ตอนที่ 621. อุบาย "รวมปลาไว้ในข้องเดียว"
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยหนึ่งพรรษา เดือนสี่ สุมาเจียวกรีฑากองทัพเข้าล้อมเมืองชิวฉุนไว้ทั้งสี่ด้าน ในขณะที่จูกัดเอี๋ยนตั้งหลักอยู่ในเมืองและกองทัพเมืองกังตั๋งที่ยกมาช่วยตั้งค่ายอยู่นอกเมือง สุมาเจียวคุมเชิงอยู่หลายวันไม่เห็นในเมืองยกออกมารบ จึงปรึกษากับแม่ทัพนายกองเพื่อวางแผนเผด็จศึก
จงโฮยจึงว่า กองทัพเราล้อมเมืองอยู่ทั้งสี่ด้านนั้นก็จริง แต่ก็ตกอยู่ในท่ามกลางศึกกระหนาบไปพร้อมกันด้วย ด้านหนึ่งกองทัพจูกัดเอี๋ยนอยู่ในเมือง อีกด้านหนึ่งกองทัพเมืองกังตั๋งอยู่ด้านนอก หากกองทัพทั้งสองถึงกันแล้วยกเข้าตีกระหนาบพร้อมกันเราก็จะขัดสน ทั้งในเมืองชิวฉุนนี้เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ จึงชอบจะทำกลอุบายรวมปลาไว้ในข้องเดียว เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง
สุมาเจียวจึงถามว่า อุบายของท่านเป็นประการใด
จงโฮยจึงไขความว่า ขอให้เปิดแนวล้อมเมืองด้านทิศใต้ ปล่อยให้ว่างไว้ ถ้าหากทหารข้างในเมืองคิดเอาใจออกหากก็จะพากันหลบหนีออกไป หากทหารข้างนอกเมืองคิดจะเข้าช่วยในเมืองก็จะยกเข้ามารวมกัน เสบียงอาหารที่มีอยู่ในเมืองจะถูกแบ่งเฉลี่ยจนทหารไม่พอกิน เราจึงปิดล้อมด้านทิศใต้อีกครั้งหนึ่ง หรือถ้าทหารข้างนอกเมืองแบ่งกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปอยู่ข้างในเมือง จะคิดอ่านตีกระหนาบกองทัพที่อยู่นอกเมืองก่อน แล้วโหมเข้าตีเอาเมือง เห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงสั่งให้ถอนกำลังซึ่งปิดล้อมเมืองชิวฉุนด้านทิศใต้ และเปิดว่างไว้
ฝ่ายซุนหลิมหลังจากส่งกองทัพไปช่วยจูกัดเอี๋ยนแล้ว ต่อมาได้รับรายงานข่าวศึกว่ากองทัพเมืองกังตั๋งเสียทีถอยหนีมาตั้งอยู่นอกเมืองชิวฉุนก็โกรธ จึงทำหนังสือไปคาดโทษจูอี้แม่ทัพกองทัพหน้าว่าการเพียงเท่านี้หากเสียทีแก่ข้าศึกอีกจะตัดศีรษะเสีย จูอี้ได้รับหนังสือคาดโทษของซุนหลิมแล้วตกใจ รีบเอาหนังสือนั้นให้เพื่อนนายทหารดูถ้วนหน้ากัน ต่างคนต่างหวาดกลัวว่าจะต้องอาญาของซุนหลิม จึงพากันเคร่งเครียด และวิตกทุกข์ร้อนเป็นอันมาก
ฝ่ายอีจ้วนนายทหารเมืองกังตั๋งเห็นกองทัพเมืองลกเอี๋ยงล่าถอยออกไปจากแนวล้อมด้านทิศใต้ของเมืองชิวฉุน จึงปรึกษาด้วยเพื่อนนายทหารว่าแต่ก่อนนี้กองทัพข้างในและนอกเมืองไม่ถึงกัน จึงไม่อาจประสานการสงครามให้เป็นเอกภาพได้ บัดนี้สามารถเข้าเมืองชิวฉุนทางประตูเมืองด้านทิศใต้ได้โดยง่าย ขอให้แบ่งทหารหมื่นหนึ่งเข้าไปหาจูกัดเอี๋ยนข้างในเมือง เมื่อได้สัญญาณแล้วให้พวกท่านตีกระหนาบหลังกองทัพเมืองลกเอี๋ยง ข้าพเจ้ากับจูกัดเอี๋ยนจะยกทหารตีกระหนาบออกมา เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง
จูอี้ได้ฟังแผนการของอีจ้วนก็เห็นชอบ จึงตกลงกันให้บุนขิมนำทางนายทหารเมืองกังตั๋งสามคนคืออีจอ จวนเต๊ก และจวนต๋วน คุมทหารหมื่นหนึ่งยกเข้าไปในเมืองชิวฉุน ส่วนจูอี้คุมทหารที่เหลือตั้งมั่นอยู่ด้านนอกตามเดิม
จูกัดเอี๋ยนทราบข่าวว่าทหารเมืองกังตั๋งยกมาถึงหน้าประตูเมืองก็มีความยินดี สั่งให้เปิดประตูเมืองรับ เมื่อได้คำนับทักทายนายทหารเมืองกังตั๋งตามประเพณีแล้ว จึงปรึกษาแผนการที่จะยกทหารตีกระหนาบกองทัพเมืองลกเอี๋ยงพร้อมกัน จูกัดเอี๋ยนได้ฟังแผนการก็เห็นชอบ สั่งให้จัดแจงทหารเตรียมการที่จะรุกจู่โจมกระหนาบตีทหารเมืองลกเอี๋ยงพร้อมกัน และให้ทหารถือสารออกไปนัดหมายกับจูอี้ที่ด้านนอกเมือง
ฝ่ายหน่วยลาดตระเวนของสุมาเจียว ครั้นเห็นทหารเมืองกังตั๋งแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเข้าไปในเมือง อีกส่วนหนึ่งยังตั้งมั่นอยู่ด้านนอก จึงนำความไปรายงานให้สุมาเจียวทราบ
สุมาเจียวพอทราบความก็ดีใจปรบมือหัวเราะแล้วกล่าวว่า ข้าศึกทำการทั้งนี้ต้องด้วยกลของจงโฮยแน่แล้ว จงโฮยได้ยินคำสุมาเจียวจึงกล่าวว่า ข้าศึกถึงกันในวันนี้เห็นจะนัดหมายยกกองทัพเข้าตีกระหนาบกองทัพเราในค่ำวันพรุ่งนี้เป็นแน่แท้ ขอให้ท่านแม่ทัพสั่งให้อองกี๋และตันเกี๋ยนคุมทหารคนละกองลอบไปซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางใกล้กับค่ายทหารเมืองกังตั๋ง เมื่อทหารเมืองกังตั๋งยกออกจากค่ายก็ให้ปล่อยล่วงเข้ามาก่อน แล้วค่อยตีกระหนาบหลังเข้ามา และให้ทหารซึ่งล้อมเมืองอยู่ทั้งสามด้านทำทีจะหักเข้าตีเมืองพร้อมกัน จูกัดเอี๋ยนจะต้องป้องกันรักษาเมืองก่อน ไม่อาจยกไปช่วยทหารเมืองกังตั๋งได้ เห็นกองทัพเมืองกังตั๋งจะแตกไปเป็นมั่นคง
สุมาเจียวได้ฟังแผนการของจงโฮยก็เห็นชอบ จึงสั่งให้จัดแจงตามแผนการนั้นทุกประการ
วันรุ่งขึ้นพอเวลายามแรกผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม จูอี้ก็คุมทหารออกจากค่ายจะยกไปตีค่ายของสุมาเจียวตามที่นัดหมายไว้กับข้างในเมืองชิวฉุน ในขณะเดียวกันนั้นจูกัดเอี๋ยนก็จัดแจงทหารเตรียมพร้อมที่จะยกตีกระหนาบ พอหน่วยลาดตระเวนของสุมาเจียวเห็นเหตุการณ์จึงจุดพลุไฟสัญญาณขึ้นไปบนท้องฟ้า
กองทัพของสุมาเจียวที่ล้อมเมืองไว้ทั้งสามด้านพากันโห่ร้องทำทีจะหักเข้าตีเอาเมือง จูกัดเอี๋ยนทราบดังนั้นก็ตกใจ สั่งทหารที่จัดแจงไว้ให้รีบขึ้นรักษากำแพงเชิงเทินคอยป้องกันรักษาเมืองเอาไว้ก่อน
ฝ่ายจูอี้ยกทหารออกจากค่ายตามที่ได้นัดหมายไว้ พอเห็นพลุสัญญาณก็ตกใจ ในทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงทหารวุยก๊กโห่ร้องโจมตีเข้ามาทางด้านหลัง และยังมีเสียงทหารวุยก๊กอีกกองหนึ่งโห่ร้องโจมตีเข้ามาทางด้านหน้า ทหารวุยก๊กรุกจู่โจมเข้าฆ่าฟันทหารของจูอี้บาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ทหารเมืองกังตั๋งพากันแตกตื่นตกใจตีฝ่าหนีกลับไปค่าย
แต่จูอี้นั้นถูกทหารวุยก๊กไล่ติดตามอย่างกระชั้นชิดไม่อาจหนีเข้าค่ายได้ จึงหนีกลับไปเมืองกังตั๋ง แล้วเข้าไปรายงานความให้ซุนหลิมทราบ ซุนหลิมพอทราบความก็โกรธที่จูอี้เสียทีข้าศึกอีกครั้งหนึ่ง จึงสั่งทหารให้คุมตัวจูอี้ไปตัดศีรษะเสีย และสั่งให้ตามตัวจวนฮุยซึ่งเป็นบุตรจวนต๋วนเข้ามาหาแล้วสั่งว่า ทหารเมืองกังตั๋งยกไปช่วยจูกัดเอี๋ยนแต่ทำการเสียทีให้เป็นที่ขายหน้าแก่เราเป็นอันมาก จึงให้ท่านคุมทหารอีกกองหนึ่งหนุนไปช่วยทำการแก้ตัว และให้บอกกล่าวแก่บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงด้วยว่าหากไม่ได้ชัยชนะก็อย่ากลับมาหาเราอีกเลย
ฝ่ายสุมาเจียวเมื่อได้ชัยชนะแก่ข้าศึกก็มีความยินดี สรรเสริญสติปัญญาของจงโฮยว่ามีสติปัญญาหลักแหลมลึกซึ้งเสมอด้วยเตียวเหลียงยอดขุนพลคู่พระบารมีของพระเจ้าฮั่นโกโจ
จงโฮยจึงว่า ทหารเมืองกังตั๋งข้างนอกเหลืออยู่น้อยตัวแล้วไม่เป็นอันตรายอีกต่อไป ดังนั้นจึงสมควรที่จะปิดล้อมเมืองด้านทิศใต้อีกครั้งหนึ่ง ทหารเมืองกังตั๋งที่เหลือก็เห็นจะหนีทัพกลับไปเอง และข้างในเมืองเมื่อเห็นว่าไม่มีทางสู้ก็จะหักหลังทำร้ายกันเองเป็นมั่นคง
สุมาเจียวเห็นชอบกับแผนการของจงโฮย จึงสั่งทหารให้ปิดล้อมเมืองด้านทิศใต้อีกครั้งหนึ่ง
ฝ่ายจวนฮุยคุมทหารเมืองกังตั๋งยกหนุนมาช่วยตามคำสั่งของซุนหลิม แต่เมื่อมาถึงเห็นเมืองชิวฉุนถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนา จะหักฝ่าเข้าไปก็เกินกำลังนัก ครั้นจะถอยกลับไปเมืองกังตั๋งก็เกรงอาญาของซุนหลิม เพราะได้ตัดศีรษะจูอี้ให้เห็นประจักษ์มาแล้ว จวนฮุยคิดไปคิดมาหลายตลบไม่เห็นทางรอดตาย จึงตัดสินใจพาทหารเข้าสวามิภักดิ์กับสุมาเจียว
จงโฮยได้ทราบความดังนั้นจึงเสนอให้สุมาเจียวแต่งตั้งจวนฮุยเป็นนายทหารรอง เข้าประจำการในกองทัพหน้าของกองทัพเมืองลกเอี๋ยง และให้ปูนบำเหน็จจงมาก เพื่อเกลี้ยกล่อมเอาใจจวนฮุยเข้าเป็นพวก จะได้ใช้ไปทำการเกลี้ยกล่อมทหารเมืองกังตั๋งที่เหลือให้สวามิภักดิ์ต่อไป
สุมาเจียวเห็นชอบกับแผนการของจงโฮย จึงให้การต้อนรับขับสู้จวนฮุยอย่างสมเกียรติและอบอุ่น ตั้งให้เป็นนายทหารรองของกองทัพหน้า และมอบเสื้อเกราะอย่างดีพร้อมกับม้าศึกพันธุ์ดีจากภาคตะวันตก และเงินทองอีกจำนวนมาก จวนฮุยรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของสุมาเจียวจึงคุกเข่าลงคำนับ แล้วขันอาสาจะเกลี้ยกล่อมทหารเมืองกังตั๋งทั้งหมดให้เข้าสวามิภักดิ์
สุมาเจียวได้ยินคำอาสาก็ยินดี จึงเร่งให้จวนฮุยทำการตามที่อาสา หากสำเร็จแล้วจะปูนบำเหน็จความชอบให้เป็นอันมาก
จวนฮุยจึงทำหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งถึงจวนต๋วนผู้บิดาและจวนเต๊กผู้เป็นอา เป็นเนื้อความว่าซุนหลิมจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิต สังหารจูอี้ซึ่งไม่มีความผิดและคาดโทษข้าพเจ้าตลอดจนเพื่อนทหารเมืองกังตั๋งอีกเล่า หากกลับไปเมืองกังตั๋งก็จะพากันตายสิ้น ขอให้ออกมานอบน้อมกับสุมาเจียวเถิด เพราะเป็นคนมีน้ำใจเมตตาการุณย์ต่อข้าทหาร
ครั้นทำหนังสือเสร็จแล้วจึงผูกเข้ากับลูกเกาทัณฑ์แล้วให้ทหารยิงไปที่บริเวณค่ายทหารเมืองกังตั๋งที่อยู่ในเมืองชิวฉุน
เมื่อจวนเต๊กได้รับสารซึ่งผูกไว้ในเกาทัณฑ์แล้วจึงนำไปปรึกษากับจวนต๋วนและเพื่อนทหารเมืองกังตั๋ง เห็นพ้องต้องกันว่าถ้ากลับไปเมืองกังตั๋งก็ต้องตาย หากจะต่อสู้ต่อไปก็ไม่มีทางได้ชัยชนะ กระนั้นเลยออกไปนอบน้อมเข้าด้วยสุมาเจียวจะดีกว่า
ปรึกษาพร้อมกันแล้วจวนต๋วนและจวนเต๊กจึงพาทหารเมืองกังตั๋งซึ่งอยู่ในเมืองชิวฉุนออกไปสวามิภักดิ์กับสุมาเจียว
สุมาเจียวทราบความก็มีความยินดี สรรเสริญจงโฮยว่ามีสติปัญญาลึกซึ้งเสมอด้วยเทพยดา
ฝ่ายจูกัดเอี๋ยนเมื่อได้ทราบว่าทหารเมืองกังตั๋งพากันแปรพักตร์ไปเข้าด้วยกับสุมาเจียวก็มีความทุกข์ร้อนเป็นอันมาก จึงปรึกษาด้วยแม่ทัพนายกองว่าจะคิดอ่านประการใด
เจียวอี้และเจียวปั้นซึ่งเป็นที่ปรึกษาของจูกัดเอี๋ยนได้เสนอว่า เมื่อถึงกาลคับขันแล้วชอบที่จะคุมทหารตีฝ่าออกไป เสี่ยงตายดีกว่าที่จะถูกเขาล้อมไว้ให้อดข้าวตาย
จูกัดเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ด่าสองที่ปรึกษาว่าเสบียงอาหารในเมืองยังบริบูรณ์อยู่ ท่านมาว่ากล่าวฉะนี้จะให้ทหารเสียขวัญกำลังใจหรือ หากกล่าวเช่นนี้อีกจะตัดศีรษะเสีย
สองที่ปรึกษาได้ยินดังนั้นก็เสียใจ ก้มหน้านิ่ง พอได้โอกาสก็คำนับลาจูกัดเอี๋ยนเดินกลับออกไป พลางทอดถอนใจใหญ่ แล้วปรึกษากันเองว่าจูกัดเอี๋ยนสิ้นคิดแล้ว เราสองคนจะมาฝากชีวิตกับคนตายทั้งเป็นแบบนี้หาควรไม่ ไปเข้ากับสุมาเจียวเห็นจะจำเริญกว่า
ครั้นเวลายามเศษทั้งเจียวปั้นและเจียวอี้ก็ลอบปีนกำแพงเมืองไปขอเข้าสวามิภักดิ์กับสุมาเจียว
สุมาเจียวให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี แล้วแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาประจำกองทัพ ให้ปูนบำเหน็จเป็นอันมาก ทั้งเจียวปั้นและเจียวอี้ได้รับบุญคุณจาก สุมาเจียวเป็นความชอบก็พากันสำนึกในบุญคุณ จึงขี่ม้าออกไปป่าวร้องให้ทหารในเมืองชิวฉุนยอมสวามิภักดิ์ แต่ทหารข้างในเมืองเกรงอาญาจูกัดเอี๋ยนได้ยินเสียงเจียวอี้และเจียวปั้นแล้วต่างพากันนิ่งเฉย หลังจากวันนั้นแล้วทหารเมืองชิวฉุนก็ไม่เต็มใจสู้รบ รักษาเวรยามและกำแพงเมืองแบบซังกะตายไปวัน ๆ
เมืองชิวฉุนถูกปิดล้อมไว้เป็นเวลานาน เสบียงอาหารก็ขาดแคลนลง บุนขิมและบุตรทั้งสองคนเห็นทหารอดอยากจึงเข้าไปหาจูกัดเอี๋ยนแล้วว่า บัดนี้เสบียงอาหารของพวกข้าพเจ้าหมดสิ้นแล้ว ได้ความอดอยากแสนสาหัส จึงขอพาทหารเมืองห้วยหลำออกไปหาเสบียงก่อนแล้วจะกลับเข้ามาใหม่
จูกัดเอี๋ยนฝังใจเจ็บที่ทหารพากันไปเข้าสวามิภักดิ์กับสุมาเจียว พอได้ยินคำบุนขิมดังนั้นก็สำคัญว่าบุนขิมคิดหักหลัง จะพาทหารออกไปสวามิภักดิ์กับสุมาเจียวก็โกรธ สั่งทหารให้เข้าจับตัวบุนขิมแล้วเอาไปตัดศีรษะ แต่บุตรทั้งสองคนของบุนขิมนั้นมิได้พูดจาประการใด จูกัดเอี๋ยนจึงขับให้ออกไปจากกองบัญชาการ
บุนเอ๋งและบุนเฮาซึ่งเป็นบุตรของบุนขิม เห็นบิดาถูกลงโทษประหารชีวิตโดยไม่มีความผิดก็โกรธ ดังนั้นพอรอดตัวออกมาจากกองบัญชาการของจูกัดเอี๋ยนจึงชวนกันไปที่กำแพงเมือง ชักดาบออกฟันทหารซึ่งรักษากำแพงเมืองบาดเจ็บล้มตายกว่าสิบคน แล้วกระโดดลงจากกำแพงวิ่งข้ามคูเมืองหนีไปเข้าสวามิภักดิ์กับสุมาเจียว
สุมาเจียวเห็นบุนเอ๋งก็โกรธ ความแค้นเก่าที่เคยพลาดท่าเสียทีแก่บุนเอ๋งประดังเข้ามา จึงสั่งทหารให้คุมตัวบุนเอ๋งเอาไปประหารชีวิต
จงโฮยเห็นดังนั้นจึงห้ามทหารซึ่งคุมตัวบุนเอ๋งว่าอย่าเพิ่งเอาตัวออกไป.
จงโฮยจึงว่า กองทัพเราล้อมเมืองอยู่ทั้งสี่ด้านนั้นก็จริง แต่ก็ตกอยู่ในท่ามกลางศึกกระหนาบไปพร้อมกันด้วย ด้านหนึ่งกองทัพจูกัดเอี๋ยนอยู่ในเมือง อีกด้านหนึ่งกองทัพเมืองกังตั๋งอยู่ด้านนอก หากกองทัพทั้งสองถึงกันแล้วยกเข้าตีกระหนาบพร้อมกันเราก็จะขัดสน ทั้งในเมืองชิวฉุนนี้เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ จึงชอบจะทำกลอุบายรวมปลาไว้ในข้องเดียว เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง
สุมาเจียวจึงถามว่า อุบายของท่านเป็นประการใด
จงโฮยจึงไขความว่า ขอให้เปิดแนวล้อมเมืองด้านทิศใต้ ปล่อยให้ว่างไว้ ถ้าหากทหารข้างในเมืองคิดเอาใจออกหากก็จะพากันหลบหนีออกไป หากทหารข้างนอกเมืองคิดจะเข้าช่วยในเมืองก็จะยกเข้ามารวมกัน เสบียงอาหารที่มีอยู่ในเมืองจะถูกแบ่งเฉลี่ยจนทหารไม่พอกิน เราจึงปิดล้อมด้านทิศใต้อีกครั้งหนึ่ง หรือถ้าทหารข้างนอกเมืองแบ่งกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปอยู่ข้างในเมือง จะคิดอ่านตีกระหนาบกองทัพที่อยู่นอกเมืองก่อน แล้วโหมเข้าตีเอาเมือง เห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงสั่งให้ถอนกำลังซึ่งปิดล้อมเมืองชิวฉุนด้านทิศใต้ และเปิดว่างไว้
ฝ่ายซุนหลิมหลังจากส่งกองทัพไปช่วยจูกัดเอี๋ยนแล้ว ต่อมาได้รับรายงานข่าวศึกว่ากองทัพเมืองกังตั๋งเสียทีถอยหนีมาตั้งอยู่นอกเมืองชิวฉุนก็โกรธ จึงทำหนังสือไปคาดโทษจูอี้แม่ทัพกองทัพหน้าว่าการเพียงเท่านี้หากเสียทีแก่ข้าศึกอีกจะตัดศีรษะเสีย จูอี้ได้รับหนังสือคาดโทษของซุนหลิมแล้วตกใจ รีบเอาหนังสือนั้นให้เพื่อนนายทหารดูถ้วนหน้ากัน ต่างคนต่างหวาดกลัวว่าจะต้องอาญาของซุนหลิม จึงพากันเคร่งเครียด และวิตกทุกข์ร้อนเป็นอันมาก
ฝ่ายอีจ้วนนายทหารเมืองกังตั๋งเห็นกองทัพเมืองลกเอี๋ยงล่าถอยออกไปจากแนวล้อมด้านทิศใต้ของเมืองชิวฉุน จึงปรึกษาด้วยเพื่อนนายทหารว่าแต่ก่อนนี้กองทัพข้างในและนอกเมืองไม่ถึงกัน จึงไม่อาจประสานการสงครามให้เป็นเอกภาพได้ บัดนี้สามารถเข้าเมืองชิวฉุนทางประตูเมืองด้านทิศใต้ได้โดยง่าย ขอให้แบ่งทหารหมื่นหนึ่งเข้าไปหาจูกัดเอี๋ยนข้างในเมือง เมื่อได้สัญญาณแล้วให้พวกท่านตีกระหนาบหลังกองทัพเมืองลกเอี๋ยง ข้าพเจ้ากับจูกัดเอี๋ยนจะยกทหารตีกระหนาบออกมา เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง
จูอี้ได้ฟังแผนการของอีจ้วนก็เห็นชอบ จึงตกลงกันให้บุนขิมนำทางนายทหารเมืองกังตั๋งสามคนคืออีจอ จวนเต๊ก และจวนต๋วน คุมทหารหมื่นหนึ่งยกเข้าไปในเมืองชิวฉุน ส่วนจูอี้คุมทหารที่เหลือตั้งมั่นอยู่ด้านนอกตามเดิม
จูกัดเอี๋ยนทราบข่าวว่าทหารเมืองกังตั๋งยกมาถึงหน้าประตูเมืองก็มีความยินดี สั่งให้เปิดประตูเมืองรับ เมื่อได้คำนับทักทายนายทหารเมืองกังตั๋งตามประเพณีแล้ว จึงปรึกษาแผนการที่จะยกทหารตีกระหนาบกองทัพเมืองลกเอี๋ยงพร้อมกัน จูกัดเอี๋ยนได้ฟังแผนการก็เห็นชอบ สั่งให้จัดแจงทหารเตรียมการที่จะรุกจู่โจมกระหนาบตีทหารเมืองลกเอี๋ยงพร้อมกัน และให้ทหารถือสารออกไปนัดหมายกับจูอี้ที่ด้านนอกเมือง
ฝ่ายหน่วยลาดตระเวนของสุมาเจียว ครั้นเห็นทหารเมืองกังตั๋งแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเข้าไปในเมือง อีกส่วนหนึ่งยังตั้งมั่นอยู่ด้านนอก จึงนำความไปรายงานให้สุมาเจียวทราบ
สุมาเจียวพอทราบความก็ดีใจปรบมือหัวเราะแล้วกล่าวว่า ข้าศึกทำการทั้งนี้ต้องด้วยกลของจงโฮยแน่แล้ว จงโฮยได้ยินคำสุมาเจียวจึงกล่าวว่า ข้าศึกถึงกันในวันนี้เห็นจะนัดหมายยกกองทัพเข้าตีกระหนาบกองทัพเราในค่ำวันพรุ่งนี้เป็นแน่แท้ ขอให้ท่านแม่ทัพสั่งให้อองกี๋และตันเกี๋ยนคุมทหารคนละกองลอบไปซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางใกล้กับค่ายทหารเมืองกังตั๋ง เมื่อทหารเมืองกังตั๋งยกออกจากค่ายก็ให้ปล่อยล่วงเข้ามาก่อน แล้วค่อยตีกระหนาบหลังเข้ามา และให้ทหารซึ่งล้อมเมืองอยู่ทั้งสามด้านทำทีจะหักเข้าตีเมืองพร้อมกัน จูกัดเอี๋ยนจะต้องป้องกันรักษาเมืองก่อน ไม่อาจยกไปช่วยทหารเมืองกังตั๋งได้ เห็นกองทัพเมืองกังตั๋งจะแตกไปเป็นมั่นคง
สุมาเจียวได้ฟังแผนการของจงโฮยก็เห็นชอบ จึงสั่งให้จัดแจงตามแผนการนั้นทุกประการ
วันรุ่งขึ้นพอเวลายามแรกผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม จูอี้ก็คุมทหารออกจากค่ายจะยกไปตีค่ายของสุมาเจียวตามที่นัดหมายไว้กับข้างในเมืองชิวฉุน ในขณะเดียวกันนั้นจูกัดเอี๋ยนก็จัดแจงทหารเตรียมพร้อมที่จะยกตีกระหนาบ พอหน่วยลาดตระเวนของสุมาเจียวเห็นเหตุการณ์จึงจุดพลุไฟสัญญาณขึ้นไปบนท้องฟ้า
กองทัพของสุมาเจียวที่ล้อมเมืองไว้ทั้งสามด้านพากันโห่ร้องทำทีจะหักเข้าตีเอาเมือง จูกัดเอี๋ยนทราบดังนั้นก็ตกใจ สั่งทหารที่จัดแจงไว้ให้รีบขึ้นรักษากำแพงเชิงเทินคอยป้องกันรักษาเมืองเอาไว้ก่อน
ฝ่ายจูอี้ยกทหารออกจากค่ายตามที่ได้นัดหมายไว้ พอเห็นพลุสัญญาณก็ตกใจ ในทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงทหารวุยก๊กโห่ร้องโจมตีเข้ามาทางด้านหลัง และยังมีเสียงทหารวุยก๊กอีกกองหนึ่งโห่ร้องโจมตีเข้ามาทางด้านหน้า ทหารวุยก๊กรุกจู่โจมเข้าฆ่าฟันทหารของจูอี้บาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ทหารเมืองกังตั๋งพากันแตกตื่นตกใจตีฝ่าหนีกลับไปค่าย
แต่จูอี้นั้นถูกทหารวุยก๊กไล่ติดตามอย่างกระชั้นชิดไม่อาจหนีเข้าค่ายได้ จึงหนีกลับไปเมืองกังตั๋ง แล้วเข้าไปรายงานความให้ซุนหลิมทราบ ซุนหลิมพอทราบความก็โกรธที่จูอี้เสียทีข้าศึกอีกครั้งหนึ่ง จึงสั่งทหารให้คุมตัวจูอี้ไปตัดศีรษะเสีย และสั่งให้ตามตัวจวนฮุยซึ่งเป็นบุตรจวนต๋วนเข้ามาหาแล้วสั่งว่า ทหารเมืองกังตั๋งยกไปช่วยจูกัดเอี๋ยนแต่ทำการเสียทีให้เป็นที่ขายหน้าแก่เราเป็นอันมาก จึงให้ท่านคุมทหารอีกกองหนึ่งหนุนไปช่วยทำการแก้ตัว และให้บอกกล่าวแก่บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงด้วยว่าหากไม่ได้ชัยชนะก็อย่ากลับมาหาเราอีกเลย
ฝ่ายสุมาเจียวเมื่อได้ชัยชนะแก่ข้าศึกก็มีความยินดี สรรเสริญสติปัญญาของจงโฮยว่ามีสติปัญญาหลักแหลมลึกซึ้งเสมอด้วยเตียวเหลียงยอดขุนพลคู่พระบารมีของพระเจ้าฮั่นโกโจ
จงโฮยจึงว่า ทหารเมืองกังตั๋งข้างนอกเหลืออยู่น้อยตัวแล้วไม่เป็นอันตรายอีกต่อไป ดังนั้นจึงสมควรที่จะปิดล้อมเมืองด้านทิศใต้อีกครั้งหนึ่ง ทหารเมืองกังตั๋งที่เหลือก็เห็นจะหนีทัพกลับไปเอง และข้างในเมืองเมื่อเห็นว่าไม่มีทางสู้ก็จะหักหลังทำร้ายกันเองเป็นมั่นคง
สุมาเจียวเห็นชอบกับแผนการของจงโฮย จึงสั่งทหารให้ปิดล้อมเมืองด้านทิศใต้อีกครั้งหนึ่ง
ฝ่ายจวนฮุยคุมทหารเมืองกังตั๋งยกหนุนมาช่วยตามคำสั่งของซุนหลิม แต่เมื่อมาถึงเห็นเมืองชิวฉุนถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนา จะหักฝ่าเข้าไปก็เกินกำลังนัก ครั้นจะถอยกลับไปเมืองกังตั๋งก็เกรงอาญาของซุนหลิม เพราะได้ตัดศีรษะจูอี้ให้เห็นประจักษ์มาแล้ว จวนฮุยคิดไปคิดมาหลายตลบไม่เห็นทางรอดตาย จึงตัดสินใจพาทหารเข้าสวามิภักดิ์กับสุมาเจียว
จงโฮยได้ทราบความดังนั้นจึงเสนอให้สุมาเจียวแต่งตั้งจวนฮุยเป็นนายทหารรอง เข้าประจำการในกองทัพหน้าของกองทัพเมืองลกเอี๋ยง และให้ปูนบำเหน็จจงมาก เพื่อเกลี้ยกล่อมเอาใจจวนฮุยเข้าเป็นพวก จะได้ใช้ไปทำการเกลี้ยกล่อมทหารเมืองกังตั๋งที่เหลือให้สวามิภักดิ์ต่อไป
สุมาเจียวเห็นชอบกับแผนการของจงโฮย จึงให้การต้อนรับขับสู้จวนฮุยอย่างสมเกียรติและอบอุ่น ตั้งให้เป็นนายทหารรองของกองทัพหน้า และมอบเสื้อเกราะอย่างดีพร้อมกับม้าศึกพันธุ์ดีจากภาคตะวันตก และเงินทองอีกจำนวนมาก จวนฮุยรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของสุมาเจียวจึงคุกเข่าลงคำนับ แล้วขันอาสาจะเกลี้ยกล่อมทหารเมืองกังตั๋งทั้งหมดให้เข้าสวามิภักดิ์
สุมาเจียวได้ยินคำอาสาก็ยินดี จึงเร่งให้จวนฮุยทำการตามที่อาสา หากสำเร็จแล้วจะปูนบำเหน็จความชอบให้เป็นอันมาก
จวนฮุยจึงทำหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งถึงจวนต๋วนผู้บิดาและจวนเต๊กผู้เป็นอา เป็นเนื้อความว่าซุนหลิมจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิต สังหารจูอี้ซึ่งไม่มีความผิดและคาดโทษข้าพเจ้าตลอดจนเพื่อนทหารเมืองกังตั๋งอีกเล่า หากกลับไปเมืองกังตั๋งก็จะพากันตายสิ้น ขอให้ออกมานอบน้อมกับสุมาเจียวเถิด เพราะเป็นคนมีน้ำใจเมตตาการุณย์ต่อข้าทหาร
ครั้นทำหนังสือเสร็จแล้วจึงผูกเข้ากับลูกเกาทัณฑ์แล้วให้ทหารยิงไปที่บริเวณค่ายทหารเมืองกังตั๋งที่อยู่ในเมืองชิวฉุน
เมื่อจวนเต๊กได้รับสารซึ่งผูกไว้ในเกาทัณฑ์แล้วจึงนำไปปรึกษากับจวนต๋วนและเพื่อนทหารเมืองกังตั๋ง เห็นพ้องต้องกันว่าถ้ากลับไปเมืองกังตั๋งก็ต้องตาย หากจะต่อสู้ต่อไปก็ไม่มีทางได้ชัยชนะ กระนั้นเลยออกไปนอบน้อมเข้าด้วยสุมาเจียวจะดีกว่า
ปรึกษาพร้อมกันแล้วจวนต๋วนและจวนเต๊กจึงพาทหารเมืองกังตั๋งซึ่งอยู่ในเมืองชิวฉุนออกไปสวามิภักดิ์กับสุมาเจียว
สุมาเจียวทราบความก็มีความยินดี สรรเสริญจงโฮยว่ามีสติปัญญาลึกซึ้งเสมอด้วยเทพยดา
ฝ่ายจูกัดเอี๋ยนเมื่อได้ทราบว่าทหารเมืองกังตั๋งพากันแปรพักตร์ไปเข้าด้วยกับสุมาเจียวก็มีความทุกข์ร้อนเป็นอันมาก จึงปรึกษาด้วยแม่ทัพนายกองว่าจะคิดอ่านประการใด
เจียวอี้และเจียวปั้นซึ่งเป็นที่ปรึกษาของจูกัดเอี๋ยนได้เสนอว่า เมื่อถึงกาลคับขันแล้วชอบที่จะคุมทหารตีฝ่าออกไป เสี่ยงตายดีกว่าที่จะถูกเขาล้อมไว้ให้อดข้าวตาย
จูกัดเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ด่าสองที่ปรึกษาว่าเสบียงอาหารในเมืองยังบริบูรณ์อยู่ ท่านมาว่ากล่าวฉะนี้จะให้ทหารเสียขวัญกำลังใจหรือ หากกล่าวเช่นนี้อีกจะตัดศีรษะเสีย
สองที่ปรึกษาได้ยินดังนั้นก็เสียใจ ก้มหน้านิ่ง พอได้โอกาสก็คำนับลาจูกัดเอี๋ยนเดินกลับออกไป พลางทอดถอนใจใหญ่ แล้วปรึกษากันเองว่าจูกัดเอี๋ยนสิ้นคิดแล้ว เราสองคนจะมาฝากชีวิตกับคนตายทั้งเป็นแบบนี้หาควรไม่ ไปเข้ากับสุมาเจียวเห็นจะจำเริญกว่า
ครั้นเวลายามเศษทั้งเจียวปั้นและเจียวอี้ก็ลอบปีนกำแพงเมืองไปขอเข้าสวามิภักดิ์กับสุมาเจียว
สุมาเจียวให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี แล้วแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาประจำกองทัพ ให้ปูนบำเหน็จเป็นอันมาก ทั้งเจียวปั้นและเจียวอี้ได้รับบุญคุณจาก สุมาเจียวเป็นความชอบก็พากันสำนึกในบุญคุณ จึงขี่ม้าออกไปป่าวร้องให้ทหารในเมืองชิวฉุนยอมสวามิภักดิ์ แต่ทหารข้างในเมืองเกรงอาญาจูกัดเอี๋ยนได้ยินเสียงเจียวอี้และเจียวปั้นแล้วต่างพากันนิ่งเฉย หลังจากวันนั้นแล้วทหารเมืองชิวฉุนก็ไม่เต็มใจสู้รบ รักษาเวรยามและกำแพงเมืองแบบซังกะตายไปวัน ๆ
เมืองชิวฉุนถูกปิดล้อมไว้เป็นเวลานาน เสบียงอาหารก็ขาดแคลนลง บุนขิมและบุตรทั้งสองคนเห็นทหารอดอยากจึงเข้าไปหาจูกัดเอี๋ยนแล้วว่า บัดนี้เสบียงอาหารของพวกข้าพเจ้าหมดสิ้นแล้ว ได้ความอดอยากแสนสาหัส จึงขอพาทหารเมืองห้วยหลำออกไปหาเสบียงก่อนแล้วจะกลับเข้ามาใหม่
จูกัดเอี๋ยนฝังใจเจ็บที่ทหารพากันไปเข้าสวามิภักดิ์กับสุมาเจียว พอได้ยินคำบุนขิมดังนั้นก็สำคัญว่าบุนขิมคิดหักหลัง จะพาทหารออกไปสวามิภักดิ์กับสุมาเจียวก็โกรธ สั่งทหารให้เข้าจับตัวบุนขิมแล้วเอาไปตัดศีรษะ แต่บุตรทั้งสองคนของบุนขิมนั้นมิได้พูดจาประการใด จูกัดเอี๋ยนจึงขับให้ออกไปจากกองบัญชาการ
บุนเอ๋งและบุนเฮาซึ่งเป็นบุตรของบุนขิม เห็นบิดาถูกลงโทษประหารชีวิตโดยไม่มีความผิดก็โกรธ ดังนั้นพอรอดตัวออกมาจากกองบัญชาการของจูกัดเอี๋ยนจึงชวนกันไปที่กำแพงเมือง ชักดาบออกฟันทหารซึ่งรักษากำแพงเมืองบาดเจ็บล้มตายกว่าสิบคน แล้วกระโดดลงจากกำแพงวิ่งข้ามคูเมืองหนีไปเข้าสวามิภักดิ์กับสุมาเจียว
สุมาเจียวเห็นบุนเอ๋งก็โกรธ ความแค้นเก่าที่เคยพลาดท่าเสียทีแก่บุนเอ๋งประดังเข้ามา จึงสั่งทหารให้คุมตัวบุนเอ๋งเอาไปประหารชีวิต
จงโฮยเห็นดังนั้นจึงห้ามทหารซึ่งคุมตัวบุนเอ๋งว่าอย่าเพิ่งเอาตัวออกไป.