ตอนที่ 632. ถอดเกราะเพชรคุ้มเมืองเสฉวน

 เตงงายวางอุบายใช้อองก๋วนไปเป็นไส้ศึกในกองทัพของเกียงอุย แต่เกียงอุยแจ้งในกลอุบายจึงวางแผนซ้อนกล ลวงให้เตงงายยกทหารมาปล้นกองเสบียง แล้วให้เปาเขียมคุมทหารไปซุ่มโจมตีกองทัพของเตงงาย และจัดทหารอีกสามกองจะไปชิงเอาค่ายของเตงงาย

            ครั้นถึงกำหนดตามนัดหมายในหนังสือที่เกียงอุยเปลี่ยนวันเวลาให้เตงงายยกมาปล้นเอากองเสบียง  เตงงายได้ยกทหารห้าหมื่นออกจากค่ายตรงไปที่เขาฮุยสันแล้วแต่งหน่วยลาดตระเวนระยะไกลออกไปสังเกตการณ์ ครั้นเห็นขบวนเสบียงกำลังลำเลียงมาหน่วยลาดตระเวนจึงมารายงานความให้เตงงายทราบ

            เตงงายคุมทหารองครักษ์ขึ้นไปบนเนินเขา เห็นขบวนเสบียงของทหารเมืองเสฉวนกำลังเคลื่อนลับเหลื่อมเขาเข้ามาในซอกเขา และเห็นทหารซึ่งคุมขบวนนั้นล้วนเป็นทหารของอองก๋วน จึงเชื่อโดยสนิทใจว่าอองก๋วนได้คุมกองลำเลียงเสบียงมาตามสัญญา นายทหารรองเห็นดังนั้นก็ดีใจ รีบเสนอเตงงายให้รีบยกกองทัพเข้าชิงเอากองเสบียง

            แต่เตงงายนั้นมีความสุขุมรอบคอบ แม้จะประจักษ์ด้วยตาว่าทหารซึ่งคุมเสบียงมานั้นเป็นทหารของอองก๋วน แต่เห็นเป็นเวลาเย็นใกล้ค่ำ ทั้งภูมิประเทศก็คับขัน รุกถอยไม่ค่อยสะดวก จึงกล่าวว่าอันการสงครามนั้นจะเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตาเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เวลาและภูมิประเทศขณะนี้ชอบกลอยู่ หากเรายกกองทัพไปแล้วเกียงอุยรู้เท่าทันยกทหารมาซุ่มโจมตีก็จะเสียทีแก่ข้าศึก ชอบที่เราจะตั้งมั่นอยู่ที่นี่ก่อน รอให้อองก๋วนคุมกองเสบียงมาถึงแล้วจึงค่อยพากันกลับไปค่าย

            เตงงายกล่าวยังไม่ทันขาดคำ ทหารรักษาการณ์ได้พาทหารวุยก๊กสองคนขึ้นไปหาเตงงายแล้วรายงานว่า อองก๋วนให้ทหารนำความมารายงานแก่ท่านแม่ทัพ เตงงายสำคัญว่าทหารวุยก๊กสองคนนั้นเป็นลูกน้องของอองก๋วน จึงถามว่ามีเหตุการณ์ประการใด

            พลทหารวุยก๊กทั้งสองคนนั้นได้รายงานว่า อองก๋วนกำลังคุมเสบียงมาแล้ว แต่ข้างหลังระยะห่างหนึ่งร้อยเส้นเห็นทหารข้าศึกกำลังยกไล่ตามมาเป็นอันมาก ขอให้ท่านรีบยกทหารไปช่วย

            เตงงายได้ยินดังนั้นก็สำคัญว่าเป็นเรื่องจริง หารู้ไม่ว่าพลทหารวุยก๊กทั้งสองคนนั้นแท้จริงแล้วเป็นทหารเมืองเสฉวนซึ่งเกียงอุยสั่งให้ปลอมตัวเป็นทหารวุยก๊กนำความมาลวงแก่เตงงาย จึงคุมทหารออกจากที่ตั้งตรงไปที่ขบวนเสบียงอาหาร

            ขณะนั้นเป็นเวลายามแรก เตงงายคุมทหารใกล้จะถึงซอกเขาที่มีการลำเลียงขบวนเสบียงอาหาร พลันได้ยินเสียงต่อสู้อึงคะนึงอยู่ข้างหน้า จึงสำคัญว่าอองก๋วนได้คุมเสบียงมาแล้ว และกองหลังกำลังปะทะกับทหารเมืองเสฉวน จึงเร่งทหารให้รีบรุดไปช่วยอองก๋วน พอเตงงายคุมทหารวกเลี้ยวซอกเขาไปถึงขบวนเกวียนเสบียง เห็นเกวียนเบียงกองสุมกันอยู่เป็นอันมากแต่ไม่เห็นทหารกำลังสู้รบกันแต่ประการใด กลับได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่ข้างหน้า จึงสำคัญว่าอองก๋วนคุมทหารสกัดด้านหลังไม่ให้ข้าศึกยกมาชิงเอาเสบียงเตงงาย จึงคุมทหารผ่านขบวนเสบียงหวังจะหนุนไปช่วยอองก๋วน

            เตงงายพาทหารผ่านเกวียนเสบียงไปไม่ถึงร้อยเส้น พลันเห็นพลุสัญญาณพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ทันใดนั้นเปาเขียมได้ขี่ม้าถือทวนคุมทหารเมืองเสฉวนเป็นอันมากยกออกมาจากแนวป่า แล้วร้องว่าอ้ายเตงงาย มึงหลงกลอุบายของเกียงอุยแล้ว จงยอมให้จับกุมตัวเสียแต่โดยดี

            สิ้นคำของเปาเขียมทหารเมืองเสฉวนได้พากันโห่ร้องกึกก้อง แล้วร้องตะโกนบอกต่อ ๆ กันว่าให้จับตัวเตงงายให้จงได้ ผู้ใดจับตัวเตงงายได้จะได้รับทองคำพันตำลึงเป็นบำเหน็จ

            เตงงายเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบควบม้ากลับหลังแล้วสั่งทหารให้ล่าถอย เปาเขียมเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้ไล่ตามตี ฆ่าฟันทหารของเตงงายบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            พอเตงงายพาทหารถอยร่นไปถึงขบวนเกวียนเสบียง พลันมีธนูเพลิงจำนวนมากถูกยิงมาที่ขบวนเกวียนเสบียง ถูกดินประสิวสุพรรณถันและเชื้อเพลิง แสงไฟไหม้ลามลุกโชติช่วงอย่างรวดเร็ว เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท สะเก็ดระเบิดถูกทหารเตงงายบาดเจ็บล้มตายลงกว่าครึ่ง

            เตงงายเร่งทหารที่เหลือให้รีบล่าถอยหนีตาย ต่างคนต่างทุลักทุเลหนีเอาตัวรอด ทหารเมืองเสฉวนเห็นได้ทีจึงพากันไล่ตามตีต่อไป ต่างคนหวังจะจับตัวเตงงายแย่งเอาบำเหน็จทองคำพันตำลึง และร้องบอกต่อ ๆ กันว่าคนสวมหมวกเกราะสีเงินนั้นคือเตงงาย

            เตงงายได้ยินดังนั้นก็ยิ่งตกใจ เกรงว่าทหารเมืองเสฉวนจะจำเสื้อเกราะและหมวกได้ จึงถอดเสื้อเกราะทิ้ง และเอาหมวกเกราะให้ทหารเลวคนหนึ่งสวม ตัวเตงงายปลอมตัวเป็นทหารเลวหนีปะปนเข้าไปในหมู่ทหาร

            เกียงอุยและแฮหัวป๋าเห็นเตงงายเสียที จึงพาทหารยกลงมาจากเนินเขาไล่ตามตีเตงงาย เห็นทหารคนหนึ่งสวมหมวกเกราะของเตงงาย จึงให้ทหารล้อมจับตัวไว้ ครั้นปรากฏว่าไม่ใช่เตงงายจึงให้ตัดศีรษะเสีย

            เตงงายพาทหารที่เหลือตายหนีไปตามซอกเขาแล้วเกรงว่าจะถูกซุ่มโจมตีอีกจึงพาทหารทิ้งม้าปีนข้ามภูเขาข้างทางหนีตายไปท่ามกลางความมืดของราตรี เกียงอุยให้ทหารติดตามหาเตงงายในซอกเขาเท่าใดก็ไม่พบ

            เตงงายจะพาทหารหนีกลับไปค่าย แต่ครั้นทราบความจากทหารซึ่งหนีมาว่าเกียงอุยได้ส่งทหารสามกองยกมาชิงเอาค่ายไว้ได้ก่อนก็ตกใจ รีบพาทหารหนีข้ามแม่น้ำอุยโหไปตั้งค่ายอยู่อีกฟากหนึ่ง แล้วแต่งฎีกาให้ทหารถือเข้าไปเมืองลกเอี๋ยง รายงานความให้สุมาเจียวทราบทุกประการ และขอให้สุมาเจียวลงโทษลดขั้นตำแหน่งลงสามขั้น

            ฝ่ายอองก๋วนไม่ทราบความนัยว่าเกียงอุยได้แก้ไขวันนัดหมายให้เตงงายยกมาปล้นค่ายก่อนห้าวัน ยังคงคุมกองเสบียงลำเลียงมาตามปกติ วันหนึ่งได้รับรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่า เกียงอุยล่วงรู้กลอุบายแล้วซ้อนกลซุ่มตีกองทัพของเตงงายจนแตกพ่ายกลับไปแล้ว ตัวเตงงายจะเป็นตายร้ายดีประการใดไม่มีใครทราบ

            อองก๋วนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ คิดว่าเมื่อเกียงอุยแจ้งในกลอุบายแล้วเห็นจะยกทหารมาจับกุมตัวเป็นแน่แท้ แต่ถ้าจะหนีกลับไปทางค่ายตำบลเขากิสานก็จะสวนทางกับกองทัพของเกียงอุย จึงควรที่จะหนีย้อนกลับไปทางเมืองฮันต๋งแล้วเข้ายึดเอาด่านหรือหัวเมืองใดหัวเมืองหนึ่งทำการต่อสู้กับเกียงอุยจึงจะควร

            อองก๋วนคิดแผนการเอาตัวรอดดังนั้นแล้ว ยังไม่ทันได้ออกคำสั่ง พลันได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารดังกึกก้อง ปรากฏเป็นเกียงอุยนำทหารเมืองเสฉวนเป็นอันมากรุกจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว

            อองก๋วนเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจสั่งทหารให้จุดไฟเผาเกวียนเสบียงอาหารเสียทั้งสิ้น แล้วพาทหารล่าถอยไปตามทางที่จะไปเมืองฮันต๋ง เกียงอุยเห็นดังนั้นจึงพาทหารไล่ตามไป

            อองก๋วนพาทหารหนีมาใกล้ถึงสะพานลอยข้ามหุบเหว จึงคิดว่าถ้าจะหนีไปตามเส้นทางปกติเห็นจะหนีกองทัพม้าของเกียงอุยไม่ทันท่วงที จึงสั่งทหารให้เผาทำลายสะพานข้ามหุบเหว แล้วพาทหารข้ามสันเขาตัดลัดลงไปทางซอกเขาน้อยอีกซอกหนึ่ง

            เกียงอุยยังคงนำทหารไล่ตามตีอองก๋วนอย่างไม่ลดละ จนอองก๋วนพาทหารหนีไปตันอยู่ที่หน้าผาแห่งหนึ่ง เบื้องล่างเป็นบึงน้ำใหญ่ หนีไปทางไหนไม่ได้  เกียงอุยจึงให้ทหารเข้าล้อมไว้ อองก๋วนเห็นไม่มีทางหนีรอดจึงกระโดดน้ำตาย ทหารซึ่งจงรักภักดีกับอองก๋วนบ้างก็กระโดดน้ำตายตาม บ้างก็เชือดคอตาย ส่วนทหารที่เหลือได้ยอมจำนนต่อเกียงอุยแต่โดยดี 

            เกียงอุยสูญเสียเสบียงอาหารเพราะถูกอองก๋วนเผาผลาญไปจนหมดสิ้น และเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหาร ตลอดจนเส้นทางถอยทัพก็ถูกเผาทำลาย จึงเกรงว่าหากจะทำการรุดหน้าต่อไปก็เหมือนว่าวที่สายป่านขาดลอยละลิ่วตามลม จะเสียทีแก่ข้าศึก จึงสั่งให้เลิกทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง

            ฝ่ายสุมาเจียวครั้นได้ทราบรายงานของเตงงาย จึงกล่าวกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า “เตงงายมีความชอบอยู่เป็นอันมาก ควรเราจะยกโทษเสีย ชุบเลี้ยงต่อไปจึงจะชอบ แล้วก็จัดแจงสิ่งของเงินทองเป็นอันมากให้ไปปูนบำเหน็จเตงงาย กับทหารห้าหมื่นให้ยกไปช่วย”

            ปฏิบัติของสุมาเจียวดังนี้ควรแก่ผู้มีตำแหน่งจอมทัพ เพราะรู้ซึ้งในฝีมือและสติปัญญาทหารว่าควรแก่การสงคราม ชอบที่จะชุบเลี้ยงไว้ทำการศึก มีน้ำใจเอื้ออาทรต่อข้าทหาร ถึงพลาดพลั้งเป็นครั้งคราวหากมิใช่ความผิดฐานขบถต่อเจ้าก็ไม่ถือโทษถึงตาย นับว่าได้สืบทอดวิทยาการการปกครองการทหารมาจากสุมาอี้ได้อย่างสมภาคภูมิยิ่งนัก

            ฝ่ายเกียงอุยเมื่อเลิกทัพกลับคืนเมืองฮันต๋งแล้ว ได้เร่งซ่องสุมเสบียงอาหาร ฝึกปรือทหารจนพรักพร้อม แล้วเกณฑ์ทหารไปซ่อมสะพานลอยข้ามหุบเหวซึ่งถูกอองก๋วนจุดไฟเผาผลาญจนใช้การได้เป็นปกติ แล้วดำริจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กเป็นครั้งที่แปด

            พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยสี่พรรษา เป็นเทศกาลปีใหม่ เกียงอุยรำลึกถึงขงเบ้งและคำสั่งเสียสุดท้ายที่ให้แต่งทหารไปรักษาช่องแคบอิมเป๋ง และให้ฝังศพไว้ที่ข้างทางระหว่างซอกเขาในเทือกเขาเตงกุนสัน จึงพาทหารคนสนิทสามร้อยคนไปเซ่นไหว้ศพขงเบ้ง

            เกียงอุยเห็นที่ฝังศพขงเบ้งราบเรียบไม่มีที่หมายใด ๆ ก็รู้สึกสะเทือนใจแล้วร้องไห้รำพันว่า มหาอุปราชมีอำนาจเหนือกว่าใครในแผ่นดิน เป็นรองก็แต่ฮ่องเต้พระองค์เดียว ทำความชอบไว้กับแผ่นดินสุดคณานับ แต่ยามตายกลับสั่งให้นำศพมานอนตากน้ำค้างอยู่กลางหาวในป่ารกชัฎเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ไร้เครื่องอิสริยยศแลทหารจุดตะเกียงเฝ้าหน้าศพ ช่างน่าเวทนายิ่งนัก ทหารองครักษ์ของเกียงอุยเห็นดังนั้นก็พากันร้องไห้ตาม

            เกียงอุยให้ทหารปัดกวาดและถอนหญ้าที่งอกคลุมรกปกบนที่ฝังศพของขงเบ้งข้างทางในซอกเขาแล้วเซ่นไหว้ขงเบ้งตามประเพณี เสร็จการแล้วจึงออกเดินทางไปที่ซอกเขาอิมเป๋ง เห็นทหารซึ่งขงเบ้งสั่งให้มาตั้งรักษาช่องแคบอิมเป๋งยังคงทำหน้าที่อย่างกวดขันก็มีความยินดี

            ทหารใหม่บางคนมาเฝ้าช่องแคบอิมเป๋งโดยไม่รู้เหตุผลต้นปลายประการใดจึงสนใจไต่ถาม เกียงอุยได้ถือโอกาสเล่าความให้ฟังว่ามหาอุปราชจูกัดเหลียงมีสติปัญญาเกริกฟ้าก้องดิน คิดการสิ่งใดไม่เคยไร้เหตุผล ก่อนจะสิ้นบุญได้สั่งเสียให้แต่งกองทหารมาเฝ้าช่องแคบอิมเป๋งไว้ กำชับเป็นหนักแน่นว่าตราบใดที่รักษาช่องแคบอิมเป๋งไว้ได้ ตราบนั้นเมืองเสฉวนก็จะไม่เป็นอันตราย

            หัวหน้ากองทหารซึ่งรักษาช่องแคบอิมเป๋งได้คุมกองทหารรักษาช่องแคบมาเป็นเวลาช้านาน แต่ไม่เคยเห็นข้าศึกยกมากล้ำกราย ให้รู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเป็นอันมาก พอได้ยินดังนั้นจึงท้วงว่า ขงเบ้งสิ้นบุญไปนานช้าแล้ว หากมีสติปัญญาคาดการณ์ได้ถูกต้องถ่องแท้ ไฉนเล่าจึงไม่เห็นข้าศึกยกมาเลยแม้แต่สักคนเดียว จะให้ทหารอยู่รักษาการณ์ต่อไปจะได้ยากแก่ไพร่พล ควรที่จะถอนทหารกลับไปจะดีกว่า

            เกียงอุยจึงแย้งว่า ก็เพราะมีทหารเมืองเสฉวนรักษาช่องแคบอิมเป๋งอยู่นี่แล้ว ข้าศึกจึงไม่อาจรุกรานเป็นไปสมตามที่ขงเบ้งได้คาดการณ์ไว้แล้วไม่ใช่หรือ ท่านอย่าได้วุ่นวายสืบไปเลย

            เสร็จจากการเยี่ยมหน่วยทหารแล้วเกียงอุยจึงพาทหารองครักษ์กลับไปเมืองฮันต๋ง หลังจากเกียงอุยกลับไปแล้ว หัวหน้ากองทหารซึ่งรักษาช่องแคบอิมเป๋งได้ลอบเดินทางเข้าไปเมืองเสฉวน ติดสินบนฮุยโฮขันทีให้ช่วยเพ็ดทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ซึ่งแต่งกองทหารไปรักษาช่องแคบอิมเป๋งไว้นั้นเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน ทำให้ทหารได้ยากลำบาก พลัดพรากจากลูกเมียไปนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ในป่า ชอบที่จะเรียกกองทหารกลับ

            ฮุยโฮขันทีกินสินบนของหัวหน้ากองทหารแล้วจึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนเรียกกองทหารซึ่งรักษาช่องแคบอิมเป๋งกลับเมืองเสฉวน และนับแต่บัดนั้นเกราะเพชรอันทรงพลานุภาพที่ขงเบ้งกางกั้นไว้ป้องกันเมืองเสฉวนจึงถูกรื้อถอน เปิดช่องแคบอันเป็นจุดสกัดสำคัญให้เวิ้งว้างว่างเปล่า รอวันเวลาที่ข้าศึกจะยกมาทำอันตรายเมืองเสฉวนเมื่อใดเท่านั้น.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร