุนโจยจึงเสนอว่า เป็นบุญของวุยก๊กเราเพราะมีอัจฉริยะสงครามสองคนบังเกิดขึ้น มีผลงานปรากฏให้มหาอุปราชได้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว คนหนึ่งคือจงโฮย อีกคนหนึ่งคือเตงงาย มีสติปัญญาในการสงครามเป็นอันมาก หากท่านตั้งให้สองคนนี้คุมทัพไปตีเมืองเสฉวนแล้วเห็นจะได้การดังปรารถนา
สุมาเจียวได้ฟังข้อเสนอก็เห็นชอบ จึงเรียกจงโฮยเข้ามาหา แล้วถามว่าเราจะให้ท่านเป็นแม่ทัพยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ท่านจะทำการให้สำเร็จดังประสงค์ได้หรือไม่
จงโฮยได้ยินดังนั้นจึงคุกเข่าคำนับสุมาเจียวแล้วกล่าวว่า มหาอุปราชไยจะต้องลองน้ำใจข้าพเจ้าด้วยเล่า ข้าพเจ้าหยั่งน้ำใจมหาอุปราชว่ามาตรแม้นจะยกกองทัพไปทำศึกแล้วเป้าหมายแรกเห็นจะเป็นเมืองเสฉวน หาใช่เมืองกังตั๋งไม่
สุมาเจียวได้ยินคำจงโฮยก็หัวเราะปรบมือ และกล่าวว่าสมแล้วที่ท่านทำราชการอยู่ด้วยเรามาช้านาน ล่วงรู้ความในน้ำใจเราถูกต้องถ่องแท้นัก เป็นจริงแล้วที่เราจะให้ท่านเป็นแม่ทัพยกไปตีเอาเมืองเสฉวน การทั้งนี้ท่านจะคิดอ่านแผนการประการใด
จงโฮยจึงว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าพเจ้าได้คาดคะเนการณ์ว่าวันหนึ่งข้างหน้าวุยก๊กเราจะต้องยกไปตีเมืองเสฉวน ดังนั้นจึงได้ให้หน่วยสอดแนมทำแผนที่เส้นทางทั้งปวงที่จะเข้าออกเมืองเสฉวนจนกระจ่างแจ้งสิ้น บัดนี้ก็สมคะเนแล้ว ข้าพเจ้าขออาสายกไปตีเอาเมืองเสฉวนมามอบแก่ท่านให้จงได้
สุมาเจียวได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงขอดูแผนที่เส้นทางเข้าออกเมืองเสฉวน จงโฮยจึงให้ทหารไปนำแผนที่เมืองเสฉวนซึ่งแสดงเส้นทางทั้งปวงมาให้สุมาเจียวดู
สุมาเจียวพิเคราะห์แผนที่เส้นทางเดินทัพ ที่พักเสบียง เส้นทางลำเลียงเสบียงและกำลังพล ตลอดจนจุดซุ่มอันเป็นอันตรายทั้งปวงแล้ว หัวเราะเสียงดังกึกก้อง แล้วกล่าวว่าจงโฮยท่านนี้สมควรที่จะเป็นแม่ทัพผู้ใหญ่ เล็งการณ์ไกลถึงปานนี้ไม่มีผิดพลาดเลย เราจะให้ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ และจะให้เตงงายเป็นปลัดทัพ ยกไปตีเอาเมืองเสฉวน ให้เร่งหาวันฤกษ์ดีแล้วรีบยกไปทำการ
จงโฮยจึงว่า เมืองเสฉวนเป็นหัวเมืองใหญ่ทางภาคตะวันตก มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต ซึ่งจะยกกองทัพไปแต่สายเดียวนั้นไม่ได้ ชอบที่จะแต่งกองทัพยกไปเป็นหลายทางจึงจะทำการได้สำเร็จ
ครั้นปรึกษากันเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นสุมาเจียวออกว่าราชการ ได้ประกาศตั้งให้จงโฮยเป็นแม่ทัพใหญ่ เลื่อนอิสริยยศเป็นที่พระยาปราบตะวันตก ตั้งให้เตงงายเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายซ้าย และเลื่อนอิสริยยศเป็นพระยาพิทักษ์ตะวันตกระดับอิสริยยศที่เดียวกับจงโฮย และให้จงโฮยเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองทั้งปวงยกไปตีเอาเมืองเสฉวน แต่เนื่องจากเตงงายนั้นยังตั้งอยู่ที่ตำบลเขากิสาน สุมาเจียวจึงแต่งหนังสือและมอบตราตั้งประจำตำแหน่งให้ทหารเอาไปมอบแก่เตงงาย และให้เตงงายเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองข้างเคียงยกไปบรรจบทัพกับจงโฮยที่เมืองเสฉวน
จงโฮยรับตราตั้งตามประเพณีแล้วจึงคำนับลาสุมาเจียวออกไปจัดแจงทหาร ออกหมายเกณฑ์ให้ทหารหกหัวเมืองฝ่ายใต้ไปตั้งชุมนุมพลพร้อมกันที่ปลายแดนใกล้กับเมืองเกงจิ๋ว และให้เจ้าเมืองลับจิ๋วซึ่งอยู่ติดชายทะเลเร่งต่อเรือรบเป็นอันมาก กำชับให้แล้วเสร็จโดยเร็ว กิตติศัพท์จึงเลื่องลือไปว่ากองทัพวุยก๊กเตรียมจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
สุมาเจียวได้ทราบข่าวคราวดังนั้นก็ประหลาดใจว่าเหตุไฉนใช้ให้จงโฮยไปตีเอาเมืองเสฉวน สิกลับไปชุมนุมทหารอยู่ชายทะเล จะยกไปตีเมืองกังตั๋ง จึงเรียกจงโฮยเข้ามาพบแล้วสอบถามว่า เราใช้ให้ท่านยกไปตีเมืองเสฉวนซึ่งต้องไปโดยทางบก แต่ไฉนท่านจึงเตรียมการทัพเรือเตรียมจะยกไปตีเมืองกังตั๋งเล่า
จงโฮยคุกเข่าคำนับสุมาเจียวแล้วกล่าวว่า “ซึ่งจะไปตีเมืองเสฉวนครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองกังตั๋งจะยกกองทัพมาช่วย ข้าพเจ้าจึงคิดอ่านต่อเรือรบหวังจะให้กิตติศัพท์ลือไปถึงเมืองกังตั๋งว่าเราจะยกมารบ ชาวเมืองกังตั๋งก็จะตระเตรียมระวังตัว หาไปช่วยเมืองเสฉวนไม่ เราจะยกไปตีเมืองเสฉวนก็จะได้ง่าย ครั้นได้เมืองเสฉวนแล้วข้าพเจ้าจึงจะกลับมาเอาเรือรบซึ่งทำไว้นั้นยกไปตีเมืองกังตั๋งอีกครั้งหนึ่ง”
สุมาเจียวได้ยินแผนการอุบายของจงโฮยดังนั้นก็ดีใจ สรรเสริญว่าสติปัญญาคิดอ่านการสงครามของจงโฮยครั้งนี้เหนือกว่าสุมาอี้อีก เห็นจะได้เมืองเสฉวนและเมืองกังตั๋งเป็นมั่นคง ความชอบจะมีแก่จงโฮยเป็นอันมาก ให้จงโฮยเร่งยกไปทำการเถิด
จงโฮยจึงคำนับลาสุมาเจียวกลับไปที่กองทัพ จัดแจงทหาร รถรบ ศาสตราวุธและเสบียงไว้พร้อมแล้วรอวันฤกษ์ดีจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวน
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยหกพรรษา เดือนสาม ขึ้นปีใหม่แล้วเป็นวันฤกษ์ดี จงโฮยจึงกรีฑาทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยงจะยกไปตีเมืองเสฉวน สุมาเจียวพร้อมด้วยขบวนอิสริยยศได้ออกไปส่งกองทัพจงโฮยถึงนอกเมือง
สุมาเจียวยืนส่งกองทัพจนกองทัพหลวงเคลื่อนออกจากที่ตั้งแล้วจึงพาขบวนกลับเข้าเมืองลกเอี๋ยง ในระหว่างทางเซียวค้าซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายกำลังพลได้แอบกระซิบกับสุมาเจียวว่า ซึ่งท่านให้จงโฮยเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ไปทำการใหญ่ในครั้งนี้เห็นจะได้ชัยชนะเป็นแน่แท้ แต่จงโฮยนี้ข้าพเจ้ารู้จักประวัติมาแต่ก่อน เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง เหลิงระเริงในอำนาจจนเกินตัว ข้าพเจ้าจึงตั้งข้อสังเกตตลอดมา ดังนั้นเมื่อใดที่จงโฮยทำการใหญ่ได้ชัยชนะ เห็นจะคิดอ่านกำเริบหลายเท่าตัวนัก อันตรายจักบังเกิดแก่ท่าน จงคิดอ่านป้องกันระวังตนให้จงดี
สุมาเจียวได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า แล้วกล่าวว่าอันน้ำใจอัชฌาสัยจงโฮยซึ่งท่านว่ามานี้เราก็รู้อยู่ แต่เนื่องจากจงโฮยมีสติปัญญาความสามารถ อาจทำการใหญ่ให้สำเร็จได้ จึงจำต้องช่วงใช้ไปพลางก่อน ซึ่งจะคิดอ่านป้องกันอันตรายจากจงโฮยนี้ท่านมีแผนการประการใด
เซียวค้าจึงว่า หากจงโฮยทำการได้ความชอบแต่เพียงผู้เดียว แรงฤทธิ์กำเริบก็จะมากยิ่งนัก ชอบที่ท่านจะแต่งนายทหารผู้มีสติปัญญากำกับในกองทัพไปด้วย จะได้คานดุลอำนาจซึ่งกันและกัน แม้วันหน้าจงโฮยคิดจะทำอันตรายท่านก็ยังมีแม่ทัพนายกองอื่นช่วยคะคานไว้มิให้ก่อการกำเริบ
สุมาเจียวจึงว่า “อันจงโฮยนี้ประกอบไปด้วยน้ำใจกล้าแข็งในการสงครามนัก เห็นครั้งนี้จะตีเมืองเสฉวนได้เป็นมั่นคง ถ้าแลเราจะให้ขุนนางกำกับจงโฮยไปนั้นเห็นว่าจงโฮยจะเสียน้ำใจ จะทำสงครามมิเต็มมือ ถ้าแลได้เมืองเสฉวนแล้วพวกทหารทั้งปวงซึ่งไปด้วยนั้นเป็นชาวเมืองเรา ต่างคนต่างก็จะคิดตั้งใจเอาความชอบ จะกลับมาหาบุตรภรรยา ถึงว่าจงโฮยจะคิดขบถต่อเรา เห็นทหารทั้งปวงก็จะหาเข้าด้วยไม่ ท่านอย่าวิตกเลย”
เซียวค้าจึงว่า ข้าพเจ้าเป็นแต่ผู้น้อย เมื่อเห็นร่องรอยที่อาจเป็นอันตรายจึงจำกล่าวความเตือนสติท่าน เมื่อท่านเห็นการชอบควรประการใดแล้วย่อมเป็นทางป้องกันมิให้เกิดอันตรายได้
สุมาเจียวจึงว่า ความซึ่งเราท่านเจรจากันครั้งนี้แหลมคมลึกซึ้งนัก หากแพร่งพรายไปจะไม่เป็นผลดีแก่การแผ่นดิน ท่านจงอย่าได้แพร่งพรายให้ใครได้ล่วงรู้เป็นอันขาด
ฝ่ายจงโฮยครั้นยกกองทัพไปถึงกลางทาง ได้พักทหารตั้งค่ายแล้วเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง และกล่าวว่าซึ่งจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนนั้น หนทางข้างหน้าแต่นี้ไปทุรกันดารอันตรายนัก จักประมาทมิได้ จำจะแต่งกองทหารช่างขึ้นกองหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองหน้า บุกเบิกหนทางให้กองทัพทั้งปวงได้เคลื่อนตามไปได้โดยสะดวก
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จงโฮยจึงตั้งเคาหงีบุตรเคาทูเป็นแม่กองคุมกองทหารช่างหมื่นคนเป็นกองหน้า สั่งให้ทำหน้าที่บุกเบิกหนทางให้กับกองทัพใหญ่ หากหนทางข้างหน้าเป็นป่ารกชัฏก็ให้ตัดป่าให้โล่งเตียน หากมีภูเขาขวางเส้นทางก็ให้ขุดเจาะรื้อทำเส้นทางให้กว้างขวาง หากมีแม่น้ำขวางหน้าก็ให้ทำสะพานข้าม เมื่อบุกเบิกเส้นทางเสร็จแล้วกองทัพใหญ่จะได้เคลื่อนตามไปโดยสะดวก จงโฮยกำชับเคาหงีว่า เคาทูผู้เป็นบิดาท่านนั้นเป็นยอดขุนพลของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉ เป็น แม่ทัพที่เข้มแข็งแกร่งกล้าสามารถ กิตติศัพท์เลื่องชื่อลือชาทั่วแผ่นดิน ตัวท่านก็มีสติปัญญาและฝีมือ จงอุตส่าห์ทำราชการสืบสานปณิธานของบิดาท่านโดยเต็มกำลังเถิด
เคาหงีรับคำสั่งจงโฮยแล้วจึงออกไปจัดแจงทหารช่างแล้วยกล่วงหน้าไปทำการตามคำสั่งของจงโฮยทุกประการ
ครั้นเคาหงีออกไปแล้วจงโฮยจึงปรารภว่า เรานำทัพมาถึงครึ่งทางแล้วแต่ยังไม่ได้ข่าวคราวของเตงงาย ว่าจัดแจงทหารหรือตั้งการเตรียมศึกอยู่แห่งหนตำบลใด ว่าแล้วจงโฮยจึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปหาเตงงาย ออกคำสั่งว่าบัดนี้กองทัพหลวงได้เคลื่อนทัพมาถึงกลางทางแล้ว ให้เตงงายเร่งยกกองทัพไปบรรจบทัพพร้อมกันที่แดนเมืองฮันต๋ง
หลายวันต่อมาทหารรักษาการณ์ได้รายงานความแก่จงโฮยว่า กองหน้าได้บุกเบิกเส้นทางตามคำสั่งแล้ว จงโฮยจึงสั่งให้เคลื่อนทัพตรงไปเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายเตงงายหลังจากทราบว่าเกียงอุยยกทหารไปตั้งอยู่ที่แดนเมืองหลงเสแล้ว จึงเคลื่อนทัพจากตำบลเขากิสานยกไปที่เมืองหลงเส ต่อมาเมื่อเตงงายได้รับหนังสือและตราตั้งจากสุมาเจียว จึงปรึกษากับสุมาปองว่าเมืองเสฉวนมีชาวเมืองเสเกี๋ยงเป็นพันธมิตร หากเรายกไปทำการแล้วทหารเมืองเสเกี๋ยงยกหนุนมาช่วยหรือตีกระหนาบหลังก็จะเสียการไป จำจะสกัดกองทัพเมืองเสเกี๋ยงไม่ให้ยกมาช่วยเมืองฮันต๋งได้ ท่านจะเห็นประการใด
สุมาปองได้ฟังแผนการของเตงงายก็เห็นด้วย ดังนั้นเตงงายจึงตั้งให้สุมาปองเป็นแม่ทัพคุมทหารยกไปตั้งสกัดต้นทางที่จะยกมาแต่เมืองเสเกี๋ยงไว้ และมีหมายเกณฑ์ให้จูกัดสูเจ้าเมืองหยงจิ๋ว อองกิ๋นเจ้าเมืองเทียนซุย คันห่องเจ้าเมืองหลงเส และเอียวหัวเจ้าเมืองกิมเสีย รวมสี่หัวเมืองให้เร่งยกทหารมาพร้อมกันที่ค่ายของเตงงาย หัวเมืองทั้งสี่ได้ทราบหมายเกณฑ์แล้วจึงจัดแจงทหารยกไปตามคำสั่งของเตงงาย
คืนวันหนึ่งเตงงายนอนหลับแล้วบังเกิดนิมิตฝันว่าได้ไปยืนอยู่บนยอดเขาสูงลูกหนึ่ง มองไปเบื้องล่างเห็นเมืองฮันต๋ง แต่ทันใดนั้นเชิงเขาที่ยืนอยู่ได้บังเกิดน้ำพุไหลออกจากพื้นดินโดยรอบ เตงงายเกรงว่าน้ำจะท่วมภูเขาจึงตกใจตื่น
เตงงายตื่นขึ้นแล้วรู้สึกเหนื่อยหอบและเหงื่อไหลเต็มตัว ในใจให้รู้สึกหวาดกลัว เห็นเป็นฝันประหลาดจึงนั่งใคร่ครวญความฝันอยู่จนกระทั่งสว่าง แล้วเรียกเซียวหลวนซึ่งเป็นหัวหน้ากองทหารเสนารักษ์และมีความรู้เชี่ยวชาญการพยากรณ์นิมิตและลางเข้ามาหา เล่าความฝันให้เซียวหลวนฟังทุกประการ แล้วถามว่าซึ่งความฝันดังนี้จะดีร้ายประการใด.
ฝ่ายเตงงายตั้งมั่นอยู่ที่ตำบลเขากิสานเพื่อรับมือกับกองทัพเมืองเสฉวนอยู่ดังเดิม วันหนึ่งได้รับรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่า เกียงอุยได้ยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองหลงเส วางค่ายรายเรียงถึงสิบสี่ค่ายก็รู้สึกสงสัย เพราะการที่เกียงอุยยกกองทัพมาตั้งอยู่ดังนี้ จะว่าเตรียมการยกมาตีวุยก๊กก็ไม่ใช่ จะว่าป้องกันรักษาเมืองเสฉวนก็ไม่เชิง ดังนั้นเตงงายจึงให้ทหารหน่วยสอดแนมลอบวาดแผนที่การตั้งค่ายของเกียงอุยและส่งเป็นรายงานเข้าไปให้แก่สุมาเจียวที่เมืองลกเอี๋ยง
สุมาเจียวได้ทราบรายงานของเตงงายและเห็นแผนที่การตั้งค่ายของเกียงอุยแล้วสำคัญว่าเกียงอุยตั้งซ่องสุมเสบียงอาหารและไพร่พลเพื่อเตรียมจะยกมาตีวุยก๊กอีกก็โกรธ กล่าวกับบรรดาขุนนางและแม่ทัพนายกองว่า “อ้ายเกียงอุยคนนี้เคยยกมาทำการศึกแก่เราเนือง ๆ ครั้งนี้เราจะคิดกำจัดมันเสียให้ได้”
ฝ่ายซุนโจยซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายสืบราชการลับ ได้ยินคำสุมาเจียวดังนั้นจึงกล่าวว่า ซึ่งเกียงอุยยกกองทัพมาตั้งอยู่ดังนี้หาใช่จะยกกองทัพมาตีวุยก๊กไม่ เป็นแต่เพียงแผนการเอาตัวรอดจากการคิดร้ายของขันที ด้วยแผ่นดินเมืองเสฉวนทุกวันนี้นั้น “พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีใจหลงรักผู้หญิงแลเสพสุรามิได้ขาด เชื่อถือถ้อยคำอ้ายฮุยโฮซึ่งเป็นขันทีคนหนึ่ง บัดนี้ขุนนางซึ่งมีสติปัญญาในเมืองเสฉวนนั้นมีความน้อยใจ ต่างคนต่างเอาตัวออกหาก ซึ่งเกียงอุยมาตั้งค่ายอยู่ตำบลหลงเสก็หวังจะให้พ้นอันตราย ขอท่านจงเร่งให้ยกทหารไปตีเอาเมืองเสฉวนเถิด เห็นจะได้โดยง่าย”
สุมาเจียวได้ยินดังนั้นจึงรำพึงขึ้นด้วยความดีใจว่า เป็นเช่นนี้ดอกหรือ แล้วกล่าวว่าเมื่อคนดีมีสติปัญญาในเมืองเสฉวนพากันหนีออกหากสิ้นแล้ว เห็นเชื้อวงศ์ฮั่นจะดับสูญเป็นแน่แท้ ตัวเรานี้คิดจะยกกองทัพไปล้างแค้นชาวเมืองเสฉวนช้านานแล้ว แต่ติดขัดอยู่หลายครั้งหลายหน บัดนี้เมื่อเหตุการณ์เป็นทีแล้วจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองเสฉวนให้จงได้ แลบรรดาแม่ทัพนายกองนั้นท่านทั้งปวงเห็นว่าผู้ใดควรที่จะเป็นแม่ทัพยกไปทำการครั้งนี้
ซุนโจยจึงเสนอว่า เป็นบุญของวุยก๊กเราเพราะมีอัจฉริยะสงครามสองคนบังเกิดขึ้น มีผลงานปรากฏให้มหาอุปราชได้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว คนหนึ่งคือจงโฮย อีกคนหนึ่งคือเตงงาย มีสติปัญญาในการสงครามเป็นอันมาก หากท่านตั้งให้สองคนนี้คุมทัพไปตีเมืองเสฉวนแล้วเห็นจะได้การดังปรารถนา
สุมาเจียวได้ฟังข้อเสนอก็เห็นชอบ จึงเรียกจงโฮยเข้ามาหา แล้วถามว่าเราจะให้ท่านเป็นแม่ทัพยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ท่านจะทำการให้สำเร็จดังประสงค์ได้หรือไม่
จงโฮยได้ยินดังนั้นจึงคุกเข่าคำนับสุมาเจียวแล้วกล่าวว่า มหาอุปราชไยจะต้องลองน้ำใจข้าพเจ้าด้วยเล่า ข้าพเจ้าหยั่งน้ำใจมหาอุปราชว่ามาตรแม้นจะยกกองทัพไปทำศึกแล้วเป้าหมายแรกเห็นจะเป็นเมืองเสฉวน หาใช่เมืองกังตั๋งไม่
สุมาเจียวได้ยินคำจงโฮยก็หัวเราะปรบมือ และกล่าวว่าสมแล้วที่ท่านทำราชการอยู่ด้วยเรามาช้านาน ล่วงรู้ความในน้ำใจเราถูกต้องถ่องแท้นัก เป็นจริงแล้วที่เราจะให้ท่านเป็นแม่ทัพยกไปตีเอาเมืองเสฉวน การทั้งนี้ท่านจะคิดอ่านแผนการประการใด
จงโฮยจึงว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าพเจ้าได้คาดคะเนการณ์ว่าวันหนึ่งข้างหน้าวุยก๊กเราจะต้องยกไปตีเมืองเสฉวน ดังนั้นจึงได้ให้หน่วยสอดแนมทำแผนที่เส้นทางทั้งปวงที่จะเข้าออกเมืองเสฉวนจนกระจ่างแจ้งสิ้น บัดนี้ก็สมคะเนแล้ว ข้าพเจ้าขออาสายกไปตีเอาเมืองเสฉวนมามอบแก่ท่านให้จงได้
สุมาเจียวได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงขอดูแผนที่เส้นทางเข้าออกเมืองเสฉวน จงโฮยจึงให้ทหารไปนำแผนที่เมืองเสฉวนซึ่งแสดงเส้นทางทั้งปวงมาให้สุมาเจียวดู
สุมาเจียวพิเคราะห์แผนที่เส้นทางเดินทัพ ที่พักเสบียง เส้นทางลำเลียงเสบียงและกำลังพล ตลอดจนจุดซุ่มอันเป็นอันตรายทั้งปวงแล้ว หัวเราะเสียงดังกึกก้อง แล้วกล่าวว่าจงโฮยท่านนี้สมควรที่จะเป็นแม่ทัพผู้ใหญ่ เล็งการณ์ไกลถึงปานนี้ไม่มีผิดพลาดเลย เราจะให้ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ และจะให้เตงงายเป็นปลัดทัพ ยกไปตีเอาเมืองเสฉวน ให้เร่งหาวันฤกษ์ดีแล้วรีบยกไปทำการ
จงโฮยจึงว่า เมืองเสฉวนเป็นหัวเมืองใหญ่ทางภาคตะวันตก มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต ซึ่งจะยกกองทัพไปแต่สายเดียวนั้นไม่ได้ ชอบที่จะแต่งกองทัพยกไปเป็นหลายทางจึงจะทำการได้สำเร็จ
ครั้นปรึกษากันเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นสุมาเจียวออกว่าราชการ ได้ประกาศตั้งให้จงโฮยเป็นแม่ทัพใหญ่ เลื่อนอิสริยยศเป็นที่พระยาปราบตะวันตก ตั้งให้เตงงายเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายซ้าย และเลื่อนอิสริยยศเป็นพระยาพิทักษ์ตะวันตกระดับอิสริยยศที่เดียวกับจงโฮย และให้จงโฮยเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองทั้งปวงยกไปตีเอาเมืองเสฉวน แต่เนื่องจากเตงงายนั้นยังตั้งอยู่ที่ตำบลเขากิสาน สุมาเจียวจึงแต่งหนังสือและมอบตราตั้งประจำตำแหน่งให้ทหารเอาไปมอบแก่เตงงาย และให้เตงงายเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองข้างเคียงยกไปบรรจบทัพกับจงโฮยที่เมืองเสฉวน
จงโฮยรับตราตั้งตามประเพณีแล้วจึงคำนับลาสุมาเจียวออกไปจัดแจงทหาร ออกหมายเกณฑ์ให้ทหารหกหัวเมืองฝ่ายใต้ไปตั้งชุมนุมพลพร้อมกันที่ปลายแดนใกล้กับเมืองเกงจิ๋ว และให้เจ้าเมืองลับจิ๋วซึ่งอยู่ติดชายทะเลเร่งต่อเรือรบเป็นอันมาก กำชับให้แล้วเสร็จโดยเร็ว กิตติศัพท์จึงเลื่องลือไปว่ากองทัพวุยก๊กเตรียมจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
สุมาเจียวได้ทราบข่าวคราวดังนั้นก็ประหลาดใจว่าเหตุไฉนใช้ให้จงโฮยไปตีเอาเมืองเสฉวน สิกลับไปชุมนุมทหารอยู่ชายทะเล จะยกไปตีเมืองกังตั๋ง จึงเรียกจงโฮยเข้ามาพบแล้วสอบถามว่า เราใช้ให้ท่านยกไปตีเมืองเสฉวนซึ่งต้องไปโดยทางบก แต่ไฉนท่านจึงเตรียมการทัพเรือเตรียมจะยกไปตีเมืองกังตั๋งเล่า
จงโฮยคุกเข่าคำนับสุมาเจียวแล้วกล่าวว่า “ซึ่งจะไปตีเมืองเสฉวนครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองกังตั๋งจะยกกองทัพมาช่วย ข้าพเจ้าจึงคิดอ่านต่อเรือรบหวังจะให้กิตติศัพท์ลือไปถึงเมืองกังตั๋งว่าเราจะยกมารบ ชาวเมืองกังตั๋งก็จะตระเตรียมระวังตัว หาไปช่วยเมืองเสฉวนไม่ เราจะยกไปตีเมืองเสฉวนก็จะได้ง่าย ครั้นได้เมืองเสฉวนแล้วข้าพเจ้าจึงจะกลับมาเอาเรือรบซึ่งทำไว้นั้นยกไปตีเมืองกังตั๋งอีกครั้งหนึ่ง”
สุมาเจียวได้ยินแผนการอุบายของจงโฮยดังนั้นก็ดีใจ สรรเสริญว่าสติปัญญาคิดอ่านการสงครามของจงโฮยครั้งนี้เหนือกว่าสุมาอี้อีก เห็นจะได้เมืองเสฉวนและเมืองกังตั๋งเป็นมั่นคง ความชอบจะมีแก่จงโฮยเป็นอันมาก ให้จงโฮยเร่งยกไปทำการเถิด
จงโฮยจึงคำนับลาสุมาเจียวกลับไปที่กองทัพ จัดแจงทหาร รถรบ ศาสตราวุธและเสบียงไว้พร้อมแล้วรอวันฤกษ์ดีจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวน
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยหกพรรษา เดือนสาม ขึ้นปีใหม่แล้วเป็นวันฤกษ์ดี จงโฮยจึงกรีฑาทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยงจะยกไปตีเมืองเสฉวน สุมาเจียวพร้อมด้วยขบวนอิสริยยศได้ออกไปส่งกองทัพจงโฮยถึงนอกเมือง
สุมาเจียวยืนส่งกองทัพจนกองทัพหลวงเคลื่อนออกจากที่ตั้งแล้วจึงพาขบวนกลับเข้าเมืองลกเอี๋ยง ในระหว่างทางเซียวค้าซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายกำลังพลได้แอบกระซิบกับสุมาเจียวว่า ซึ่งท่านให้จงโฮยเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ไปทำการใหญ่ในครั้งนี้เห็นจะได้ชัยชนะเป็นแน่แท้ แต่จงโฮยนี้ข้าพเจ้ารู้จักประวัติมาแต่ก่อน เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง เหลิงระเริงในอำนาจจนเกินตัว ข้าพเจ้าจึงตั้งข้อสังเกตตลอดมา ดังนั้นเมื่อใดที่จงโฮยทำการใหญ่ได้ชัยชนะ เห็นจะคิดอ่านกำเริบหลายเท่าตัวนัก อันตรายจักบังเกิดแก่ท่าน จงคิดอ่านป้องกันระวังตนให้จงดี
สุมาเจียวได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า แล้วกล่าวว่าอันน้ำใจอัชฌาสัยจงโฮยซึ่งท่านว่ามานี้เราก็รู้อยู่ แต่เนื่องจากจงโฮยมีสติปัญญาความสามารถ อาจทำการใหญ่ให้สำเร็จได้ จึงจำต้องช่วงใช้ไปพลางก่อน ซึ่งจะคิดอ่านป้องกันอันตรายจากจงโฮยนี้ท่านมีแผนการประการใด
เซียวค้าจึงว่า หากจงโฮยทำการได้ความชอบแต่เพียงผู้เดียว แรงฤทธิ์กำเริบก็จะมากยิ่งนัก ชอบที่ท่านจะแต่งนายทหารผู้มีสติปัญญากำกับในกองทัพไปด้วย จะได้คานดุลอำนาจซึ่งกันและกัน แม้วันหน้าจงโฮยคิดจะทำอันตรายท่านก็ยังมีแม่ทัพนายกองอื่นช่วยคะคานไว้มิให้ก่อการกำเริบ
สุมาเจียวจึงว่า “อันจงโฮยนี้ประกอบไปด้วยน้ำใจกล้าแข็งในการสงครามนัก เห็นครั้งนี้จะตีเมืองเสฉวนได้เป็นมั่นคง ถ้าแลเราจะให้ขุนนางกำกับจงโฮยไปนั้นเห็นว่าจงโฮยจะเสียน้ำใจ จะทำสงครามมิเต็มมือ ถ้าแลได้เมืองเสฉวนแล้วพวกทหารทั้งปวงซึ่งไปด้วยนั้นเป็นชาวเมืองเรา ต่างคนต่างก็จะคิดตั้งใจเอาความชอบ จะกลับมาหาบุตรภรรยา ถึงว่าจงโฮยจะคิดขบถต่อเรา เห็นทหารทั้งปวงก็จะหาเข้าด้วยไม่ ท่านอย่าวิตกเลย”
เซียวค้าจึงว่า ข้าพเจ้าเป็นแต่ผู้น้อย เมื่อเห็นร่องรอยที่อาจเป็นอันตรายจึงจำกล่าวความเตือนสติท่าน เมื่อท่านเห็นการชอบควรประการใดแล้วย่อมเป็นทางป้องกันมิให้เกิดอันตรายได้
สุมาเจียวจึงว่า ความซึ่งเราท่านเจรจากันครั้งนี้แหลมคมลึกซึ้งนัก หากแพร่งพรายไปจะไม่เป็นผลดีแก่การแผ่นดิน ท่านจงอย่าได้แพร่งพรายให้ใครได้ล่วงรู้เป็นอันขาด
ฝ่ายจงโฮยครั้นยกกองทัพไปถึงกลางทาง ได้พักทหารตั้งค่ายแล้วเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง และกล่าวว่าซึ่งจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนนั้น หนทางข้างหน้าแต่นี้ไปทุรกันดารอันตรายนัก จักประมาทมิได้ จำจะแต่งกองทหารช่างขึ้นกองหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองหน้า บุกเบิกหนทางให้กองทัพทั้งปวงได้เคลื่อนตามไปได้โดยสะดวก
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จงโฮยจึงตั้งเคาหงีบุตรเคาทูเป็นแม่กองคุมกองทหารช่างหมื่นคนเป็นกองหน้า สั่งให้ทำหน้าที่บุกเบิกหนทางให้กับกองทัพใหญ่ หากหนทางข้างหน้าเป็นป่ารกชัฏก็ให้ตัดป่าให้โล่งเตียน หากมีภูเขาขวางเส้นทางก็ให้ขุดเจาะรื้อทำเส้นทางให้กว้างขวาง หากมีแม่น้ำขวางหน้าก็ให้ทำสะพานข้าม เมื่อบุกเบิกเส้นทางเสร็จแล้วกองทัพใหญ่จะได้เคลื่อนตามไปโดยสะดวก จงโฮยกำชับเคาหงีว่า เคาทูผู้เป็นบิดาท่านนั้นเป็นยอดขุนพลของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉ เป็น แม่ทัพที่เข้มแข็งแกร่งกล้าสามารถ กิตติศัพท์เลื่องชื่อลือชาทั่วแผ่นดิน ตัวท่านก็มีสติปัญญาและฝีมือ จงอุตส่าห์ทำราชการสืบสานปณิธานของบิดาท่านโดยเต็มกำลังเถิด
เคาหงีรับคำสั่งจงโฮยแล้วจึงออกไปจัดแจงทหารช่างแล้วยกล่วงหน้าไปทำการตามคำสั่งของจงโฮยทุกประการ
ครั้นเคาหงีออกไปแล้วจงโฮยจึงปรารภว่า เรานำทัพมาถึงครึ่งทางแล้วแต่ยังไม่ได้ข่าวคราวของเตงงาย ว่าจัดแจงทหารหรือตั้งการเตรียมศึกอยู่แห่งหนตำบลใด ว่าแล้วจงโฮยจึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปหาเตงงาย ออกคำสั่งว่าบัดนี้กองทัพหลวงได้เคลื่อนทัพมาถึงกลางทางแล้ว ให้เตงงายเร่งยกกองทัพไปบรรจบทัพพร้อมกันที่แดนเมืองฮันต๋ง
หลายวันต่อมาทหารรักษาการณ์ได้รายงานความแก่จงโฮยว่า กองหน้าได้บุกเบิกเส้นทางตามคำสั่งแล้ว จงโฮยจึงสั่งให้เคลื่อนทัพตรงไปเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายเตงงายหลังจากทราบว่าเกียงอุยยกทหารไปตั้งอยู่ที่แดนเมืองหลงเสแล้ว จึงเคลื่อนทัพจากตำบลเขากิสานยกไปที่เมืองหลงเส ต่อมาเมื่อเตงงายได้รับหนังสือและตราตั้งจากสุมาเจียว จึงปรึกษากับสุมาปองว่าเมืองเสฉวนมีชาวเมืองเสเกี๋ยงเป็นพันธมิตร หากเรายกไปทำการแล้วทหารเมืองเสเกี๋ยงยกหนุนมาช่วยหรือตีกระหนาบหลังก็จะเสียการไป จำจะสกัดกองทัพเมืองเสเกี๋ยงไม่ให้ยกมาช่วยเมืองฮันต๋งได้ ท่านจะเห็นประการใด
สุมาปองได้ฟังแผนการของเตงงายก็เห็นด้วย ดังนั้นเตงงายจึงตั้งให้สุมาปองเป็นแม่ทัพคุมทหารยกไปตั้งสกัดต้นทางที่จะยกมาแต่เมืองเสเกี๋ยงไว้ และมีหมายเกณฑ์ให้จูกัดสูเจ้าเมืองหยงจิ๋ว อองกิ๋นเจ้าเมืองเทียนซุย คันห่องเจ้าเมืองหลงเส และเอียวหัวเจ้าเมืองกิมเสีย รวมสี่หัวเมืองให้เร่งยกทหารมาพร้อมกันที่ค่ายของเตงงาย หัวเมืองทั้งสี่ได้ทราบหมายเกณฑ์แล้วจึงจัดแจงทหารยกไปตามคำสั่งของเตงงาย
คืนวันหนึ่งเตงงายนอนหลับแล้วบังเกิดนิมิตฝันว่าได้ไปยืนอยู่บนยอดเขาสูงลูกหนึ่ง มองไปเบื้องล่างเห็นเมืองฮันต๋ง แต่ทันใดนั้นเชิงเขาที่ยืนอยู่ได้บังเกิดน้ำพุไหลออกจากพื้นดินโดยรอบ เตงงายเกรงว่าน้ำจะท่วมภูเขาจึงตกใจตื่น
เตงงายตื่นขึ้นแล้วรู้สึกเหนื่อยหอบและเหงื่อไหลเต็มตัว ในใจให้รู้สึกหวาดกลัว เห็นเป็นฝันประหลาดจึงนั่งใคร่ครวญความฝันอยู่จนกระทั่งสว่าง แล้วเรียกเซียวหลวนซึ่งเป็นหัวหน้ากองทหารเสนารักษ์และมีความรู้เชี่ยวชาญการพยากรณ์นิมิตและลางเข้ามาหา เล่าความฝันให้เซียวหลวนฟังทุกประการ แล้วถามว่าซึ่งความฝันดังนี้จะดีร้ายประการใด.