ตอนที่ 619. ศึกชิงอำนาจในวุยก๊ก

พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยพรรษา เดือนสาม ขึ้นปีใหม่ พระเจ้าโจมอโปรดเกล้าเปลี่ยนศักราชประจำรัชกาลใหม่เป็นศักราชสายธารอมตะ เพื่อความยั่งยืนเป็นอมตะของพระราชวงศ์ แต่กลับเพิ่มความขัดแย้งขึ้นในราชสำนัก ทำให้สุมาเจียวไม่พอใจและกำเริบแข็งข้อขึ้นในทุกทาง จนคิดอ่านจะชิงเอาราชสมบัติ

            สุมาเจียวเปิดเผยความในใจที่ต้องการชิงเอาราชสมบัติกับแกฉงขุนนางผู้วางใจแล้ว จึงกล่าวว่าบรรดาหัวเมืองใกล้เคียงเมืองลกเอี๋ยงนั้น ล้วนแต่มีพรรคพวกของเราไปปกครองอยู่ทั้งสิ้น ที่ยังไม่วางใจก็เห็นแต่เมืองห้วยหลำและหัวเมืองข้างเคียงเท่านั้น จำจะลองน้ำใจให้ประจักษ์ก่อนแล้วค่อยคิดการสืบไป จึงให้เจ้าไปฟังแยบคายเจ้าเมืองห้วยหลำและหัวเมืองข้างเคียงดูสักครั้งหนึ่ง ทำทีเป็นว่าได้รับคำสั่งเราออกไปปูนบำเหน็จความชอบแก่ขุนนางและข้าทหารทั้งปวง แม้นได้ความประการใดแล้วให้รีบกลับมารายงาน

            แกฉงรับคำสั่งสุมาเจียวแล้วคำนับลากลับไปจัดแจงข้าวของแล้วพาคนสนิทเดินทางไปเมืองห้วยหลำ

            ฝ่ายจูกัดเอี๋ยนชาวเมืองลำเอี๋ยงเป็นญาติมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับขงเบ้ง ได้เข้ามารับราชการเป็นขุนนางในแผ่นดินวุยก๊กช้านานแล้ว แต่ถูกราชสำนักวุยระแวงว่าจะอาศัยความเป็นญาติกับขงเบ้งเกื้อกูลข้อมูลข่าวสารแก่จ๊กก๊ก ดังนั้นตลอดชั่วเวลาที่ขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่จูกัดเอี๋ยนจึงมิได้รับการยกย่องจากราชสำนักวุย แม้ทำการมีความดีความชอบก็ไม่ได้รับการปูนบำเหน็จ กลายเป็นขุนนางผู้มีฝีมือแต่ถูกดองตำแหน่งหน้าที่อยู่ที่เมืองหลงเสอันเป็นเมืองชายแดน ครั้นขงเบ้งตายแล้วจึงได้รับการยกย่องความดีความชอบแต่หนหลัง และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองห้วยหลำ

            จูกัดเอี๋ยนเป็นขุนนางที่มีน้ำใจจงรักภักดีต่อเจ้า ทำการสนองพระเดชพระคุณโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากกาย ขุนนางและราษฎรทั้งปวงได้รับความสุขถ้วนหน้ากัน เมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้าโจฮองจึงได้รับโปรดเกล้าตั้งให้เป็นเจ้าเมืองห้อยแขเพิ่มขึ้นอีกหัวเมืองหนึ่ง และได้รับการปูนบำเหน็จข้าวของเงินทองเป็นอันมาก ครั้นเปลี่ยนแผ่นดินเป็นรัชกาลพระเจ้าโจมอแล้วก็ได้รับความไว้วางใจจากราชสำนักดังเดิม จูกัดเอี๋ยนจึงยิ่งมีน้ำใจจงรักภักดีต่อราชสำนักวุย

            ครั้นจูกัดเอี๋ยนทราบว่าแกฉงเดินทางมาจากเมืองลกเอี๋ยงจึงต้อนรับขับสู้อย่างสมเกียรติของขุนนางจากเมืองหลวง แต่งโต๊ะดื่มสุราต้อนรับกันเป็นการใหญ่ จนจูกัดเอี๋ยนเมามายด้วยแรงสุรา

            แกฉงเห็นเป็นทีจึงแสร้งกล่าวกับจูกัดเอี๋ยนว่า ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองหลวง ได้เห็นพฤติกรรมของพระเจ้าโจมอเอาแต่เสพสุข มิได้เหลียวแลอาณาประชาราษฎร ทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ก็เอาแต่กินและนอน มิได้ทำประโยชน์อันใดแก่บ้านเมือง เป็นที่ขุ่นเคืองของขุนนางทั้งปวง ตลอดทางมาเมืองห้วยหลำได้ยินเสียงราษฎรนินทาว่าพระเจ้าแผ่นดินทุกวันนี้โง่เขลาเบาปัญญาไม่รู้ความ แต่สุมาเจียวผู้เป็นมหาอุปราชนั้นปรีชาสามารถ ทั้งตระกูลสุมาก็ได้บำรุงรักษาแผ่นดินต่อเนื่องมาถึงสามคนแล้ว ราษฎรทั้งปวงได้ความสุข บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก ควรที่จะได้รับการยกย่องขึ้นเป็นเจ้า ท่านจะเห็นเป็นประการใด

            จูกัดเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็โกรธ วางจอกสุราลงกับพื้นโต๊ะ ตวาดด่าแกฉงด้วยเสียงอันดังว่า ตัวท่านเป็นบุตรของแกกุ๋ย ทั้งพ่อและลูกได้กินข้าวแดงแกงร้อนของเจ้าเรา ชอบที่จะมีน้ำใจภักดี พลีชีวิตถวายเจ้า แต่ไฉนเล่าจึงมากล่าวความนินทาพระมหากษัตริย์ ยกย่องเชิดชูศัตรูแผ่นดินฉะนี้ หากกล่าวความสืบไปเราก็จำจะตัดศีรษะท่านเสียเพื่อบูชาคุณของพระเจ้าโจมอ

            แกฉงได้ยินดังนั้นก็ตกใจ แสร้งกล่าวขออภัยจูกัดเอี๋ยนว่าที่กล่าวมาทั้งนี้เป็นคำกล่าวของคนอื่น ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นด้วยเลย แต่นำความมากล่าวให้ท่านทราบเพราะเห็นว่าท่านเป็นขุนนางผู้ภักดี จะได้ฟังความเห็นของท่านว่าจะคิดอ่านทำการประการใด

            จูกัดเอี๋ยนกำลังเมาสุรา พอได้ยินคำแก้ตัวก็คล้อยตาม ด้วยสำคัญว่าฟังความผิด จึงกล่าวสืบไปว่า “ถ้าอันตรายมาถึงเจ้าแผ่นดิน เราเป็นข้าราชการควรจะอาสาสนองพระเดชพระคุณจนสิ้นชีวิต”

            แกฉงได้ฟังดังนั้นก็รู้น้ำใจภักดีของจูกัดเอี๋ยน จึงแสร้งชวนดื่มสุราอีกสองสามจอก แล้วขอลากลับไปที่พักรับรอง วันรุ่งขึ้นจึงอำลาจูกัดเอี๋ยนกลับไปเมืองลกเอี๋ยง รายงานความให้สุมาเจียวทราบทุกประการ

            สุมาเจียวได้ฟังรายงานก็โกรธ กล่าวว่าไอ้จูกัดเอี๋ยนนี้เป็นพรรคพวกคนเมืองเสฉวน หามีน้ำใจภักดีต่อเราไม่ ได้กินข้าวแดงแกงร้อนแผ่นดินเราแล้ว สิน้ำใจยังฝักใฝ่ด้วยชาวเมืองเสฉวนอีกเล่า จำจะกำจัดเสียมิให้เป็นเสี้ยนหนามสืบไป

            แกฉงจึงว่า จูกัดเอี๋ยนนี้เป็นคนน้ำใจโอบอ้อมอารี ตั้งใจในหน้าที่ราชการ จึงเป็นที่รักใคร่ของขุนนางแลราษฎรทั้งปวง หากละไว้นานวันไปจะมีสมัครพรรคพวกเพิ่มมากขึ้น ขอให้ท่านเร่งกำจัดจูกัดเอี๋ยนเสียเถิด

            สุมาเจียวได้ฟังคำยุดังนั้นก็เห็นด้วย จึงทำเป็นหมายรับสั่งให้ถอดจูกัดเอี๋ยนออกจากทุกตำแหน่งในราชการ และมีหนังสือลับกำกับไปถึงงักหลิมเจ้าเมืองเองจิ๋วอีกฉบับหนึ่งความว่า มหาอุปราชสุมาเจียวมีน้ำใจเอ็นดูต่อจูกัดเอี๋ยนที่มีความจงรักภักดีและมีความชอบในราชการ เห็นว่าจูกัดเอี๋ยนไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกถอดออกจากตำแหน่งโดยไม่มีความผิด จึงให้ไปแจ้งจูกัดเอี๋ยนให้รีบเข้ามาเมืองลกเอี๋ยง จะได้ตั้งให้มีตำแหน่งในสังกัดกรมของมหาอุปราช

            ครั้นแต่งหนังสือแล้วจึงให้ขุนนางชั้นผู้น้อยในสำนักราชเลขาธิการเชิญหมายรับสั่งและหนังสือลับถึงงักหลิมไปให้แก่งักหลิมที่เมืองเองจิ๋วเพื่อเอาไปมอบแก่จูกัดเอี๋ยน

            เผอิญขุนนางชั้นผู้น้อยนี้เป็นผู้น้อยก็แต่โดยตำแหน่ง แต่ยิ่งใหญ่ด้วยน้ำใจภักดีต่อพระมหากษัตริย์ พอได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไปเมืองเองจิ๋วก็นึกสงสารจูกัดเอี๋ยนว่าจะถูกศัตรูราชสมบัติทำอันตราย จึงเดินทางตรงไปที่เมืองห้วยหลำแล้วเอาหมายรับสั่งถอดจูกัดเอี๋ยนออกจากตำแหน่งให้แก่จูกัดเอี๋ยน และเล่าความข้างในราชสำนักให้จูกัดเอี๋ยนฟังทุกประการ

            จูกัดเอี๋ยนฟังความตลอดแล้วรู้ว่าเหตุทั้งนี้เกิดจากการพลั้งปากพูดจาในงานเลี้ยงต้อนรับแกฉงก็โกรธสุมาเจียว กล่าวขึ้นโดยไม่รู้สึกตัวว่าไอ้ศัตรูราชสมบัติ คิดจะกำจัดตัวเราเป็นแน่แล้ว

            กล่าวแล้วจูกัดเอี๋ยนจึงหันมาพูดกับขุนนางนั้นว่า เมื่อสุมาเจียวถอดเราออกจากตำแหน่งแล้วจะคิดอ่านประการใดสืบไป

            ขุนนางผู้น้อยนั้นจึงบอกจูกัดเอี๋ยนว่า สุมาเจียวมีหนังสือลับอีกฉบับหนึ่งให้งักหลิมเจ้าเมืองเองจิ๋วสั่งให้ทำทีมาลวงท่านเข้าไปเมืองลกเอี๋ยงเพื่อจะสังหารท่านเสีย กล่าวแล้วก็เอาหนังสือลับฉบับนั้นมอบให้แก่จูกัดเอี๋ยน

            จูกัดเอี๋ยนทราบความดังนั้นก็ยิ่งโกรธ กระทืบเท้าอย่างลืมตัวแล้วกล่าวว่า ตัวกูก็เป็นชาติทหารผู้ภักดีต่อแผ่นดิน ไม่ยินยอมให้ศัตรูแผ่นดินคิดอ่านทำร้ายแต่ฝ่ายเดียว จำจะทำการกำจัดศัตรูแผ่นดินถวายเป็นราชพลีให้ปรากฏชื่อลือชาไว้ในพงศาวดาร

            พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยพรรษา เดือนเจ็ด จูกัดเอี๋ยนตัดสินใจพลีชีพเพื่อปกป้องราชบัลลังก์ หวังกำจัดศัตรูแผ่นดิน จึงกรีฑาทัพออกจากเมืองห้วยหลำยกไปประชิดเมืองเองจิ๋ว เพื่อกำจัดงักหลิมเสียก่อน แล้วค่อยระดมกำลังจากหัวเมืองข้างเคียงยกไปตีเมืองลกเอี๋ยงกำจัดสุมาเจียวเสีย

            จูกัดเอี๋ยนยกกองทัพเมืองห้วยหลำเข้าประชิดกำแพงเมืองเองจิ๋วแล้วร้องเรียกให้ข้างในเมืองเปิดประตูรับ ทหารข้างในเมืองไม่รู้ความว่าจูกัดเอี๋ยนมาดีหรือมาร้าย แต่เกรงว่าเมื่อจูกัดเอี๋ยนนำกองทัพมาเป็นจำนวนมาก หากเปิดประตูเมืองรับแล้วก็อาจเป็นอันตราย ครั้นจะต่อสู้ทำร้ายก็เกรงว่าเป็นการทำร้ายพวกเดียวกัน ดังนั้นข้างในเมืองเองจิ๋วจึงได้แต่คุมเชิงรักษาเชิงเทินและกำแพงเมืองไว้อย่างกวดขันเท่านั้น

            จูกัดเอี๋ยนเห็นข้างในเมืองไม่ปฏิเสธและไม่ตอบสนองใด ๆ ก็โกรธ สั่งทหารให้หักปีนกำแพงเมืองพร้อมกันทุกด้าน ทหารข้างในเมืองไม่คิดว่าพวกเดียวกันจะยกมาโจมตีจึงไม่ทันระวังตัว ครั้นถูกจู่โจมจึงพากันแตกตื่นตกใจ ทหารเมืองห้วยหลำบุกขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้แล้วไล่ฆ่าฟันทหารเมืองเองจิ๋วบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก พวกที่เหลือก็หลบหนีไปจนหมดสิ้น

            ทหารเมืองห้วยหลำเข้าเมืองเองจิ๋วได้แล้วจึงเปิดประตูเมืองรับกองทัพ จูกัดเอี๋ยนเห็นดังนั้นจึงนำกองทัพเมืองห้วยหลำบุกเข้าไปในเมือง เผาผลาญบ้านช่องและสถานที่ราชการเป็นจำนวนมาก และให้ทหารค้นหาตัวงักหลิมแต่ไม่พบ

            จูกัดเอี๋ยนนำทหารองครักษ์ไปที่จวนของเจ้าเมือง ค้นชั้นล่างโดยทั่วก็ไม่พบตัวงักหลิม จึงพาทหารขึ้นไปบนชั้นสองของจวน เห็นห้องหนึ่งปิดประตูแน่นหนาน่าสงสัย จึงให้ทหารเรียกคนข้างในให้เปิดประตูแต่ไม่มีเสียงตอบรับ จูกัดเอี๋ยนจึงให้ทหารพังประตูเข้าไปเห็นงักหลิมหลบอยู่ที่ด้านหลังฉาก จึงให้ทหารเข้าไปคุมตัวไว้ แล้วด่างักหลิมเป็นข้อหยาบช้าว่าตัวท่านก็เป็นเชื้อสายขุนนางมาแต่ก่อน เหตุไฉนจึงคบคิดด้วยศัตรูราชสมบัติจะล้มล้างราชบัลลังก์ด้วยเล่า

            จูกัดเอี๋ยนกล่าวจบคำก็ยิ่งบันดาลโทสะ ชักกระบี่ออกมาฟันงักหลิมตัวขาดสองท่อนถึงแก่ความตาย

            จูกัดเอี๋ยนจัดแจงให้นายทหารซึ่งวางใจรักษาเมืองเองจิ๋วแล้ว สั่งให้เกณฑ์ทหารจากเมืองเองจิ๋ว เมืองห้อยแข ไปชุมนุมพลพร้อมกันที่เมืองห้วยหลำ เตรียมการที่จะยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง

            ครั้นสั่งจัดแจงกองทัพเสร็จแล้ว จูกัดเอี๋ยนจึงแต่งฎีกากล่าวโทษสุมาเจียวว่าละเมิดกฎมณเฑียรบาล ใช้อำนาจตามอำเภอน้ำใจ ไม่ยำเกรงพระมหากษัตริย์ คิดอ่านชิงเอาราชสมบัติ ขอให้พระเจ้าโจมอถอดถอนสุมาเจียวออกจากทุกตำแหน่ง และสั่งทหารให้ถือฎีกาเข้าไปทูลเกล้าถวายแก่พระเจ้าโจมอ

            ครั้นทหารถือฎีกาออกจากเมืองไปแล้ว จูกัดเอี๋ยนจึงตั้งให้งอก๋งขุนนางผู้ใหญ่เป็นทูตพาจูกัดเจ้งผู้บุตรและถือหนังสือไปเมืองกังตั๋ง ขอให้เมืองกังตั๋งยกกองทัพขึ้นมาตีเมืองลกเอี๋ยงเป็นทัพกระหนาบ เสร็จศึกแล้วก็จะแบ่งแผ่นดินวุยก๊กให้แก่เมืองกังตั๋งครึ่งหนึ่ง และเพื่อเป็นหลักประกันในการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา จะขอมอบจูกัดเจ้งผู้บุตรไว้เป็นตัวประกัน

            ทางฝ่ายเมืองกังตั๋งหลังจากซุนจุ๋นได้เป็นที่มหาอุปราชว่าราชการอยู่หลายปีก็ป่วยถึงแก่ความตาย ซุนหลิมผู้น้องจึงได้รับตำแหน่งแทนซุนจุ๋นผู้พี่ แต่เนื่องจากซุนหลิมเป็นคนพูดจากระโชกโฮกฮาก จึงเป็นที่ขัดหูขัดตาของเตงอิ๋ม ลิกี๋ และอ๋องตุ้นซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่

            นานวันความขัดแย้งระหว่างมหาอุปราชกับสามขุนนางผู้ใหญ่ก็รุนแรงขึ้น ซุนหลิมจึงใช้ทหารไปจับตัวสามขุนนางให้เอาไปตัดศีรษะ สามขุนนางร้องขอชีวิตอย่างน่าเวทนา แต่ซุนหลิมไม่ฟังคำสังหารเตงอิ๋น ลิกี๋ และอ๋องตุ้นเสีย หลังจากนั้นแล้วก็ไม่มีขุนนางผู้ใดกล้าขัดแย้งขัดแข้งขัดขากับซุนหลิมอีกต่อไป ขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้พากันเข้าเป็นพวกของซุนหลิมเป็นอันมาก อำนาจสิทธิขาดในราชการทั้งปวงจึงตกอยู่ในกำมือของซุนหลิมสิ้น

            ซุนหลิมครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วก็ยิ่งวางอำนาจบาทใหญ่ทำการตามอำเภอน้ำใจ แม้ว่าพระเจ้าซุนเหลียงจะมีสติปัญญารู้เท่าทัน แต่เนื่องจากทรงห่างเหินขุนนางและแม่ทัพนายกอง ประพฤติพระองค์โดดเดี่ยวอยู่บนหอคอยงาช้าง ไม่ไว้วางพระราชหฤทัยผู้ใดว่าจะมีน้ำใจภักดีด้วยความสุจริต จึงสู้เก็บความทุกข์ตรมพระทัยไว้แต่พระองค์เอง

            ครั้นงอก๋งเดินทางไปถึงเมืองกังตั๋งจึงเข้าไปพบซุนหลิม เมื่อได้คำนับกันตามประเพณีแล้วงอก๋งจึงเล่าความให้ฟังว่าจูกัดเอี๋ยนเป็นญาติของขงเบ้ง ทำราชการอยู่กับแผ่นดินวุยก๊ก บัดนี้สุมาเจียวคิดการกำเริบ จะถอดพระเจ้าโจมอออกจากตำแหน่งและจะเป็นฮ่องเต้เสียเอง จากนั้นจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนและเมืองกังตั๋ง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร