ตอนที่ 624. นิมิตมังกรหางด้วน
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยหนึ่งพรรษา เดือนสิบเอ็ด พระเจ้าซุนเหลียงเกรงว่ามหาอุปราชซุนหลิมจะกบฏชิงราชสมบัติ จึงพระราชทานแผนการให้จวนกี๋ซึ่งเป็นพระปิตุลาไปคิดอ่านทำการกำจัดมหาอุปราชซุนหลิมเสีย และทรงเตือนว่าอย่าได้แพร่งพรายให้มารดาของจวนกี๋ทราบ เพราะมีฐานะเป็นพี่ของซุนหลิม
จวนกี๋รับปากพระเจ้าซุนเหลียงแล้ว แต่ครั้นกลับไปถึงบ้านกลับงำความไว้ไม่อยู่ เล่าความให้บิดาฟังทุกประการ
บิดาของจวนกี๋เป็นคนปากโป้ง กลัวเมีย ครั้นได้ทราบความจากจวนกี๋จึงเล่าความให้ภรรยาทราบว่าพระเจ้าซุนเหลียงทรงวางแผนจะสังหารมหาอุปราชซุนหลิมในไม่กี่วันข้างหน้านี้
เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ดังนั้นมารดาของจวนกี๋ซึ่งเป็นพี่ของซุนหลิม พอทราบความก็ตกใจ เกรงว่าซุนหลิมผู้เป็นน้องชายจะเป็นอันตราย ทั้งเห็นว่ายศศักดิ์ทรัพย์สินศฤงคารที่มีมาเป็นวาสนามีมาเพราะซุนหลิม หากซุนหลิมถึงแก่ความตายวาสนานั้นก็ย่อมสิ้นตาม จึงสั่งคนใช้ผู้วางใจให้ลอบนำความไปแจ้งให้ซุนหลิมทราบ
ซุนหลิมพอทราบความจากพี่สาวก็โกรธพระเจ้าซุนเหลียง เรียกน้องชายทั้งสี่คนซึ่งล้วนเป็นขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาปรึกษาพร้อมกันแล้วแจ้งความให้ทราบว่า เมื่อพระเจ้าซุนเหลียงคิดร้ายต่อพวกเราฉะนี้ ย่อมมีความชอบธรรมที่จะถอดพระเจ้าซุนเหลียงออกจากราชบัลลังก์เสียก่อน
พี่น้องของซุนหลิมได้ฟังความแล้วเห็นชอบพร้อมกัน ซุนหลิมจึงจัดแจงทหารห้าพันคนยกไปที่พระบรมมหาราชวัง วางกำลังล้อมพระบรมมหาราชวังไว้อย่างแน่นหนา และให้ทหารตีม้าล่อฆ้องกลองเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ฝ่ายเล่าเสงเห็นทหารของซุนหลิมยกมาล้อมพระบรมมหาราชวัง จึงรีบเข้าไปกราบทูลให้พระเจ้าซุนเหลียงทรงทราบ พระเจ้าซุนเหลียงทรงทราบความก็ทรงพิโรธ เสด็จเข้าไปหาพระราชมารดาแล้วต่อว่าว่า ซุนหลิมซึ่งเป็นญาติพี่น้องของพระองค์กำลังจะทำร้ายข้าพเจ้า ตรัสแล้วก็สะบัดพระพักตร์เสด็จกลับออกไปจากพระตำหนักของพระราชมารดา ตรัสหาพระแสงกระบี่และรับสั่งหาทหารองครักษ์ ตรัสสั่งให้เตรียมกำลังจะออกไปรบกับซุนหลิม
พระราชมารดาของพระเจ้าซุนเหลียงและขันทีทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ วิ่งเข้าไปยุดฉลองพระองค์ของพระเจ้าซุนเหลียงไว้แล้วทูลว่า ซุนหลิมมีทหารเป็นอันมาก และเป็นญาติกับพระองค์ ชอบที่จะว่ากล่าวปรองดองประนีประนอมจะดีกว่า
พระเจ้าซุนเหลียงไม่ทรงฟังคำทัดทาน ตรัสว่าการแผ่นดินเป็นการใหญ่ ไหนเลยจะประนีประนอมอย่างไม่มีหลักการได้ พวกท่านมาแนะนำดังนี้หรือคิดจะให้ ซุนหลิมทำร้ายเรา ตรัสแล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินออกไป แล้วตรัสสั่งให้จวนกี๋และเล่าเสงคุมทหารราชองครักษ์และทหารรักษาพระองค์ป้องกันรักษาพระราชวังไว้
ฝ่ายซุนหลิมคุมทหารเข้าล้อมพระบรมมหาราชวังแล้ว แต่ไม่อาจหักเข้าไปได้ เพราะกำแพงพระบรมมหาราชวังสูงใหญ่ และจวนกี๋กับเล่าเสงคุมทหารป้องกันรักษาไว้เป็นสามารถ ซุนหลิมจึงให้ทหารเอาท่อนซุงพุ่งกระแทกประตูพระบรมมหาราชวังตลอดทั้งคืน จนใกล้สว่างประตูพระบรมมหาราชวังก็พังทะลายลง
ซุนหลิมคุมทหารบุกเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง ให้ทหารจับเล่าเสงและจวนกี๋เอาไปประหารชีวิต และพาทหารไปที่ท้องพระโรง เรียกประชุมขุนนางทั้งปวงพร้อมกัน แล้วประกาศว่า “บัดนี้พระเจ้าซุนเหลียงคิดการไม่ชอบแล้ว ไม่เอาใจใส่ว่ากิจราชการบ้านเมือง มัวเมาไปด้วยสตรี เราจะเนรเทศออกเสียจากราชสมบัติ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด”
ฝ่ายฮวนอีซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ซุน ครั้นได้ฟังคำ ซุนหลิมก็โกรธ ร้องด่าซุนหลิมด้วยเสียงอันดังว่าพวกมึงเป็นเชื้อพระวงศ์ สิกลับคิดกบฏ ตัวกูเป็นแต่ชนสามัญยังมีความจงรักภักดี ซึ่งมึงกล่าวทั้งนี้ล้วนเป็นเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีพระมหากษัตริย์ คิดจะชิงเอาราชสมบัติเท่านั้น
ยังไม่ทันที่ฮวนอีจะกล่าวความสืบไป ซุนหลิมได้ฟังคำฮวนอีแล้วก็โกรธเป็นอันมาก ชักกระบี่เดินตรงเข้ามาแทงฮวนอีถึงแก่ความตาย
ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นจึงกล่าวพร้อมกันว่า โอรสสวรรค์ต้องทรงธรรม แต่เมื่อพระเจ้าซุนเหลียงกลับมัวเมาในอบายมุข ไม่ดำรงพระองค์ตามกฎแห่งสวรรค์ จึงชอบที่จะถอดออกจากราชสมบัติเสีย
ซุนหลิมเห็นขุนนางทั้งปวงเห็นชอบพร้อมกันแล้ว จึงพาทหารไปที่พระตำหนักที่ประทับของพระเจ้าซุนเหลียง เห็นพระเจ้าซุนเหลียงนั่งตกใจอยู่บนพระเก้าอี้ จึงเอากระบี่ชี้หน้าพระเจ้าซุนเหลียงแล้วกล่าวว่า “ท่านเป็นคนเขลา มิได้มีสติปัญญา ถือผิดเป็นชอบ หากว่าเราเป็นคนใจบุญ คิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวนอยู่ท่านจึงรอดชีวิต เราจะให้ท่านไปเป็นเจ้าเมืองห้อยแข ท่านเร่งไปให้พ้นความตายเถิด”
กล่าวแล้วซุนหลิมจึงสั่งขันทีให้เก็บข้าวของส่วนพระองค์ของพระเจ้าซุนเหลียงแล้วขับออกจากพระบรมมหาราชวัง ให้เสด็จไปประทับอยู่ที่เมืองห้อยแข แล้วสั่งให้ลิจ๋องเก็บเอาเครื่องยศและตราพระราชลัญจกร ตลอดจนทรัพย์สมบัติสำหรับพระมหากษัตริย์ มอบให้เตงเถี้ยเจ้ากรมพระคลังมหาสมบัติเก็บรักษาไว้
ในบ่ายวันนั้นซุนหลิมได้ปรึกษากับขุนนางทั้งปวง ดำริที่จะยกเอาซุนฮิวพระราชบุตรองค์ที่หกในพระเจ้าซุนกวนขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าซุนเหลียง ขุนนางทั้งปวงเห็นชอบพร้อมกัน ซุนหลิมจึงสั่งให้ซุนเขและตังเตียวเจ้าหน้าที่ราชสำนักรีบไปเชิญซุนฮิวซึ่งเป็นอ๋องแห่งเมืองฮ่อหลิมเข้ามาเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายซุนฮิวพระราชบุตรองค์ที่หกในพระเจ้าซุนกวน เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จึงเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งปวง แต่เนื่องจากไม่มีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะครองราชสมบัติ จึงได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นอ๋อง ในคืนวันนั้นตอนใกล้รุ่งหลับฝันไปว่าได้ขี่มังกรเหาะขึ้นไปบนฟ้า เห็นพระบรมมหาราชวังและบ้านเมืองงดงามตระการตา แต่พอเหลียวกลับไปดูข้างหลังเห็นมังกรนั้นหางด้วน จึงผวาสะดุ้งตกใจตื่น
ซุนฮิวรู้สึกว่าเป็นความฝันประหลาด ต้องด้วยลักษณะอันเป็นมงคล แต่ซึ่งมังกรหางด้วนนั้นเห็นจะเป็นเรื่องร้ายควบคู่อยู่กับสิ่งอันเป็นมงคล ซุนฮิวจึงรู้สึกประหวั่นพรั่นใจ นอนไม่หลับจนกระทั่งฟ้าเริ่มสาง
พอเวลาใกล้เที่ยงซุนเขและตังเตียวได้เดินทางไปถึงจวนของซุนฮิว จึงแจ้งความให้ทหารรักษาการณ์เข้าไปรายงานให้ซุนฮิวทราบ ซุนฮิวจึงให้เชิญสองขุนนางเข้าไปที่ห้องโถงด้านใน เมื่อได้คำนับทักทายกันตามประเพณีแล้วสองขุนนางจึงเอาหนังสือของซุนหลิมที่ให้เชิญซุนฮิวเข้าไปในเมืองกังตั๋งในทันทีเพื่อครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์
ซุนฮิวได้ทราบความอันเป็นมงคลกับตัวต้องด้วยความฝัน จึงรู้สึกตะลึงงัน เพราะเมื่อความอันเป็นมงคลปรากฏสมจริงดังความฝัน ความอันเป็นอวมงคลก็ย่อมจะปรากฏตามความฝันนั้นด้วย จึงหวาดหวั่นใจยิ่งนัก มิรู้ที่จะตัดสินใจประการใด
ในทันใดนั้นมีชายชราผู้หนึ่งเดินเข้ามาในจวนของซุนฮิวและเข้าไปถึงด้านใน เข้าไปคำนับซุนฮิวแล้วกล่าวว่า “การนี้ให้ท่านเร่งไปโดยเร็ว ถ้าเนิ่นช้าการจะกลับกลอก” กล่าวเท่านั้นแล้วชายชราก็เดินกลับลับมุมจวนหายไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าชายชราผู้นี้คือเทพารักษ์ประจำเมือง แปลงตัวมาให้สติซุนฮิว แต่ฉบับภาษาจีนว่าเป็นซินแสประหลาดเข้ามาบอกความแล้วรีบกลับออกไป
ซุนฮิวได้ฟังคำชายชรามีลักษณะแปลกประหลาด จึงคิดว่าเป็นเทพารักษ์มาบอกกล่าวความให้ปฏิบัติ จึงจัดแจงทหารออกจากจวนไปเมืองกังตั๋งพร้อมกับสองขุนนาง
ขบวนของซุนฮิวเดินทางไปถึงตำบลปอเช็กตั้งก็เห็นซุนหลิมจัดแจงแต่งพลับพลาที่ประทับไว้กลางทาง และนำขุนนางข้าราชการมารอต้อนรับเป็นจำนวนมาก ครั้นซุนฮิวนำขบวนไปใกล้หน้าพลับพลา ซุนหลิมได้พาขุนนางทั้งปวงออกมาถวายบังคม และเชิญซุนฮิวขึ้นประทับบนรถม้าพระที่นั่ง
ซุนฮิวไม่กล้าขึ้นไปนั่งบนรถพระที่นั่งด้วยเกรงพระบารมีพระมหากษัตริย์ กลับขอนั่งเกวียนที่นั่งมาตามเดิม ซุนหลิมก็ยินยอมและนำขบวนของซุนฮิวกลับเข้าเมืองกังตั๋ง
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยหนึ่งพรรษา เดือนอ้าย ซุนหลิมและขุนนางข้าราชการทั้งปวงได้เชิญซุนฮิวขึ้นนั่งบนพระราชบัลลังก์ในท้องพระโรงเมืองกังตั๋ง แล้วให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาซุนฮิวเป็นพระมหากษัตริย์ เสวยราชย์สืบต่อจากพระเจ้าซุนเหลียง ขุนนางทั้งปวงได้พร้อมกันทูลเกล้าถวายเครื่องอิสริยยศสำหรับพระมหากษัตริย์และตราพระราชลัญจกรตามราชประเพณี แล้วหมอบกราบถวายบังคมถวายพระพรชัยพร้อมกัน
พระเจ้าซุนฮิวทรงประกาศพระบรมราชโองการตั้งศักราชประจำรัชกาลเป็นศักราชฉางอันซึ่งแปลว่าศักราชแห่งสันตินิรันดร โปรดเกล้าให้สถาปนาซุนหลิมเป็นที่มหาอุปราช พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่ขุนนางข้าราชการเป็นอันมาก แล้วพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษทั่วทั้งแผ่นดินและงดภาษีสามปี บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยล้วนได้รับพระราชทานเลื่อนยศและตำแหน่งถ้วนหน้ากัน
พระเจ้าซุนฮิวโปรดเกล้าสถาปนาซุนเหาซึ่งเป็นบุตรของพี่ชายเป็นขุนนางผู้ใหญ่ และเลื่อนอิสริยยศขึ้นเป็นก๋ง ส่วนพี่น้องของซุนหลิมทั้งสี่คนโปรดเกล้าพระราชทานยศและตำแหน่งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ รับผิดชอบกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ และกองกำลังรักษาพระนคร สามารถเข้าออกนอกในพระบรมมหาราชวังได้โดยไม่ต้องมีหมายรับสั่ง
พระเจ้าซุนฮิวทรงทราบสถานการณ์ทางการเมืองเป็นอย่างดีว่าซุนหลิมนั้นมักใหญ่ใฝ่สูงและมัวเมาในอำนาจ ดังนั้นด้านหนึ่งจึงทรงใช้ท่าทีปรองดองไว้วางใจซุนหลิม แต่อีกด้านหนึ่งก็ทรงระมัดระวังพระองค์เพื่อมิให้ซุนหลิมระแวงสงสัยหรือคิดอ่านทำอันตราย
ครั้นถึงปลายเดือนยี่ปีเดียวกันนั้น เป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระเจ้าซุนฮิว มีการเฉลิมฉลองตามประเพณี ซุนหลิมได้จัดข้าวของเงินทองของกินของใช้จำนวนมากส่งเข้าไปน้อมเกล้าถวายพระเจ้าซุนฮิวตามประเพณี
พระเจ้าซุนฮิวทรงรับแต่ของอุปโภคซึ่งซุนหลิมนำมาทูลเกล้าถวายเพื่อมิให้เสียอัชฌาสัย แต่ของบริโภคนั้นทรงตั้งข้อรังเกียจว่าเป็นของได้มาจากการรีดนาทาเร้นเอาจากราษฎรเปรียบเป็นอาจม ไม่สมควรที่จะทรงเสวย จึงพระราชทานคืนกลับไปให้ซุนหลิม
ซุนหลิมทราบความก็โกรธพระเจ้าซุนฮิว สั่งให้ตั้งโต๊ะขึ้นภายในจวน แล้วนำของกินของใช้ซึ่งพระราชทานกลับคืนมานั้นขึ้นตั้งบนโต๊ะ แล้วเชิญขุนนางชั้นผู้ใหญ่มากินโต๊ะนั้นพร้อมกัน
ซุนหลิมสั่งทหารให้รินสุราแจกแก่แม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวงที่มาร่วมงานเลี้ยง และชวนดื่มจนคนทั้งนั้นมีอาการเมามาย ซุนหลิมจึงกล่าวกับขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งนั้นว่า “เมื่อพระเจ้าซุนเหลียงทำความผิด เราเนรเทศเสียนั้น ขุนนางทั้งปวงก็ยอมสมัครให้เราเป็นเจ้า เราคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวน จึงเชิญพระเจ้าซุนฮิวมาครองสมบัติ บัดนี้เป็นวันประสูติเราแต่งของเข้าไปถวายตามธรรมเนียมก็มิได้รับ ซึ่งพระเจ้าซุนฮิวดูหมิ่นมิได้คิดถึงไมตรีเรานั้น ให้ท่านดูไปเถิด ไม่นานก็จะเห็นเป็นมั่นคง”
ขุนนางทั้งปวงได้ฟังคำซุนหลิมก็พากันก้มหน้านิ่ง เสร็จงานเลี้ยงแล้วต่างคนต่างคำนับลาซุนหลิมกลับไปเรือน
ฝ่ายเตียวปอเป็นขุนนางที่มีความจงรักภักดี ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จวนของซุนหลิม ได้ฟังคำซุนหลิมแล้วไม่พอใจ คิดว่าซุนหลิมมักใหญ่ใฝ่สูง จะตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าเสียเอง จึงลอบเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนฮิว แล้วกราบทูลเนื้อความซึ่งซุนหลิมได้กล่าวในงานเลี้ยงให้ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าซุนฮิวทรงทราบความก็ทรงพระวิตกแต่มิได้ตรัสประการใด ทรงทำทีทอดถอนพระทัยใหญ่ เตียวปอเห็นดังนั้นก็สงสารแล้วร้องไห้ และถวายบังคมลากลับออกไป
หลังจากวันนั้นแล้วซุนหลิมก็คิดระแวงระวังพระเจ้าซุนฮิว จึงตระเตรียมป้องกันตัว สั่งให้เบ้งจ๋องคุมกำลังทหารหมื่นห้าพันคนตั้งเป็นกองกำลังรักษาพระนครในสถานการณ์วิกฤต และตั้งกองอำนวยการขึ้นชั่วคราวที่ตำบลบู๊เฉียงนอกเมืองกังตั๋ง ซุนหลิมได้สั่งให้เบิกจ่ายศาสตราวุธจากคลังแสงให้แก่กองอำนวยการชั่วคราวนั้นเป็นอันมาก
ขุนนางข้าราชการทั้งปวงเห็นเหตุการณ์วิกฤตคับขันก็พากันร่ำลือว่าซุนหลิมจะคิดกบฏ.
จวนกี๋รับปากพระเจ้าซุนเหลียงแล้ว แต่ครั้นกลับไปถึงบ้านกลับงำความไว้ไม่อยู่ เล่าความให้บิดาฟังทุกประการ
บิดาของจวนกี๋เป็นคนปากโป้ง กลัวเมีย ครั้นได้ทราบความจากจวนกี๋จึงเล่าความให้ภรรยาทราบว่าพระเจ้าซุนเหลียงทรงวางแผนจะสังหารมหาอุปราชซุนหลิมในไม่กี่วันข้างหน้านี้
เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ดังนั้นมารดาของจวนกี๋ซึ่งเป็นพี่ของซุนหลิม พอทราบความก็ตกใจ เกรงว่าซุนหลิมผู้เป็นน้องชายจะเป็นอันตราย ทั้งเห็นว่ายศศักดิ์ทรัพย์สินศฤงคารที่มีมาเป็นวาสนามีมาเพราะซุนหลิม หากซุนหลิมถึงแก่ความตายวาสนานั้นก็ย่อมสิ้นตาม จึงสั่งคนใช้ผู้วางใจให้ลอบนำความไปแจ้งให้ซุนหลิมทราบ
ซุนหลิมพอทราบความจากพี่สาวก็โกรธพระเจ้าซุนเหลียง เรียกน้องชายทั้งสี่คนซึ่งล้วนเป็นขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาปรึกษาพร้อมกันแล้วแจ้งความให้ทราบว่า เมื่อพระเจ้าซุนเหลียงคิดร้ายต่อพวกเราฉะนี้ ย่อมมีความชอบธรรมที่จะถอดพระเจ้าซุนเหลียงออกจากราชบัลลังก์เสียก่อน
พี่น้องของซุนหลิมได้ฟังความแล้วเห็นชอบพร้อมกัน ซุนหลิมจึงจัดแจงทหารห้าพันคนยกไปที่พระบรมมหาราชวัง วางกำลังล้อมพระบรมมหาราชวังไว้อย่างแน่นหนา และให้ทหารตีม้าล่อฆ้องกลองเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ฝ่ายเล่าเสงเห็นทหารของซุนหลิมยกมาล้อมพระบรมมหาราชวัง จึงรีบเข้าไปกราบทูลให้พระเจ้าซุนเหลียงทรงทราบ พระเจ้าซุนเหลียงทรงทราบความก็ทรงพิโรธ เสด็จเข้าไปหาพระราชมารดาแล้วต่อว่าว่า ซุนหลิมซึ่งเป็นญาติพี่น้องของพระองค์กำลังจะทำร้ายข้าพเจ้า ตรัสแล้วก็สะบัดพระพักตร์เสด็จกลับออกไปจากพระตำหนักของพระราชมารดา ตรัสหาพระแสงกระบี่และรับสั่งหาทหารองครักษ์ ตรัสสั่งให้เตรียมกำลังจะออกไปรบกับซุนหลิม
พระราชมารดาของพระเจ้าซุนเหลียงและขันทีทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ วิ่งเข้าไปยุดฉลองพระองค์ของพระเจ้าซุนเหลียงไว้แล้วทูลว่า ซุนหลิมมีทหารเป็นอันมาก และเป็นญาติกับพระองค์ ชอบที่จะว่ากล่าวปรองดองประนีประนอมจะดีกว่า
พระเจ้าซุนเหลียงไม่ทรงฟังคำทัดทาน ตรัสว่าการแผ่นดินเป็นการใหญ่ ไหนเลยจะประนีประนอมอย่างไม่มีหลักการได้ พวกท่านมาแนะนำดังนี้หรือคิดจะให้ ซุนหลิมทำร้ายเรา ตรัสแล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินออกไป แล้วตรัสสั่งให้จวนกี๋และเล่าเสงคุมทหารราชองครักษ์และทหารรักษาพระองค์ป้องกันรักษาพระราชวังไว้
ฝ่ายซุนหลิมคุมทหารเข้าล้อมพระบรมมหาราชวังแล้ว แต่ไม่อาจหักเข้าไปได้ เพราะกำแพงพระบรมมหาราชวังสูงใหญ่ และจวนกี๋กับเล่าเสงคุมทหารป้องกันรักษาไว้เป็นสามารถ ซุนหลิมจึงให้ทหารเอาท่อนซุงพุ่งกระแทกประตูพระบรมมหาราชวังตลอดทั้งคืน จนใกล้สว่างประตูพระบรมมหาราชวังก็พังทะลายลง
ซุนหลิมคุมทหารบุกเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง ให้ทหารจับเล่าเสงและจวนกี๋เอาไปประหารชีวิต และพาทหารไปที่ท้องพระโรง เรียกประชุมขุนนางทั้งปวงพร้อมกัน แล้วประกาศว่า “บัดนี้พระเจ้าซุนเหลียงคิดการไม่ชอบแล้ว ไม่เอาใจใส่ว่ากิจราชการบ้านเมือง มัวเมาไปด้วยสตรี เราจะเนรเทศออกเสียจากราชสมบัติ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด”
ฝ่ายฮวนอีซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ซุน ครั้นได้ฟังคำ ซุนหลิมก็โกรธ ร้องด่าซุนหลิมด้วยเสียงอันดังว่าพวกมึงเป็นเชื้อพระวงศ์ สิกลับคิดกบฏ ตัวกูเป็นแต่ชนสามัญยังมีความจงรักภักดี ซึ่งมึงกล่าวทั้งนี้ล้วนเป็นเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีพระมหากษัตริย์ คิดจะชิงเอาราชสมบัติเท่านั้น
ยังไม่ทันที่ฮวนอีจะกล่าวความสืบไป ซุนหลิมได้ฟังคำฮวนอีแล้วก็โกรธเป็นอันมาก ชักกระบี่เดินตรงเข้ามาแทงฮวนอีถึงแก่ความตาย
ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นจึงกล่าวพร้อมกันว่า โอรสสวรรค์ต้องทรงธรรม แต่เมื่อพระเจ้าซุนเหลียงกลับมัวเมาในอบายมุข ไม่ดำรงพระองค์ตามกฎแห่งสวรรค์ จึงชอบที่จะถอดออกจากราชสมบัติเสีย
ซุนหลิมเห็นขุนนางทั้งปวงเห็นชอบพร้อมกันแล้ว จึงพาทหารไปที่พระตำหนักที่ประทับของพระเจ้าซุนเหลียง เห็นพระเจ้าซุนเหลียงนั่งตกใจอยู่บนพระเก้าอี้ จึงเอากระบี่ชี้หน้าพระเจ้าซุนเหลียงแล้วกล่าวว่า “ท่านเป็นคนเขลา มิได้มีสติปัญญา ถือผิดเป็นชอบ หากว่าเราเป็นคนใจบุญ คิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวนอยู่ท่านจึงรอดชีวิต เราจะให้ท่านไปเป็นเจ้าเมืองห้อยแข ท่านเร่งไปให้พ้นความตายเถิด”
กล่าวแล้วซุนหลิมจึงสั่งขันทีให้เก็บข้าวของส่วนพระองค์ของพระเจ้าซุนเหลียงแล้วขับออกจากพระบรมมหาราชวัง ให้เสด็จไปประทับอยู่ที่เมืองห้อยแข แล้วสั่งให้ลิจ๋องเก็บเอาเครื่องยศและตราพระราชลัญจกร ตลอดจนทรัพย์สมบัติสำหรับพระมหากษัตริย์ มอบให้เตงเถี้ยเจ้ากรมพระคลังมหาสมบัติเก็บรักษาไว้
ในบ่ายวันนั้นซุนหลิมได้ปรึกษากับขุนนางทั้งปวง ดำริที่จะยกเอาซุนฮิวพระราชบุตรองค์ที่หกในพระเจ้าซุนกวนขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าซุนเหลียง ขุนนางทั้งปวงเห็นชอบพร้อมกัน ซุนหลิมจึงสั่งให้ซุนเขและตังเตียวเจ้าหน้าที่ราชสำนักรีบไปเชิญซุนฮิวซึ่งเป็นอ๋องแห่งเมืองฮ่อหลิมเข้ามาเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายซุนฮิวพระราชบุตรองค์ที่หกในพระเจ้าซุนกวน เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จึงเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งปวง แต่เนื่องจากไม่มีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะครองราชสมบัติ จึงได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นอ๋อง ในคืนวันนั้นตอนใกล้รุ่งหลับฝันไปว่าได้ขี่มังกรเหาะขึ้นไปบนฟ้า เห็นพระบรมมหาราชวังและบ้านเมืองงดงามตระการตา แต่พอเหลียวกลับไปดูข้างหลังเห็นมังกรนั้นหางด้วน จึงผวาสะดุ้งตกใจตื่น
ซุนฮิวรู้สึกว่าเป็นความฝันประหลาด ต้องด้วยลักษณะอันเป็นมงคล แต่ซึ่งมังกรหางด้วนนั้นเห็นจะเป็นเรื่องร้ายควบคู่อยู่กับสิ่งอันเป็นมงคล ซุนฮิวจึงรู้สึกประหวั่นพรั่นใจ นอนไม่หลับจนกระทั่งฟ้าเริ่มสาง
พอเวลาใกล้เที่ยงซุนเขและตังเตียวได้เดินทางไปถึงจวนของซุนฮิว จึงแจ้งความให้ทหารรักษาการณ์เข้าไปรายงานให้ซุนฮิวทราบ ซุนฮิวจึงให้เชิญสองขุนนางเข้าไปที่ห้องโถงด้านใน เมื่อได้คำนับทักทายกันตามประเพณีแล้วสองขุนนางจึงเอาหนังสือของซุนหลิมที่ให้เชิญซุนฮิวเข้าไปในเมืองกังตั๋งในทันทีเพื่อครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์
ซุนฮิวได้ทราบความอันเป็นมงคลกับตัวต้องด้วยความฝัน จึงรู้สึกตะลึงงัน เพราะเมื่อความอันเป็นมงคลปรากฏสมจริงดังความฝัน ความอันเป็นอวมงคลก็ย่อมจะปรากฏตามความฝันนั้นด้วย จึงหวาดหวั่นใจยิ่งนัก มิรู้ที่จะตัดสินใจประการใด
ในทันใดนั้นมีชายชราผู้หนึ่งเดินเข้ามาในจวนของซุนฮิวและเข้าไปถึงด้านใน เข้าไปคำนับซุนฮิวแล้วกล่าวว่า “การนี้ให้ท่านเร่งไปโดยเร็ว ถ้าเนิ่นช้าการจะกลับกลอก” กล่าวเท่านั้นแล้วชายชราก็เดินกลับลับมุมจวนหายไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าชายชราผู้นี้คือเทพารักษ์ประจำเมือง แปลงตัวมาให้สติซุนฮิว แต่ฉบับภาษาจีนว่าเป็นซินแสประหลาดเข้ามาบอกความแล้วรีบกลับออกไป
ซุนฮิวได้ฟังคำชายชรามีลักษณะแปลกประหลาด จึงคิดว่าเป็นเทพารักษ์มาบอกกล่าวความให้ปฏิบัติ จึงจัดแจงทหารออกจากจวนไปเมืองกังตั๋งพร้อมกับสองขุนนาง
ขบวนของซุนฮิวเดินทางไปถึงตำบลปอเช็กตั้งก็เห็นซุนหลิมจัดแจงแต่งพลับพลาที่ประทับไว้กลางทาง และนำขุนนางข้าราชการมารอต้อนรับเป็นจำนวนมาก ครั้นซุนฮิวนำขบวนไปใกล้หน้าพลับพลา ซุนหลิมได้พาขุนนางทั้งปวงออกมาถวายบังคม และเชิญซุนฮิวขึ้นประทับบนรถม้าพระที่นั่ง
ซุนฮิวไม่กล้าขึ้นไปนั่งบนรถพระที่นั่งด้วยเกรงพระบารมีพระมหากษัตริย์ กลับขอนั่งเกวียนที่นั่งมาตามเดิม ซุนหลิมก็ยินยอมและนำขบวนของซุนฮิวกลับเข้าเมืองกังตั๋ง
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยหนึ่งพรรษา เดือนอ้าย ซุนหลิมและขุนนางข้าราชการทั้งปวงได้เชิญซุนฮิวขึ้นนั่งบนพระราชบัลลังก์ในท้องพระโรงเมืองกังตั๋ง แล้วให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาซุนฮิวเป็นพระมหากษัตริย์ เสวยราชย์สืบต่อจากพระเจ้าซุนเหลียง ขุนนางทั้งปวงได้พร้อมกันทูลเกล้าถวายเครื่องอิสริยยศสำหรับพระมหากษัตริย์และตราพระราชลัญจกรตามราชประเพณี แล้วหมอบกราบถวายบังคมถวายพระพรชัยพร้อมกัน
พระเจ้าซุนฮิวทรงประกาศพระบรมราชโองการตั้งศักราชประจำรัชกาลเป็นศักราชฉางอันซึ่งแปลว่าศักราชแห่งสันตินิรันดร โปรดเกล้าให้สถาปนาซุนหลิมเป็นที่มหาอุปราช พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่ขุนนางข้าราชการเป็นอันมาก แล้วพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษทั่วทั้งแผ่นดินและงดภาษีสามปี บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยล้วนได้รับพระราชทานเลื่อนยศและตำแหน่งถ้วนหน้ากัน
พระเจ้าซุนฮิวโปรดเกล้าสถาปนาซุนเหาซึ่งเป็นบุตรของพี่ชายเป็นขุนนางผู้ใหญ่ และเลื่อนอิสริยยศขึ้นเป็นก๋ง ส่วนพี่น้องของซุนหลิมทั้งสี่คนโปรดเกล้าพระราชทานยศและตำแหน่งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ รับผิดชอบกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ และกองกำลังรักษาพระนคร สามารถเข้าออกนอกในพระบรมมหาราชวังได้โดยไม่ต้องมีหมายรับสั่ง
พระเจ้าซุนฮิวทรงทราบสถานการณ์ทางการเมืองเป็นอย่างดีว่าซุนหลิมนั้นมักใหญ่ใฝ่สูงและมัวเมาในอำนาจ ดังนั้นด้านหนึ่งจึงทรงใช้ท่าทีปรองดองไว้วางใจซุนหลิม แต่อีกด้านหนึ่งก็ทรงระมัดระวังพระองค์เพื่อมิให้ซุนหลิมระแวงสงสัยหรือคิดอ่านทำอันตราย
ครั้นถึงปลายเดือนยี่ปีเดียวกันนั้น เป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระเจ้าซุนฮิว มีการเฉลิมฉลองตามประเพณี ซุนหลิมได้จัดข้าวของเงินทองของกินของใช้จำนวนมากส่งเข้าไปน้อมเกล้าถวายพระเจ้าซุนฮิวตามประเพณี
พระเจ้าซุนฮิวทรงรับแต่ของอุปโภคซึ่งซุนหลิมนำมาทูลเกล้าถวายเพื่อมิให้เสียอัชฌาสัย แต่ของบริโภคนั้นทรงตั้งข้อรังเกียจว่าเป็นของได้มาจากการรีดนาทาเร้นเอาจากราษฎรเปรียบเป็นอาจม ไม่สมควรที่จะทรงเสวย จึงพระราชทานคืนกลับไปให้ซุนหลิม
ซุนหลิมทราบความก็โกรธพระเจ้าซุนฮิว สั่งให้ตั้งโต๊ะขึ้นภายในจวน แล้วนำของกินของใช้ซึ่งพระราชทานกลับคืนมานั้นขึ้นตั้งบนโต๊ะ แล้วเชิญขุนนางชั้นผู้ใหญ่มากินโต๊ะนั้นพร้อมกัน
ซุนหลิมสั่งทหารให้รินสุราแจกแก่แม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวงที่มาร่วมงานเลี้ยง และชวนดื่มจนคนทั้งนั้นมีอาการเมามาย ซุนหลิมจึงกล่าวกับขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งนั้นว่า “เมื่อพระเจ้าซุนเหลียงทำความผิด เราเนรเทศเสียนั้น ขุนนางทั้งปวงก็ยอมสมัครให้เราเป็นเจ้า เราคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวน จึงเชิญพระเจ้าซุนฮิวมาครองสมบัติ บัดนี้เป็นวันประสูติเราแต่งของเข้าไปถวายตามธรรมเนียมก็มิได้รับ ซึ่งพระเจ้าซุนฮิวดูหมิ่นมิได้คิดถึงไมตรีเรานั้น ให้ท่านดูไปเถิด ไม่นานก็จะเห็นเป็นมั่นคง”
ขุนนางทั้งปวงได้ฟังคำซุนหลิมก็พากันก้มหน้านิ่ง เสร็จงานเลี้ยงแล้วต่างคนต่างคำนับลาซุนหลิมกลับไปเรือน
ฝ่ายเตียวปอเป็นขุนนางที่มีความจงรักภักดี ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จวนของซุนหลิม ได้ฟังคำซุนหลิมแล้วไม่พอใจ คิดว่าซุนหลิมมักใหญ่ใฝ่สูง จะตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าเสียเอง จึงลอบเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนฮิว แล้วกราบทูลเนื้อความซึ่งซุนหลิมได้กล่าวในงานเลี้ยงให้ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าซุนฮิวทรงทราบความก็ทรงพระวิตกแต่มิได้ตรัสประการใด ทรงทำทีทอดถอนพระทัยใหญ่ เตียวปอเห็นดังนั้นก็สงสารแล้วร้องไห้ และถวายบังคมลากลับออกไป
หลังจากวันนั้นแล้วซุนหลิมก็คิดระแวงระวังพระเจ้าซุนฮิว จึงตระเตรียมป้องกันตัว สั่งให้เบ้งจ๋องคุมกำลังทหารหมื่นห้าพันคนตั้งเป็นกองกำลังรักษาพระนครในสถานการณ์วิกฤต และตั้งกองอำนวยการขึ้นชั่วคราวที่ตำบลบู๊เฉียงนอกเมืองกังตั๋ง ซุนหลิมได้สั่งให้เบิกจ่ายศาสตราวุธจากคลังแสงให้แก่กองอำนวยการชั่วคราวนั้นเป็นอันมาก
ขุนนางข้าราชการทั้งปวงเห็นเหตุการณ์วิกฤตคับขันก็พากันร่ำลือว่าซุนหลิมจะคิดกบฏ.