ตอนที่ 630. แพะในปากเสือ
สุมาเจียวคิดจะยกกองทัพไปตีจ๊กก๊ก แต่เกรงว่าพระเจ้าโจมอทรงระแวงพระทัยจะคิดอ่านกำจัด ครั้นได้ฟังคำยุยงจากพรรคพวกจึงคิดจะถอดพระเจ้าโจมอ ออกจากตำแหน่ง ถึงวันเสด็จออกว่าราชการความหวาดระแวงจึงระเบิด ต่างประชดประชันกันอย่างรุนแรงในท้องพระโรง
สุมาเจียวได้ยินคำพระเจ้าโจมอตรัสเป็นทำนองว่าเชิญทำอะไรตามอำเภอน้ำใจ ดังนั้นก็รู้ว่าทรงตรัสประชด จึงโกรธแค้นเป็นอันมาก กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านไม่รู้จักคุณเรา ทำโคลงเปรียบเทียบเราต่าง ๆ ท่านทำทั้งนี้เห็นชอบอยู่แล้วหรือ”
พระเจ้าโจมอทอดพระเนตรเห็นสุมาเจียวโกรธ หน้าตาแดงก่ำ จึงก้มพระพักตร์แต่มิได้ตรัสประการใด บรรยากาศในท้องพระโรงเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง สุมาเจียวจึงสั่งให้เลิกประชุมแล้วพาพรรคพวกเดินกลับออกไปโดยมิได้ถวายบังคม ขุนนางทั้งปวงเกรงอำนาจของสุมาเจียวจึงพากันกลับออกไป
พระเจ้าโจมอถูกทอดทิ้งอยู่ในท้องพระโรงแต่เพียงลำพัง จึงเสด็จลงจากพระราชบัลลังก์เข้าไปยังพระตำหนักที่ประทับ แล้วตรัสเรียกอองซิม อองเก๋ง และอองเหงียบ ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยเข้ามาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ แล้วตรัสว่า “บัดนี้สุมาเจียวทำบังอาจหยาบช้า เห็นจะเป็นขบถชิงเอาราชสมบัติเรา ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด”
อองเก๋งได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบทูลปรามพระเจ้าโจมอว่าความใหญ่ถึงเพียงนี้ พระองค์อย่าเพิ่งแพร่งพรายให้ผู้ใดได้ยินเป็นอันขาด มิฉะนั้นอันตรายจะมีมาถึงพระองค์ เพราะสุมาเจียวนั้นมีสมัครพรรคพวกทั้งข้างในและข้างนอกพระราชวังเป็นอันมาก
พระเจ้าโจมอได้ยินคำท้วงจึงลดพระสุรเสียงลง ตรัสว่ามันข่มเหงยำเยงเราถึงเพียงนี้ จะให้ทนอับอายขุนนางทั้งปวงไปถึงไหน ถึงแม้นจะตายก็ดีกว่าอยู่ให้เขารังแก เราจำจะต้องแก้ไขมิให้อัปยศแก่คนทั้งปวงสืบไป
ตรัสดังนั้นแล้วจึงโบกพระหัตถ์ขับขุนนางทั้งสามให้ออกไปจากพระตำหนัก แล้วเสด็จไปยังพระตำหนักของพระนางก๊วยไทเฮา เล่าความทั้งปวงให้ไทเฮาฟังทุกประการ
ฝ่ายสามขุนนางเมื่อเดินออกมาจากพระตำหนักแล้ว อองซิมหนึ่งในสามขุนนางได้ซุบซิบปรึกษากับเพื่อนสองขุนนางว่าพระเจ้าโจมอเยาว์พระปัญญา เจรจาความด้วยโทสะ ความคอขาดบาดตายฉกรรจ์ปานนี้กลับตรัสกับพวกเราโดยไม่เกรงหูคนจะได้ยิน หากความนี้แพร่งพรายล่วงรู้ไปหูของสุมาเจียวพวกเราก็จะพากันคอขาดสิ้น มิหนำซ้ำยังจะพาให้พี่น้องครอบครัวต้องถูกตัดหัวสามชั่วโคตรอีก กระนั้นเลยควรที่จะนำความไปออกตัวกับสุมาเจียวจึงจะพ้นอันตราย
อองเหงียบได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วย แต่อองเก๋งกลับท้วงว่าพวกเราเป็นข้าราชสำนัก ได้รับเบี้ยหวัดผ้าปี เป็นหนี้ข้าวแดงแกงร้อนนานหนักหนา ครั้นถึงคราเจ้าเราเดือดร้อนจะคิดอ่านเอาตัวรอดนั้นไม่ควร ชอบที่จะพลีชีพสนองคุณพระมหากษัตริย์จึงจะควร
เพื่อนสองขุนนางทั้งสองคนไม่ฟังคำทัดทาน อองเก๋งได้ทัดทานอีกหลายครั้งแต่เพื่อนสองขุนนางยังคงยืนกรานความคิดเดิม เมื่อไม่ตกลงกันอองเก๋งจึงแยกทางกลับไปเรือน แต่อองซิมและอองเหงียบเกรงภัยจะมาถึงตัว จึงนำความไปออกแก่สุมาเจียว เล่าความให้ทราบทุกประการ สุมาเจียวทราบความแล้วจึงสั่งให้แกฉงคุมทหารไปล้อมพระบรมมหาราชวังไว้ และเตรียมการที่จะถอดพระเจ้าโจมอออกจากตำแหน่งในวันรุ่งขึ้น
ฝ่ายพระเจ้าโจมอครั้นเล่าความให้พระนางก๊วยไทเฮาทราบความแล้ว เห็นไทเฮานิ่งอึ้งมิได้ตรัสประการใดก็ทรงพระโกรธ เสด็จกลับมายังพระตำหนัก ตรัสเรียกทหารองครักษ์สามร้อยคนและให้เตรียมรถพระที่นั่งจะเสด็จนำทหารองครักษ์ไปที่จวนมหาอุปราชเพื่อกำจัดสุมาเจียวเสีย
อองเก๋งเห็นพระเจ้าโจมอลุแก่โทสะจะยกทหารจำนวนน้อยไปรบกับสุมาเจียวก็ตกใจ จึงวิ่งเข้าไปคุกเข่าถวายบังคม ยุดชายพระภูษาของพระเจ้าโจมอ แล้วกราบทูลว่าซึ่งพระองค์จะยกทหารมหาดเล็กเพียงสามร้อยคนไปสู้รบปรบมือกับสุมาเจียวนั้นเสมือนหนึ่งแมลงเม่าบินเข้ากองไฟก็ไม่ปาน ด้วยสุมาเจียวคุมทหารไว้เป็นอันมาก ขอให้พระองค์ทรงยับยั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวังนี้ก่อนเถิด
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความตอนนี้ว่า อองเก๋งร้องไห้เข้าไปกราบทูลพระเจ้าโจมอว่า “ซึ่งพระองค์จะยกทหารสามร้อยไปรบกับสุมาเจียวนั้น เหมือนหนึ่งต้อนแพะเข้าไปในปากเสือ ขอพระองค์จงยับยั้งก่อน ตัวข้าพเจ้านี้ใช่จะรักชีวิตก็หาไม่ ตั้งใจจะทำราชการฉลองพระเดชพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต แต่ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าจะไปทำการบัดนี้ก็จะพากันตาย หาได้ท่วงทีไม่”
พระเจ้าโจมอกำลังลุแก่โทสะด้วยได้รับความอัปยศอดสูจากการกระทำของสุมาเจียวเป็นที่คับแค้นพระทัยนักจึงไม่ทรงฟังคำทัดทาน ตรัสสั่งให้ขบวนทหารเคลื่อนออกจากพระตำหนัก จะยกไปที่จวนมหาอุปราชสุมาเจียว
พระเจ้าโจมอคุมกำลังทหารมหาดเล็กเพียงสามร้อยคนยกออกจากพระตำหนัก แต่เมื่อยกไปใกล้จะถึงประตูหน้าพระบรมมหาราชวังก็ทอดพระเนตรเห็นแกฉงขี่ม้าถือทวนคุมขบวนทหารหนึ่งกองพันรักษาการณ์อยู่ที่หน้าประตูพระบรมมหาราชวัง มีเซงจุยยืนม้าขนาบอยู่ด้านขวา เซงเจยืนม้าขนาบอยู่ข้างซ้ายก็ทรงตกตะลึง แต่มิทันที่จะทำประการใด แกฉงก็สั่งทหารให้จู่โจมเข้าตีกองทหารของพระเจ้าโจมอ
พระเจ้าโจมอตกพระทัยแต่กุมพระสติได้ จึงประทับยืนบนรถพระที่นั่ง เอาพระแสงกระบี่ชี้ไปที่แกฉงและทหาร แล้วตรัสว่า “ตัวเราเป็นกษัตริย์ อ้ายเหล่านี้ทำบังอาจหักหาญเข้ามาจะทำร้ายเราหรือ”
อำนาจแห่งพระบารมีของพระมหากษัตริย์และความฝังใจในเหล่าทหารยังหนาแน่น แกฉงและทหารได้ยินพระสุรเสียงดังนั้นจึงพากันตกตะลึง ชะงักนิ่งอยู่กับที่ แล้วค่อย ๆ ร่นถอยกลับไปอยู่ที่เดิม
แกฉงตั้งสติได้รู้สึกตัวว่าซึ่งพากันถอยร่นมาฉะนี้มิชอบ จึงกล่าวกับเซงเจว่า มหาอุปราชเลี้ยงทหารพันวันก็เพื่อช่วงใช้เพียงวันเดียว วันนั้นมาถึงแล้ว ไฉนจึงล่าถอยกลับกันมาเสียเล่า
เซงเจได้ฟังก็ได้คิด จึงกล่าวว่าท่านจะให้จับเป็นหรือจับตาย ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะทำตามคำสั่ง แกฉงจึงว่ามหาอุปราชได้สั่งไว้ว่า ถ้ายอมจำนนให้จับเป็น แต่ถ้าต่อสู้ก็ให้จับตาย จงเร่งทำการเถิด
เซงเจได้ยินดังนั้นจึงถือง้าวเร่งม้าออกไปที่หน้ารถพระที่นั่ง พระเจ้าโจมอทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ตกพระทัยแต่ข่มพระสติไว้ แล้วทรงตวาดและตรัสว่า มึงยังไม่สำนึกผิดชอบชั่วดีอีกหรือ จึงคิดจะกบฏดังนี้
เซงเจพุ่งม้าเข้ามาเหมือนหนึ่งไม่ได้ยิน พอได้ระยะแทงเซงเจจึงเอาง้าวแทงพระเจ้าโจมอถูกที่พระอุระ พระเจ้าโจมอพลัดตกลงจากรถพระที่นั่ง เซงเจควบม้าพุ่งปราดเข้าไปหาแล้วเอาง้าวตัดพระเศียรของพระเจ้าโจมอ
เหตุการณ์เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทำให้ทหารมหาดเล็กของพระเจ้าโจมอพากันตกตะลึงพรึงเพริด แต่เจียวเป๊กซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ตั้งสติได้ก่อน เห็นเหตุการณ์ที่เซงเจควบม้าเข้ามาจะตัดพระเศียรของพระเจ้าโจมอ จึงพุ่งม้าออกไปจะสกัดหน้าเซงเจไว้แต่ไม่ทันท่วงที
เซงเจตัดศีรษะพระเจ้าโจมอแล้วเหลือบมาเห็นเจียวเป๊กขี่ม้าตรงเข้ามา จึงควบม้าเข้าไปหาเจียวเป๊ก ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันไม่ทันถึงเพลงเซงเจก็เอาง้าวฟันเจียวเป๊กตกม้าตาย
ทหารมหาดเล็กของพระเจ้าโจมอเห็นพระเจ้าโจมอถูกปลงพระชนม์จึงพากันแตกตื่นตกใจวิ่งหนี แต่อองเก๋งนั้นมีน้ำใจภักดีต่อเจ้า ร้องด่าเซงเจว่าอ้ายขบถ มึงเป็นแต่เพียงไพร่ ไฉนจึงบังอาจปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวเล่า
เซงเจได้ยินดังนั้นก็โกรธ แต่เห็นอองเก๋งไม่มีอาวุธ จึงสั่งทหารให้จับตัวอองเก๋งแล้วนำไปมอบแก่สุมาเจียวที่จวน พร้อมกับรายงานความให้สุมาเจียวทราบทุกประการ
สุมาเจียวทราบความเห็นเป็นเรื่องใหญ่ก็ตกใจ รีบพาทหารไปที่ประตูพระบรมมหาราชวัง เห็นพระบรมศพของพระเจ้าโจมอทอดอยู่ที่พื้นข้างรถพระที่นั่ง จึงคุกเข่าลงถวายบังคมทำทีเป็นร้องไห้รำพัน
ในขณะนั้นขุนนางจำนวนมากทราบข่าวการเสด็จสวรรคตจึงพากันมาที่ประตูหน้าพระบรมมหาราชวัง ฝ่ายสุมาหูขุนนางผู้ใหญ่เห็นพระบรมศพอยู่ในสภาพอเนจอนาถก็สงสาร จึงเข้าไปคุกเข่าถวายบังคมแล้วร้องไห้ ครั้นลุกขึ้นแล้วจึงกล่าวกับขุนนางทั้งปวงว่า คนขบถปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์มีโทษอุกฤตถึงขั้นประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตร
ขุนนางทั้งปวงพากันร้องห่มร้องไห้ตามประเพณีเอาใจเจ้า สุมาเจียวเห็นดังนั้นจึงสั่งให้อัญเชิญพระบรมศพเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง และให้ตั้งการพิธีพระบรมศพที่พระตำหนักใหญ่ด้านทิศตะวันตก พอเชิญโลงพระบรมศพขึ้นบนพระแท่นตามประเพณีแล้วสุมาเจียวจึงพาขุนนางทั้งปวงไปที่ท้องพระโรง แล้วปรึกษาความกับขุนนางทั้งปวงว่าบัดนี้มีผู้ลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด
ต้านท่ายไม่รู้ความนัย ทั้งมีเรื่องขุ่นใจแกฉงมาแต่ก่อน จึงกล่าวขึ้นท่ามกลางมหาสมาคมว่า ซึ่งเกิดเหตุร้ายจนเป็นเหตุให้เสด็จสวรรคตในครั้งนี้เป็นเพราะแกฉงเป็นผู้ทำการ จึงชอบที่จะจับแกฉงประหารชีวิตเสียตามกฎมณเฑียรบาล
สุมาเจียวได้ยินต้านท่ายดังนั้นก็ขัดใจ จึงกล่าวว่าท่านมีพยานหลักฐานอันใดว่าแกฉงเป็นผู้ลงมือปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัว เพราะตามทางสอบสวนเบื้องต้นปรากฏว่าแม้แกฉงจะอยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่ไม่ใช่คนที่ลงมือปลงพระชนม์ เซงเจต่างหากซึ่งคิดการขบถ ทำการปลงพระชนม์องค์พระจักรพรรดิ ควรที่จะจับเซงเจประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตรจึงจะชอบ
ต้านท่ายได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าสุมาเจียวปกป้องแกฉง ปัดผิดให้แก่เซงเจ แม้หากจะดึงดันทัดทานต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด ดีร้ายเภทภัยจะตกมาถึงตัว จึงก้มหน้านิ่ง ในทันใดนั้นทุกคนก็ต้องตกตะลึงงันเพราะเซงเจได้กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า เหตุไฉนมหาอุปราชจึงมาป้ายผิดให้ข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวนั้นก็เพราะแกฉงซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสั่งว่ามหาอุปราชมีคำสั่งให้ปลงพระชนม์ของฮ่องเต้ ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยจึงจำต้องทำการตามคำสั่ง ดังนั้นหากจะเป็นความผิดก็ต้องเป็นความผิดของมหาอุปราชและแกฉง ไยจึงโยนความผิดให้ข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้ทำการตามคำสั่งเล่า
สุมาเจียวได้ยินดังนั้นก็โกรธ ตวาดด้วยเสียงอันดังว่าตัวมึงเป็นทหาร ไม่รู้หรือว่าคำสั่งใดผิดชอบชั่วดี คำสั่งใดจริงแลเท็จ ตัวมึงเป็นกบฏ ปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวแล้วยังจะป้ายผิดให้แก่ผู้บังคับบัญชาอีกเล่า กล่าวแล้วสุมาเจียวจึงสั่งให้ทหารรีบคุมตัวเซงเจเอาไปตัดศีรษะเสีย
เซงเจถูกจับกุมตัวก็ยิ่งโกรธ ร้องตะโกนด่าสุมาเจียวว่าตัวมึงคิดอ่านชิงเอาราชสมบัติและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสั่งการให้ปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัว สิยังป้ายผิดให้ผู้อื่นอีก ขอให้สวรรค์ได้ลงโทษตระกูลสุมาให้สาสม เซงเจร้องด่าไปจนเพชฌฆาตลงดาบประหารจึงสิ้นเสียง
เมื่อทหารคุมตัวเซงเจออกไปแล้ว สุมาเจียวได้สั่งให้ทหารไปจับตัวเซงจุยซึ่งเป็นผู้น้องของเซงเจ ตลอดจนพรรคพวกพี่น้องเอาไปควบคุมตัวไว้ทั้งสิ้น แต่สุมาเจียวกลับได้คิดว่าซึ่งเซงเจทำการไปทั้งนั้นหาใช่ความผิดของเซงเจโดยเฉพาะไม่ ในน้ำใจก็เกิดความสงสาร จึงเปลี่ยนโทษประหารเจ็ดชั่วโคตรเป็นให้ประหารเพียงสามชั่วโคตร นอกจากนั้นให้ปล่อยตัวเป็นอิสระแต่เนรเทศให้ไปอยู่ต่างเมือง
สุมาเจียวได้ไต่สวนความว่าในบรรดาขุนนางและทหารมหาดเล็กของพระเจ้าโจมอนั้น มีผู้ใดแข็งข้อหรือเป็นปรปักษ์บ้าง ครั้นได้ทราบว่าอองเก๋งเป็นคนเดียวที่ร้องด่าว่าเซงเจ สุมาเจียวจึงให้ทหารไปคุมตัวอองเก๋งและพรรคพวกเข้ามาเพื่อรับฟังคำสั่งวินิจฉัยโทษ
ในขณะนั้นอองเก๋งถูกควบคุมตัวอยู่ในคุกหลวงพร้อมกับมารดาและญาติพี่น้อง พอทหารมาเบิกตัวก็คิดถึงชะตากรรมว่าจะต้องถูกลงโทษประหารเป็นแน่แท้ จึงคุกเข่าคำนับมารดาแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าเสียทีเกิดมาชาติหนึ่ง อายุถึงป่านนี้แล้วยังไม่เคยได้ทดแทนพระคุณมารดาเลย กลับจะมาตายเสียเปล่า ๆ ให้รู้สึกเสียใจยิ่งนัก
มารดาของอองเก๋งได้ยินผู้บุตรกล่าวดังนั้น จึงตอบว่า “เกิดมาแล้วจะหนีความตายไปไหนพ้น ตัวเราถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะมีความสัตย์กตัญญูต่อเจ้า ก็จะปรากฏชื่อไปภายหน้า”
สุมาเจียวเห็นหน้าอองเก๋งก็จำได้ว่าเป็นขุนนางผู้ภักดีในพระเจ้าโจมอ จึงไม่ไต่ถามความประการอื่น สั่งทหารให้เอาตัวอองเก๋ง มารดา และญาติพี่น้องทั้งปวงไปประหารชีวิตจนหมดสิ้น ทหารและขุนนางทั้งปวงเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็พากันสงสาร พากันแอบร้องไห้ทั่วทุกตัวคน.
สุมาเจียวได้ยินคำพระเจ้าโจมอตรัสเป็นทำนองว่าเชิญทำอะไรตามอำเภอน้ำใจ ดังนั้นก็รู้ว่าทรงตรัสประชด จึงโกรธแค้นเป็นอันมาก กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านไม่รู้จักคุณเรา ทำโคลงเปรียบเทียบเราต่าง ๆ ท่านทำทั้งนี้เห็นชอบอยู่แล้วหรือ”
พระเจ้าโจมอทอดพระเนตรเห็นสุมาเจียวโกรธ หน้าตาแดงก่ำ จึงก้มพระพักตร์แต่มิได้ตรัสประการใด บรรยากาศในท้องพระโรงเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง สุมาเจียวจึงสั่งให้เลิกประชุมแล้วพาพรรคพวกเดินกลับออกไปโดยมิได้ถวายบังคม ขุนนางทั้งปวงเกรงอำนาจของสุมาเจียวจึงพากันกลับออกไป
พระเจ้าโจมอถูกทอดทิ้งอยู่ในท้องพระโรงแต่เพียงลำพัง จึงเสด็จลงจากพระราชบัลลังก์เข้าไปยังพระตำหนักที่ประทับ แล้วตรัสเรียกอองซิม อองเก๋ง และอองเหงียบ ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยเข้ามาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ แล้วตรัสว่า “บัดนี้สุมาเจียวทำบังอาจหยาบช้า เห็นจะเป็นขบถชิงเอาราชสมบัติเรา ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด”
อองเก๋งได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบทูลปรามพระเจ้าโจมอว่าความใหญ่ถึงเพียงนี้ พระองค์อย่าเพิ่งแพร่งพรายให้ผู้ใดได้ยินเป็นอันขาด มิฉะนั้นอันตรายจะมีมาถึงพระองค์ เพราะสุมาเจียวนั้นมีสมัครพรรคพวกทั้งข้างในและข้างนอกพระราชวังเป็นอันมาก
พระเจ้าโจมอได้ยินคำท้วงจึงลดพระสุรเสียงลง ตรัสว่ามันข่มเหงยำเยงเราถึงเพียงนี้ จะให้ทนอับอายขุนนางทั้งปวงไปถึงไหน ถึงแม้นจะตายก็ดีกว่าอยู่ให้เขารังแก เราจำจะต้องแก้ไขมิให้อัปยศแก่คนทั้งปวงสืบไป
ตรัสดังนั้นแล้วจึงโบกพระหัตถ์ขับขุนนางทั้งสามให้ออกไปจากพระตำหนัก แล้วเสด็จไปยังพระตำหนักของพระนางก๊วยไทเฮา เล่าความทั้งปวงให้ไทเฮาฟังทุกประการ
ฝ่ายสามขุนนางเมื่อเดินออกมาจากพระตำหนักแล้ว อองซิมหนึ่งในสามขุนนางได้ซุบซิบปรึกษากับเพื่อนสองขุนนางว่าพระเจ้าโจมอเยาว์พระปัญญา เจรจาความด้วยโทสะ ความคอขาดบาดตายฉกรรจ์ปานนี้กลับตรัสกับพวกเราโดยไม่เกรงหูคนจะได้ยิน หากความนี้แพร่งพรายล่วงรู้ไปหูของสุมาเจียวพวกเราก็จะพากันคอขาดสิ้น มิหนำซ้ำยังจะพาให้พี่น้องครอบครัวต้องถูกตัดหัวสามชั่วโคตรอีก กระนั้นเลยควรที่จะนำความไปออกตัวกับสุมาเจียวจึงจะพ้นอันตราย
อองเหงียบได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วย แต่อองเก๋งกลับท้วงว่าพวกเราเป็นข้าราชสำนัก ได้รับเบี้ยหวัดผ้าปี เป็นหนี้ข้าวแดงแกงร้อนนานหนักหนา ครั้นถึงคราเจ้าเราเดือดร้อนจะคิดอ่านเอาตัวรอดนั้นไม่ควร ชอบที่จะพลีชีพสนองคุณพระมหากษัตริย์จึงจะควร
เพื่อนสองขุนนางทั้งสองคนไม่ฟังคำทัดทาน อองเก๋งได้ทัดทานอีกหลายครั้งแต่เพื่อนสองขุนนางยังคงยืนกรานความคิดเดิม เมื่อไม่ตกลงกันอองเก๋งจึงแยกทางกลับไปเรือน แต่อองซิมและอองเหงียบเกรงภัยจะมาถึงตัว จึงนำความไปออกแก่สุมาเจียว เล่าความให้ทราบทุกประการ สุมาเจียวทราบความแล้วจึงสั่งให้แกฉงคุมทหารไปล้อมพระบรมมหาราชวังไว้ และเตรียมการที่จะถอดพระเจ้าโจมอออกจากตำแหน่งในวันรุ่งขึ้น
ฝ่ายพระเจ้าโจมอครั้นเล่าความให้พระนางก๊วยไทเฮาทราบความแล้ว เห็นไทเฮานิ่งอึ้งมิได้ตรัสประการใดก็ทรงพระโกรธ เสด็จกลับมายังพระตำหนัก ตรัสเรียกทหารองครักษ์สามร้อยคนและให้เตรียมรถพระที่นั่งจะเสด็จนำทหารองครักษ์ไปที่จวนมหาอุปราชเพื่อกำจัดสุมาเจียวเสีย
อองเก๋งเห็นพระเจ้าโจมอลุแก่โทสะจะยกทหารจำนวนน้อยไปรบกับสุมาเจียวก็ตกใจ จึงวิ่งเข้าไปคุกเข่าถวายบังคม ยุดชายพระภูษาของพระเจ้าโจมอ แล้วกราบทูลว่าซึ่งพระองค์จะยกทหารมหาดเล็กเพียงสามร้อยคนไปสู้รบปรบมือกับสุมาเจียวนั้นเสมือนหนึ่งแมลงเม่าบินเข้ากองไฟก็ไม่ปาน ด้วยสุมาเจียวคุมทหารไว้เป็นอันมาก ขอให้พระองค์ทรงยับยั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวังนี้ก่อนเถิด
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความตอนนี้ว่า อองเก๋งร้องไห้เข้าไปกราบทูลพระเจ้าโจมอว่า “ซึ่งพระองค์จะยกทหารสามร้อยไปรบกับสุมาเจียวนั้น เหมือนหนึ่งต้อนแพะเข้าไปในปากเสือ ขอพระองค์จงยับยั้งก่อน ตัวข้าพเจ้านี้ใช่จะรักชีวิตก็หาไม่ ตั้งใจจะทำราชการฉลองพระเดชพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต แต่ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าจะไปทำการบัดนี้ก็จะพากันตาย หาได้ท่วงทีไม่”
พระเจ้าโจมอกำลังลุแก่โทสะด้วยได้รับความอัปยศอดสูจากการกระทำของสุมาเจียวเป็นที่คับแค้นพระทัยนักจึงไม่ทรงฟังคำทัดทาน ตรัสสั่งให้ขบวนทหารเคลื่อนออกจากพระตำหนัก จะยกไปที่จวนมหาอุปราชสุมาเจียว
พระเจ้าโจมอคุมกำลังทหารมหาดเล็กเพียงสามร้อยคนยกออกจากพระตำหนัก แต่เมื่อยกไปใกล้จะถึงประตูหน้าพระบรมมหาราชวังก็ทอดพระเนตรเห็นแกฉงขี่ม้าถือทวนคุมขบวนทหารหนึ่งกองพันรักษาการณ์อยู่ที่หน้าประตูพระบรมมหาราชวัง มีเซงจุยยืนม้าขนาบอยู่ด้านขวา เซงเจยืนม้าขนาบอยู่ข้างซ้ายก็ทรงตกตะลึง แต่มิทันที่จะทำประการใด แกฉงก็สั่งทหารให้จู่โจมเข้าตีกองทหารของพระเจ้าโจมอ
พระเจ้าโจมอตกพระทัยแต่กุมพระสติได้ จึงประทับยืนบนรถพระที่นั่ง เอาพระแสงกระบี่ชี้ไปที่แกฉงและทหาร แล้วตรัสว่า “ตัวเราเป็นกษัตริย์ อ้ายเหล่านี้ทำบังอาจหักหาญเข้ามาจะทำร้ายเราหรือ”
อำนาจแห่งพระบารมีของพระมหากษัตริย์และความฝังใจในเหล่าทหารยังหนาแน่น แกฉงและทหารได้ยินพระสุรเสียงดังนั้นจึงพากันตกตะลึง ชะงักนิ่งอยู่กับที่ แล้วค่อย ๆ ร่นถอยกลับไปอยู่ที่เดิม
แกฉงตั้งสติได้รู้สึกตัวว่าซึ่งพากันถอยร่นมาฉะนี้มิชอบ จึงกล่าวกับเซงเจว่า มหาอุปราชเลี้ยงทหารพันวันก็เพื่อช่วงใช้เพียงวันเดียว วันนั้นมาถึงแล้ว ไฉนจึงล่าถอยกลับกันมาเสียเล่า
เซงเจได้ฟังก็ได้คิด จึงกล่าวว่าท่านจะให้จับเป็นหรือจับตาย ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะทำตามคำสั่ง แกฉงจึงว่ามหาอุปราชได้สั่งไว้ว่า ถ้ายอมจำนนให้จับเป็น แต่ถ้าต่อสู้ก็ให้จับตาย จงเร่งทำการเถิด
เซงเจได้ยินดังนั้นจึงถือง้าวเร่งม้าออกไปที่หน้ารถพระที่นั่ง พระเจ้าโจมอทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ตกพระทัยแต่ข่มพระสติไว้ แล้วทรงตวาดและตรัสว่า มึงยังไม่สำนึกผิดชอบชั่วดีอีกหรือ จึงคิดจะกบฏดังนี้
เซงเจพุ่งม้าเข้ามาเหมือนหนึ่งไม่ได้ยิน พอได้ระยะแทงเซงเจจึงเอาง้าวแทงพระเจ้าโจมอถูกที่พระอุระ พระเจ้าโจมอพลัดตกลงจากรถพระที่นั่ง เซงเจควบม้าพุ่งปราดเข้าไปหาแล้วเอาง้าวตัดพระเศียรของพระเจ้าโจมอ
เหตุการณ์เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทำให้ทหารมหาดเล็กของพระเจ้าโจมอพากันตกตะลึงพรึงเพริด แต่เจียวเป๊กซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ตั้งสติได้ก่อน เห็นเหตุการณ์ที่เซงเจควบม้าเข้ามาจะตัดพระเศียรของพระเจ้าโจมอ จึงพุ่งม้าออกไปจะสกัดหน้าเซงเจไว้แต่ไม่ทันท่วงที
เซงเจตัดศีรษะพระเจ้าโจมอแล้วเหลือบมาเห็นเจียวเป๊กขี่ม้าตรงเข้ามา จึงควบม้าเข้าไปหาเจียวเป๊ก ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันไม่ทันถึงเพลงเซงเจก็เอาง้าวฟันเจียวเป๊กตกม้าตาย
ทหารมหาดเล็กของพระเจ้าโจมอเห็นพระเจ้าโจมอถูกปลงพระชนม์จึงพากันแตกตื่นตกใจวิ่งหนี แต่อองเก๋งนั้นมีน้ำใจภักดีต่อเจ้า ร้องด่าเซงเจว่าอ้ายขบถ มึงเป็นแต่เพียงไพร่ ไฉนจึงบังอาจปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวเล่า
เซงเจได้ยินดังนั้นก็โกรธ แต่เห็นอองเก๋งไม่มีอาวุธ จึงสั่งทหารให้จับตัวอองเก๋งแล้วนำไปมอบแก่สุมาเจียวที่จวน พร้อมกับรายงานความให้สุมาเจียวทราบทุกประการ
สุมาเจียวทราบความเห็นเป็นเรื่องใหญ่ก็ตกใจ รีบพาทหารไปที่ประตูพระบรมมหาราชวัง เห็นพระบรมศพของพระเจ้าโจมอทอดอยู่ที่พื้นข้างรถพระที่นั่ง จึงคุกเข่าลงถวายบังคมทำทีเป็นร้องไห้รำพัน
ในขณะนั้นขุนนางจำนวนมากทราบข่าวการเสด็จสวรรคตจึงพากันมาที่ประตูหน้าพระบรมมหาราชวัง ฝ่ายสุมาหูขุนนางผู้ใหญ่เห็นพระบรมศพอยู่ในสภาพอเนจอนาถก็สงสาร จึงเข้าไปคุกเข่าถวายบังคมแล้วร้องไห้ ครั้นลุกขึ้นแล้วจึงกล่าวกับขุนนางทั้งปวงว่า คนขบถปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์มีโทษอุกฤตถึงขั้นประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตร
ขุนนางทั้งปวงพากันร้องห่มร้องไห้ตามประเพณีเอาใจเจ้า สุมาเจียวเห็นดังนั้นจึงสั่งให้อัญเชิญพระบรมศพเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง และให้ตั้งการพิธีพระบรมศพที่พระตำหนักใหญ่ด้านทิศตะวันตก พอเชิญโลงพระบรมศพขึ้นบนพระแท่นตามประเพณีแล้วสุมาเจียวจึงพาขุนนางทั้งปวงไปที่ท้องพระโรง แล้วปรึกษาความกับขุนนางทั้งปวงว่าบัดนี้มีผู้ลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด
ต้านท่ายไม่รู้ความนัย ทั้งมีเรื่องขุ่นใจแกฉงมาแต่ก่อน จึงกล่าวขึ้นท่ามกลางมหาสมาคมว่า ซึ่งเกิดเหตุร้ายจนเป็นเหตุให้เสด็จสวรรคตในครั้งนี้เป็นเพราะแกฉงเป็นผู้ทำการ จึงชอบที่จะจับแกฉงประหารชีวิตเสียตามกฎมณเฑียรบาล
สุมาเจียวได้ยินต้านท่ายดังนั้นก็ขัดใจ จึงกล่าวว่าท่านมีพยานหลักฐานอันใดว่าแกฉงเป็นผู้ลงมือปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัว เพราะตามทางสอบสวนเบื้องต้นปรากฏว่าแม้แกฉงจะอยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่ไม่ใช่คนที่ลงมือปลงพระชนม์ เซงเจต่างหากซึ่งคิดการขบถ ทำการปลงพระชนม์องค์พระจักรพรรดิ ควรที่จะจับเซงเจประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตรจึงจะชอบ
ต้านท่ายได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าสุมาเจียวปกป้องแกฉง ปัดผิดให้แก่เซงเจ แม้หากจะดึงดันทัดทานต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด ดีร้ายเภทภัยจะตกมาถึงตัว จึงก้มหน้านิ่ง ในทันใดนั้นทุกคนก็ต้องตกตะลึงงันเพราะเซงเจได้กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า เหตุไฉนมหาอุปราชจึงมาป้ายผิดให้ข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวนั้นก็เพราะแกฉงซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสั่งว่ามหาอุปราชมีคำสั่งให้ปลงพระชนม์ของฮ่องเต้ ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยจึงจำต้องทำการตามคำสั่ง ดังนั้นหากจะเป็นความผิดก็ต้องเป็นความผิดของมหาอุปราชและแกฉง ไยจึงโยนความผิดให้ข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้ทำการตามคำสั่งเล่า
สุมาเจียวได้ยินดังนั้นก็โกรธ ตวาดด้วยเสียงอันดังว่าตัวมึงเป็นทหาร ไม่รู้หรือว่าคำสั่งใดผิดชอบชั่วดี คำสั่งใดจริงแลเท็จ ตัวมึงเป็นกบฏ ปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวแล้วยังจะป้ายผิดให้แก่ผู้บังคับบัญชาอีกเล่า กล่าวแล้วสุมาเจียวจึงสั่งให้ทหารรีบคุมตัวเซงเจเอาไปตัดศีรษะเสีย
เซงเจถูกจับกุมตัวก็ยิ่งโกรธ ร้องตะโกนด่าสุมาเจียวว่าตัวมึงคิดอ่านชิงเอาราชสมบัติและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสั่งการให้ปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัว สิยังป้ายผิดให้ผู้อื่นอีก ขอให้สวรรค์ได้ลงโทษตระกูลสุมาให้สาสม เซงเจร้องด่าไปจนเพชฌฆาตลงดาบประหารจึงสิ้นเสียง
เมื่อทหารคุมตัวเซงเจออกไปแล้ว สุมาเจียวได้สั่งให้ทหารไปจับตัวเซงจุยซึ่งเป็นผู้น้องของเซงเจ ตลอดจนพรรคพวกพี่น้องเอาไปควบคุมตัวไว้ทั้งสิ้น แต่สุมาเจียวกลับได้คิดว่าซึ่งเซงเจทำการไปทั้งนั้นหาใช่ความผิดของเซงเจโดยเฉพาะไม่ ในน้ำใจก็เกิดความสงสาร จึงเปลี่ยนโทษประหารเจ็ดชั่วโคตรเป็นให้ประหารเพียงสามชั่วโคตร นอกจากนั้นให้ปล่อยตัวเป็นอิสระแต่เนรเทศให้ไปอยู่ต่างเมือง
สุมาเจียวได้ไต่สวนความว่าในบรรดาขุนนางและทหารมหาดเล็กของพระเจ้าโจมอนั้น มีผู้ใดแข็งข้อหรือเป็นปรปักษ์บ้าง ครั้นได้ทราบว่าอองเก๋งเป็นคนเดียวที่ร้องด่าว่าเซงเจ สุมาเจียวจึงให้ทหารไปคุมตัวอองเก๋งและพรรคพวกเข้ามาเพื่อรับฟังคำสั่งวินิจฉัยโทษ
ในขณะนั้นอองเก๋งถูกควบคุมตัวอยู่ในคุกหลวงพร้อมกับมารดาและญาติพี่น้อง พอทหารมาเบิกตัวก็คิดถึงชะตากรรมว่าจะต้องถูกลงโทษประหารเป็นแน่แท้ จึงคุกเข่าคำนับมารดาแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าเสียทีเกิดมาชาติหนึ่ง อายุถึงป่านนี้แล้วยังไม่เคยได้ทดแทนพระคุณมารดาเลย กลับจะมาตายเสียเปล่า ๆ ให้รู้สึกเสียใจยิ่งนัก
มารดาของอองเก๋งได้ยินผู้บุตรกล่าวดังนั้น จึงตอบว่า “เกิดมาแล้วจะหนีความตายไปไหนพ้น ตัวเราถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะมีความสัตย์กตัญญูต่อเจ้า ก็จะปรากฏชื่อไปภายหน้า”
สุมาเจียวเห็นหน้าอองเก๋งก็จำได้ว่าเป็นขุนนางผู้ภักดีในพระเจ้าโจมอ จึงไม่ไต่ถามความประการอื่น สั่งทหารให้เอาตัวอองเก๋ง มารดา และญาติพี่น้องทั้งปวงไปประหารชีวิตจนหมดสิ้น ทหารและขุนนางทั้งปวงเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็พากันสงสาร พากันแอบร้องไห้ทั่วทุกตัวคน.