ตอนที่ 620. โอกาสที่ผ่านไปย่อมไม่หวนกลับ
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยพรรษา เดือนสิบเอ็ด ทูตของจูกัดเอี๋ยนเดินทางไปเจรจาความเมืองกับซุนหลิมที่เมืองกังตั๋ง ยุแหย่ซุนหลิมว่า สุมาเจียวคิดชิงเอาราชสมบัติ แล้วจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนและเมืองกังตั๋ง จึงชักชวนให้เมืองกังตั๋งเข้าเป็นพันธมิตรกับจูกัดเอี๋ยน ยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยงเสียก่อน
งอก๋งได้แจ้งแก่ซุนหลิมว่า จูกัดเอี๋ยนเตรียมกองทัพจะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง แต่กำลังไม่เพียงพอ จึงขอให้เมืองกังตั๋งส่งทหารไปช่วยรบ แม้นได้ชัยชนะแล้วจะแบ่งแผ่นดินให้ครึ่งหนึ่ง จูกัดเอี๋ยนเกรงว่าท่านจะไม่เชื่อถือจึงส่งจูกัดเจ้งผู้บุตรมาเป็นตัวประกัน
ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นก็เห็นทางได้ประโยชน์ถึงสองสถาน สถานแรกเป็นการปิดกั้นโอกาสไม่ให้สุมาเจียวเถลิงอำนาจ แล้วยกกองทัพมาทำอันตรายแก่เมืองกังตั๋ง สถานที่สองหากทำการได้ชัยชนะก็จะได้รับผลประโยชน์เป็นดินแดนตงง้วนถึงครึ่งหนึ่ง จึงตกปากรับคำ
ซุนหลิมได้จัดแจงทหารเมืองกังตั๋งเจ็ดหมื่น ให้จวนต๊กและจวนต๋งคุมกองทัพหลวง ให้จูอี้และต๋องอู่คุมกองทัพหน้า ให้อิ๋นจวนคุมกองทัพหนุน และให้บุนขิมคุมหน่วยลาดตระเวนระยะไกลนำทางให้แก่กองทัพ ให้ยกไปเมืองห้วยหลำพร้อมกับงอก๋งช่วยจูกัดเอี๋ยนทำสงครามกับวุยก๊ก
จูกัดเอี๋ยนทราบรายงานความทั้งปวงจากงอก๋งก็มีความยินดี ครั้นถึงวันฤกษ์ดี จูกัดเอี๋ยนจึงยกกองทัพเมืองห้วยหลำ และกองทัพเมืองกังตั๋งจะไปตีเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายทหารของจูกัดเอี๋ยนเมื่อถือฎีกาของจูกัดเอี๋ยนเข้าไปถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้ว จึงนำฎีกานั้นไปยื่นต่อสำนักราชเลขาธิการ สำนักราชเลขาธิการได้ส่งเรื่องมายังสุมาเจียวเพื่อพิจารณาตามระเบียบ ครั้นสุมาเจียวได้ทราบความตามฎีกาของจูกัดเอี๋ยนที่ขอให้พระเจ้าโจมอถอดถอนตัวเองออกจากตำแหน่งก็โกรธ ปรารภจะยกกองทัพไปกำจัดจูกัดเอี๋ยนด้วยตนเอง
แกฉงซึ่งเป็นขุนนางผู้วางใจใกล้ชิดสนิทแน่นยิ่งขึ้นแล้ว ได้ยินปรารภของสุมาเจียวจึงท้วงว่า “วงศ์ของท่านได้อุปถัมภ์บำรุงแผ่นดินมาแต่บิดาแลพี่ชาย สืบต่อมาจนถึงท่าน คุณนี้หนักหนาอยู่แล้ว ยังไม่ทั่วไปในทิศทั้งสี่อีกเล่า ยังมีคนมาคิดขบถอย่างนี้ ซึ่งท่านจะออกไปปราบศัตรูเองนั้นข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ เกรงศัตรูจะทำวุ่นวายขึ้นในราชฐาน ภายหลังจะกลับมาปราบปรามนั้นเห็นขัดสน”
สุมาเจียวได้ฟังคำแกฉงดังนั้นก็ได้คิด นั่งนิ่งอึ้งอยู่ แกฉงจึงกล่าวสืบไปว่าเมืองลกเอี๋ยงเป็นราชธานี เป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ อุปมาดังหนึ่งถ้ำของพญาพยัคฆ์ แลบัดนี้แผ่นดินยังสับสน ควรที่ท่านจะปักหลักอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยงเฝ้าถ้ำแห่งอำนาจไว้ให้มั่นคง และควรเชิญเสด็จพระนางก๊วยไทเฮาและพระเจ้าโจมอให้คุมกองทัพออกไปกำจัดจูกัดเอี๋ยนเอง ท่านจะได้ใช้โอกาสนั้นทดลองว่าราชการประหนึ่งเป็นฮ่องเต้ แลถ้าพระเจ้าโจมอพ่ายศึกถึงสวรรคต ราชบัลลังก์ก็จะตกแก่ท่านโดยผู้ใดจะครหานินทาไม่ได้
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงเข้าไปเฝ้าพระนางก๊วยไทเฮาและพระเจ้าโจมอ กราบทูลให้ทรงทราบว่าบัดนี้จูกัดเอี๋ยนก่อการกบฎ จำต้องอาศัยพระบารมีของทั้งสองพระองค์คุมกองทัพออกไปกำจัดจึงจะได้ชัยชนะ พระบารมีจะเกริกไกรไพศาลสืบไป
พระนางก๊วยไทเฮาและพระเจ้าโจมอไม่ทรงเต็มพระทัยที่จะเสด็จนำกองทัพไปรบพุ่งกับจูกัดเอี๋ยน เพราะไม่คุ้นเคยในการสงครามประการหนึ่ง เพราะประจักษ์ว่าจูกัดเอี๋ยนเป็นขุนนางผู้เปี่ยมด้วยความจงรักภักดีประการหนึ่ง และเพราะทรงรู้ว่านี่คือแผนการที่สุมาเจียวเตรียมการชิงเอาราชสมบัติอีกประการหนึ่ง จึงทรงอิดเอื้อนแต่ในที่สุดก็ไม่อาจ ขัดใจสุมาเจียวได้ ทั้งสองพระองค์จึงจำต้องรับปากจะนำกองทัพยกไปกำจัดจูกัดเอี๋ยน “จึงมีตรารับสั่งให้เกณฑ์กองทัพในเมืองหลวงทั้งสองเมือง” คือเมืองลกเอี๋ยงและเมืองฮูโต๋ กำลังพลยี่สิบหกหมื่น ให้อองกี๋เป็นกองทัพหน้า ตังเขียนเป็นปลัดทัพ โจเป๋าเป็นปีกขวา จิวท่ายเจ้าเมืองกุนจิ๋วเป็นปีกซ้าย พระเจ้าโจมอและพระนางก๊วยไทเฮาเสด็จประทับรถม้าพระที่นั่งคุมกองทัพหลวงยกไปเมืองห้วยหลำ
แผนการของแกฉงแท้จริงแม้ดูเหมือนว่าจะลึกล้ำเป็นประโยชน์แก่สุมาเจียวที่จะได้ทำหน้าที่แทนฮ่องเต้เป็นการชั่วคราว แต่กลับมีจุดอ่อนอย่างใหญ่หลวง เพราะเปิดโอกาสให้พระเจ้าโจมอและพระนางก๊วยไทเฮาคุมกองทัพถึงยี่สิบหกหมื่นเสด็จออกนอกพระราชวังไปเมืองห้วยหลำ ถ้าหากพระเจ้าโจมอไหวพระองค์ว่าถึงอย่างไร สุมาเจียวก็คิดอ่านแย่งชิงเอาราชสมบัติอยู่แล้ว ตัดสินพระทัยเข้ากับจูกัดเอี๋ยนขุนนางผู้จงรักภักดีแล้วระดมกำลังจากหัวเมืองทั้งปวงที่ยังมีความจงรักภักดียกไปตีเมืองลกเอี๋ยงกำจัดสุมาเจียวเสีย อันตรายก็จะเกิดแก่สุมาเจียวอย่างใหญ่หลวง จึงนับเป็นแผนการที่โง่เขลาเบาปัญญา แต่แผนการที่โง่เขลานี้กลับทำให้สุมาเจียวเห็นชอบได้ เนื่องเพราะจิตใจของสุมาเจียวในขณะนั้นมุ่งมั่นอยู่แต่ราชบัลลังก์ จึงพลั้งเผลอมองข้ามจุดอ่อนที่เป็นอันตรายใหญ่หลวงนั้นไป แต่โชคยังเข้าข้างสุมาเจียวเพราะพระเจ้าโจมอก็มิได้เข้าพระทัยว่าโอกาสอันยิ่งใหญ่กำลังเปิดให้กับพระองค์แล้ว จึงแทนที่จะฉวยโอกาสนี้พลิกฟื้นสถาปนาอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้เข้มแข็งแกร่งกล้า กำจัดผู้คิดชิงเอาราชสมบัติเสีย กลับหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าพระองค์ไม่เคยการสงคราม ถูกสุมาเจียวย่ำยีบังคับให้คุมกองทัพไปรบกับหัวเมือง จึงมองข้ามโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่มีวันจะหวนกลับมาได้อีกแล้ว
ครั้นกองทัพพระเจ้าโจมอยกไปใกล้เมืองห้วยหลำ ความได้ทราบไปถึงจูกัดเอี๋ยนว่ากองทัพเมืองลกเอี๋ยงจะยกมาตีเมืองห้วยหลำ แต่เนื่องจากรายงานข่าวมิได้แจ้งว่ากองทัพซึ่งยกมานี้คือกองทัพกษัตริย์ที่พระเจ้าโจมอคุมกองทัพมาด้วยพระองค์เอง จูกัดเอี๋ยนจึงพลาดโอกาสที่จะขอเข้าไปเฝ้าแล้วอัญเชิญพระเจ้าโจมอร่วมกำจัดสุมาเจียวเสีย คิดแต่ว่าเมื่อเป็นกองทัพเมืองลกเอี๋ยงก็คือกองทัพของศัตรู เป็นการทอดทิ้งโอกาสทองอย่างเดียวกับพระเจ้าโจมอ ดังนั้นจูกัดเอี๋ยนจึงให้กองทัพเมืองกังตั๋งออกไปขัดตาทัพไว้ที่ปลายแดน
กองทัพหน้าของพระเจ้าโจมอปะทะกับกองทัพเมืองกังตั๋งไม่ทันนาน ฝีมือนายทหารเมืองกังตั๋งสู้ฝีมือทหารวุยก๊กไม่ได้ จึงถูกกองทัพของพระเจ้าโจมอโจมตีจนต้องแตกหนีร่นกลับไปทางทิศใต้เป็นระยะทางถึงห้าร้อยเส้นแล้วตั้งค่ายมั่นไว้ แล้วแจ้งความซึ่งล่าถอยไปให้จูกัดเอี๋ยนซึ่งยกกองทัพหนุนมาตั้งอยู่ที่เมืองชิวฉุนทราบ
จูกัดเอี๋ยนทราบข่าวแล้วจึงพาบุนขิม บุนเอ๋ง และบุนเฮา พร้อมทหารเมืองห้วยหลำยกไปสมทบกับกองทัพเมืองกังตั๋ง เตรียมการจะรุกตอบโต้ต่อไป
ฝ่ายเมืองลกเอี๋ยง สุมาเจียวได้ติดตามข่าวคราวศึกอย่างใกล้ชิด เมื่อทราบความว่ากองทัพของจูกัดเอี๋ยนไปบรรจบทัพกับกองทัพเมืองกังตั๋งอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ปรากฏว่ากองทัพของพระเจ้าโจมอยังคงตั้งมั่น ไม่มีทีท่าว่าจะยกไปรบกับกองทัพของฝ่ายกบฏ สุมาเจียวจึงเกรงว่าพระเจ้าโจมออาจเตรียมการคบคิดเข้าเป็นพวกกับจูกัดเอี๋ยน จึงปรึกษาด้วยแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าจะยกกองทัพไปกำจัดจูกัดเอี๋ยนด้วยตนเอง
จงโฮยซึ่งเป็นอัจฉริยะสงครามรุ่นใหม่ของวุยก๊กรุ่นเดียวกับเตงงายได้ฟังปรารภของสุมาเจียวดังนั้น จึงเสนอว่ามหาอุปราชควรที่จะมอบหมายให้นายทหารผู้วางใจรักษาอำนาจในเมืองหลวงไว้ หากเกิดเหตุการณ์สับสนวุ่นวายจะแก้ไขสถานการณ์ได้โดยสะดวก ตัวมหาอุปราชคุมกองทัพออกไปคุมเชิงอยู่ห่าง ๆ ให้พร้อมรุกและถอยอยู่ทุกเมื่อ อันการศึกครั้งนี้ควรที่จะโดดเดี่ยวจูกัดเอี๋ยนด้วยการสลายกองทัพเมืองกังตั๋งเสียก่อน เมื่อกองทัพเมือง กังตั๋งสลายไปแล้วจะกำจัดจูกัดเอี๋ยนได้โดยง่าย “กองทัพเมืองกังตั๋งยกมาช่วยเขาครั้งนี้เพราะโลภเห็นแก่ลาภ เราเอาสิ่งของไปล่อลวงก็จะปราชัยแก่เรา”
จงโฮยเห็นสุมาเจียวพยักหน้าเป็นทีเห็นชอบ จึงเสนอให้สุมาเจียวตั้งให้โจเป๋าและจิวท่ายคุมทหารคนละกองยกไปซุ่มอยู่ที่ต้นทางเมืองโจะเทาเสีย ให้อองกี๋และตังเขียนคุมทหารคนละกองยกไปซุ่มอยู่ปลายทางของเมืองนั้น ให้เซงจุยคุมทหารอีกกองหนึ่งยกไปล่อกองทัพเมืองกังตั๋งให้รุกไล่ติดตามมา แล้วให้ทำทีถอยหนีไปทางเมืองโจะเทาเสีย ให้ตันจุ้นคุมกองเสบียงแต่ให้บรรทุกเสื้อผ้าแพรพรรณวัวควายและข้าวปลาอาหารไปจงมาก เมื่อกองทัพเมืองกังตั๋งไล่ตามเซงจุยมาถึงกองเสบียง ให้แสร้งทิ้งกองเสบียงเสีย ทหารเมืองกังตั๋งเห็นข้าวของเป็นอันมากก็จะแย่งชิงกันด้วยความโลภจะเกิดการชุลมุนขึ้น กองซุ่มทั้งสี่กองจึงค่อยตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน เห็นจะได้ชัยชนะแก่กองทัพเมืองกังตั๋งเป็นมั่นคง
สุมาเจียวได้ฟังแผนการรบพุ่งของจงโฮยซับซ้อนซ่อนเงื่อน เห็นจะได้ชัยชนะเป็นแน่แท้ จึงมีคำสั่งตามข้อเสนอของจงโฮยทุกประการ นายทหารทั้งหกคนรับคำสั่งแล้วจึงคำนับลาสุมาเจียวไปจัดแจงการทั้งปวง พร้อมแล้วจึงยกไปที่กองทัพเมืองกังตั๋ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ตำบลโจะเทาเสีย หลังจากนั้นสุมาเจียวก็ยกกองทัพหนุนตามไปห่าง ๆ
ฝ่ายจูกัดเอี๋ยนทราบว่ากองทัพเมืองลกเอี๋ยงยกมาอีกกองหนึ่ง จึงให้กองทัพเมืองกังตั๋งเป็นปีกขวา ให้บุนขิมเป็นปีกซ้าย จูกัดเอี๋ยนคุมกองทัพหลวงยกไปสกัดกองทัพข้าศึก
เพียงชั่วครู่ที่กองทัพจูกัดเอี๋ยนปะทะกับกองล่อของเซงจุย เซงจุยทำทีเป็นสู้ไม่ได้ พาทหารล่าถอยไปทางด้านเมืองโจะเทาเสีย จูกัดเอี๋ยนไม่รู้กลก็คุมทหารไล่ตามไป ทหารเมืองกังตั๋งซึ่งเป็นปีกขวารุดหน้าไปก่อน พบกับกองเสบียงของตันจุ้นจึงเข้าจู่โจม ตันจุ้นทำทีเป็นทิ้งกองเสบียงแล้วพาทหารหลบหนีไป
ทหารเมืองกังตั๋งเห็นกองเสบียงมีข้าวของเสื้อผ้าแพรพรรณวัวกระบือเป็นอันมากก็ใคร่ได้เป็นสินศึกแก่ตัว ต่างคนต่างรีบกระโจนลงจากหลังม้าเข้ามาแย่งชิงข้าวของกันเป็นจ้าละหวั่น ไม่มีใครคิดอ่านไล่ตามตีทหารวุยก๊ก ทำให้ทหารเมืองกังตั๋งออคั่งอยู่ที่บริเวณเกวียนเสบียงนั้น จนกระทั่งกองทัพของจูกัดเอี๋ยนตามมาถึง ก็พากันละล้าละลังเพราะไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายดีประการใด จนกองหลังหนุนเนื่องเข้ามาถึงอีก ทหารของจูกัดเอี๋ยนคั่งกันอยู่เหมือนฝูงปลาคั่งอยู่ที่ปากอ่าวในยามน้ำขึ้น ต่างคนต่างพากันรวนเรไม่รู้จะไปทางไหน
ในทันใดนั้นเสียงประทัดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว โจเป๋าและจิวท่ายได้คุมทหารออกจากจุดซุ่มตีกระหนาบเข้ามา อองกี๋และตังเขียนก็คุมทหารตีกระหนาบกระทบขึ้นไป ทหารวุยก๊กโห่ร้องข่มขวัญเสียงดังสนั่นหวั่นไหวแล้วรุกเข้าโจมตีทหารเมืองกังตั๋งและทหารจูกัดเอี๋ยนอย่างรวดเร็ว
ทหารวุยก๊กได้รุกรบฆ่าฟันทหารเมืองกังตั๋งและทหารของจูกัดเอี๋ยนบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก จูกัดเอี๋ยนเห็นจะสู้ไม่ได้จึงพาทหารตีฝ่าออกไปทางด้านอองกี๋และตังเขียน จูกัดเอี๋ยนพาทหารหนีพ้นจากแนวล้อมเพียงร้อยเส้นเศษก็ปะทะกับกองทัพของสุมาเจียวซึ่งยกหนุนตามมาช่วย
สุมาเจียวเห็นได้ทีจึงสั่งให้ทหารล้อมจูกัดเอี๋ยนไว้ทั้งสี่ด้าน จูกัดเอี๋ยนยามนี้เหมือนหมาจนตรอก ตัดสินใจสู้ตาย พาทหารตีฝ่าออกไปอย่างบ้าคลั่ง แรงคนบ้าย่อมมากกว่าแรงคนดี เพียงชั่วครู่เดียวจูกัดเอี๋ยนก็นำทหารที่เหลือตีฝ่าวงล้อมหนีออกไปได้ แล้วไปอาศัยอยู่ที่เมืองซิวฉุน สั่งทหารให้ปิดประตูเมือง ขึ้นรักษากำแพงเมืองและเชิงเทินไว้เป็นมั่นคง
ฝ่ายทหารเมืองกังตั๋งครั้นถูกล้อมโจมตีโดยไม่ทันรู้ตัวก็ไม่คิดสู้ ทิ้งข้าวของแล้วตีฝ่าหนีตามจูกัดเอี๋ยนไป ครั้นเห็นจูกัดเอี๋ยนเข้าไปในเมืองซิวฉุนแล้ว ทหารเมืองกังตั๋งจึงตั้งค่ายอยู่ใกล้ ๆ ตัวเมือง
สุมาเจียวเห็นกองทัพข้าศึกแตกหนีไปทางเมืองชิวฉุนจึงคุมกองทัพเมืองลกเอี๋ยงตามไปตั้งค่ายประชิดเมืองชิวฉุนและให้ล้อมเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน ในขณะนั้นหน่วยสอดแนมได้รายงานสุมาเจียวว่าขณะนี้กองทัพของพระเจ้าโจมอได้ตั้งทัพพักอยู่ที่เมืองฮางเสีย
สุมาเจียวได้ทราบรายงานดังนั้นจึงคิดว่าพระเจ้าโจมอนี้เป็นกษัตริย์ที่ขี้ขลาดตาขาว ไม่คิดอ่านการสงครามใด ๆ ให้ยกกองทัพก็ยกมาแต่ไม่คิดจะสู้รบ ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าที่จะไปเข้าด้วยจูกัดเอี๋ยน
สุมาเจียวตั้งค่ายประชิดเมืองชิวฉุนอยู่หลายวัน เห็นจูกัดเอี๋ยนไม่ยกทหารออกมารบ คิดจะหักเข้าตีเมืองก็ขัดสนเพราะกำแพงเมืองสูงใหญ่มั่นคง คูเมืองก็ลึก จึงปรึกษากับจงโฮยว่าจะคิดอ่านประการใด.
งอก๋งได้แจ้งแก่ซุนหลิมว่า จูกัดเอี๋ยนเตรียมกองทัพจะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง แต่กำลังไม่เพียงพอ จึงขอให้เมืองกังตั๋งส่งทหารไปช่วยรบ แม้นได้ชัยชนะแล้วจะแบ่งแผ่นดินให้ครึ่งหนึ่ง จูกัดเอี๋ยนเกรงว่าท่านจะไม่เชื่อถือจึงส่งจูกัดเจ้งผู้บุตรมาเป็นตัวประกัน
ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นก็เห็นทางได้ประโยชน์ถึงสองสถาน สถานแรกเป็นการปิดกั้นโอกาสไม่ให้สุมาเจียวเถลิงอำนาจ แล้วยกกองทัพมาทำอันตรายแก่เมืองกังตั๋ง สถานที่สองหากทำการได้ชัยชนะก็จะได้รับผลประโยชน์เป็นดินแดนตงง้วนถึงครึ่งหนึ่ง จึงตกปากรับคำ
ซุนหลิมได้จัดแจงทหารเมืองกังตั๋งเจ็ดหมื่น ให้จวนต๊กและจวนต๋งคุมกองทัพหลวง ให้จูอี้และต๋องอู่คุมกองทัพหน้า ให้อิ๋นจวนคุมกองทัพหนุน และให้บุนขิมคุมหน่วยลาดตระเวนระยะไกลนำทางให้แก่กองทัพ ให้ยกไปเมืองห้วยหลำพร้อมกับงอก๋งช่วยจูกัดเอี๋ยนทำสงครามกับวุยก๊ก
จูกัดเอี๋ยนทราบรายงานความทั้งปวงจากงอก๋งก็มีความยินดี ครั้นถึงวันฤกษ์ดี จูกัดเอี๋ยนจึงยกกองทัพเมืองห้วยหลำ และกองทัพเมืองกังตั๋งจะไปตีเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายทหารของจูกัดเอี๋ยนเมื่อถือฎีกาของจูกัดเอี๋ยนเข้าไปถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้ว จึงนำฎีกานั้นไปยื่นต่อสำนักราชเลขาธิการ สำนักราชเลขาธิการได้ส่งเรื่องมายังสุมาเจียวเพื่อพิจารณาตามระเบียบ ครั้นสุมาเจียวได้ทราบความตามฎีกาของจูกัดเอี๋ยนที่ขอให้พระเจ้าโจมอถอดถอนตัวเองออกจากตำแหน่งก็โกรธ ปรารภจะยกกองทัพไปกำจัดจูกัดเอี๋ยนด้วยตนเอง
แกฉงซึ่งเป็นขุนนางผู้วางใจใกล้ชิดสนิทแน่นยิ่งขึ้นแล้ว ได้ยินปรารภของสุมาเจียวจึงท้วงว่า “วงศ์ของท่านได้อุปถัมภ์บำรุงแผ่นดินมาแต่บิดาแลพี่ชาย สืบต่อมาจนถึงท่าน คุณนี้หนักหนาอยู่แล้ว ยังไม่ทั่วไปในทิศทั้งสี่อีกเล่า ยังมีคนมาคิดขบถอย่างนี้ ซึ่งท่านจะออกไปปราบศัตรูเองนั้นข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ เกรงศัตรูจะทำวุ่นวายขึ้นในราชฐาน ภายหลังจะกลับมาปราบปรามนั้นเห็นขัดสน”
สุมาเจียวได้ฟังคำแกฉงดังนั้นก็ได้คิด นั่งนิ่งอึ้งอยู่ แกฉงจึงกล่าวสืบไปว่าเมืองลกเอี๋ยงเป็นราชธานี เป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ อุปมาดังหนึ่งถ้ำของพญาพยัคฆ์ แลบัดนี้แผ่นดินยังสับสน ควรที่ท่านจะปักหลักอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยงเฝ้าถ้ำแห่งอำนาจไว้ให้มั่นคง และควรเชิญเสด็จพระนางก๊วยไทเฮาและพระเจ้าโจมอให้คุมกองทัพออกไปกำจัดจูกัดเอี๋ยนเอง ท่านจะได้ใช้โอกาสนั้นทดลองว่าราชการประหนึ่งเป็นฮ่องเต้ แลถ้าพระเจ้าโจมอพ่ายศึกถึงสวรรคต ราชบัลลังก์ก็จะตกแก่ท่านโดยผู้ใดจะครหานินทาไม่ได้
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงเข้าไปเฝ้าพระนางก๊วยไทเฮาและพระเจ้าโจมอ กราบทูลให้ทรงทราบว่าบัดนี้จูกัดเอี๋ยนก่อการกบฎ จำต้องอาศัยพระบารมีของทั้งสองพระองค์คุมกองทัพออกไปกำจัดจึงจะได้ชัยชนะ พระบารมีจะเกริกไกรไพศาลสืบไป
พระนางก๊วยไทเฮาและพระเจ้าโจมอไม่ทรงเต็มพระทัยที่จะเสด็จนำกองทัพไปรบพุ่งกับจูกัดเอี๋ยน เพราะไม่คุ้นเคยในการสงครามประการหนึ่ง เพราะประจักษ์ว่าจูกัดเอี๋ยนเป็นขุนนางผู้เปี่ยมด้วยความจงรักภักดีประการหนึ่ง และเพราะทรงรู้ว่านี่คือแผนการที่สุมาเจียวเตรียมการชิงเอาราชสมบัติอีกประการหนึ่ง จึงทรงอิดเอื้อนแต่ในที่สุดก็ไม่อาจ ขัดใจสุมาเจียวได้ ทั้งสองพระองค์จึงจำต้องรับปากจะนำกองทัพยกไปกำจัดจูกัดเอี๋ยน “จึงมีตรารับสั่งให้เกณฑ์กองทัพในเมืองหลวงทั้งสองเมือง” คือเมืองลกเอี๋ยงและเมืองฮูโต๋ กำลังพลยี่สิบหกหมื่น ให้อองกี๋เป็นกองทัพหน้า ตังเขียนเป็นปลัดทัพ โจเป๋าเป็นปีกขวา จิวท่ายเจ้าเมืองกุนจิ๋วเป็นปีกซ้าย พระเจ้าโจมอและพระนางก๊วยไทเฮาเสด็จประทับรถม้าพระที่นั่งคุมกองทัพหลวงยกไปเมืองห้วยหลำ
แผนการของแกฉงแท้จริงแม้ดูเหมือนว่าจะลึกล้ำเป็นประโยชน์แก่สุมาเจียวที่จะได้ทำหน้าที่แทนฮ่องเต้เป็นการชั่วคราว แต่กลับมีจุดอ่อนอย่างใหญ่หลวง เพราะเปิดโอกาสให้พระเจ้าโจมอและพระนางก๊วยไทเฮาคุมกองทัพถึงยี่สิบหกหมื่นเสด็จออกนอกพระราชวังไปเมืองห้วยหลำ ถ้าหากพระเจ้าโจมอไหวพระองค์ว่าถึงอย่างไร สุมาเจียวก็คิดอ่านแย่งชิงเอาราชสมบัติอยู่แล้ว ตัดสินพระทัยเข้ากับจูกัดเอี๋ยนขุนนางผู้จงรักภักดีแล้วระดมกำลังจากหัวเมืองทั้งปวงที่ยังมีความจงรักภักดียกไปตีเมืองลกเอี๋ยงกำจัดสุมาเจียวเสีย อันตรายก็จะเกิดแก่สุมาเจียวอย่างใหญ่หลวง จึงนับเป็นแผนการที่โง่เขลาเบาปัญญา แต่แผนการที่โง่เขลานี้กลับทำให้สุมาเจียวเห็นชอบได้ เนื่องเพราะจิตใจของสุมาเจียวในขณะนั้นมุ่งมั่นอยู่แต่ราชบัลลังก์ จึงพลั้งเผลอมองข้ามจุดอ่อนที่เป็นอันตรายใหญ่หลวงนั้นไป แต่โชคยังเข้าข้างสุมาเจียวเพราะพระเจ้าโจมอก็มิได้เข้าพระทัยว่าโอกาสอันยิ่งใหญ่กำลังเปิดให้กับพระองค์แล้ว จึงแทนที่จะฉวยโอกาสนี้พลิกฟื้นสถาปนาอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้เข้มแข็งแกร่งกล้า กำจัดผู้คิดชิงเอาราชสมบัติเสีย กลับหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าพระองค์ไม่เคยการสงคราม ถูกสุมาเจียวย่ำยีบังคับให้คุมกองทัพไปรบกับหัวเมือง จึงมองข้ามโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่มีวันจะหวนกลับมาได้อีกแล้ว
ครั้นกองทัพพระเจ้าโจมอยกไปใกล้เมืองห้วยหลำ ความได้ทราบไปถึงจูกัดเอี๋ยนว่ากองทัพเมืองลกเอี๋ยงจะยกมาตีเมืองห้วยหลำ แต่เนื่องจากรายงานข่าวมิได้แจ้งว่ากองทัพซึ่งยกมานี้คือกองทัพกษัตริย์ที่พระเจ้าโจมอคุมกองทัพมาด้วยพระองค์เอง จูกัดเอี๋ยนจึงพลาดโอกาสที่จะขอเข้าไปเฝ้าแล้วอัญเชิญพระเจ้าโจมอร่วมกำจัดสุมาเจียวเสีย คิดแต่ว่าเมื่อเป็นกองทัพเมืองลกเอี๋ยงก็คือกองทัพของศัตรู เป็นการทอดทิ้งโอกาสทองอย่างเดียวกับพระเจ้าโจมอ ดังนั้นจูกัดเอี๋ยนจึงให้กองทัพเมืองกังตั๋งออกไปขัดตาทัพไว้ที่ปลายแดน
กองทัพหน้าของพระเจ้าโจมอปะทะกับกองทัพเมืองกังตั๋งไม่ทันนาน ฝีมือนายทหารเมืองกังตั๋งสู้ฝีมือทหารวุยก๊กไม่ได้ จึงถูกกองทัพของพระเจ้าโจมอโจมตีจนต้องแตกหนีร่นกลับไปทางทิศใต้เป็นระยะทางถึงห้าร้อยเส้นแล้วตั้งค่ายมั่นไว้ แล้วแจ้งความซึ่งล่าถอยไปให้จูกัดเอี๋ยนซึ่งยกกองทัพหนุนมาตั้งอยู่ที่เมืองชิวฉุนทราบ
จูกัดเอี๋ยนทราบข่าวแล้วจึงพาบุนขิม บุนเอ๋ง และบุนเฮา พร้อมทหารเมืองห้วยหลำยกไปสมทบกับกองทัพเมืองกังตั๋ง เตรียมการจะรุกตอบโต้ต่อไป
ฝ่ายเมืองลกเอี๋ยง สุมาเจียวได้ติดตามข่าวคราวศึกอย่างใกล้ชิด เมื่อทราบความว่ากองทัพของจูกัดเอี๋ยนไปบรรจบทัพกับกองทัพเมืองกังตั๋งอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ปรากฏว่ากองทัพของพระเจ้าโจมอยังคงตั้งมั่น ไม่มีทีท่าว่าจะยกไปรบกับกองทัพของฝ่ายกบฏ สุมาเจียวจึงเกรงว่าพระเจ้าโจมออาจเตรียมการคบคิดเข้าเป็นพวกกับจูกัดเอี๋ยน จึงปรึกษาด้วยแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าจะยกกองทัพไปกำจัดจูกัดเอี๋ยนด้วยตนเอง
จงโฮยซึ่งเป็นอัจฉริยะสงครามรุ่นใหม่ของวุยก๊กรุ่นเดียวกับเตงงายได้ฟังปรารภของสุมาเจียวดังนั้น จึงเสนอว่ามหาอุปราชควรที่จะมอบหมายให้นายทหารผู้วางใจรักษาอำนาจในเมืองหลวงไว้ หากเกิดเหตุการณ์สับสนวุ่นวายจะแก้ไขสถานการณ์ได้โดยสะดวก ตัวมหาอุปราชคุมกองทัพออกไปคุมเชิงอยู่ห่าง ๆ ให้พร้อมรุกและถอยอยู่ทุกเมื่อ อันการศึกครั้งนี้ควรที่จะโดดเดี่ยวจูกัดเอี๋ยนด้วยการสลายกองทัพเมืองกังตั๋งเสียก่อน เมื่อกองทัพเมือง กังตั๋งสลายไปแล้วจะกำจัดจูกัดเอี๋ยนได้โดยง่าย “กองทัพเมืองกังตั๋งยกมาช่วยเขาครั้งนี้เพราะโลภเห็นแก่ลาภ เราเอาสิ่งของไปล่อลวงก็จะปราชัยแก่เรา”
จงโฮยเห็นสุมาเจียวพยักหน้าเป็นทีเห็นชอบ จึงเสนอให้สุมาเจียวตั้งให้โจเป๋าและจิวท่ายคุมทหารคนละกองยกไปซุ่มอยู่ที่ต้นทางเมืองโจะเทาเสีย ให้อองกี๋และตังเขียนคุมทหารคนละกองยกไปซุ่มอยู่ปลายทางของเมืองนั้น ให้เซงจุยคุมทหารอีกกองหนึ่งยกไปล่อกองทัพเมืองกังตั๋งให้รุกไล่ติดตามมา แล้วให้ทำทีถอยหนีไปทางเมืองโจะเทาเสีย ให้ตันจุ้นคุมกองเสบียงแต่ให้บรรทุกเสื้อผ้าแพรพรรณวัวควายและข้าวปลาอาหารไปจงมาก เมื่อกองทัพเมืองกังตั๋งไล่ตามเซงจุยมาถึงกองเสบียง ให้แสร้งทิ้งกองเสบียงเสีย ทหารเมืองกังตั๋งเห็นข้าวของเป็นอันมากก็จะแย่งชิงกันด้วยความโลภจะเกิดการชุลมุนขึ้น กองซุ่มทั้งสี่กองจึงค่อยตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน เห็นจะได้ชัยชนะแก่กองทัพเมืองกังตั๋งเป็นมั่นคง
สุมาเจียวได้ฟังแผนการรบพุ่งของจงโฮยซับซ้อนซ่อนเงื่อน เห็นจะได้ชัยชนะเป็นแน่แท้ จึงมีคำสั่งตามข้อเสนอของจงโฮยทุกประการ นายทหารทั้งหกคนรับคำสั่งแล้วจึงคำนับลาสุมาเจียวไปจัดแจงการทั้งปวง พร้อมแล้วจึงยกไปที่กองทัพเมืองกังตั๋ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ตำบลโจะเทาเสีย หลังจากนั้นสุมาเจียวก็ยกกองทัพหนุนตามไปห่าง ๆ
ฝ่ายจูกัดเอี๋ยนทราบว่ากองทัพเมืองลกเอี๋ยงยกมาอีกกองหนึ่ง จึงให้กองทัพเมืองกังตั๋งเป็นปีกขวา ให้บุนขิมเป็นปีกซ้าย จูกัดเอี๋ยนคุมกองทัพหลวงยกไปสกัดกองทัพข้าศึก
เพียงชั่วครู่ที่กองทัพจูกัดเอี๋ยนปะทะกับกองล่อของเซงจุย เซงจุยทำทีเป็นสู้ไม่ได้ พาทหารล่าถอยไปทางด้านเมืองโจะเทาเสีย จูกัดเอี๋ยนไม่รู้กลก็คุมทหารไล่ตามไป ทหารเมืองกังตั๋งซึ่งเป็นปีกขวารุดหน้าไปก่อน พบกับกองเสบียงของตันจุ้นจึงเข้าจู่โจม ตันจุ้นทำทีเป็นทิ้งกองเสบียงแล้วพาทหารหลบหนีไป
ทหารเมืองกังตั๋งเห็นกองเสบียงมีข้าวของเสื้อผ้าแพรพรรณวัวกระบือเป็นอันมากก็ใคร่ได้เป็นสินศึกแก่ตัว ต่างคนต่างรีบกระโจนลงจากหลังม้าเข้ามาแย่งชิงข้าวของกันเป็นจ้าละหวั่น ไม่มีใครคิดอ่านไล่ตามตีทหารวุยก๊ก ทำให้ทหารเมืองกังตั๋งออคั่งอยู่ที่บริเวณเกวียนเสบียงนั้น จนกระทั่งกองทัพของจูกัดเอี๋ยนตามมาถึง ก็พากันละล้าละลังเพราะไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายดีประการใด จนกองหลังหนุนเนื่องเข้ามาถึงอีก ทหารของจูกัดเอี๋ยนคั่งกันอยู่เหมือนฝูงปลาคั่งอยู่ที่ปากอ่าวในยามน้ำขึ้น ต่างคนต่างพากันรวนเรไม่รู้จะไปทางไหน
ในทันใดนั้นเสียงประทัดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว โจเป๋าและจิวท่ายได้คุมทหารออกจากจุดซุ่มตีกระหนาบเข้ามา อองกี๋และตังเขียนก็คุมทหารตีกระหนาบกระทบขึ้นไป ทหารวุยก๊กโห่ร้องข่มขวัญเสียงดังสนั่นหวั่นไหวแล้วรุกเข้าโจมตีทหารเมืองกังตั๋งและทหารจูกัดเอี๋ยนอย่างรวดเร็ว
ทหารวุยก๊กได้รุกรบฆ่าฟันทหารเมืองกังตั๋งและทหารของจูกัดเอี๋ยนบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก จูกัดเอี๋ยนเห็นจะสู้ไม่ได้จึงพาทหารตีฝ่าออกไปทางด้านอองกี๋และตังเขียน จูกัดเอี๋ยนพาทหารหนีพ้นจากแนวล้อมเพียงร้อยเส้นเศษก็ปะทะกับกองทัพของสุมาเจียวซึ่งยกหนุนตามมาช่วย
สุมาเจียวเห็นได้ทีจึงสั่งให้ทหารล้อมจูกัดเอี๋ยนไว้ทั้งสี่ด้าน จูกัดเอี๋ยนยามนี้เหมือนหมาจนตรอก ตัดสินใจสู้ตาย พาทหารตีฝ่าออกไปอย่างบ้าคลั่ง แรงคนบ้าย่อมมากกว่าแรงคนดี เพียงชั่วครู่เดียวจูกัดเอี๋ยนก็นำทหารที่เหลือตีฝ่าวงล้อมหนีออกไปได้ แล้วไปอาศัยอยู่ที่เมืองซิวฉุน สั่งทหารให้ปิดประตูเมือง ขึ้นรักษากำแพงเมืองและเชิงเทินไว้เป็นมั่นคง
ฝ่ายทหารเมืองกังตั๋งครั้นถูกล้อมโจมตีโดยไม่ทันรู้ตัวก็ไม่คิดสู้ ทิ้งข้าวของแล้วตีฝ่าหนีตามจูกัดเอี๋ยนไป ครั้นเห็นจูกัดเอี๋ยนเข้าไปในเมืองซิวฉุนแล้ว ทหารเมืองกังตั๋งจึงตั้งค่ายอยู่ใกล้ ๆ ตัวเมือง
สุมาเจียวเห็นกองทัพข้าศึกแตกหนีไปทางเมืองชิวฉุนจึงคุมกองทัพเมืองลกเอี๋ยงตามไปตั้งค่ายประชิดเมืองชิวฉุนและให้ล้อมเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน ในขณะนั้นหน่วยสอดแนมได้รายงานสุมาเจียวว่าขณะนี้กองทัพของพระเจ้าโจมอได้ตั้งทัพพักอยู่ที่เมืองฮางเสีย
สุมาเจียวได้ทราบรายงานดังนั้นจึงคิดว่าพระเจ้าโจมอนี้เป็นกษัตริย์ที่ขี้ขลาดตาขาว ไม่คิดอ่านการสงครามใด ๆ ให้ยกกองทัพก็ยกมาแต่ไม่คิดจะสู้รบ ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าที่จะไปเข้าด้วยจูกัดเอี๋ยน
สุมาเจียวตั้งค่ายประชิดเมืองชิวฉุนอยู่หลายวัน เห็นจูกัดเอี๋ยนไม่ยกทหารออกมารบ คิดจะหักเข้าตีเมืองก็ขัดสนเพราะกำแพงเมืองสูงใหญ่มั่นคง คูเมืองก็ลึก จึงปรึกษากับจงโฮยว่าจะคิดอ่านประการใด.