ตอนที่ 616. ค่ายกลนาคบาศก์
แม้ว่าเกียงอุยจะล่าทัพถอยกลับแดนเมืองฮันต๋งแล้ว แต่เตงงายก็มิได้ประมาท เพราะคาดหมายได้จากมูลเหตุแห่งสงครามห้าประการว่าเกียงอุยจะต้องยกกองทัพโจมตีวุยก๊กอีก ในขณะที่เกียงอุยก็เตรียมกองทัพจะยกไปตีวุยก๊กเพราะได้เห็นเหตุแห่งสงครามห้าประการที่จะได้ชัยชนะ ดังนั้นต่างฝ่ายจึงเตรียมรุกรับด้วยความรู้เท่าทันกัน
ฝ่ายแฮหัวป๋าครั้นได้ยินเกียงอุยวิเคราะห์การสงครามและยืนยันจะยกกองทัพไปตีวุยก๊ก จึงติงว่าอันการสงครามนั้นจะเห็นแต่สภาพการณ์โดยไม่คำนึงถึงนายทัพย่อมไม่ควร “เตงงายคนนี้เป็นเด็กอยู่ก็จริง แต่ว่ามีสติปัญญาหลักแหลมนัก ครั้งนี้ก็ได้เป็นที่อันไสจงกุ๋นแล้ว เห็นจะจัดแจงทแกล้วทหารรักษาบ้านเมืองแลด่านทาง ซึ่งเป็นที่คับขันมั่นคงยิ่งกว่าเก่า เราอย่าดูถูกจะเสียการ”
แฮหัวป๋าแม้เห็นด้วยกับการปรารภมูลเหตุสงครามห้าประการว่าเป็นโอกาสที่จะได้ชัยชนะแก่ข้าศึก แต่เห็นตลอดไปถึงปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการสงครามคือตัวนายทัพ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการสงคราม ว่ามีผลต่อการแพ้ชนะของสงครามมิได้ด้อยไปกว่าปัจจัยสงครามอื่น ๆ แฮหัวป๋าเห็นเกียงอุยวิพากษ์แต่สภาพการสงคราม แม้มากถึงห้าประการแต่กลับขาดปัจจัยสงครามที่สำคัญคือตัวนายทัพซึ่งแฮหัวป๋ารู้ดีมาแต่ต้นว่าเตงงายผู้นี้มิใช่นายทัพธรรมดา แม้ว่าอายุจะยังน้อยแต่สติปัญญาในการสงครามกลับเป็นอัจฉริยะรุ่นใหม่ของวุยก๊ก จึงวิตกว่าจะเป็นเหตุแปรเปลี่ยนผลสงครามให้กลับกลายเป็นอื่น จึงทักท้วงโดยไม่เกรงใจเกียงอุย
เกียงอุยได้ฟังคำติงของแฮหัวป๋าต่อหน้าผู้คนก็โกรธ ตวาดใส่แฮหัวป๋าแล้วกล่าวว่า สงครามจะเผชิญหน้ากันอยู่แล้ว ไฉนท่านจึงมาว่ากล่าวยกย่องสรรเสริญข้าศึก จะมิเป็นการข่มขวัญไพร่พลของเราให้ระย่อท้อถอยดอกหรือ ท่านอย่ากล่าวความฉะนี้สืบไปเลย และนับแต่นี้ไปท่านทั้งปวงอย่าได้ท้วงติงข้าพเจ้าไม่ให้ยกกองทัพไปตีวุยก๊กอีก
กล่าวแล้วเกียงอุยจึงให้แฮหัวป๋าเป็นกองทัพหน้า ตัวเกียงอุยคุมกองทัพหลวงยกตรงไปที่เขากิสาน
ครั้นกองทัพเกียงอุยยกมาใกล้ปากทางออกเขากิสาน หน่วยสอดแนมได้นำความมารายงานว่า ข้างหน้าปากทางอันเป็นทุ่งราบข้างเนินเขากิสาน เห็นทหารวุยก๊กมาตั้งค่ายอยู่ถึงเก้าค่าย
เกียงอุยได้ฟังรายงานดังนั้นก็ตกใจ คาดไม่ถึงว่ากองทัพเพิ่งยกมาแต่ไฉนกองทัพวุยก๊กจึงยกมาแต่เมืองลกเอี๋ยงแล้วมาตั้งรับที่ทุ่งราบข้างเขากิสานได้ทันท่วงทีฉะนี้ ความตกใจของเกียงอุยเกิดขึ้นเพราะมิได้คาดคะเนไปถึงสติปัญญาความคิดของเตงงาย ด้วยประมาทว่ายังเป็นนายทหารอายุน้อย จึงไม่รู้ว่าเตงงายมิได้เลิกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง แต่กลับเตรียมพร้อมรับมือกองทัพจ๊กก๊กอยู่ที่ตำบลเขากิสาน ด้วยคาดการณ์มูลเหตุสงครามได้กระจ่างเช่นเดียวกัน
เตงงายนั้นเพราะแลเห็นจุดอ่อนในประการสำคัญว่า การจะตั้งรับกองทัพจ๊กก๊กไม่มีที่ใดจะเหมาะสมเท่ากับที่ตำบลเขากิสาน เพราะเส้นทางทั้งหลายทั้งปวงจากภาคตะวันตกเข้าสู่ตงง้วนนั้นจะมารวมศูนย์อยู่ที่ตำบลเขากิสานทั้งสิ้น จากตำบลเขากิสานจึงจะสามารถยกล่วงเข้าสู่เมืองเตียงอันและไปสู่เมืองลกเอี๋ยงได้โดยสะดวก หากจะตั้งรับกองทัพจ๊กก๊กตามเส้นทางอื่นใกล้ชายแดนจ๊กก๊กก็มีเส้นทางหลายเส้น ไม่แน่ชัดว่ากองทัพจ๊กก๊กจะยกมาตามเส้นทางไหน หากจะตั้งรับทุกเส้นทางก็ต้องกระจายกำลังออกไปตั้งรับ ทำให้กำลังแต่ละเส้นทางกลายเป็นกำลังน้อย ถูกโจมตีทำลายได้โดยง่าย ทั้งเส้นทางเหล่านั้นก็ทุรกันดาร ลำเลียงเสบียงอาหารและไพร่พลลำบาก เตงงายจึงใช้ความสามารถของผู้บัญชาทัพปรับปรุงแปรเปลี่ยนแก้ไขจุดอ่อนแทนที่จะสู้ยากลำบากไปรับศึกที่แนวหน้า กลับยกมาตั้งรับในจุดที่ข้าศึกจำเป็นจะต้องยกมา ไม่ต้องลำบากแก่ไพร่พลและสามารถรวมศูนย์กำลังเข้ารบพุ่งได้อย่างเต็มที่ นี่แล้วคือสติปัญญาของผู้นำทัพที่อาจแปรเปลี่ยนสภาพการณ์เสียเปรียบให้กลับเป็นไม่เสียเปรียบหรือได้เปรียบได้
เกียงอุยใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็นึกหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมเตงงายจึงสามารถยกกองทัพมาตั้งรับได้ทันท่วงที คิดไปคิดมาก็สงสัย จึงให้รั้งทัพไว้ในซอกเขาก่อนจะถึงปากทาง แล้วพาทหารคนสนิทสองร้อยคนขี่ม้าขึ้นไปบนเนินเขา มองลงไปที่ทุ่งราบเบื้องหน้าเห็นกองทัพวุยก๊กตั้งค่ายใหญ่จำนวนเก้าค่าย แต่ไม่ได้ปักธงใหญ่สำหรับกองทัพว่านายทัพคือใครและค่ายใดเป็นค่ายหลวง ลักษณะการตั้งค่ายวางตำแหน่งชอบกลพิสดารจนเกียงอุยต้องตกตะลึง
เกียงอุยทอดสายตาจ้องมองค่ายของวุยก๊กหลายตลบก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าคล้ายคลึงกับสภาพภูมิประเทศธรรมชาติที่หุบเขาน้ำเต้า เมื่อครั้งที่ขงเบ้งวางกลอุบายลวง สุมาอี้เข้ามาในหุบเขาแล้ววางเพลิงเผา จนสุมาอี้หวุดหวิดจะถึงแก่ความตายในกองเพลิง ในพลันนั้นก็รำลึกถึงคำเล่าของขงเบ้งเกี่ยวกับการรบกับลุดตัดกุดคนเถื่อนในแดนใต้ที่หุบเขางูเลื้อยว่ามีสภาพภูมิประเทศประดุจหนึ่งงูกำลังเลื้อย และพร้อมจะจู่โจมศัตรูอยู่ทุกเมื่อ
เกียงอุยรำลึกถึงคัมภีร์พิชัยสงครามที่ได้รับมอบจากขงเบ้งว่าด้วยค่ายกลพยุหะก็ประจักษ์ชัดว่า ลักษณะการตั้งค่ายของกองทัพวุยก๊กครั้งนี้แม้ว่าดูพิกลพิลึกพิลั่น แต่แท้จริงแล้วเป็นการตั้งค่ายที่ต้องด้วยหลักพิชัยยุทธ์ขั้นสูงสุดที่มีชื่อว่าค่ายกลพยุหะนาคบาศก์ มีลักษณะรุกรับอย่างพิสดารลึกซึ้ง ข้าศึกเข้าตีส่วนหัว ส่วนหางก็จะตวัดรัดทำร้าย ข้าศึกเข้าตีส่วนหาง ส่วนหัวก็พร้อมจะฉกกัด หากข้าศึกเข้าตีส่วนกลาง ทั้งหัวและหางจะรุมรุกจู่โจม แลการตั้งค่ายกลพยุหะชนิดนี้คัมภีร์พิชัยยุทธ์ระบุว่า หากตั้งในทำเลอันเป็นชัยภูมิหลังอิงภูเขา หน้ายันทุ่งราบแล้ว ก็จะก่อเป็นมรณภูมิหรืออุกฤตภูมิอันยากแก่การที่ข้าศึกจะเข้าตี พึงหลีกเลี่ยงเสีย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุการตั้งค่ายของทหารวุยก๊กว่า “แลเห็นค่ายรายกันไปเป็นท่วงทีเหมือนอสรพิษ มีศีรษะแลหางคอยวกตวัดรัดคน จึงว่าแฮหัวป๋าว่าไว้ก็สมคำ เตงงายคนนี้ความคิดดีนัก พิเคราะห์ดูเห็นประหนึ่งคล้ายคลึงท่านมหาอุปราชอาจารย์ของเรา ซึ่งเราจะหักโหมเข้าไปไม่ได้ เห็นจะเสียที”
เกียงอุยพิเคราะห์ดูก็รู้ว่าแม้ค่ายทั้งปวงจะมิได้ปักธงชัยสำหรับแม่ทัพ แต่ลักษณะการตั้งค่ายฉะนี้ย่อมบ่งบอกในตัวว่าผู้เป็นแม่ทัพย่อมต้องอยู่กำกับในค่ายใดค่ายหนึ่งเป็นแน่แท้
เกียงอุยพิเคราะห์ดังนั้นแล้วจึงพาทหารกลับไปที่กองทัพ แล้วสั่งทหารให้ตั้งค่ายอยู่ภายในซอกเขาใกล้ปากทางออกตำบลเขากิสาน
พอค่ำลงเกียงอุยจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่า กองทัพวุยก๊กยกมาตั้งค่ายมั่นอยู่ในทุ่งราบข้างเขากิสาน ด้านหลังอิงภูเขา ด้านหน้าเป็นทุ่งราบ ตั้งกระบวนเป็นค่ายกลพยุหะนาคบาศก์ในชัยภูมิที่ได้เปรียบ แต่กองทัพเราตั้งอยู่ในซอกเขา เคลื่อนไหวรุกรับไม่สะดวกทันท่วงที ดังนั้นจะรุกเข้าตีค่ายวุยก๊กก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็พากันนิ่ง เกียงอุยจึงกล่าวสืบไปว่า เมื่อข้าศึกคิดตั้งรับในชัยภูมิที่ได้เปรียบดังนี้เราก็จะเลี่ยงจุดแข็งของข้าศึกไปตีเอาจุดอ่อนให้ได้ก่อน ข้าพเจ้าคิดกลอุบายจะลวงล่อกองทัพของเตงงายไว้ที่ตำบลเขากิสาน แล้วจะยกไปตีเมืองลำอั๋นให้ได้ก่อน หากได้เมืองลำอั๋นแล้วก็จะทำการสืบไปโดยสะดวก
กล่าวแล้วเกียงอุยจึงตั้งให้เปาเชาคุมทหารสองหมื่นรักษาค่ายในซอกเขาใกล้ปากทางออกเขากิสาน กำหนดอุบายให้จัดทหารเป็นห้ากอง กองละห้าร้อย ทำหน้าที่ลาดตระเวนทุกวัน แต่ละวันให้ผลัดกันใช้ธงสีเขียว ขาว เหลือง แดง ดำ สลับกันไป และให้แต่งตัวในแต่ละวันให้แตกต่างกันเพื่อลวงข้าศึกให้เห็นว่ามีทหารเพิ่มเติมเป็นจำนวนมาก ตัวเกียงอุยจะคุมทหารที่เหลือทั้งหมดยกไปตีเมืองลำอั๋น
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย เกียงอุยจึงกำชับเปาเชาว่าให้ท่านทำการตามอุบายนี้ ลวงเตงงายให้หลงตั้งรับอยู่ที่ตำบลเขากิสาน ท่านก็จะมีความชอบเป็นอันมาก เปาเชารับคำว่าท่านแม่ทัพอย่าได้วิตกเลย ข้าพเจ้าจะทำตามแผนการอุบายจงทุกประการ
ครั้นค่ำลงเกียงอุยจึงคุมทหารที่เหลือยกย้อนไปในซอกเขาแล้วออกทางแยกยกตรงไปเมืองลำอั๋น
ฝ่ายเตงงายครั้นได้รับทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่า กองทัพเมืองเสฉวนยกมาใกล้ปากทางออกตำบลเขากิสานแล้วตั้งค่ายมั่นอยู่ในซอกเขา จึงสั่งทหารให้เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับการโจมตี แต่หลังจากเวลาผ่านไปสองสามวันเหตุการณ์ยังเงียบสงบ ไม่มีทีท่าว่ากองทัพเมืองเสฉวนจะยกมาโจมตีก็หลากใจ จึงไต่สวนข้อมูลข่าวคราวความเคลื่อนไหวของข้าศึกจากหน่วยสอดแนมอย่างละเอียด
พอได้ทราบว่าในแต่ละวันทหารเมืองเสฉวนยังคงสงบนิ่งอยู่ในค่าย มีแต่หน่วย ลาดตระเวนออกมาลาดตระเวนวันละห้าเวลา แต่ละวันใช้ธงต่างสี แต่งตัวต่างแบบ เตงงายก็ยิ่งสงสัย รีบขี่ม้าพาทหารคนสนิทขึ้นไปบนเนินเขา มองลงมาเบื้องล่างเห็นข้างในค่ายของทหารเมืองเสฉวนเงียบสงบ และทหารซึ่งลาดตระเวนนั้นพอลาดตระเวนเสร็จแล้วก็พากันกลับเข้าไปในค่าย อีกครู่หนึ่งก็มีอีกกองหนึ่งออกมาทำหน้าที่ลาดตระเวนต่อ
เตงงายเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบกล่าวกับต้านท่ายว่าพวกเราหวุดหวิดจะหลงกลเกียงอุยแล้ว
ต้านท่ายได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจ จึงถามว่าไฉนท่านจึงว่าจะหลงกลเกียงอุยเล่า
เตงงายจึงว่า สภาพการที่เป็นอยู่นี้ข้าพเจ้าคะเนว่าขณะนี้ทหารเมืองเสฉวนที่อยู่ในซอกเขามีเพียงจำนวนน้อย จึงแสร้งลวงว่ามีจำนวนมาก แต่กลับถอนกำลังมากยกไปทำการอีกด้านหนึ่ง ข้าพเจ้าคาดหมายว่าเกียงอุยจะคุมกองทัพใหญ่ยกไปตีเมืองลำอั๋น และเมืองข้างเคียง ครั้นได้หัวเมืองทั้งปวงแล้วก็จะบีบล้อมชัยภูมิตำบลเขากิสานไว้อย่างแน่นหนา เหมือนกับเมื่อครั้งที่ขงเบ้งทำสงครามกับสุมาอี้และโจจิ๋น จนกระทั่ง โจจิ๋นและสุมาอี้ต้องถอยทัพกลับไปตั้งอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำอุยโห หากเกียงอุยทำการได้สำเร็จจะทำให้กองทัพเราไม่อาจตั้งอยู่ที่ตำบลเขากิสานได้ต่อไป จะต้องถอยกลับข้ามฟากแม่น้ำหรือไม่ก็ต้องถอยไปสู่เมืองเตียงอันหรือเมืองลกเอี๋ยงในที่สุด เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่าหวุดหวิดจะต้องกลของเกียงอุย
ต้านท่ายได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ รีบกล่าวว่าเมื่อเป็นดังนี้จะคิดอ่านประการใด
เตงงายจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดอ่านเอาชัยชนะเกียงอุยให้จงได้ และเมื่อทหารเมืองเสฉวนที่อยู่ในซอกเขาเหลืออยู่แต่เบาบาง จึงให้ท่านคุมทหารไปตีเอาค่ายทหารเมืองเสฉวนในซอกเขาให้จงได้ ตัดหนทางที่เกียงอุยจะรุดหน้าเข้ามาในแดนเราในวันหน้า จากนั้นจึงให้ยกทหารไปสกัดเส้นทางของเกียงอุยมิให้ถอยทัพกลับเมืองฮันต๋ง ตัวข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปช่วยเมืองลำอั๋นเอง
ต้านท่ายจึงถามว่าเมื่อข้าพเจ้ายกไปสกัดอยู่ที่ต้นทางถอยของเกียงอุยแล้วจะประสานการรบกับกองทัพของท่านประการใด
เตงงายจึงว่า เมื่อข้าพเจ้ายกกองทัพไปถึงเมืองลำอั๋น จะช่วงชิงเอาที่มั่นที่ภูเขาบูเสียงสันให้ได้ก่อนที่กองทัพเกียงอุยจะไปถึง และจะสกัดขัดขวางไม่ให้เกียงอุยตั้งค่ายที่บริเวณภูเขาบูเสียงสัน บีบบังคับเกียงอุยให้นำทหารล่าถอยเข้าไปในซอกเขา ข้าพเจ้าจะแต่งทหารเป็นสองกองไปซุ่มอยู่ในป่าสองข้างซอกเขาที่ตำบลตวนโกะ ครั้นเกียงอุยพาทหารถอยไปทางนั้นก็จะตีกระหนาบพร้อมกันเป็นสามทาง เห็นเกียงอุยจะพาทหารที่หนีตายถอยกลับเข้าเมืองฮันต๋ง และจะต้องผ่านต้นทางซึ่งท่านซุ่มกำลังอยู่ ให้ท่านคุมทหารเข้าตีอย่าให้ทันรู้ตัว เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง.
ฝ่ายแฮหัวป๋าครั้นได้ยินเกียงอุยวิเคราะห์การสงครามและยืนยันจะยกกองทัพไปตีวุยก๊ก จึงติงว่าอันการสงครามนั้นจะเห็นแต่สภาพการณ์โดยไม่คำนึงถึงนายทัพย่อมไม่ควร “เตงงายคนนี้เป็นเด็กอยู่ก็จริง แต่ว่ามีสติปัญญาหลักแหลมนัก ครั้งนี้ก็ได้เป็นที่อันไสจงกุ๋นแล้ว เห็นจะจัดแจงทแกล้วทหารรักษาบ้านเมืองแลด่านทาง ซึ่งเป็นที่คับขันมั่นคงยิ่งกว่าเก่า เราอย่าดูถูกจะเสียการ”
แฮหัวป๋าแม้เห็นด้วยกับการปรารภมูลเหตุสงครามห้าประการว่าเป็นโอกาสที่จะได้ชัยชนะแก่ข้าศึก แต่เห็นตลอดไปถึงปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการสงครามคือตัวนายทัพ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการสงคราม ว่ามีผลต่อการแพ้ชนะของสงครามมิได้ด้อยไปกว่าปัจจัยสงครามอื่น ๆ แฮหัวป๋าเห็นเกียงอุยวิพากษ์แต่สภาพการสงคราม แม้มากถึงห้าประการแต่กลับขาดปัจจัยสงครามที่สำคัญคือตัวนายทัพซึ่งแฮหัวป๋ารู้ดีมาแต่ต้นว่าเตงงายผู้นี้มิใช่นายทัพธรรมดา แม้ว่าอายุจะยังน้อยแต่สติปัญญาในการสงครามกลับเป็นอัจฉริยะรุ่นใหม่ของวุยก๊ก จึงวิตกว่าจะเป็นเหตุแปรเปลี่ยนผลสงครามให้กลับกลายเป็นอื่น จึงทักท้วงโดยไม่เกรงใจเกียงอุย
เกียงอุยได้ฟังคำติงของแฮหัวป๋าต่อหน้าผู้คนก็โกรธ ตวาดใส่แฮหัวป๋าแล้วกล่าวว่า สงครามจะเผชิญหน้ากันอยู่แล้ว ไฉนท่านจึงมาว่ากล่าวยกย่องสรรเสริญข้าศึก จะมิเป็นการข่มขวัญไพร่พลของเราให้ระย่อท้อถอยดอกหรือ ท่านอย่ากล่าวความฉะนี้สืบไปเลย และนับแต่นี้ไปท่านทั้งปวงอย่าได้ท้วงติงข้าพเจ้าไม่ให้ยกกองทัพไปตีวุยก๊กอีก
กล่าวแล้วเกียงอุยจึงให้แฮหัวป๋าเป็นกองทัพหน้า ตัวเกียงอุยคุมกองทัพหลวงยกตรงไปที่เขากิสาน
ครั้นกองทัพเกียงอุยยกมาใกล้ปากทางออกเขากิสาน หน่วยสอดแนมได้นำความมารายงานว่า ข้างหน้าปากทางอันเป็นทุ่งราบข้างเนินเขากิสาน เห็นทหารวุยก๊กมาตั้งค่ายอยู่ถึงเก้าค่าย
เกียงอุยได้ฟังรายงานดังนั้นก็ตกใจ คาดไม่ถึงว่ากองทัพเพิ่งยกมาแต่ไฉนกองทัพวุยก๊กจึงยกมาแต่เมืองลกเอี๋ยงแล้วมาตั้งรับที่ทุ่งราบข้างเขากิสานได้ทันท่วงทีฉะนี้ ความตกใจของเกียงอุยเกิดขึ้นเพราะมิได้คาดคะเนไปถึงสติปัญญาความคิดของเตงงาย ด้วยประมาทว่ายังเป็นนายทหารอายุน้อย จึงไม่รู้ว่าเตงงายมิได้เลิกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง แต่กลับเตรียมพร้อมรับมือกองทัพจ๊กก๊กอยู่ที่ตำบลเขากิสาน ด้วยคาดการณ์มูลเหตุสงครามได้กระจ่างเช่นเดียวกัน
เตงงายนั้นเพราะแลเห็นจุดอ่อนในประการสำคัญว่า การจะตั้งรับกองทัพจ๊กก๊กไม่มีที่ใดจะเหมาะสมเท่ากับที่ตำบลเขากิสาน เพราะเส้นทางทั้งหลายทั้งปวงจากภาคตะวันตกเข้าสู่ตงง้วนนั้นจะมารวมศูนย์อยู่ที่ตำบลเขากิสานทั้งสิ้น จากตำบลเขากิสานจึงจะสามารถยกล่วงเข้าสู่เมืองเตียงอันและไปสู่เมืองลกเอี๋ยงได้โดยสะดวก หากจะตั้งรับกองทัพจ๊กก๊กตามเส้นทางอื่นใกล้ชายแดนจ๊กก๊กก็มีเส้นทางหลายเส้น ไม่แน่ชัดว่ากองทัพจ๊กก๊กจะยกมาตามเส้นทางไหน หากจะตั้งรับทุกเส้นทางก็ต้องกระจายกำลังออกไปตั้งรับ ทำให้กำลังแต่ละเส้นทางกลายเป็นกำลังน้อย ถูกโจมตีทำลายได้โดยง่าย ทั้งเส้นทางเหล่านั้นก็ทุรกันดาร ลำเลียงเสบียงอาหารและไพร่พลลำบาก เตงงายจึงใช้ความสามารถของผู้บัญชาทัพปรับปรุงแปรเปลี่ยนแก้ไขจุดอ่อนแทนที่จะสู้ยากลำบากไปรับศึกที่แนวหน้า กลับยกมาตั้งรับในจุดที่ข้าศึกจำเป็นจะต้องยกมา ไม่ต้องลำบากแก่ไพร่พลและสามารถรวมศูนย์กำลังเข้ารบพุ่งได้อย่างเต็มที่ นี่แล้วคือสติปัญญาของผู้นำทัพที่อาจแปรเปลี่ยนสภาพการณ์เสียเปรียบให้กลับเป็นไม่เสียเปรียบหรือได้เปรียบได้
เกียงอุยใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็นึกหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมเตงงายจึงสามารถยกกองทัพมาตั้งรับได้ทันท่วงที คิดไปคิดมาก็สงสัย จึงให้รั้งทัพไว้ในซอกเขาก่อนจะถึงปากทาง แล้วพาทหารคนสนิทสองร้อยคนขี่ม้าขึ้นไปบนเนินเขา มองลงไปที่ทุ่งราบเบื้องหน้าเห็นกองทัพวุยก๊กตั้งค่ายใหญ่จำนวนเก้าค่าย แต่ไม่ได้ปักธงใหญ่สำหรับกองทัพว่านายทัพคือใครและค่ายใดเป็นค่ายหลวง ลักษณะการตั้งค่ายวางตำแหน่งชอบกลพิสดารจนเกียงอุยต้องตกตะลึง
เกียงอุยทอดสายตาจ้องมองค่ายของวุยก๊กหลายตลบก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าคล้ายคลึงกับสภาพภูมิประเทศธรรมชาติที่หุบเขาน้ำเต้า เมื่อครั้งที่ขงเบ้งวางกลอุบายลวง สุมาอี้เข้ามาในหุบเขาแล้ววางเพลิงเผา จนสุมาอี้หวุดหวิดจะถึงแก่ความตายในกองเพลิง ในพลันนั้นก็รำลึกถึงคำเล่าของขงเบ้งเกี่ยวกับการรบกับลุดตัดกุดคนเถื่อนในแดนใต้ที่หุบเขางูเลื้อยว่ามีสภาพภูมิประเทศประดุจหนึ่งงูกำลังเลื้อย และพร้อมจะจู่โจมศัตรูอยู่ทุกเมื่อ
เกียงอุยรำลึกถึงคัมภีร์พิชัยสงครามที่ได้รับมอบจากขงเบ้งว่าด้วยค่ายกลพยุหะก็ประจักษ์ชัดว่า ลักษณะการตั้งค่ายของกองทัพวุยก๊กครั้งนี้แม้ว่าดูพิกลพิลึกพิลั่น แต่แท้จริงแล้วเป็นการตั้งค่ายที่ต้องด้วยหลักพิชัยยุทธ์ขั้นสูงสุดที่มีชื่อว่าค่ายกลพยุหะนาคบาศก์ มีลักษณะรุกรับอย่างพิสดารลึกซึ้ง ข้าศึกเข้าตีส่วนหัว ส่วนหางก็จะตวัดรัดทำร้าย ข้าศึกเข้าตีส่วนหาง ส่วนหัวก็พร้อมจะฉกกัด หากข้าศึกเข้าตีส่วนกลาง ทั้งหัวและหางจะรุมรุกจู่โจม แลการตั้งค่ายกลพยุหะชนิดนี้คัมภีร์พิชัยยุทธ์ระบุว่า หากตั้งในทำเลอันเป็นชัยภูมิหลังอิงภูเขา หน้ายันทุ่งราบแล้ว ก็จะก่อเป็นมรณภูมิหรืออุกฤตภูมิอันยากแก่การที่ข้าศึกจะเข้าตี พึงหลีกเลี่ยงเสีย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุการตั้งค่ายของทหารวุยก๊กว่า “แลเห็นค่ายรายกันไปเป็นท่วงทีเหมือนอสรพิษ มีศีรษะแลหางคอยวกตวัดรัดคน จึงว่าแฮหัวป๋าว่าไว้ก็สมคำ เตงงายคนนี้ความคิดดีนัก พิเคราะห์ดูเห็นประหนึ่งคล้ายคลึงท่านมหาอุปราชอาจารย์ของเรา ซึ่งเราจะหักโหมเข้าไปไม่ได้ เห็นจะเสียที”
เกียงอุยพิเคราะห์ดูก็รู้ว่าแม้ค่ายทั้งปวงจะมิได้ปักธงชัยสำหรับแม่ทัพ แต่ลักษณะการตั้งค่ายฉะนี้ย่อมบ่งบอกในตัวว่าผู้เป็นแม่ทัพย่อมต้องอยู่กำกับในค่ายใดค่ายหนึ่งเป็นแน่แท้
เกียงอุยพิเคราะห์ดังนั้นแล้วจึงพาทหารกลับไปที่กองทัพ แล้วสั่งทหารให้ตั้งค่ายอยู่ภายในซอกเขาใกล้ปากทางออกตำบลเขากิสาน
พอค่ำลงเกียงอุยจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่า กองทัพวุยก๊กยกมาตั้งค่ายมั่นอยู่ในทุ่งราบข้างเขากิสาน ด้านหลังอิงภูเขา ด้านหน้าเป็นทุ่งราบ ตั้งกระบวนเป็นค่ายกลพยุหะนาคบาศก์ในชัยภูมิที่ได้เปรียบ แต่กองทัพเราตั้งอยู่ในซอกเขา เคลื่อนไหวรุกรับไม่สะดวกทันท่วงที ดังนั้นจะรุกเข้าตีค่ายวุยก๊กก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็พากันนิ่ง เกียงอุยจึงกล่าวสืบไปว่า เมื่อข้าศึกคิดตั้งรับในชัยภูมิที่ได้เปรียบดังนี้เราก็จะเลี่ยงจุดแข็งของข้าศึกไปตีเอาจุดอ่อนให้ได้ก่อน ข้าพเจ้าคิดกลอุบายจะลวงล่อกองทัพของเตงงายไว้ที่ตำบลเขากิสาน แล้วจะยกไปตีเมืองลำอั๋นให้ได้ก่อน หากได้เมืองลำอั๋นแล้วก็จะทำการสืบไปโดยสะดวก
กล่าวแล้วเกียงอุยจึงตั้งให้เปาเชาคุมทหารสองหมื่นรักษาค่ายในซอกเขาใกล้ปากทางออกเขากิสาน กำหนดอุบายให้จัดทหารเป็นห้ากอง กองละห้าร้อย ทำหน้าที่ลาดตระเวนทุกวัน แต่ละวันให้ผลัดกันใช้ธงสีเขียว ขาว เหลือง แดง ดำ สลับกันไป และให้แต่งตัวในแต่ละวันให้แตกต่างกันเพื่อลวงข้าศึกให้เห็นว่ามีทหารเพิ่มเติมเป็นจำนวนมาก ตัวเกียงอุยจะคุมทหารที่เหลือทั้งหมดยกไปตีเมืองลำอั๋น
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย เกียงอุยจึงกำชับเปาเชาว่าให้ท่านทำการตามอุบายนี้ ลวงเตงงายให้หลงตั้งรับอยู่ที่ตำบลเขากิสาน ท่านก็จะมีความชอบเป็นอันมาก เปาเชารับคำว่าท่านแม่ทัพอย่าได้วิตกเลย ข้าพเจ้าจะทำตามแผนการอุบายจงทุกประการ
ครั้นค่ำลงเกียงอุยจึงคุมทหารที่เหลือยกย้อนไปในซอกเขาแล้วออกทางแยกยกตรงไปเมืองลำอั๋น
ฝ่ายเตงงายครั้นได้รับทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่า กองทัพเมืองเสฉวนยกมาใกล้ปากทางออกตำบลเขากิสานแล้วตั้งค่ายมั่นอยู่ในซอกเขา จึงสั่งทหารให้เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับการโจมตี แต่หลังจากเวลาผ่านไปสองสามวันเหตุการณ์ยังเงียบสงบ ไม่มีทีท่าว่ากองทัพเมืองเสฉวนจะยกมาโจมตีก็หลากใจ จึงไต่สวนข้อมูลข่าวคราวความเคลื่อนไหวของข้าศึกจากหน่วยสอดแนมอย่างละเอียด
พอได้ทราบว่าในแต่ละวันทหารเมืองเสฉวนยังคงสงบนิ่งอยู่ในค่าย มีแต่หน่วย ลาดตระเวนออกมาลาดตระเวนวันละห้าเวลา แต่ละวันใช้ธงต่างสี แต่งตัวต่างแบบ เตงงายก็ยิ่งสงสัย รีบขี่ม้าพาทหารคนสนิทขึ้นไปบนเนินเขา มองลงมาเบื้องล่างเห็นข้างในค่ายของทหารเมืองเสฉวนเงียบสงบ และทหารซึ่งลาดตระเวนนั้นพอลาดตระเวนเสร็จแล้วก็พากันกลับเข้าไปในค่าย อีกครู่หนึ่งก็มีอีกกองหนึ่งออกมาทำหน้าที่ลาดตระเวนต่อ
เตงงายเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบกล่าวกับต้านท่ายว่าพวกเราหวุดหวิดจะหลงกลเกียงอุยแล้ว
ต้านท่ายได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจ จึงถามว่าไฉนท่านจึงว่าจะหลงกลเกียงอุยเล่า
เตงงายจึงว่า สภาพการที่เป็นอยู่นี้ข้าพเจ้าคะเนว่าขณะนี้ทหารเมืองเสฉวนที่อยู่ในซอกเขามีเพียงจำนวนน้อย จึงแสร้งลวงว่ามีจำนวนมาก แต่กลับถอนกำลังมากยกไปทำการอีกด้านหนึ่ง ข้าพเจ้าคาดหมายว่าเกียงอุยจะคุมกองทัพใหญ่ยกไปตีเมืองลำอั๋น และเมืองข้างเคียง ครั้นได้หัวเมืองทั้งปวงแล้วก็จะบีบล้อมชัยภูมิตำบลเขากิสานไว้อย่างแน่นหนา เหมือนกับเมื่อครั้งที่ขงเบ้งทำสงครามกับสุมาอี้และโจจิ๋น จนกระทั่ง โจจิ๋นและสุมาอี้ต้องถอยทัพกลับไปตั้งอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำอุยโห หากเกียงอุยทำการได้สำเร็จจะทำให้กองทัพเราไม่อาจตั้งอยู่ที่ตำบลเขากิสานได้ต่อไป จะต้องถอยกลับข้ามฟากแม่น้ำหรือไม่ก็ต้องถอยไปสู่เมืองเตียงอันหรือเมืองลกเอี๋ยงในที่สุด เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่าหวุดหวิดจะต้องกลของเกียงอุย
ต้านท่ายได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ รีบกล่าวว่าเมื่อเป็นดังนี้จะคิดอ่านประการใด
เตงงายจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดอ่านเอาชัยชนะเกียงอุยให้จงได้ และเมื่อทหารเมืองเสฉวนที่อยู่ในซอกเขาเหลืออยู่แต่เบาบาง จึงให้ท่านคุมทหารไปตีเอาค่ายทหารเมืองเสฉวนในซอกเขาให้จงได้ ตัดหนทางที่เกียงอุยจะรุดหน้าเข้ามาในแดนเราในวันหน้า จากนั้นจึงให้ยกทหารไปสกัดเส้นทางของเกียงอุยมิให้ถอยทัพกลับเมืองฮันต๋ง ตัวข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปช่วยเมืองลำอั๋นเอง
ต้านท่ายจึงถามว่าเมื่อข้าพเจ้ายกไปสกัดอยู่ที่ต้นทางถอยของเกียงอุยแล้วจะประสานการรบกับกองทัพของท่านประการใด
เตงงายจึงว่า เมื่อข้าพเจ้ายกกองทัพไปถึงเมืองลำอั๋น จะช่วงชิงเอาที่มั่นที่ภูเขาบูเสียงสันให้ได้ก่อนที่กองทัพเกียงอุยจะไปถึง และจะสกัดขัดขวางไม่ให้เกียงอุยตั้งค่ายที่บริเวณภูเขาบูเสียงสัน บีบบังคับเกียงอุยให้นำทหารล่าถอยเข้าไปในซอกเขา ข้าพเจ้าจะแต่งทหารเป็นสองกองไปซุ่มอยู่ในป่าสองข้างซอกเขาที่ตำบลตวนโกะ ครั้นเกียงอุยพาทหารถอยไปทางนั้นก็จะตีกระหนาบพร้อมกันเป็นสามทาง เห็นเกียงอุยจะพาทหารที่หนีตายถอยกลับเข้าเมืองฮันต๋ง และจะต้องผ่านต้นทางซึ่งท่านซุ่มกำลังอยู่ ให้ท่านคุมทหารเข้าตีอย่าให้ทันรู้ตัว เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง.