ตอนที่ 626. ศึกวุยก๊กครั้งที่หก
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยหนึ่งพรรษา เดือนสาม เป็นเทศกาลสิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ พระเจ้าซุนฮิวกำจัดซุนหลิม จัดแจงบ้านเมืองจนเป็นปกติแล้วจึงจำเริญพระราชไมตรีไปยังเมืองเสฉวน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของเมืองกังตั๋ง พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงโปรดเกล้าตั้งราชทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการไปเมืองกังตั๋ง จำเริญราชไมตรีตอบแทนตามธรรมเนียม
พระเจ้าซุนฮิวแม้ว่าจะเพิ่งเสวยราชย์ใหม่ ๆ แต่ทรงมีสติปัญญา ครั้นได้ฟังชีฮู ข้าราชสำนักเสฉวนซึ่งเป็นขุนนางจำพวกข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย เอาความลับของเจ้าไปแพร่งพรายในต่างเมืองให้ผิดประเพณีไป ก็ทรงรู้ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองของจ๊กก๊กกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต เพราะการที่ขันทีมีอิทธิพลเหนือพระมหากษัตริย์คือลางร้ายของแผ่นดิน มีอนาคตที่ราชบัลลังก์จะต้องดับสูญโดยไม่ต้องสงสัย ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ถึงความจริงข้อนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ยุคใดสมัยใดที่ขันทีกำเริบเสิบสานถึงขั้นรับสินบาทคาดสินบน ขายตำแหน่งสำคัญในบ้านเมืองได้ ย่อมแสดงว่าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ซ่องเสพหมกมุ่นอยู่กับเมถุนธรรมและสุราจนราชการบ้านเมืองวิปริตผันแปรไป แต่ทรงเห็นว่าถ้าหากเมืองเสฉวนมีอันต้องเป็นไป ภัยก็ย่อมมาถึงเมืองกังตั๋งด้วย
พระเจ้าซุนฮิวมีพระราชดำริดังนั้นแล้วจึงทรงทอดถอนพระทัยใหญ่ รับสั่งโดยไม่ทันระวังพระองค์ว่า “ถ้าขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ ที่ไหนการแผ่นดินเมืองเสฉวนจะเป็นถึงเพียงนี้”
เตงฮองขุนพลผู้เฒ่าได้ยินกระแสพระราชดำรัสดังนั้นเห็นว่าไม่ต้องด้วยประเพณีและธรรมเนียมการรับทูตต่างเมือง แต่ครั้นจะกราบทูลตักเตือนท่ามกลางมหาสมาคมต่อหน้าราชทูตเมืองเสฉวน ก็เกรงว่าจะกระทบต่อพระบรมเดชานุภาพ จึงแกล้งเอามือเกาศีรษะ พระเจ้าซุนฮิวทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ทรงรู้นัย จึงเปลี่ยนเรื่องตรัสถามถึงเรื่องเหตุการณ์ทั่วไป
พระเจ้าซุนฮิวเกรงว่าเมืองกังตั๋งจะเป็นอันตรายตามเมืองเสฉวน จึงโปรดให้แต่งพระราชสาส์นถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า “บัดนี้สุมาเจียวคิดการใหญ่ จะชิงเอาสมบัติในเมืองลกเอี๋ยง แม้สุมาเจียวสำเร็จความคิดแล้วเห็นจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งแลเมืองเสฉวนเป็นมั่นคง ให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนคิดอ่านตระเตรียมทหารป้องกันรักษาเมืองจงดีอย่าประมาท”
ครั้นแต่งพระราชสาส์นเสร็จแล้ว พระเจ้าซุนฮิวจึงพระราชทานพระราชสาส์นนั้นแก่ราชทูตเมืองเสฉวนให้นำไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน
ราชทูตกลับถึงเมืองเสฉวนแล้ว จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบ ทรงโปรดให้อาลักษณ์อ่านพระราชสาส์นของพระเจ้าซุนฮิวในท้องพระโรงให้ขุนนางทั้งปวงได้ทราบทั่วกัน
เกียงอุยได้ฟังพระราชสาส์นแล้วต้องด้วยความคิดตัว จึงเข้าไปถวายบังคมกราบทูลว่า ราชสมบัติเมืองลกเอี๋ยงจักแหล่นจะเสียแก่พวกแซ่สุมาอยู่แล้ว บ้านเมืองกำลังร่วงโรย ข้าพเจ้าขออาสายกกองทัพไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยง ตัดกำลังสุมาเจียวเสียก่อน เมืองเสฉวนจึงจะไม่เป็นอันตราย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำทูลต้องด้วยพระราชสาส์นของพระเจ้าซุนฮิวแล้วทรงเห็นชอบ โปรดเกล้าตั้งให้เกียงอุยเป็นแม่ทัพยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยสองพรรษา เดือนสี่ เกียงอุยได้เคลื่อนกองทัพออกจากเมืองฮันต๋งบุกวุยก๊กครั้งที่หก ให้เลียวฮัวและเตียวเอ๊กเป็นกองทัพหน้า ให้อองหำและเจียวปินเป็นปีกขวา ให้เจียวสีและเปาเขียมเป็นปีกซ้าย ให้ออเจ๊กกับหัวสิบเป็นกองทัพหลัง เกียงอุยคุมกองทัพหลวง แฮหัวป๋าเป็นเสนาธิการ ยกพลยี่สิบหมื่นรุกสู่แดนวุยก๊ก
ฝ่ายเตงงายหลังจากทำกลล่อลวงจนเกียงอุยต้องถอยทัพกลับเข้าไปเมืองฮันต๋งแล้ว ได้เสนอสุมาเจียวว่า เกียงอุยถอยทัพกลับเข้าเมืองฮันต๋งครั้งนี้เห็นทีไม่นานจะยกกองทัพกลับมาทำการใหม่ ข้าพเจ้าจะขอตั้งกองทัพอยู่ที่ตำบลเขากิสานรอรับศึกเกียงอุยต่อไป
สุมาเจียวจึงว่า ก็แลเมื่อเกียงอุยเพิ่งเลิกทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง ชอบที่ท่านจะเข้ามาพักในเมืองลกเอี๋ยงให้เป็นที่สบายก่อน ไว้เมื่อได้ข่าวศึกเมืองเสฉวนยกมาแล้วจึงค่อยออกไปรับมือ
เตงงายได้แย้งว่า เกียงอุยเลียนแบบอย่างของขงเบ้งคิดกำเริบ นึกอยากจะยกมาบุกวุยก๊กก็ยกมา นึกอยากจะถอยก็ถอยกลับไป ข้าพเจ้าละอายใจนัก ดังนั้นจะคิดอ่านเตรียมการตระเตรียมภูมิประเทศไว้ให้พร้อม จึงจะทำการกับเกียงอุยได้ถนัด การจะพักผ่อนหาความสุขนั้นเป็นที่ปรารถนาของทุกคน แต่ข้าพเจ้าเป็นทหาร จะพักผ่อนหาความสุขในขณะที่ใจห่วงใยบ้านเมืองนั้นทำไม่ลงเลย
สุมาเจียวเห็นเตงงายยืนยันความคิดดังนั้น จึงอนุญาตให้เตงงายจัดแจงทหารเตรียมการรับมือกองทัพเมืองเสฉวน เตงงายคำนับลาสุมาเจียวแล้วจึงกลับไปที่ตำบลเขากิสาน
ในแต่ละวันเตงงายได้ออกสำรวจตรวจตราภูมิประเทศที่ขงเบ้งเคยตั้งค่าย พิเคราะห์ดูลักษณะภูมิประเทศจนถี่ถ้วนแล้ว จึงกล่าวกับแม่ทัพนายกองผู้ใต้บังคับบัญชาว่า หากเกียงอุยยกมาที่ตำบลเขากิสานย่อมจะต้องตั้งค่ายในบริเวณใกล้เคียงกับที่เคยตั้ง จึงสั่งทหารให้ขุดอุโมงค์เป็นโยงใยใต้พื้นดินทั่วทั้งเขากิสาน เชื่อมโยงมาถึงที่ตั้งค่ายของกองทัพวุยก๊ก
ครั้นขุดอุโมงค์เสร็จแล้ว เตงงายจึงทำการฝึกปรือทหารทั้งการรบธรรมดาและการรบแบบขบวนพยุหะ และให้ทหารลาดตระเวนสอดแนมทุกตำบลมิได้ขาด
ฝ่ายเกียงอุยเคลื่อนทัพออกจากเมืองฮันต๋งแล้วยกตรงไปที่ตำบลเขากิสาน ครั้นยกไปใกล้ตำบลเขากิสานได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมว่าเตงงายได้คุมกองทัพวุยก๊กมาตั้งขัดตาทัพอยู่ที่ตำบลเขากิสานเช่นเดียวกัน ดังนั้นเกียงอุยจึงให้ตั้งค่ายใหญ่ไว้ที่เนินเขากิสานเป็นสามค่ายใกล้ ๆ กับค่ายเดิมซึ่งกองทัพเมืองเสฉวนเคยยกมาตั้งในการทำศึกคราวก่อน โดยหารู้ไม่ว่าได้ตั้งค่ายไว้ในบริเวณที่เตงงายได้ขุดอุโมงค์เตรียมการไว้ก่อนแล้ว
ครั้นตั้งค่ายเสร็จเกียงอุยจึงสั่งทหารให้เคร่งครัดกวดขันในระเบียบวินัยทั้งในการตั้งรับ การรบรุก และการรักษาเวรยามมิให้ประมาทแก่ข้าศึก ทั้งกำชับว่าการที่ข้าศึกยกกองทัพมาตั้งขัดตาทัพล่วงหน้าดังนี้ แสดงให้เห็นความพร้อมรบของข้าศึก จึงให้ทุกหน่วยเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีทุกเมื่อ
ฝ่ายเตงงายครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าเกียงอุยยกกองทัพจ๊กก๊กมาตั้งค่ายอยู่บนพื้นที่ขุดอุโมงค์ตามแผนการก็ดีใจ พาทหารคนสนิทขึ้นไปบนเนินเขา ดูค่ายของเกียงอุยเปรียบเทียบกับพิกัดซึ่งได้ขุดอุโมงค์ไว้ แล้วพาทหารกลับมาค่าย
เตงงายเรียกประชุมแม่ทัพนายกองแล้วกล่าวว่า เราได้คาดหมายว่าเกียงอุยยกกองทัพมา บัดนี้สมคะเนแล้ว ค่ายของเกียงอุยตั้งอยู่ใกล้กับแนวอุโมงค์ซึ่งขุดเตรียมไว้ กล่าวแล้วจึงสั่งทหารช่างให้ขุดอุโมงค์เชื่อมโยงจากแนวอุโมงค์เดิมต่อไปจนถึงหลังค่ายของเกียงอุย เตรียมการให้พร้อมที่จะเจาะทะลุขึ้นไปบนพื้นดินแล้วเข้าโจมตีทหารของเกียงอุยโดยไม่ให้ทันรู้ตัว
ทหารช่างชาววุยก๊กได้ลอบขุดอุโมงค์ตามคำสั่งของเตงงายตั้งแต่คืนวันนั้น พอใกล้รุ่งก็แล้วเสร็จ ครั้นเวลาบ่ายเตงงายจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง ตั้งให้เตงต๋งผู้บุตรและสูกี๋คุมทหารหมื่นหนึ่งยกไปท้ารบกับเกียงอุยที่หน้าค่าย ให้เตงหลุนคุมทหารห้าร้อยลอบเข้าไปในอุโมงค์ เมื่อใดที่ได้ยินเสียงการต่อสู้ข้างบนก็ให้เจาะอุโมงค์บุกขึ้นไปข้างบน ชิงเอาค่ายของเกียงอุยให้ได้ แม่ทัพนายกองทั้งปวงรับคำสั่งของเตงงายแล้วพากันออกไปจัดแจงทหารตามแผนการ
ฝ่ายอองหำและเจียวปินคุมทหารรักษาค่ายหน้า ครั้นเห็นเตงต๋งและสูกี๋ยกทหารมาท้ารบอยู่หน้าค่าย จึงสั่งเตรียมทหารจะยกออกไปรบ แต่พอเสียงสัญญาณแตรเขาควายระดมพลดังขึ้น ทหารของเตงต๋งและสูกี๋กลับเคลื่อนขบวนจะถอยกลับไปค่าย อองหำและเจียวปินจึงให้ทหารคุมเชิงอยู่ในค่าย แต่พอสัญญาณระดมพลเงียบเสียงลง ทหารวุยก๊กก็ยกมาท้ารบอีก ครั้นทหารเมืองเสฉวนจะยกออกไปรบก็พากันถอยกลับไปหลอกล่อกันอยู่ดังนี้จนกระทั่งถึงเวลาเย็น
อองหำและเจียวปินเห็นทีท่าทหารวุยก๊กทำทีเป็นบุกและถอยดังนั้น จึงคิดว่ากองทัพวุยก๊กทำการฉะนี้เห็นทีจะมีอุบายประการใดประการหนึ่ง ดังนั้นพอค่ำลง อองหำและเจียวปินจึงให้ทหารผลัดกันกินข้าว แล้วเตรียมพร้อมรบอยู่ภายในค่าย กำชับไม่ให้ถอดเกราะออกจากตัว ให้พร้อมที่จะรบพุ่งได้ทุกเมื่อ
ครั้นเวลาใกล้สองยาม เตงต๋งและสูกี๋ได้คุมทหารหักเข้าตีค่ายของอองหำและเจียวปิน ในขณะที่ทหารจ๊กก๊กสาละวนป้องกันรักษาค่ายนั้น พลันได้ยินเสียงแตกฮือขึ้นจากข้างในค่าย จึงพากันแตกตื่นตกใจ กว่าจะรู้ตัวก็เห็นทหารวุยก๊กอยู่ข้างในค่ายเป็นอันมาก แต่ไม่รู้จำนวนเท่าใดเนื่องจากเป็นเวลากลางคืน จึงพากันแตกตื่นตกใจวิ่งหนี
ทหารวุยก๊กทั้งด้านนอกค่ายและข้างในค่ายรุกรบจู่โจมประสานกันอย่างใกล้ชิดนอกเหนือความคาดคิดของอองหำและเจียวปิน เพียงครู่หนึ่งอองหำและเจียวปินเห็นว่าจะป้องกันรักษาค่ายไว้ไม่ได้ จึงพาทหารหนีออกจากค่าย
ฝ่ายเกียงอุยรักษาค่ายกลาง ได้ยินเสียงสู้รบเกิดขึ้นทางค่ายขวา จึงสั่งให้ทหารตั้งสติให้มั่น อย่าได้เคลื่อนไหววิ่งไปมา ด้านหน้าให้พลเกาทัณฑ์เตรียมระดมยิงข้าศึกที่จะบุกเข้ามาจู่โจม ข้างในค่ายให้ระมัดระวังกวดขันคนแปลกปลอม หากใครเดินวิ่งผิดปกติภายในค่ายก็ให้สังหารได้ทันที เกียงอุยสั่งการแล้วจึงขี่ม้าตรวจตราบัญชาการอยู่ภายในค่าย
ฝ่ายเตงต๋งและสูกี๋ครั้นตีค่ายขวาของอองหำและเจียวปินได้แล้ว จึงยกทหารจะหักเข้าตีค่ายกลางของเกียงอุย ด้วยสำคัญว่าทหารจ๊กก๊กในค่ายกลางคงจะแตกตื่นตกใจไม่เป็นขบวน แล้วจะแตกตามค่ายขวาไป
ทหารวุยก๊กโห่ร้องฮือกรูกันจะหักเข้าตีค่ายกลางพร้อมกันทั้งสามด้าน แต่พอเข้าไปใกล้ห่าเกาทัณฑ์กลตามตำราของขงเบ้งได้ถูกระดมยิงออกมาอย่างฉับพลัน ถูกทหารของเตงต๋งและสูกี๋บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
เตงต๋งและสูกี๋สำคัญว่ากองทัพจ๊กก๊กระส่ำระสาย ถึงจะยิงเกาทัณฑ์มาสกัดก็เป็นเพียงการสกัดอำพรางการถอย ดังนั้นจึงคุมทหารเข้าตีอีกหลายระลอก แต่ทุกระลอกก็ถูกระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์กลบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก จนใกล้สว่างเตงต๋งเห็นทหารเหลืออยู่จำนวนน้อยก็ตกใจ รีบสั่งทหารให้ถอยทัพกลับไปค่าย รายงานความให้เตงงายทราบทุกประการ
ฝ่ายอองหำและเจียวปินพาทหารหนีไปได้ร้อยเส้นเศษ ได้ยินเสียงสู้รบเกิดขึ้นที่ค่ายกลางจึงพาทหารย้อนกลับมา แต่ไม่แน่ใจว่าข้าศึกมากและน้อยประการใด จึงตั้งมั่นคุมเชิงอยู่ห่าง ๆ จนกระทั่งฟ้าสางจึงคุมทหารจะยกเข้าตีกระหนาบ แต่ทหารวุยก๊กได้ยกหนีไปก่อน จึงเข้าไปหาเกียงอุย สารภาพผิดและวิงวอนขอให้ยกโทษ
เกียงอุยจึงว่าเหตุทั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของพวกท่าน หากเป็นความผิดของข้าพเจ้าที่มิได้สำรวจตรวจตราภูมิประเทศให้ถี่ถ้วน จงตั้งหน้าทำการสนองพระคุณเจ้าต่อไปเถิด กล่าวแล้วเกียงอุยจึงสั่งให้อองหำและเจียวปินพาทหารกลับไปรักษาค่ายเก่าตามเดิม
อองหำและเจียวปินกลับไปถึงค่ายแล้ว จัดแจงแต่งซ่อมค่าย และสั่งทหารให้เก็บศพทหารวุยก๊กและจ๊กก๊กถมลงไปในอุโมงค์ และเอาดินเกลี่ยกลบจนเต็ม
ฝ่ายเตงงายเมื่อได้ทราบรายงานการศึกจากเตงต๋งผู้บุตรแล้ว จึงกล่าวว่าเสียแรงเราขุดอุโมงค์เตรียมการไว้เป็นอย่างดี นึกไม่ถึงว่าแผนการอุโมงค์อันลึกลับจะไม่สามารถทำลายกองทัพเมืองเสฉวนให้พินาศถอยหนีกลับเข้าแดนฮันต๋งได้ เกียงอุยนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก เห็นเหตุแล้วตั้งหลักมั่นไม่ยกออกไปช่วยค่ายขวา หาไม่แล้วก็จะแตกพ่ายไปทั้งสามค่าย นี่สมแล้วที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากขงเบ้ง จึงสามารถฝึกฝนทหารให้มีระเบียบวินัยและขวัญกำลังใจในทุกกระบวนรบได้อย่างดีเยี่ยม สามารถรับมือการบุกรุกโจมตีในเวลากลางคืนทั้งบนดินและใต้ดินได้อย่างมั่นคง มิได้เสียกระบวนแม้แต่น้อย
เกียงอุยเห็นอองหำและเจียวปินซ่อมแต่งค่ายเก่าจนแข็งแรงมั่นคงดังเดิมแล้ว และเห็นว่ากองทัพวุยก๊กประสบความเสียหายอย่างหนักจนต้องพักรบสงบนิ่ง ดังนั้นเกียงอุยจึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปให้เตงงาย ท้าให้ยกทหารออกมารบกันด้วยค่ายกลพยุหะ
เตงงายรับหนังสือเกียงอุยแล้วตอบรับคำท้า และสั่งทหารให้กลับไปบอกเกียงอุยว่าให้เกียงอุยเตรียมตัวให้พร้อมเถิด เราจะรบกันให้ประจักษ์ฝีมือแก่สายตาทหารทั้งปวง
วันรุ่งขึ้นพอฟ้าสางกองทัพของทั้งสองฝ่ายได้ยกออกไปตั้งขบวนรบเผชิญหน้ากันที่ทุ่งราบกว้างข้างภูเขากิสาน ธงทิวปลิวไสวประสานกับเสียงม้าล่อฆ้องกลองดังกึกก้อง.
พระเจ้าซุนฮิวแม้ว่าจะเพิ่งเสวยราชย์ใหม่ ๆ แต่ทรงมีสติปัญญา ครั้นได้ฟังชีฮู ข้าราชสำนักเสฉวนซึ่งเป็นขุนนางจำพวกข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย เอาความลับของเจ้าไปแพร่งพรายในต่างเมืองให้ผิดประเพณีไป ก็ทรงรู้ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองของจ๊กก๊กกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต เพราะการที่ขันทีมีอิทธิพลเหนือพระมหากษัตริย์คือลางร้ายของแผ่นดิน มีอนาคตที่ราชบัลลังก์จะต้องดับสูญโดยไม่ต้องสงสัย ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ถึงความจริงข้อนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ยุคใดสมัยใดที่ขันทีกำเริบเสิบสานถึงขั้นรับสินบาทคาดสินบน ขายตำแหน่งสำคัญในบ้านเมืองได้ ย่อมแสดงว่าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ซ่องเสพหมกมุ่นอยู่กับเมถุนธรรมและสุราจนราชการบ้านเมืองวิปริตผันแปรไป แต่ทรงเห็นว่าถ้าหากเมืองเสฉวนมีอันต้องเป็นไป ภัยก็ย่อมมาถึงเมืองกังตั๋งด้วย
พระเจ้าซุนฮิวมีพระราชดำริดังนั้นแล้วจึงทรงทอดถอนพระทัยใหญ่ รับสั่งโดยไม่ทันระวังพระองค์ว่า “ถ้าขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ ที่ไหนการแผ่นดินเมืองเสฉวนจะเป็นถึงเพียงนี้”
เตงฮองขุนพลผู้เฒ่าได้ยินกระแสพระราชดำรัสดังนั้นเห็นว่าไม่ต้องด้วยประเพณีและธรรมเนียมการรับทูตต่างเมือง แต่ครั้นจะกราบทูลตักเตือนท่ามกลางมหาสมาคมต่อหน้าราชทูตเมืองเสฉวน ก็เกรงว่าจะกระทบต่อพระบรมเดชานุภาพ จึงแกล้งเอามือเกาศีรษะ พระเจ้าซุนฮิวทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ทรงรู้นัย จึงเปลี่ยนเรื่องตรัสถามถึงเรื่องเหตุการณ์ทั่วไป
พระเจ้าซุนฮิวเกรงว่าเมืองกังตั๋งจะเป็นอันตรายตามเมืองเสฉวน จึงโปรดให้แต่งพระราชสาส์นถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า “บัดนี้สุมาเจียวคิดการใหญ่ จะชิงเอาสมบัติในเมืองลกเอี๋ยง แม้สุมาเจียวสำเร็จความคิดแล้วเห็นจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งแลเมืองเสฉวนเป็นมั่นคง ให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนคิดอ่านตระเตรียมทหารป้องกันรักษาเมืองจงดีอย่าประมาท”
ครั้นแต่งพระราชสาส์นเสร็จแล้ว พระเจ้าซุนฮิวจึงพระราชทานพระราชสาส์นนั้นแก่ราชทูตเมืองเสฉวนให้นำไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน
ราชทูตกลับถึงเมืองเสฉวนแล้ว จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบ ทรงโปรดให้อาลักษณ์อ่านพระราชสาส์นของพระเจ้าซุนฮิวในท้องพระโรงให้ขุนนางทั้งปวงได้ทราบทั่วกัน
เกียงอุยได้ฟังพระราชสาส์นแล้วต้องด้วยความคิดตัว จึงเข้าไปถวายบังคมกราบทูลว่า ราชสมบัติเมืองลกเอี๋ยงจักแหล่นจะเสียแก่พวกแซ่สุมาอยู่แล้ว บ้านเมืองกำลังร่วงโรย ข้าพเจ้าขออาสายกกองทัพไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยง ตัดกำลังสุมาเจียวเสียก่อน เมืองเสฉวนจึงจะไม่เป็นอันตราย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำทูลต้องด้วยพระราชสาส์นของพระเจ้าซุนฮิวแล้วทรงเห็นชอบ โปรดเกล้าตั้งให้เกียงอุยเป็นแม่ทัพยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยสองพรรษา เดือนสี่ เกียงอุยได้เคลื่อนกองทัพออกจากเมืองฮันต๋งบุกวุยก๊กครั้งที่หก ให้เลียวฮัวและเตียวเอ๊กเป็นกองทัพหน้า ให้อองหำและเจียวปินเป็นปีกขวา ให้เจียวสีและเปาเขียมเป็นปีกซ้าย ให้ออเจ๊กกับหัวสิบเป็นกองทัพหลัง เกียงอุยคุมกองทัพหลวง แฮหัวป๋าเป็นเสนาธิการ ยกพลยี่สิบหมื่นรุกสู่แดนวุยก๊ก
ฝ่ายเตงงายหลังจากทำกลล่อลวงจนเกียงอุยต้องถอยทัพกลับเข้าไปเมืองฮันต๋งแล้ว ได้เสนอสุมาเจียวว่า เกียงอุยถอยทัพกลับเข้าเมืองฮันต๋งครั้งนี้เห็นทีไม่นานจะยกกองทัพกลับมาทำการใหม่ ข้าพเจ้าจะขอตั้งกองทัพอยู่ที่ตำบลเขากิสานรอรับศึกเกียงอุยต่อไป
สุมาเจียวจึงว่า ก็แลเมื่อเกียงอุยเพิ่งเลิกทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง ชอบที่ท่านจะเข้ามาพักในเมืองลกเอี๋ยงให้เป็นที่สบายก่อน ไว้เมื่อได้ข่าวศึกเมืองเสฉวนยกมาแล้วจึงค่อยออกไปรับมือ
เตงงายได้แย้งว่า เกียงอุยเลียนแบบอย่างของขงเบ้งคิดกำเริบ นึกอยากจะยกมาบุกวุยก๊กก็ยกมา นึกอยากจะถอยก็ถอยกลับไป ข้าพเจ้าละอายใจนัก ดังนั้นจะคิดอ่านเตรียมการตระเตรียมภูมิประเทศไว้ให้พร้อม จึงจะทำการกับเกียงอุยได้ถนัด การจะพักผ่อนหาความสุขนั้นเป็นที่ปรารถนาของทุกคน แต่ข้าพเจ้าเป็นทหาร จะพักผ่อนหาความสุขในขณะที่ใจห่วงใยบ้านเมืองนั้นทำไม่ลงเลย
สุมาเจียวเห็นเตงงายยืนยันความคิดดังนั้น จึงอนุญาตให้เตงงายจัดแจงทหารเตรียมการรับมือกองทัพเมืองเสฉวน เตงงายคำนับลาสุมาเจียวแล้วจึงกลับไปที่ตำบลเขากิสาน
ในแต่ละวันเตงงายได้ออกสำรวจตรวจตราภูมิประเทศที่ขงเบ้งเคยตั้งค่าย พิเคราะห์ดูลักษณะภูมิประเทศจนถี่ถ้วนแล้ว จึงกล่าวกับแม่ทัพนายกองผู้ใต้บังคับบัญชาว่า หากเกียงอุยยกมาที่ตำบลเขากิสานย่อมจะต้องตั้งค่ายในบริเวณใกล้เคียงกับที่เคยตั้ง จึงสั่งทหารให้ขุดอุโมงค์เป็นโยงใยใต้พื้นดินทั่วทั้งเขากิสาน เชื่อมโยงมาถึงที่ตั้งค่ายของกองทัพวุยก๊ก
ครั้นขุดอุโมงค์เสร็จแล้ว เตงงายจึงทำการฝึกปรือทหารทั้งการรบธรรมดาและการรบแบบขบวนพยุหะ และให้ทหารลาดตระเวนสอดแนมทุกตำบลมิได้ขาด
ฝ่ายเกียงอุยเคลื่อนทัพออกจากเมืองฮันต๋งแล้วยกตรงไปที่ตำบลเขากิสาน ครั้นยกไปใกล้ตำบลเขากิสานได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมว่าเตงงายได้คุมกองทัพวุยก๊กมาตั้งขัดตาทัพอยู่ที่ตำบลเขากิสานเช่นเดียวกัน ดังนั้นเกียงอุยจึงให้ตั้งค่ายใหญ่ไว้ที่เนินเขากิสานเป็นสามค่ายใกล้ ๆ กับค่ายเดิมซึ่งกองทัพเมืองเสฉวนเคยยกมาตั้งในการทำศึกคราวก่อน โดยหารู้ไม่ว่าได้ตั้งค่ายไว้ในบริเวณที่เตงงายได้ขุดอุโมงค์เตรียมการไว้ก่อนแล้ว
ครั้นตั้งค่ายเสร็จเกียงอุยจึงสั่งทหารให้เคร่งครัดกวดขันในระเบียบวินัยทั้งในการตั้งรับ การรบรุก และการรักษาเวรยามมิให้ประมาทแก่ข้าศึก ทั้งกำชับว่าการที่ข้าศึกยกกองทัพมาตั้งขัดตาทัพล่วงหน้าดังนี้ แสดงให้เห็นความพร้อมรบของข้าศึก จึงให้ทุกหน่วยเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีทุกเมื่อ
ฝ่ายเตงงายครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าเกียงอุยยกกองทัพจ๊กก๊กมาตั้งค่ายอยู่บนพื้นที่ขุดอุโมงค์ตามแผนการก็ดีใจ พาทหารคนสนิทขึ้นไปบนเนินเขา ดูค่ายของเกียงอุยเปรียบเทียบกับพิกัดซึ่งได้ขุดอุโมงค์ไว้ แล้วพาทหารกลับมาค่าย
เตงงายเรียกประชุมแม่ทัพนายกองแล้วกล่าวว่า เราได้คาดหมายว่าเกียงอุยยกกองทัพมา บัดนี้สมคะเนแล้ว ค่ายของเกียงอุยตั้งอยู่ใกล้กับแนวอุโมงค์ซึ่งขุดเตรียมไว้ กล่าวแล้วจึงสั่งทหารช่างให้ขุดอุโมงค์เชื่อมโยงจากแนวอุโมงค์เดิมต่อไปจนถึงหลังค่ายของเกียงอุย เตรียมการให้พร้อมที่จะเจาะทะลุขึ้นไปบนพื้นดินแล้วเข้าโจมตีทหารของเกียงอุยโดยไม่ให้ทันรู้ตัว
ทหารช่างชาววุยก๊กได้ลอบขุดอุโมงค์ตามคำสั่งของเตงงายตั้งแต่คืนวันนั้น พอใกล้รุ่งก็แล้วเสร็จ ครั้นเวลาบ่ายเตงงายจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง ตั้งให้เตงต๋งผู้บุตรและสูกี๋คุมทหารหมื่นหนึ่งยกไปท้ารบกับเกียงอุยที่หน้าค่าย ให้เตงหลุนคุมทหารห้าร้อยลอบเข้าไปในอุโมงค์ เมื่อใดที่ได้ยินเสียงการต่อสู้ข้างบนก็ให้เจาะอุโมงค์บุกขึ้นไปข้างบน ชิงเอาค่ายของเกียงอุยให้ได้ แม่ทัพนายกองทั้งปวงรับคำสั่งของเตงงายแล้วพากันออกไปจัดแจงทหารตามแผนการ
ฝ่ายอองหำและเจียวปินคุมทหารรักษาค่ายหน้า ครั้นเห็นเตงต๋งและสูกี๋ยกทหารมาท้ารบอยู่หน้าค่าย จึงสั่งเตรียมทหารจะยกออกไปรบ แต่พอเสียงสัญญาณแตรเขาควายระดมพลดังขึ้น ทหารของเตงต๋งและสูกี๋กลับเคลื่อนขบวนจะถอยกลับไปค่าย อองหำและเจียวปินจึงให้ทหารคุมเชิงอยู่ในค่าย แต่พอสัญญาณระดมพลเงียบเสียงลง ทหารวุยก๊กก็ยกมาท้ารบอีก ครั้นทหารเมืองเสฉวนจะยกออกไปรบก็พากันถอยกลับไปหลอกล่อกันอยู่ดังนี้จนกระทั่งถึงเวลาเย็น
อองหำและเจียวปินเห็นทีท่าทหารวุยก๊กทำทีเป็นบุกและถอยดังนั้น จึงคิดว่ากองทัพวุยก๊กทำการฉะนี้เห็นทีจะมีอุบายประการใดประการหนึ่ง ดังนั้นพอค่ำลง อองหำและเจียวปินจึงให้ทหารผลัดกันกินข้าว แล้วเตรียมพร้อมรบอยู่ภายในค่าย กำชับไม่ให้ถอดเกราะออกจากตัว ให้พร้อมที่จะรบพุ่งได้ทุกเมื่อ
ครั้นเวลาใกล้สองยาม เตงต๋งและสูกี๋ได้คุมทหารหักเข้าตีค่ายของอองหำและเจียวปิน ในขณะที่ทหารจ๊กก๊กสาละวนป้องกันรักษาค่ายนั้น พลันได้ยินเสียงแตกฮือขึ้นจากข้างในค่าย จึงพากันแตกตื่นตกใจ กว่าจะรู้ตัวก็เห็นทหารวุยก๊กอยู่ข้างในค่ายเป็นอันมาก แต่ไม่รู้จำนวนเท่าใดเนื่องจากเป็นเวลากลางคืน จึงพากันแตกตื่นตกใจวิ่งหนี
ทหารวุยก๊กทั้งด้านนอกค่ายและข้างในค่ายรุกรบจู่โจมประสานกันอย่างใกล้ชิดนอกเหนือความคาดคิดของอองหำและเจียวปิน เพียงครู่หนึ่งอองหำและเจียวปินเห็นว่าจะป้องกันรักษาค่ายไว้ไม่ได้ จึงพาทหารหนีออกจากค่าย
ฝ่ายเกียงอุยรักษาค่ายกลาง ได้ยินเสียงสู้รบเกิดขึ้นทางค่ายขวา จึงสั่งให้ทหารตั้งสติให้มั่น อย่าได้เคลื่อนไหววิ่งไปมา ด้านหน้าให้พลเกาทัณฑ์เตรียมระดมยิงข้าศึกที่จะบุกเข้ามาจู่โจม ข้างในค่ายให้ระมัดระวังกวดขันคนแปลกปลอม หากใครเดินวิ่งผิดปกติภายในค่ายก็ให้สังหารได้ทันที เกียงอุยสั่งการแล้วจึงขี่ม้าตรวจตราบัญชาการอยู่ภายในค่าย
ฝ่ายเตงต๋งและสูกี๋ครั้นตีค่ายขวาของอองหำและเจียวปินได้แล้ว จึงยกทหารจะหักเข้าตีค่ายกลางของเกียงอุย ด้วยสำคัญว่าทหารจ๊กก๊กในค่ายกลางคงจะแตกตื่นตกใจไม่เป็นขบวน แล้วจะแตกตามค่ายขวาไป
ทหารวุยก๊กโห่ร้องฮือกรูกันจะหักเข้าตีค่ายกลางพร้อมกันทั้งสามด้าน แต่พอเข้าไปใกล้ห่าเกาทัณฑ์กลตามตำราของขงเบ้งได้ถูกระดมยิงออกมาอย่างฉับพลัน ถูกทหารของเตงต๋งและสูกี๋บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
เตงต๋งและสูกี๋สำคัญว่ากองทัพจ๊กก๊กระส่ำระสาย ถึงจะยิงเกาทัณฑ์มาสกัดก็เป็นเพียงการสกัดอำพรางการถอย ดังนั้นจึงคุมทหารเข้าตีอีกหลายระลอก แต่ทุกระลอกก็ถูกระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์กลบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก จนใกล้สว่างเตงต๋งเห็นทหารเหลืออยู่จำนวนน้อยก็ตกใจ รีบสั่งทหารให้ถอยทัพกลับไปค่าย รายงานความให้เตงงายทราบทุกประการ
ฝ่ายอองหำและเจียวปินพาทหารหนีไปได้ร้อยเส้นเศษ ได้ยินเสียงสู้รบเกิดขึ้นที่ค่ายกลางจึงพาทหารย้อนกลับมา แต่ไม่แน่ใจว่าข้าศึกมากและน้อยประการใด จึงตั้งมั่นคุมเชิงอยู่ห่าง ๆ จนกระทั่งฟ้าสางจึงคุมทหารจะยกเข้าตีกระหนาบ แต่ทหารวุยก๊กได้ยกหนีไปก่อน จึงเข้าไปหาเกียงอุย สารภาพผิดและวิงวอนขอให้ยกโทษ
เกียงอุยจึงว่าเหตุทั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของพวกท่าน หากเป็นความผิดของข้าพเจ้าที่มิได้สำรวจตรวจตราภูมิประเทศให้ถี่ถ้วน จงตั้งหน้าทำการสนองพระคุณเจ้าต่อไปเถิด กล่าวแล้วเกียงอุยจึงสั่งให้อองหำและเจียวปินพาทหารกลับไปรักษาค่ายเก่าตามเดิม
อองหำและเจียวปินกลับไปถึงค่ายแล้ว จัดแจงแต่งซ่อมค่าย และสั่งทหารให้เก็บศพทหารวุยก๊กและจ๊กก๊กถมลงไปในอุโมงค์ และเอาดินเกลี่ยกลบจนเต็ม
ฝ่ายเตงงายเมื่อได้ทราบรายงานการศึกจากเตงต๋งผู้บุตรแล้ว จึงกล่าวว่าเสียแรงเราขุดอุโมงค์เตรียมการไว้เป็นอย่างดี นึกไม่ถึงว่าแผนการอุโมงค์อันลึกลับจะไม่สามารถทำลายกองทัพเมืองเสฉวนให้พินาศถอยหนีกลับเข้าแดนฮันต๋งได้ เกียงอุยนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก เห็นเหตุแล้วตั้งหลักมั่นไม่ยกออกไปช่วยค่ายขวา หาไม่แล้วก็จะแตกพ่ายไปทั้งสามค่าย นี่สมแล้วที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากขงเบ้ง จึงสามารถฝึกฝนทหารให้มีระเบียบวินัยและขวัญกำลังใจในทุกกระบวนรบได้อย่างดีเยี่ยม สามารถรับมือการบุกรุกโจมตีในเวลากลางคืนทั้งบนดินและใต้ดินได้อย่างมั่นคง มิได้เสียกระบวนแม้แต่น้อย
เกียงอุยเห็นอองหำและเจียวปินซ่อมแต่งค่ายเก่าจนแข็งแรงมั่นคงดังเดิมแล้ว และเห็นว่ากองทัพวุยก๊กประสบความเสียหายอย่างหนักจนต้องพักรบสงบนิ่ง ดังนั้นเกียงอุยจึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปให้เตงงาย ท้าให้ยกทหารออกมารบกันด้วยค่ายกลพยุหะ
เตงงายรับหนังสือเกียงอุยแล้วตอบรับคำท้า และสั่งทหารให้กลับไปบอกเกียงอุยว่าให้เกียงอุยเตรียมตัวให้พร้อมเถิด เราจะรบกันให้ประจักษ์ฝีมือแก่สายตาทหารทั้งปวง
วันรุ่งขึ้นพอฟ้าสางกองทัพของทั้งสองฝ่ายได้ยกออกไปตั้งขบวนรบเผชิญหน้ากันที่ทุ่งราบกว้างข้างภูเขากิสาน ธงทิวปลิวไสวประสานกับเสียงม้าล่อฆ้องกลองดังกึกก้อง.