ตอนที่ 635. คนถ่อยย่อมคบคนชั่ว
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยห้าพรรษา เดือนห้า กองทัพ เกียงอุยทำการได้ชัยชนะแก่กองทัพวุยก๊ก รุกเข้าตีค่ายของเตงงายที่ตำบลเขากิสาน และตั้งค่ายรายล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน แต่ขบวนการขายชาติในเมืองเสฉวนได้เพ็ดทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนเรียกเกียงอุยกลับเมืองเสฉวน และซื้อตำแหน่งให้เงียมอูเป็นแม่ทัพแทน
บรรดาแม่ทัพนายกองได้ฟังคำปรึกษาของเกียงอุยว่าจะยกกองทัพกลับตามพระบรมราชโองการหรือไม่ประการใดก็พากันโกรธ เพราะกำลังทำการได้ทีแก่ข้าศึก สิกลับให้เลิกทัพคืนเมืองเสฉวนประหนึ่งว่าจะช่วยข้าศึกฉะนั้น จึงพากันทักท้วงว่าผู้เป็นแม่ทัพบัญชาการศึกอยู่แนวหน้า หากเห็นว่าทำการได้ทีแล้วพึงเร่งทำการไปจนกว่าจะได้ชัยชนะ ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังพระบรมราชโองการ
เกียงอุยได้ฟังคำแม่ทัพนายกองก็เห็นชอบ แต่ครั้นวันรุ่งขึ้นก็มีพระบรมราชโองการฉบับที่สองเร่งรัดมาอีก ยังไม่ทันที่เกียงอุยจะตัดสินใจประการใด บ่ายวันนั้นก็มีพระบรมราชโองการฉบับที่สามเร่งรัดตามมา
เกียงอุยจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่า เมื่อฮ่องเต้ยืนยันขันแข็งเร่งให้ยกกองทัพกลับดังนี้ หากขืนตั้งอยู่ก็จะกลายเป็นกบฏตามกฎมณเฑียรบาล แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นขัดไม่ได้ก็พากันนิ่งด้วยความโกรธแค้น
เกียงอุยจึงว่า ซึ่งจะถอยทัพจากหน้าศึกดังนี้จำจะต้องคิดอ่านป้องกันระมัดระวังให้จงดี มิฉะนั้นข้าศึกจะยกตามตี เห็นจะเสียทียับเยินไป แม่ทัพนายกองทั้งปวงจึงถามว่ามหาอุปราชจะกำหนดแผนการประการใด
เกียงอุยจึงออกคำสั่งให้กองหลังตามรายทางทั้งหมดทยอยถอยทัพกลับเข้าเมืองฮันต๋งก่อน ส่วนกองทัพที่ตั้งล้อมค่ายเตงงายอยู่นั้นให้เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพในเวลากลางคืน
พอพ้นยามแรกเกียงอุยได้ให้ทหารทุกค่ายตีม้าล่อฆ้องกลองดังกึกก้องไปทั้งตำบลเขากิสาน และเร่งทหารให้รีบล่าถอยกลับไปเมืองฮันต๋ง เกียงอุยคุมทหารรั้งอยู่ข้างท้ายคอยระมัดระวังป้องกันข้าศึกซึ่งอาจจะยกมาตามตี
ฝ่ายเตงงายตั้งมั่นรักษาค่ายไว้มิได้ประมาท ในคืนวันนั้นได้ยินเสียงม้าล่อฆ้องกลองดังกึกก้องมาแต่ค่ายทหารเมืองเสฉวน จึงสั่งทหารทั้งปวงให้เตรียมพร้อมคอยรับมือข้าศึกอยู่ในค่าย เพราะสำคัญว่าเกียงอุยระดมพลจะยกเข้าปล้นค่าย ครั้นเวลาสองยามเสียงม้าล่อฆ้องกลองนั้นพลันเงียบหายไป เตงงายให้รู้สึกประหลาดใจแต่คิดว่าเกียงอุยทำกลอุบายประการใดประการหนึ่ง หลอกล่อให้ยกทหารออกไปรบ จึงออกคำสั่งสนามไปยังหน่วยทหารทั้งปวงว่าให้ตั้งมั่นรักษาค่าย ระวังเวรยามอย่าได้ประมาท ให้ทหารทั้งปวงสวมเกราะพร้อมที่จะรบได้ทุกเมื่อ
จนกระทั่งเวลาสว่าง หน่วยสอดแนมได้นำความเข้าไปรายงานเตงงายว่า กองทัพเมืองเสฉวนได้เลิกทัพกลับไปเมืองฮันต๋งหมดสิ้นแล้ว เตงงายได้ฟังรายงานดังนั้นก็สำคัญว่าเกียงอุยวางกลอุบายหลอกล่อให้ยกไปปล้นค่าย ไม่สมคะเนแล้วจึงแสร้งทำทีถอยทัพหวังจะให้ยกไล่ตามตี แล้วซุ่มทหารไว้ระหว่างทาง จึงสั่งทหารให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในค่าย
ฝ่ายเกียงอุยรั้งท้ายคุมขบวนทัพถอยกลับเข้าเมืองฮันต๋งโดยราบรื่นปลอดภัยตลอดเส้นทาง ครั้นถึงเมืองฮันต๋งแล้วจึงสั่งให้พักทหารซ่องสุมบำรุงกำลัง ตัวเกียงอุยนั้นพาทหารองครักษ์เดินทางเข้าไปเมืองเสฉวน และขอเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเมื่อทรงทราบว่าเกียงอุยเดินทางมาถึงเมืองเสฉวนจะขอเข้ามาเฝ้า จึงไม่เสด็จออกว่าราชการตามปกติ คงประทับอยู่แต่ในพระตำหนัก เสวยน้ำจัณฑ์ ดูนางระบำรำฟ้อนกับฮุยโฮมหาขันทีเป็นที่เพลิดเพลินพระราชหฤทัย
เกียงอุยรั้งรอจะขอเฝ้าอยู่ถึงเก้าวันสิบวัน เห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่เสด็จออกว่าราชการดังนั้นก็สงสัย จึงเข้าไปหาขับเจ้งขุนนางฝ่ายกรมวัง สอบถามว่า “เราไปทำการศึกอยู่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนให้หาเราดังนี้ ท่านรู้หนักเบาเป็นประการใด”
ขับเจ้งเป็นขุนนางผู้ภักดีต่อแผ่นดิน ได้ยินคำถามของเกียงอุยดังนั้นก็สงสาร จึงตอบไปตามความเป็นจริงว่า “บัดนี้ฮุยโฮซึ่งเป็นขันทีกราบทูลยุยงพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้หาท่านเข้ามาหวังจะให้เงียมอูออกไปเป็นแม่ทัพแทนท่าน”
เกียงอุยทราบความนัยดังนั้นก็โกรธ ด่าฮุยโฮว่าอ้ายขันทีถ่อยผู้นี้จะทำให้บ้านเมืองฉิบหายเหมือนกับสิบขันทีสมัยแผ่นดินของพระเจ้าเลนเต้เสียเป็นแน่ เห็นจะต้องฆ่าฮุยโฮนี้ให้จงได้ บ้านเมืองจึงจะอยู่รอดปลอดภัย
ขับเจ้งได้ยินดังนั้นจึงรีบยกมือขึ้นปรามเกียงอุย แล้วกล่าวว่าท่านเป็นมหาอุปราชบัญชากองทัพทั้งปวงก็จริงอยู่ แต่เห็นจะสู้กับฮุยโฮขันทีไม่ได้ ทวนประจำกายท่านมีอานุภาพยิ่งใหญ่สักเพียงไหน ถึงอาจเอาชัยดาบกระบี่และอาวุธทั้งปวงได้ แต่การจะปะทะกับลมปากของขันทีนั้นท่านจงระมัดระวังตัวให้จงหนัก ด้วยเวลานี้มหาขันที ฮุยโฮเป็นขวัญอกจอมใจของพระเจ้าเล่าเสี้ยน จะว่ากล่าวเพ็ดทูลประการใดก็ทรงเชื่อฟังแล้วรับสั่งตามคำขันทีทั้งสิ้น หากท่านคิดอ่านทำร้ายฮุยโฮเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะทรงลงพระอาญาแก่ท่านให้ได้รับความอัปยศแก่คนทั้งปวง ทั้งการแผ่นดินก็จะเสียไป
เกียงอุยได้ยินคำท้วงก็ได้คิด คำนับขอบคุณขับเจ้งแล้วลากลับออกไป แต่ในใจนั้นยังคิดแค้นฮุยโฮขันที และเห็นว่าหากไม่กำจัดคนขายชาติผู้นี้เสียก่อนแล้ว แผ่นดินเสฉวนก็จะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง ดังนั้นเกียงอุยจึงเพียรพยายามติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของมหาขันทีอย่างใกล้ชิด
วันหนึ่งเกียงอุยได้ทราบข่าวว่า มหาขันทีฮุยโฮเข้าไปเสพสุรากับพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่พระราชอุทยานชั้นใน จึงพาทหารคนสนิทตามเข้าไป ขันทีและนางกำนัลเห็นเกียงอุยพาทหารเข้ามาดังนั้นก็พากันแตกตื่นตกใจ ขันทีซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของฮุยโฮรีบวิ่งนำความเข้าไปแจ้งให้ฮุยโฮทราบ
ฮุยโฮพอได้ทราบความก็เห็นเกียงอุยคุมทหารเข้าประตูพระราชอุทยานมา จึงรีบหลบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังภูเขาจำลองในพระราชอุทยาน เกียงอุยไม่ทันเห็นฮุยโฮแต่ครั้นเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนนั่งอยู่ที่พระเก้าอี้ จึงตรงเข้าไปถวายบังคมแล้วร้องไห้ พลางกราบทูลว่า “ครั้งนี้ข้าพเจ้าไปทำการศึกอยู่เขากิสาน ก็จวนจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกอยู่แล้ว เป็นไฉนพระองค์จึงให้หาข้าพเจ้ากลับมานี้มีเหตุประการใด”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินคำเกียงอุยดังนั้นก็มิรู้ที่จะตรัสประการใด จึงทรงนิ่งอึ้งอยู่กับพระเก้าอี้ เกียงอุยได้กราบทูลต่อไปว่าซึ่งพระองค์มีพระบรมราชโองการเรียกข้าพระองค์กลับเข้ามาครั้งนี้เป็นเพราะขันทีฮุยโฮเพ็ดทูลยุยงให้หลงเชื่อ มีผลเป็นการช่วยเหลือข้าศึกและทำร้ายแผ่นดิน ฮุยโฮขันทีผู้นี้กำเริบนักเห็นจะเหมือนสิบขันทีครั้งแผ่นดินพระเจ้าเลนเต้เป็นแท้ หากปล่อยไว้สืบไปแผ่นดินเมืองเสฉวนที่พระเจ้าเล่าปี่สู้ทุ่มเทลำบากยากพระวรกายสร้างไว้สืบสายเชื้อวงศ์แห่งพระเจ้าฮั่นโกโจเห็นจะดับสูญเป็นมั่นคง
เกียงอุยเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนนิ่งตะลึงอยู่จึงกราบทูลต่อไปว่า ขอพระองค์ได้ตัดพระทัยกำจัดคนชั่วเสียคนหนึ่ง แผ่นดินเมืองเสฉวนก็อยู่รอดปลอดภัย แล้วจะปราบปรามวุยก๊กได้โดยง่าย รักษาแผ่นดินแลราชบัลลังก์ไว้แลกกับชีวิตคนชั่วคนหนึ่งดังนี้ ขอพระองค์อย่าได้ทรงลังเลพระทัยเลย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนถูกเกียงอุยรุกเร้าดังนั้นก็ยังไม่คลอนแคลนน้ำพระทัยรักใคร่มหาขันที จึงตรัสว่า “อ้ายฮุยโฮนี้เป็นแต่ขันทีเราใช้อยู่ข้างใน ท่านว่ามันทะนงใจนี้เราไม่เห็นด้วย ท่านจำไม่ได้หรือเมื่อครั้งตั๋งอุ๋นมีความริษยากล่าวโทษมันนั้นเราก็คิดขัดใจอยู่ บัดนี้ท่านมาว่าอีกเล่า เราหาเชื่อฟังท่านไม่”
เกียงอุยได้ยินกระแสพระราชดำรัสดังนั้นก็รู้ว่า น้ำพระทัยพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ น้ำหนักรักทางมหาขันทียิ่งกว่าที่จะรักษาแผ่นดินของพระเจ้าเล่าปี่ สืบสายพระวงศ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจ และแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ทรงพอพระทัยในคำทูลเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ตั๋งอุ๋นกราบทูลให้ทรงกำจัดฮุยโฮขันทีนั้น
เกียงอุยรู้ดังนั้นแล้วก็คิดน้อยใจที่สู้ทุ่มเทกายใจอุทิศให้แก่แผ่นดินด้วยความ จงรักภักดี หวังสืบสานพระบรมราชปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่และคำสั่งเสียของขงเบ้งให้ประสบผลสำเร็จ แต่ความหวังทั้งมวลนั้นต้องพังทลายไปสิ้น ด้วยแผ่นดินมีกษัตริย์สถุลถ่อยปกป้องคุ้มครองคนชั่ว ไม่คิดรักษาแผ่นดินและอาณาประชาราษฎร
เกียงอุยจึงร่ำไห้ กราบถวายบังคมก้มหน้ากระแทกกับพื้นดินอย่างรันทด แล้วกราบทูลว่า “ซึ่งพระองค์ไม่ฟังข้าพเจ้าแล้วก็แล้วไปเถิด แต่เห็นว่าอันตรายจะพลันถึงพระองค์เป็นมั่นคง”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นเกียงอุยจำยอมดังนั้นจึงตรัสว่า เป็นประเพณีน้ำใจคนที่ยังมีความรักความชังประจำตัว ชังใครก็ว่าชั่ว รักใครก็ว่าดี อันฮุยโฮขันทีนี้เราใช้สอยอยู่แต่ข้างในพอได้ความสุข ไม่เคยออกไปสร้างความเดือดร้อนนอกพระราชวัง ตัวท่านก็มีคนใช้สอยอยู่เป็นอันมาก ไฉนจึงมาคิดอิจฉาริษยาฮุยโฮดังนี้เล่า
พระเจ้าเล่าเสี้ยนตรัสดังนั้นแล้วทอดพระเนตรเห็นฮุยโฮขันทีแอบชำเลืองมองอยู่ข้างหลังภูเขาจำลอง จึงทรงกวักมือเรียกและตรัสสั่งให้ฮุยโฮเข้าไปคำนับเกียงอุย
ฮุยโฮเห็นดังนั้นจึงรีบออกมาจากที่ซ่อน แล้วคุกเข่าคลานเข้าไปคำนับเกียงอุย พลางร้องไห้แล้วกล่าวว่า “อันตัวข้าพเจ้านี้ก็เป็นแต่คนใช้ข้างใน หาได้องอาจล่วงไปว่าราชการไม่ ขอท่านอย่าได้เชื่อฟังคำคนยุยงเลย อันชีวิตข้าพเจ้านี้ก็จะฝากไว้แก่ท่าน”
กล่าวแล้วฮุยโฮจึงทำทีก้มหน้าร้องไห้อยู่กับที่ ร่ำไรรำพันเป็นที่เวทนานัก เกียงอุยได้ยินคำฮุยโฮและเห็นอากัปกิริยาดังนั้นไม่แจ้งว่านั่นคือสุดยอดวิชาขันทีที่เอาตัวรอดจากอันตรายก็รู้สึกสงสาร ความโกรธแค้นที่มีอยู่ในใจจึงสร่างหายไปจนหมดสิ้น กลับอัดอั้นไม่รู้ที่จะกล่าวประการใดได้ จึงถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนกลับออกไปจากพระบรมมหาราชวัง แล้วตรงไปหาขับเจ้งเล่าความให้ฟังทุกประการ
ขับเจ้งได้ฟังความจากเกียงอุยก็ตกใจ กล่าวว่าอันตรายจะมาถึงตัวท่านเป็นแน่แท้ ท่านไม่รู้หรือว่านั่นคือสุดยอดวิชาของขันทีที่สืบทอดมาแต่บรรพกาล อ้ายขันทีนี้ใช้สุดยอดวิชาพาตัวรอดแล้วประจักษ์ว่าท่านคิดอ่านทำร้าย เห็นจะใช้สุดยอดวิชาฆ่าคนของขันทีเพ็ดทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนลงอาญาท่านอย่าได้สงสัยเลย จงเร่งคิดอ่านผันผ่อนเอาตัวรอดจึงจะปลอดภัย ขับเจ้งกล่าวแล้วก็กระทืบเท้ากล่าวด้วยความเสียใจว่า ข้าพเจ้าทักท้วงท่านแล้ว เหตุไฉนท่านจึงไม่วางใจเชื่อฟังเล่า เรื่องใหญ่ร้ายแรงจะมาถึงในไม่ช้านี้จะทำประการใด
เกียงอุยได้ฟังคำขับเจ้งดังนั้นก็ได้คิด จึงกล่าวว่าข้าพเจ้าแรงด้วยโทสะจึงละคำเตือนของท่านเสีย ขอให้ท่านอภัยเถิด แลเมื่อภัยมาใกล้ตัวฉะนี้แล้วท่านจงเมตตาช่วยคิดอ่านหาทางรอดให้ด้วยเถิด
ขับเจ้งจึงว่า สมัยหนึ่งเล่ากี๋ถูกมารดาเลี้ยงคิดทำร้ายจึงขอคำปรึกษาจากขงเบ้ง ในครั้งนั้นขงเบ้งแนะนำว่าหากจะอยู่ในเมืองเกงจิ๋วเห็นจะเป็นอันตราย ให้เล่ากี๋ทำกลอุบายขออนุญาตเล่าเปียวยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองกังแฮจึงจะปลอดภัย กรณีของท่านก็เป็นดุจเดียวกัน จงยืมคำแนะนำอันเกิดแต่สติปัญญาของขงเบ้งมาใช้ ให้ท่านคิดอ่านวางแผนขอรับพระบรมราชานุญาตยกไปตั้งอยู่ที่เมืองหลงเสจึงจะปลอดภัย
เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย ขับเจ้งจึงกล่าวสืบไปว่าเมืองหลงเสนี้เป็นชัยภูมิอันล้ำเลิศ ไม่ใกล้ไม่ไกลเมืองเสฉวนและเมืองฮันต๋งนัก หากความศึกหนักมาก็จะยกมาช่วยเหลือเมืองฮันต๋งได้ทันท่วงที ทั้งสามารถยกไปตีวุยก๊กได้โดยสะดวกเช่นเดียวกัน อนึ่งเมืองหลงเสเป็นแหล่งเสบียงสำคัญ “ถ้าแลถึงฤดูข้าวโพดสาลีออกรวง ก็จะได้เป็นกำลังแก่ทหารทั้งปวง”
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงคำนับลาขับเจ้ง วันรุ่งขึ้นจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วกราบทูลขอพระบรมราชานุญาตยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองหลงเส พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำทูลดังนั้นก็เห็นว่าเกียงอุยไปเสียให้ไกลตาจะได้ไม่มีความขัดแย้งข้างในราชสำนักจึงทรงดีพระทัย มีพระบรมราชโองการอนุญาตตามที่เกียงอุยได้กราบทูลนั้นทุกประการ
เกียงอุยเห็นการสมคะเนก็ดีใจ ถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วรีบเดินทางกลับไปเมืองฮันต๋ง เรียกประชุมแม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวง ปรารภความให้ฟังว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนมีพระบรมราชโองการโปรดให้ยกทหารไปตั้งซ่องสุมฝึกปรือและเกณฑ์เสบียงอาหารอยู่ที่เมืองหลงเส เตรียมการจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กอีกครั้งหนึ่ง
เกียงอุยจัดแจงแต่งผู้รักษาเมืองฮันต๋งแล้ว จึงให้อาเจ้คุมทหารไปรักษาเมืองเชียวเส ให้องเสียคุมทหารไปรักษาเมืองก๊กเสีย ให้เจียวปินคุมทหารไปรักษาเมืองฮันเสีย ให้เจียวสีและเปาเขียมรักษาด่านแฮบังก๋วน และคุมทหารเป็นกอง ลาดตระเวนตรวจตราด่านรายทางรอบเมืองฮันต๋งทุกตำบล.
บรรดาแม่ทัพนายกองได้ฟังคำปรึกษาของเกียงอุยว่าจะยกกองทัพกลับตามพระบรมราชโองการหรือไม่ประการใดก็พากันโกรธ เพราะกำลังทำการได้ทีแก่ข้าศึก สิกลับให้เลิกทัพคืนเมืองเสฉวนประหนึ่งว่าจะช่วยข้าศึกฉะนั้น จึงพากันทักท้วงว่าผู้เป็นแม่ทัพบัญชาการศึกอยู่แนวหน้า หากเห็นว่าทำการได้ทีแล้วพึงเร่งทำการไปจนกว่าจะได้ชัยชนะ ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังพระบรมราชโองการ
เกียงอุยได้ฟังคำแม่ทัพนายกองก็เห็นชอบ แต่ครั้นวันรุ่งขึ้นก็มีพระบรมราชโองการฉบับที่สองเร่งรัดมาอีก ยังไม่ทันที่เกียงอุยจะตัดสินใจประการใด บ่ายวันนั้นก็มีพระบรมราชโองการฉบับที่สามเร่งรัดตามมา
เกียงอุยจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่า เมื่อฮ่องเต้ยืนยันขันแข็งเร่งให้ยกกองทัพกลับดังนี้ หากขืนตั้งอยู่ก็จะกลายเป็นกบฏตามกฎมณเฑียรบาล แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นขัดไม่ได้ก็พากันนิ่งด้วยความโกรธแค้น
เกียงอุยจึงว่า ซึ่งจะถอยทัพจากหน้าศึกดังนี้จำจะต้องคิดอ่านป้องกันระมัดระวังให้จงดี มิฉะนั้นข้าศึกจะยกตามตี เห็นจะเสียทียับเยินไป แม่ทัพนายกองทั้งปวงจึงถามว่ามหาอุปราชจะกำหนดแผนการประการใด
เกียงอุยจึงออกคำสั่งให้กองหลังตามรายทางทั้งหมดทยอยถอยทัพกลับเข้าเมืองฮันต๋งก่อน ส่วนกองทัพที่ตั้งล้อมค่ายเตงงายอยู่นั้นให้เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพในเวลากลางคืน
พอพ้นยามแรกเกียงอุยได้ให้ทหารทุกค่ายตีม้าล่อฆ้องกลองดังกึกก้องไปทั้งตำบลเขากิสาน และเร่งทหารให้รีบล่าถอยกลับไปเมืองฮันต๋ง เกียงอุยคุมทหารรั้งอยู่ข้างท้ายคอยระมัดระวังป้องกันข้าศึกซึ่งอาจจะยกมาตามตี
ฝ่ายเตงงายตั้งมั่นรักษาค่ายไว้มิได้ประมาท ในคืนวันนั้นได้ยินเสียงม้าล่อฆ้องกลองดังกึกก้องมาแต่ค่ายทหารเมืองเสฉวน จึงสั่งทหารทั้งปวงให้เตรียมพร้อมคอยรับมือข้าศึกอยู่ในค่าย เพราะสำคัญว่าเกียงอุยระดมพลจะยกเข้าปล้นค่าย ครั้นเวลาสองยามเสียงม้าล่อฆ้องกลองนั้นพลันเงียบหายไป เตงงายให้รู้สึกประหลาดใจแต่คิดว่าเกียงอุยทำกลอุบายประการใดประการหนึ่ง หลอกล่อให้ยกทหารออกไปรบ จึงออกคำสั่งสนามไปยังหน่วยทหารทั้งปวงว่าให้ตั้งมั่นรักษาค่าย ระวังเวรยามอย่าได้ประมาท ให้ทหารทั้งปวงสวมเกราะพร้อมที่จะรบได้ทุกเมื่อ
จนกระทั่งเวลาสว่าง หน่วยสอดแนมได้นำความเข้าไปรายงานเตงงายว่า กองทัพเมืองเสฉวนได้เลิกทัพกลับไปเมืองฮันต๋งหมดสิ้นแล้ว เตงงายได้ฟังรายงานดังนั้นก็สำคัญว่าเกียงอุยวางกลอุบายหลอกล่อให้ยกไปปล้นค่าย ไม่สมคะเนแล้วจึงแสร้งทำทีถอยทัพหวังจะให้ยกไล่ตามตี แล้วซุ่มทหารไว้ระหว่างทาง จึงสั่งทหารให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในค่าย
ฝ่ายเกียงอุยรั้งท้ายคุมขบวนทัพถอยกลับเข้าเมืองฮันต๋งโดยราบรื่นปลอดภัยตลอดเส้นทาง ครั้นถึงเมืองฮันต๋งแล้วจึงสั่งให้พักทหารซ่องสุมบำรุงกำลัง ตัวเกียงอุยนั้นพาทหารองครักษ์เดินทางเข้าไปเมืองเสฉวน และขอเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเมื่อทรงทราบว่าเกียงอุยเดินทางมาถึงเมืองเสฉวนจะขอเข้ามาเฝ้า จึงไม่เสด็จออกว่าราชการตามปกติ คงประทับอยู่แต่ในพระตำหนัก เสวยน้ำจัณฑ์ ดูนางระบำรำฟ้อนกับฮุยโฮมหาขันทีเป็นที่เพลิดเพลินพระราชหฤทัย
เกียงอุยรั้งรอจะขอเฝ้าอยู่ถึงเก้าวันสิบวัน เห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่เสด็จออกว่าราชการดังนั้นก็สงสัย จึงเข้าไปหาขับเจ้งขุนนางฝ่ายกรมวัง สอบถามว่า “เราไปทำการศึกอยู่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนให้หาเราดังนี้ ท่านรู้หนักเบาเป็นประการใด”
ขับเจ้งเป็นขุนนางผู้ภักดีต่อแผ่นดิน ได้ยินคำถามของเกียงอุยดังนั้นก็สงสาร จึงตอบไปตามความเป็นจริงว่า “บัดนี้ฮุยโฮซึ่งเป็นขันทีกราบทูลยุยงพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้หาท่านเข้ามาหวังจะให้เงียมอูออกไปเป็นแม่ทัพแทนท่าน”
เกียงอุยทราบความนัยดังนั้นก็โกรธ ด่าฮุยโฮว่าอ้ายขันทีถ่อยผู้นี้จะทำให้บ้านเมืองฉิบหายเหมือนกับสิบขันทีสมัยแผ่นดินของพระเจ้าเลนเต้เสียเป็นแน่ เห็นจะต้องฆ่าฮุยโฮนี้ให้จงได้ บ้านเมืองจึงจะอยู่รอดปลอดภัย
ขับเจ้งได้ยินดังนั้นจึงรีบยกมือขึ้นปรามเกียงอุย แล้วกล่าวว่าท่านเป็นมหาอุปราชบัญชากองทัพทั้งปวงก็จริงอยู่ แต่เห็นจะสู้กับฮุยโฮขันทีไม่ได้ ทวนประจำกายท่านมีอานุภาพยิ่งใหญ่สักเพียงไหน ถึงอาจเอาชัยดาบกระบี่และอาวุธทั้งปวงได้ แต่การจะปะทะกับลมปากของขันทีนั้นท่านจงระมัดระวังตัวให้จงหนัก ด้วยเวลานี้มหาขันที ฮุยโฮเป็นขวัญอกจอมใจของพระเจ้าเล่าเสี้ยน จะว่ากล่าวเพ็ดทูลประการใดก็ทรงเชื่อฟังแล้วรับสั่งตามคำขันทีทั้งสิ้น หากท่านคิดอ่านทำร้ายฮุยโฮเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะทรงลงพระอาญาแก่ท่านให้ได้รับความอัปยศแก่คนทั้งปวง ทั้งการแผ่นดินก็จะเสียไป
เกียงอุยได้ยินคำท้วงก็ได้คิด คำนับขอบคุณขับเจ้งแล้วลากลับออกไป แต่ในใจนั้นยังคิดแค้นฮุยโฮขันที และเห็นว่าหากไม่กำจัดคนขายชาติผู้นี้เสียก่อนแล้ว แผ่นดินเสฉวนก็จะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง ดังนั้นเกียงอุยจึงเพียรพยายามติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของมหาขันทีอย่างใกล้ชิด
วันหนึ่งเกียงอุยได้ทราบข่าวว่า มหาขันทีฮุยโฮเข้าไปเสพสุรากับพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่พระราชอุทยานชั้นใน จึงพาทหารคนสนิทตามเข้าไป ขันทีและนางกำนัลเห็นเกียงอุยพาทหารเข้ามาดังนั้นก็พากันแตกตื่นตกใจ ขันทีซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของฮุยโฮรีบวิ่งนำความเข้าไปแจ้งให้ฮุยโฮทราบ
ฮุยโฮพอได้ทราบความก็เห็นเกียงอุยคุมทหารเข้าประตูพระราชอุทยานมา จึงรีบหลบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังภูเขาจำลองในพระราชอุทยาน เกียงอุยไม่ทันเห็นฮุยโฮแต่ครั้นเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนนั่งอยู่ที่พระเก้าอี้ จึงตรงเข้าไปถวายบังคมแล้วร้องไห้ พลางกราบทูลว่า “ครั้งนี้ข้าพเจ้าไปทำการศึกอยู่เขากิสาน ก็จวนจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกอยู่แล้ว เป็นไฉนพระองค์จึงให้หาข้าพเจ้ากลับมานี้มีเหตุประการใด”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินคำเกียงอุยดังนั้นก็มิรู้ที่จะตรัสประการใด จึงทรงนิ่งอึ้งอยู่กับพระเก้าอี้ เกียงอุยได้กราบทูลต่อไปว่าซึ่งพระองค์มีพระบรมราชโองการเรียกข้าพระองค์กลับเข้ามาครั้งนี้เป็นเพราะขันทีฮุยโฮเพ็ดทูลยุยงให้หลงเชื่อ มีผลเป็นการช่วยเหลือข้าศึกและทำร้ายแผ่นดิน ฮุยโฮขันทีผู้นี้กำเริบนักเห็นจะเหมือนสิบขันทีครั้งแผ่นดินพระเจ้าเลนเต้เป็นแท้ หากปล่อยไว้สืบไปแผ่นดินเมืองเสฉวนที่พระเจ้าเล่าปี่สู้ทุ่มเทลำบากยากพระวรกายสร้างไว้สืบสายเชื้อวงศ์แห่งพระเจ้าฮั่นโกโจเห็นจะดับสูญเป็นมั่นคง
เกียงอุยเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนนิ่งตะลึงอยู่จึงกราบทูลต่อไปว่า ขอพระองค์ได้ตัดพระทัยกำจัดคนชั่วเสียคนหนึ่ง แผ่นดินเมืองเสฉวนก็อยู่รอดปลอดภัย แล้วจะปราบปรามวุยก๊กได้โดยง่าย รักษาแผ่นดินแลราชบัลลังก์ไว้แลกกับชีวิตคนชั่วคนหนึ่งดังนี้ ขอพระองค์อย่าได้ทรงลังเลพระทัยเลย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนถูกเกียงอุยรุกเร้าดังนั้นก็ยังไม่คลอนแคลนน้ำพระทัยรักใคร่มหาขันที จึงตรัสว่า “อ้ายฮุยโฮนี้เป็นแต่ขันทีเราใช้อยู่ข้างใน ท่านว่ามันทะนงใจนี้เราไม่เห็นด้วย ท่านจำไม่ได้หรือเมื่อครั้งตั๋งอุ๋นมีความริษยากล่าวโทษมันนั้นเราก็คิดขัดใจอยู่ บัดนี้ท่านมาว่าอีกเล่า เราหาเชื่อฟังท่านไม่”
เกียงอุยได้ยินกระแสพระราชดำรัสดังนั้นก็รู้ว่า น้ำพระทัยพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ น้ำหนักรักทางมหาขันทียิ่งกว่าที่จะรักษาแผ่นดินของพระเจ้าเล่าปี่ สืบสายพระวงศ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจ และแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ทรงพอพระทัยในคำทูลเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ตั๋งอุ๋นกราบทูลให้ทรงกำจัดฮุยโฮขันทีนั้น
เกียงอุยรู้ดังนั้นแล้วก็คิดน้อยใจที่สู้ทุ่มเทกายใจอุทิศให้แก่แผ่นดินด้วยความ จงรักภักดี หวังสืบสานพระบรมราชปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่และคำสั่งเสียของขงเบ้งให้ประสบผลสำเร็จ แต่ความหวังทั้งมวลนั้นต้องพังทลายไปสิ้น ด้วยแผ่นดินมีกษัตริย์สถุลถ่อยปกป้องคุ้มครองคนชั่ว ไม่คิดรักษาแผ่นดินและอาณาประชาราษฎร
เกียงอุยจึงร่ำไห้ กราบถวายบังคมก้มหน้ากระแทกกับพื้นดินอย่างรันทด แล้วกราบทูลว่า “ซึ่งพระองค์ไม่ฟังข้าพเจ้าแล้วก็แล้วไปเถิด แต่เห็นว่าอันตรายจะพลันถึงพระองค์เป็นมั่นคง”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นเกียงอุยจำยอมดังนั้นจึงตรัสว่า เป็นประเพณีน้ำใจคนที่ยังมีความรักความชังประจำตัว ชังใครก็ว่าชั่ว รักใครก็ว่าดี อันฮุยโฮขันทีนี้เราใช้สอยอยู่แต่ข้างในพอได้ความสุข ไม่เคยออกไปสร้างความเดือดร้อนนอกพระราชวัง ตัวท่านก็มีคนใช้สอยอยู่เป็นอันมาก ไฉนจึงมาคิดอิจฉาริษยาฮุยโฮดังนี้เล่า
พระเจ้าเล่าเสี้ยนตรัสดังนั้นแล้วทอดพระเนตรเห็นฮุยโฮขันทีแอบชำเลืองมองอยู่ข้างหลังภูเขาจำลอง จึงทรงกวักมือเรียกและตรัสสั่งให้ฮุยโฮเข้าไปคำนับเกียงอุย
ฮุยโฮเห็นดังนั้นจึงรีบออกมาจากที่ซ่อน แล้วคุกเข่าคลานเข้าไปคำนับเกียงอุย พลางร้องไห้แล้วกล่าวว่า “อันตัวข้าพเจ้านี้ก็เป็นแต่คนใช้ข้างใน หาได้องอาจล่วงไปว่าราชการไม่ ขอท่านอย่าได้เชื่อฟังคำคนยุยงเลย อันชีวิตข้าพเจ้านี้ก็จะฝากไว้แก่ท่าน”
กล่าวแล้วฮุยโฮจึงทำทีก้มหน้าร้องไห้อยู่กับที่ ร่ำไรรำพันเป็นที่เวทนานัก เกียงอุยได้ยินคำฮุยโฮและเห็นอากัปกิริยาดังนั้นไม่แจ้งว่านั่นคือสุดยอดวิชาขันทีที่เอาตัวรอดจากอันตรายก็รู้สึกสงสาร ความโกรธแค้นที่มีอยู่ในใจจึงสร่างหายไปจนหมดสิ้น กลับอัดอั้นไม่รู้ที่จะกล่าวประการใดได้ จึงถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนกลับออกไปจากพระบรมมหาราชวัง แล้วตรงไปหาขับเจ้งเล่าความให้ฟังทุกประการ
ขับเจ้งได้ฟังความจากเกียงอุยก็ตกใจ กล่าวว่าอันตรายจะมาถึงตัวท่านเป็นแน่แท้ ท่านไม่รู้หรือว่านั่นคือสุดยอดวิชาของขันทีที่สืบทอดมาแต่บรรพกาล อ้ายขันทีนี้ใช้สุดยอดวิชาพาตัวรอดแล้วประจักษ์ว่าท่านคิดอ่านทำร้าย เห็นจะใช้สุดยอดวิชาฆ่าคนของขันทีเพ็ดทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนลงอาญาท่านอย่าได้สงสัยเลย จงเร่งคิดอ่านผันผ่อนเอาตัวรอดจึงจะปลอดภัย ขับเจ้งกล่าวแล้วก็กระทืบเท้ากล่าวด้วยความเสียใจว่า ข้าพเจ้าทักท้วงท่านแล้ว เหตุไฉนท่านจึงไม่วางใจเชื่อฟังเล่า เรื่องใหญ่ร้ายแรงจะมาถึงในไม่ช้านี้จะทำประการใด
เกียงอุยได้ฟังคำขับเจ้งดังนั้นก็ได้คิด จึงกล่าวว่าข้าพเจ้าแรงด้วยโทสะจึงละคำเตือนของท่านเสีย ขอให้ท่านอภัยเถิด แลเมื่อภัยมาใกล้ตัวฉะนี้แล้วท่านจงเมตตาช่วยคิดอ่านหาทางรอดให้ด้วยเถิด
ขับเจ้งจึงว่า สมัยหนึ่งเล่ากี๋ถูกมารดาเลี้ยงคิดทำร้ายจึงขอคำปรึกษาจากขงเบ้ง ในครั้งนั้นขงเบ้งแนะนำว่าหากจะอยู่ในเมืองเกงจิ๋วเห็นจะเป็นอันตราย ให้เล่ากี๋ทำกลอุบายขออนุญาตเล่าเปียวยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองกังแฮจึงจะปลอดภัย กรณีของท่านก็เป็นดุจเดียวกัน จงยืมคำแนะนำอันเกิดแต่สติปัญญาของขงเบ้งมาใช้ ให้ท่านคิดอ่านวางแผนขอรับพระบรมราชานุญาตยกไปตั้งอยู่ที่เมืองหลงเสจึงจะปลอดภัย
เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย ขับเจ้งจึงกล่าวสืบไปว่าเมืองหลงเสนี้เป็นชัยภูมิอันล้ำเลิศ ไม่ใกล้ไม่ไกลเมืองเสฉวนและเมืองฮันต๋งนัก หากความศึกหนักมาก็จะยกมาช่วยเหลือเมืองฮันต๋งได้ทันท่วงที ทั้งสามารถยกไปตีวุยก๊กได้โดยสะดวกเช่นเดียวกัน อนึ่งเมืองหลงเสเป็นแหล่งเสบียงสำคัญ “ถ้าแลถึงฤดูข้าวโพดสาลีออกรวง ก็จะได้เป็นกำลังแก่ทหารทั้งปวง”
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงคำนับลาขับเจ้ง วันรุ่งขึ้นจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วกราบทูลขอพระบรมราชานุญาตยกทหารไปตั้งอยู่ที่เมืองหลงเส พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำทูลดังนั้นก็เห็นว่าเกียงอุยไปเสียให้ไกลตาจะได้ไม่มีความขัดแย้งข้างในราชสำนักจึงทรงดีพระทัย มีพระบรมราชโองการอนุญาตตามที่เกียงอุยได้กราบทูลนั้นทุกประการ
เกียงอุยเห็นการสมคะเนก็ดีใจ ถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วรีบเดินทางกลับไปเมืองฮันต๋ง เรียกประชุมแม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวง ปรารภความให้ฟังว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนมีพระบรมราชโองการโปรดให้ยกทหารไปตั้งซ่องสุมฝึกปรือและเกณฑ์เสบียงอาหารอยู่ที่เมืองหลงเส เตรียมการจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กอีกครั้งหนึ่ง
เกียงอุยจัดแจงแต่งผู้รักษาเมืองฮันต๋งแล้ว จึงให้อาเจ้คุมทหารไปรักษาเมืองเชียวเส ให้องเสียคุมทหารไปรักษาเมืองก๊กเสีย ให้เจียวปินคุมทหารไปรักษาเมืองฮันเสีย ให้เจียวสีและเปาเขียมรักษาด่านแฮบังก๋วน และคุมทหารเป็นกอง ลาดตระเวนตรวจตราด่านรายทางรอบเมืองฮันต๋งทุกตำบล.