ตอนที่ 623. ความขัดแย้งทางการเมืองในง่อก๊ก

เกียงอุยอาศัยสถานการณ์ที่วุยก๊กเกิดสงครามกลางเมืองภายในแคว้นกรีฑาทัพบุกวุยก๊กเป็นครั้งที่ห้า รุดเข้ายึดเนินยุทธศาสตร์ซินเฉียแล้วบุกเข้าตีเมืองเตียงเสียซึ่งเป็นฐานเสบียงของวุยก๊ก ในขณะที่ข้างในเมืองเตียงเสียกำลังคับขัน กองทัพหน้าของเตงงายก็ยกหนุนมาถึง

            สิ้นเสียงร้องท้าทายของเกียงอุย เห็นนักรบหนุ่มคนหนึ่งขี่ม้าโผนทะยานออกมาข้างหน้าทหารวุยก๊ก เป็น “หนุ่มน้อยหน้าขาว ปากแดง ขี่ม้าถือทวน” ปากก็ร้องตะโกนว่ามึงรู้จักกูขุนศึกเตงหรือไม่ เกียงอุยได้ยินเสียงข้าศึกว่าแซ่เตงก็สำคัญว่าเป็นเตงงาย จึงขี่ม้าเข้ารบกับทหารวุยก๊กผู้นั้น

            ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้สี่สิบเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน เกียงอุยคิดว่านายทหารหนุ่มน้อยผู้นี้มีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ จะเอาชนะซึ่งหน้าจะเสียเวลารบพุ่งมากเกินไป จึงทำทีเป็นสู้ไม่ได้แล้วชักม้าหนีออกจากลานรบ ทหารวุยก๊กหนุ่มหน้าขาวไม่รู้กลจึงขี่ม้าไล่ตามไป

            เกียงอุยเห็นทหารวุยก๊กหนุ่มหลงกลไล่ตามมาก็ดีใจ เอาทวนพาดไว้บนตัก มือคว้าเกาทัณฑ์มากุมไว้ พอได้จังหวะก็เหลียวกลับเอาเกาทัณฑ์ยิงใส่นายทหารหนุ่ม เสียงลูกเกาทัณฑ์หวีดกรีดฝ่าอากาศไปอย่างรวดเร็ว แต่นายทหารหนุ่มวุยก๊กนั้นปราดเปรียวว่องไวยิ่งนัก เอนตัวราบลงบนคอม้า ลูกเกาทัณฑ์จึงผ่านเลยศีรษะไปทางด้านหลัง

            เกียงอุยเหลียงหลังกลับไปดูอีกครั้งหนึ่งก็ตกใจ เพราะไม่เพียงลูกเกาทัณฑ์จะไม่ต้องตัวนายทหารวุยก๊กเท่านั้น นายทหารนั้นกลับเร่งฝีเท้าม้าเข้ามาจ่ออยู่ด้านหลังม้าของเกียงอุย และเงื้อทวนแทงมาอย่างรวดเร็ว

            เกียงอุยอาศัยความชำนาญการรบเอี้ยวตัวหลบทวนอย่างแคล่วคล่อง ตวัดแขนหนีบทวนที่แทงมานั้น ทำให้นายทหารวุยก๊กเสียหลัก จำต้องรีบปล่อยมือจากด้ามทวน เกียงอุยจึงเอาทวนแทงสวนกลับไป แต่นายทหารวุยก๊กได้ขี่ม้าหนีกลับไปแล้ว

            เกียงอุยไม่ละโอกาส รีบควบม้าไล่ตามหลังไปจนถึงหน้าขบวนทหารวุยก๊ก เห็นทหารวุยก๊กยกหนุนเนื่องเข้ามา ไม่อาจรุกคืบหน้าไปได้ก็เสียดายนัก จึงรั้งม้าชะงักอยู่ พลันเห็นนายทหารวัยกลางคนผู้หนึ่งพุ่งม้าออกมาจากขบวนทหารวุยก๊ก ปากร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ไอ้เกียงอุย มึงอย่ารังแกเตงต๋งลูกกูซึ่งเป็นเด็กเลย มาต่อสู้กับกูตัวต่อตัวจะดีกว่า

            เกียงอุยได้ยินคำของเตงงายก็รู้ว่านายทหารวุยก๊กที่เพิ่งประมือมานั้นเป็นเพียงบุตรของเตงงายนามเตงต๋งต่างหาก และเห็นเตงงายมีท่วงท่าเข้มแข็งกล้าหาญ ทั้งทหารวุยก๊กในที่ใกล้มีจำนวนมาก และเกียงอุยเองก็รบพุ่งจนอ่อนล้า ไม่พร้อมที่จะสู้รบกับเตงงายตัวต่อตัว ดังนั้นเกียงอุยจึงเอาแส้ม้าชี้หน้าเตงงายแล้วกล่าวว่า เวลาวันนี้ทั้งสองฝ่ายต่างเหนื่อยล้ามากแล้ว ชอบที่จะกลับไปพักสักราตรีหนึ่ง ไว้วันพรุ่งแล้วค่อยยกออกมารบกันให้เห็นฝีมือ

            เตงงายได้ยินคำเกียงอุยก็ต้องด้วยอัธยาศัย เพราะเห็นว่าการสู้รบปรบมือด้วยกำลังกายก็คล้ายกับการต่อสู้ของสัตว์เดรัจฉาน สู้ต่อสู้กันด้วยสติปัญญาไม่ได้ จึงรับคำ

            ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันเป็นสัตย์ว่าก่อนจะถึงเวลาวันพรุ่งนี้ จะไม่ลอบทำร้ายแก่กันและกัน ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาให้ถือว่าฝ่ายนั้นไม่ใช่ชายชาตรี

            กองทัพทั้งสองฝ่ายได้ถอยออกจากสมรภูมิ เตงงายพาทหารไปตั้งค่ายอยู่ที่ริมแม่น้ำอุยโห ฝ่ายเกียงอุยได้พาทหารอ้อมเนินเขาไปสองลูกแล้วตั้งค่ายมั่นไว้

            เตงงายพาทหารคนสนิทขึ้นไปบนเนินเขา ทอดสายตาดูการตั้งค่ายของทหารจ๊กก๊ก เห็นลักษณะการตั้งค่ายมั่นคงแข็งแรง ต้องด้วยตำราพิชัยสงคราม ยากแก่การเข้าตีและสามารถรุกรบได้อย่างคล่องตัว จึงสรรเสริญว่าเกียงอุยมีภูมิปัญญาในการศึกสงครามหาผู้ใดเสมอมิได้

            เตงงายคิดว่าเมื่อเกียงอุยตั้งค่ายมั่นคงดังนี้ หากจะยกทหารเข้าตีก็จะสิ้นเปลืองชีวิตทหารให้ป่วยการ จึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปแจ้งสุมาปองว่า ซึ่งจะทำสงครามกับกองทัพเมืองเสฉวนนั้นอย่าได้เผชิญหน้าแตกหักเป็นอันขาด ให้ท่านตั้งมั่นรักษาเมืองไว้อย่าได้ออกรบ ข้าพเจ้าได้ขอให้สุมาเจียวยกกองทัพหนุนมาช่วยแล้ว รอท่าให้กองทัพจากเมืองลกเอี๋ยงยกมาถึงเกียงอุยก็จะต้องแตกหนีไปเอง เราจึงค่อยฉวยโอกาสนั้นยกตามตีก็จะมีชัยชนะแก่ข้าศึก

            วันรุ่งขึ้นเกียงอุยได้คุมทหารยกไปที่สมรภูมิตามที่ได้ตกลงท้าทายไว้กับเตงงาย แต่ไม่เห็นกองทัพของเตงงาย เกียงอุยจึงให้ทหารถือหนังสือไปท้าให้เตงงายยกออกมารบกัน แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ จากกองทัพของเตงงาย เกียงอุยจึงจำต้องยกกองทัพกลับไปค่าย

            วันรุ่งขึ้นเกียงอุยได้คุมทหารไปที่หน้าค่ายของเตงงาย แต่เห็นค่ายเงียบเชียบเหมือนค่ายร้าง ไม่เห็นธงทิวปักตามค่าย คงเห็นแต่ควันไฟลอยกรุ่นอยู่ เกียงอุยก็รู้ว่าข้างในค่ายยังมีทหารและเกรงว่าเตงงายจะแต่งอุบายซุ่มโจมตี จึงพาทหารกลับมาค่าย แล้วแต่งหนังสือให้ทหารถือไปต่อว่าเตงงายว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย ขี้ขลาดตาขาว ตกลงสัญญากันแล้วไม่ยกมาตามกำหนดนัด

            เตงงายแต่งหนังสือตอบเกียงอุยกลับไปว่า ที่นัดหมายแล้วผิดพลาดนั้นมีเหตุมาแต่ข้าพเจ้าป่วยด้วยโรคท้องร่วง จึงไม่อาจยกไปรบกับท่านตามนัดหมายได้ ขออภัยท่านด้วยเถิด วันพรุ่งนี้จะยกไปต่อรบตามนัดหมาย

            เกียงอุยได้รับหนังสือของเตงงายก็ดีใจ วันรุ่งขึ้นจึงยกทหารจะออกไปรบกับเตงงายแต่ก็ไม่เห็นทหารวุยก๊กแม้แต่สักคนเดียว เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่ห้าหกครั้ง

            ฝ่ายเปาเขียมแม่ทัพกองทัพหน้า เห็นดังนั้นจึงทักท้วงเกียงอุยว่าซึ่งเตงงายทำดังนี้เห็นทีจะเป็นกลอุบายถ่วงเวลาคอยท่าให้เมืองลกเอี๋ยงยกกองทัพหนุนมาเป็นมั่นคง ควรที่ท่านจะแก้กลข้าศึกซึ่งกำลังคอยท่าเวลา ขอให้พันธมิตรกังตั๋งยกกองทัพบุกขึ้นมาจากภาคใต้ รุกตีขึ้นไปเมืองลกเอี๋ยง แล้วท่านจึงค่อยตีกระหนาบเข้าไปพร้อมกัน ข้าศึกไม่ทันตั้งตัวเห็นจะพ่ายแพ้แก่เรา

            เกียงอุยเห็นชอบกับแผนการของเปาเขียม จึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปให้ซุนหลิมที่เมืองกังตั๋ง ขอความช่วยเหลือให้รีบยกกองทัพไปโจมตีวุยก๊ก

            ฝ่ายสุมาเจียวครั้นเลิกทัพจากเมืองชิวฉุนกลับไปเมืองลกเอี๋ยงแล้ว แต่ละวันได้ติดตามข่าวคราวกองทัพเมืองเสฉวนโจมตีแดนวุยก๊ก ครั้นได้ทราบหนังสือของเตงงายว่ากองทัพของเกียงอุยยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จะตั้งรับได้อีกไม่นาน ขอให้มหาอุปราชยกทหารหนุนไปช่วยก็ตกใจ รีบจัดแจงกองทัพยกออกจากเมืองลกเอี๋ยงตรงไปเมืองเตียงเสีย

            ฝ่ายหน่วยสอดแนมของเกียงอุย ครั้นทราบข่าวว่าสุมาเจียวกำลังยกกองทัพจะมาเมืองเตียงเสีย จึงนำความไปรายงานให้เกียงอุยทราบว่า สุมาเจียวปราบปรามศึกเมืองชิวฉุนเสร็จสิ้นแล้วกลับไปเมืองลกเอี๋ยง และกำลังยกกองทัพหลวงมาช่วยเตงงาย

            เกียงอุยได้ทราบความก็ตกใจ คิดว่า “เดิมเราคิดว่าจะทำการให้ได้เมืองลกเอี๋ยง บัดนี้เห็นไม่สมความคิดแล้ว จำเราจะถอยกลับไปเมืองฟังท่วงทีก่อน”

            พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยหนึ่งพรรษา เดือนเก้า เกียงอุยได้นำกองทัพถอยกลับจากแดนวุยก๊กเข้าแดนเมืองฮันต๋ง

            ฝ่ายหน่วยสอดแนมของเตงงายพอทราบว่าเกียงอุยถอยทัพจึงนำความไปรายงานให้เตงงายทราบ

            เตงงายทราบความก็ปรบมือหัวเราะแล้วกล่าวว่า เกียงอุยคงทราบข่าวว่ามหาอุปราชกำลังยกกองทัพหนุนมาช่วย เกรงว่าจะถูกตีกระหนาบจึงต้องถอยทัพ แต่ไม่จำเป็นจะต้องไล่ตามตี

            นายทหารวุยก๊กได้ฟังคำเตงงายก็สงสัย พากันไต่ถามว่ายามที่ข้าศึกล่าถอยเป็นโอกาสอันดี ชอบที่จะตามตีให้ยับเยิน เตงงายได้ฟังก็ไม่ตอบคำ เดินกลับเข้าไปในค่ายบัญชาการ ต่อมาอีกหลายวันหน่วยสอดแนมได้นำความมารายงานว่า หลังจากเกียงอุยล่าทัพกลับไปแล้วได้พบว่าตามซอกเขาหลายแห่งมีกองฟืนและหญ้าแห้งพร้อมดินประสิวสุพรรณถันเป็นอันมาก

            เตงงายได้ฟังรายงานก็หัวเราะ กล่าวกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าถ้าหากยกตามเกียงอุยไปคงจะหลงกลข้าศึกเสียหายยับเยินไปแล้ว ทหารทั้งปวงประจักษ์ดังนั้นต่างพากันสรรเสริญสติปัญญาของเตงงายเป็นอันมาก

            เตงงายทราบว่ากองทัพสุมาเจียวใกล้จะมาถึง จึงคุมทหารยกสวนไปต้อนรับแล้วรายงานความทั้งปวงให้สุมาเจียวทราบ สุมาเจียวทราบความแล้วมีความยินดี ปูนบำเหน็จความชอบให้แก่เตงงายเป็นอันมาก แล้วเลิกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง

            ฝ่ายซุนหลิมมหาอุปราชเมืองกังตั๋ง ครั้นทราบรายงานว่ากึ่งจูนายทหารเมืองกังตั๋งที่ให้ไปช่วยจูกัดเอี๋ยนแปรพักตร์เข้าสวามิภักดิ์กับสุมาเจียวก็โกรธ สั่งทหารให้จับกุมบุตรภรรยาครอบครัวและพรรคพวกของกึ่งจูไปตัดศีรษะที่กลางตลาดกว่าร้อยคน

            ขณะนั้นพระเจ้าซุนเหลียงเจริญพระชนมายุได้สิบเจ็ดพรรษา ทรงทราบข่าวที่ซุนหลิมประหารชีวิตบุตรภรรยาญาติพี่น้องของกึ่งจูโดยไม่มีความผิดเป็นจำนวนมากก็ รู้สึกสลดพระทัย และทรงรู้สึกว่าซุนหลิมครองอำนาจแล้วเหลิงระเริงอำนาจมากเกินไป เห็นชีวิตผู้คนเป็นผักปลา หากเป็นไปเช่นนี้บ้านเมืองก็จะเป็นกลียุคเป็นมั่นคง

            พระเจ้าซุนเหลียงแม้ว่าจะมีพระชนมายุน้อย แต่ทรงมีพระสติปัญญาเฉลียวฉลาด ครั้งหนึ่งเสด็จลงประพาสอุทยาน นางกำนัลได้นำผลบ๊วยมาถวาย จึงตรัสเรียกหาน้ำผึ้งจากขุนนางผู้มีหน้าที่ ปรากฏว่าในน้ำผึ้งนั้นมีขี้หนูอยู่หลายก้อน จึงทรงดำริที่จะเอาผิดกับขุนนางผู้มีหน้าที่รักษาน้ำผึ้ง ขุนนางนั้นได้กราบทูลชี้แจงว่าไม่ได้กระทำความผิด พระเจ้าซุนเหลียงสังเกตอากัปกิริยาของขุนนางไม่เห็นพิรุธ จึงตรัสถามว่ามีผู้ใดมาขอน้ำผึ้งจากเจ้าบ้าง ขุนนางนั้นจึงกราบทูลว่าเมื่อสองสามวันก่อนมีขันทีมาขอน้ำผึ้งจะเอาไปดื่มบำรุงร่างกาย แต่ข้าพระองค์ไม่ให้ด้วยเกรงพระราชอาญา พระเจ้าซุนเหลียงถามชื่อขันทีแล้วตรัสเรียกหามาสอบถามว่าเป็นผู้เอาขี้หนูแกล้งใส่ในน้ำผึ้งหรือไม่ ขันทีนั้นไม่ยอมรับผิด พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่าน้ำผึ้งเข้มข้น ถ้าหากมีขี้หนูอยู่ในน้ำผึ้งนานแล้วข้างในขี้หนูก็จะชุ่มด้วยน้ำผึ้ง แต่ถ้าเพิ่งใส่ขี้หนูลงไปข้างในขี้หนูก็จะแห้ง เจ้าไปขอน้ำผึ้งเขาไม่ให้จึงผูกใจเจ็บ แล้วแกล้งเอาขี้หนูใส่ในน้ำผึ้งหวังให้ข้าเอาโทษ ขันทีได้ยินดังนั้นก็ตกใจแต่ฝืนใจปฏิเสธ พระเจ้าซุนเหลียงจึงให้เอาขี้หนูนั้นมาผ่าออกดู ปรากฏว่าข้างในขี้หนูนั้นแห้ง ขันทีจึงยอมรับผิด หลังจากวันนั้นแล้วข้างในราชสำนักต่างพากันชื่นชมโสมนัสในพระสติปัญญาของพระเจ้าซุนเหลียง แต่บ่นเสียดายถ้วนหน้ากันว่าฮ่องเต้มีสติปัญญากลับไม่สามารถจัดการบ้านเมือง เพราะมหาอุปราชฮุบอำนาจเอาไปจัดการเองทั้งสิ้น

            ยิ่งขุนนางราชสำนักสรรเสริญยกย่องพระเจ้าซุนเหลียงเพียงใด ซุนหลิมมหาอุปราชก็ยิ่งไม่พอใจเพียงนั้น ก่อการกำเริบทำการตามอำเภอใจราวกับว่าพระเจ้าซุนเหลียงเป็นเพียงเจว็ด นึกจะเข้าเฝ้าก็เข้าเฝ้า ไม่อยากจะเข้าเฝ้าก็ไม่เข้าไปเฝ้า พระเจ้าซุนเหลียงทรงเห็นอาการดังนั้นก็รู้ว่ามหาอุปราชซุนหลิมกำลังคิดกบฏแข็งข้อต่อราชสำนักจึงทรงปรึกษากับขุนนางผู้วางพระทัย มีพระราชปรารภว่าจำจะกำจัดซุนหลิมเสียก่อน หาไม่แล้วซุนหลิมก็จะชิงเอาราชสมบัติ ตรัสแล้วก็ทรงกันแสง

            ฝ่ายจวนกี๋ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ มีศักดิ์เป็นพระปิตุลาของพระเจ้าซุนเหลียง เห็นพระเจ้าซุนเหลียงกันแสงก็ร้องไห้ตาม แล้วอาสาว่าข้าพระองค์จะขออาสากำจัดซุนหลิมเอง อย่าได้ทรงพระวิตกสืบไปเลย พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่าซุนหลิมนั้นเป็นมหาอุปราช กุมอำนาจทหารและพลเรือนไว้สิ้น ท่านตัวผู้เดียวจะทำการเห็นขัดสน จงไปปรึกษากับเล่าเสงขุนนางฝ่ายทหารซึ่งมีความจงรักภักดีต่อเรา ให้เล่าเสงนำทหารซึ่งไว้วางใจเข้ามาซุ่มอยู่ในพระราชวัง เราจะเชิญซุนหลิมเข้ามารับพระราชทานเลี้ยงโต๊ะ เมื่อซุนหลิมเข้ามาแล้วจึงค่อยจับฆ่าเสีย แต่การทั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวด้วยความเป็นความตาย อย่าได้แพร่งพรายเป็นอันขาด แม้ผู้คนในบ้านเรือนก็วางใจมิได้ จงตระหนักไว้ว่าซุนหลิมนั้นเป็นน้องของมารดาท่าน หากเนื้อความแพร่งพรายไปแล้วซุนหลิมรู้ความการจะเสียไป

            จวนกี๋จึงกราบทูลว่าพระองค์อย่าทรงพระวิตก ข้าพระองค์ตระหนักดีว่าการทั้งนี้จำกระทำด้วยความรอบคอบถ้วนถี่ แต่เพื่อให้ขุนนางผู้ภักดีได้เข้าร่วมการด้วยเต็มใจ จะใคร่ขอพระราชหัตถเลขาไว้เป็นสำคัญ

            พระเจ้าซุนเหลียงทรงเห็นชอบ จึงมีพระราชหัตถเลขาลับฉบับหนึ่งมีความว่า ให้ขุนนางผู้ภักดีต่อแผ่นดินช่วยคิดอ่านกำจัดซุนหลิมเสีย จวนกี๋รับพระราชหัตถเลขาแล้วจึงถวายบังคมลากลับไปเรือน.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร