ตอนที่ 615. มูลเหตุสงครามห้าประการ
เกียงอุยได้ชัยชนะในการศึกยกแรกของสงครามครั้งที่สามกับวุยก๊ก แต่ครั้นจะรุดหน้าต่อไปกลับต้องกลอุบายซื้อลูกไม้เก่าของเตงงายที่ปรับใช้กลอุบายของขงเบ้งหลอกล่อจนกองทัพของเกียงอุยต้องล่าถอยกลับไปตั้งอยู่ที่ด่านเกียมโก๊ะแดนเมืองฮันต๋ง
เกียงอุยตั้งมั่นคอยท่าว่ากองทัพวุยก๊กจะยกไล่ตามมาเป็นเวลาหลายวัน เห็นเหตุการณ์ยังเงียบงันไม่มีวี่แววใด ๆ ของกองทัพวุยก๊กก็หลากใจ จึงให้ทหารไปสอดแนมตามเส้นทางในซอกเขาฮางเนีย
ครั้นหน่วยสอดแนมกลับมารายงานว่า แท้จริงแล้วตลอดเส้นทางในซอกเขาฮางเนียหาได้มีกองทัพวุยก๊กยกมาแต่ประการใดไม่ คงมีแต่กองหลอนกองละห้าสิบคนตั้งซุ่มอยู่บนยอดเขา พอกองทัพจ๊กก๊กล่าถอยมาถึงก็ช่วยกันจุดประทัดสัญญาณแล้วชูธงทิวให้ปลิวไสววิ่งวนไปมา แล้วพากันโห่ร้องข่มขวัญ ทหารจ๊กก๊กไม่รู้ทันจึงแตกตื่นวิ่งหนีเป็นทอด ๆ เท่านั้น
เกียงอุยได้ฟังความตลอดแล้วก็ทอดถอนใจใหญ่ รำพึงว่าเตงงายนี้มีสติปัญญาในการสงครามลึกซึ้งหลักแหลมนัก ถอดแบบของมหาอุปราชจูกัดเหลียงได้ดีกว่าตัวเราอีก
ครั้นเกียงอุยทราบความจากหน่วยสอดแนมเป็นอันแน่ใจแล้วว่ากองทัพวุยก๊กไม่ได้ยกติดตามมา จึงพาแม่ทัพนายกองเดินทางเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่เมืองเสฉวน กราบบังคมทูลถวายรายงานให้ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบรายงานของเกียงอุยแล้วจึงรับสั่งว่า ในการสงครามครั้งนี้ท่านมีความชอบได้ชัยชนะแก่ข้าศึก แม้จะถอยทัพก็มิได้เพลี่ยงพล้ำเสียทีแต่ประการใด จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เกียงอุยเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งแคว้น มีอำนาจบังคับบัญชาทหารทั่วทั้งแคว้นจ๊กก๊ก และให้ปูนบำเหน็จแก่แม่ทัพนายกองซึ่งมีความชอบเป็นอันมาก
เสร็จจากเฝ้าแล้วเกียงอุยจึงกราบถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนพาแม่ทัพนายกองกลับไปเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายอองเก๋งซึ่งรักษาเมืองเต๊กโตเสีย ครั้นทราบว่ากองทัพจ๊กก๊กได้เลิกทัพกลับไปแล้วก็มีความยินดี รีบพาทหารออกไปเชิญเตงงายและต้านท่ายเข้ามาในเมือง แล้วจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่
หลังงานเลี้ยงแล้วอองเก๋งได้แต่งฎีกาให้ทหารถือเข้าไปเมืองลกเอี๋ยง กราบบังคมทูลถวายรายงานให้พระเจ้าโจมอทราบความศึกทุกประการ และกราบบังคมทูลเสนอให้ ปูนบำเหน็จความชอบแก่เตงงาย
พระเจ้าโจมอทราบความแล้วทรงดีพระทัย มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าตั้งเตงงายเป็นขุนพลปราบตะวันตก และให้อยู่ช่วยราชการที่เมืองเองจิ๋วพร้อมกับต้านท่าย
หลังจากเตงงายรับพระบรมราชโองการและตราตั้งแล้ว ต้านท่ายได้มาแสดงความยินดีกับเตงงาย และจัดงานสันนิบาตสโมสรเพื่อฉลองตราตั้งให้กับเตงงาย
ในระหว่างงานเลี้ยงนั้นต้านท่ายได้กล่าวกับเตงงายว่า ซึ่งเกียงอุยนายทหารเมืองเสฉวนแพ้ความคิดท่านต้องเลิกทัพกลับไปเมืองฮันต๋งในครั้งนี้ เห็นทีจะขยาดคร้ามเกรงไม่กล้ายกกองทัพมารุกรานเมืองเราอีกนาน
เตงงายจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นต่างกับท่าน และเห็นว่าเกียงอุยกลับไปถึงเมืองฮันต๋งแล้วจะจัดแจงแต่งกองทัพยกมารบกับเราอีกในไม่ช้านี้ ต้านท่ายจึงถามว่าเหตุไฉนท่านจึงกล่าวความดังนี้
เตงงายจึงว่า ข้าพเจ้าคาดการณ์จากเหตุผลแห่งสงคราม แต่ใช่ว่าจะเป็นเหตุผลที่เลื่อนลอย หากมีเหตุผลที่หนักแน่นถึงห้าประการคือ
ประการหนึ่ง กองทัพเมืองเสฉวนเลิกทัพกลับไปในครั้งนี้มิได้เสียทหารแลรี้พลศาสตราวุธแม้แต่น้อย หากจำล่าถอยไปเพราะเกรงกลศึก ทั้งการศึกครั้งที่ผ่านมา เกียงอุยได้ชัยชนะแก่กองทัพวุยก๊ก ทำลายทหารและยึดศาสตราวุธตลอดจนเสบียงอาหารไว้ได้เป็นอันมาก การถอยทัพจึงไม่ใช่การพ่ายแพ้ กองทัพของเราแม้ดูเหมือนจะได้รับชัยชนะเพราะสามารถขับไล่กองทัพจ๊กก๊กจนยกกลับเข้าแดนเมืองฮันต๋งไปได้ แต่แท้จริงมีฐานะพ่ายแพ้เพราะสูญเสียเสบียงอาหาร ศาสตราวุธและรี้พลเป็นอันมาก โดยสรุปก็คือจ๊กก๊กดูเหมือนแพ้แต่ชนะ ฝ่ายเราดูเหมือนชนะแต่ปราชัย นี่เป็นเหตุผลข้อแรกที่จ๊กก๊กจะต้องยกมารุกรานเราอีก
ประการหนึ่ง ทหารจ๊กก๊กได้รับการอบรมฝึกฝนโดยตรงจากขงเบ้ง มีความชำนาญในเชิงยุทธ์และมีระเบียบวินัยในการศึก แม้ขงเบ้งจะสิ้นบุญไปนานแล้วแต่ทหารที่ขงเบ้งฝึกสอนไว้ยังคงรักษาระเบียบวินัยได้เป็นอย่างดี แต่ทหารข้างเรานั้นขาดการฝึกฝน มีการเปลี่ยนแปลงแม่ทัพนายกองอันเป็นผลจากปัญหาการเมืองภายในไม่หยุดหย่อน ข้าศึกแข็งเราอ่อน นี่เป็นเหตุที่ข้าศึกจะยกมาทำการเป็นข้อสอง
ประการหนึ่ง เส้นทางที่ฝ่ายจ๊กก๊กจะยกรุกเข้ามาแดนเมืองวุยก๊กมีทั้งเส้นทางน้ำ ทางบก สะดวกแก่ไพร่พลในการเดินทัพและในการลำเลียงเสบียงอาหาร แต่ฝ่ายกองทัพเราซึ่งจะยกมารับศึกจะต้องยกมาแต่โดยทางบกเท่านั้น เป็นทางทุรกันดารหนักหนา การขนส่งลำเลียงเสบียงอาหารก็ยากลำบาก สภาพที่ข้าศึกสะดวกดายแต่ฝ่ายเราลำบากขัดสน นี่เป็นเหตุที่ข้าศึกจะยกมาทำร้ายเป็นข้อสาม
ประการหนึ่ง เส้นทางซึ่งข้าศึกจะยกมานั้นมีหลากหลายเส้นทาง ไม่ว่าทางเมืองเต๊กโตเสีย ทางเมืองหลงเส ทางเมืองลำอั๋น หรือทางตำบลเขากิสาน แต่ละเส้นทางอยู่ห่างกันไกลและทุรกันดาร กองทัพเสฉวนคุ้นเคยกับเส้นทางเหล่านี้เพราะเคยยกมารุกรานวุยก๊กเมื่อครั้งขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ก็หลายหน มาครั้งเกียงอุยเล่าก็สามครั้งแล้ว ทหารเสฉวนชำนาญภูมิประเทศและเลือกเส้นทางได้ตามใจชอบ สามารถระดมกำลังให้เป็นเอกภาพได้โดยง่าย ฝ่ายเราเป็นฝ่ายรับ ไม่รู้ว่าข้าศึกจะยกมาตามเส้นทางไหน ต้องกระจายกำลังกันป้องกันรักษาเส้นทาง กำลังมากก็กลายเป็นกำลังน้อย สภาพที่ข้าศึกสามารถรวมศูนย์กำลังแต่เรากลับต้องกระจายกำลัง เป็นเหตุที่ข้าศึกจะยกมาทำอันตรายเป็นข้อสี่
ประการหนึ่ง กองทัพเสฉวนยกมาทำการครั้งใด ถึงจะใช้เสบียงอาหารจากเมือง เสฉวนบ้างก็บางส่วน ส่วนใหญ่ใช้เสบียงอาหารจากแดนเมืองเกี๋ยงบ้าง และใช้เสบียงอาหารจากแดนเมืองเราบ้าง ดังนั้นแม้จะทำศึกมากครั้งมากวันเมืองเสฉวนก็ไม่ได้อ่อนอิดโรยลง เพราะกินข้าวของเราไม่ได้กินข้าวตนเอง แต่เราสิกลับจะอ่อนแอด้วยสงคราม เพราะเกิดสงครามครั้งใดก็ต้องกินข้าวปลาเสบียงอาหารของตัวเอง และยังถูกข้าศึกเบียดเบียนแย่งเสบียงข้าวปลาอาหารไปกินอีก สภาพที่ข้าศึกยิ่งรบยิ่งแข็ง แต่เรายิ่งรบยิ่งอ่อน เป็นเหตุที่ข้าศึกจะยกมาทำอันตรายเป็นข้อที่ห้า
เตงงายได้สรุปว่าด้วยเหตุจูงใจห้าประการนี้ ข้าพเจ้าจึงคาดคะเนว่าเกียงอุยจะต้องเตรียมการยกกองทัพมาบุกแดนเมืองเราอีกเป็นมั่นคง
ต้านท่ายได้ฟังคำเตงงายพรรณนาความแสดงเหตุแลผลอย่างลึกซึ้งกว้างไกลก็ตกตะลึงพรึงเพริด เพราะสิ่งอันเป็นมูลเหตุสงครามทั้งห้าประการนี้เป็นสิ่งซึ่งต้านท่ายไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่กาลก่อน จึงกล่าวว่าสติปัญญาท่านในการสงครามเหลือที่จะหยั่งคาด ดังนั้นแม้หากเกียงอุยจะยกกองทัพมาก็หาได้มีสิ่งใดต้องเกรงกลัวอีกแล้ว
เตงงายได้ฟังคำต้านท่ายชื่นชมสรรเสริญด้วยความสุจริตก็มีความยินดี คำนับขอบคุณต้านท่ายแล้วว่าท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ไยจะต้องมายกย่องข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้น้อยถึงเพียงนี้
ต้านท่ายจึงว่า คุณค่าของคนมิได้อยู่ที่อายุว่ามากแลน้อย เพราะอายุมากแต่แก่แบบพระพร้าวเฒ่าแบบมะละกอก็มีอยู่ถมไป อายุน้อยแต่ยิ่งใหญ่ด้วยภูมิปัญญาดุจดังเทพยดาเหมือนหนึ่งท่านนี้ก็มีอยู่ ตัวข้าพเจ้านับถือผู้คนที่สติปัญญา หาได้นับถือผู้คนเพราะเหตุมีอายุมากหรือมียศศักดิ์อัครฐานมากไม่ เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงนับถือศรัทธาท่านด้วยความจริงใจ หากท่านไม่รังเกียจแล้ว ข้าพเจ้าขอกระทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องกับท่าน
เตงงายได้ฟังคำต้านท่ายดังนั้นก็ซาบซึ้งใจ กระทำคำนับต้านท่ายแล้วกล่าวว่า ตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อย สิกลับได้รับการยกย่องจากท่านดังนี้ พระคุณมีแก่ข้าพเจ้ายิ่งนัก ข้าพเจ้าไหนเลยจะกล้าบังอาจรังเกียจเดียดฉันท์ที่จะเป็นผู้น้องของท่านเล่า
ต้านท่ายได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี สั่งทหารให้แต่งการพิธีบูชาเทพยดาแล้วกรีดโลหิตผสมกับสุรากระทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องกับเตงงายแต่นั้นมา
หลังจากวันนั้นแล้วต้านท่ายและเตงงายได้เร่งทหารให้ฝึกปรือยุทธวิธีค่ายกลพยุหะและการรบไว้ให้ชำนาญ เตรียมการที่จะต่อกรรับมือกับเกียงอุยตามที่เตงงายได้คาดหมายคะเนไว้ และให้จัดหน่วยทหารไปรักษาด่านและซอกเขาที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ทุกตำบล
ฝ่ายเกียงอุยครั้นกลับจากเมืองเสฉวนมาถึงเมืองฮันต๋งแล้วคิดถึงการศึกที่ได้ชัยชนะกองทัพวุยก๊กแล้วต้องยกทัพกลับเพราะต้องกลลวงครั้งใด ก็ให้โกรธแค้นเตงงายเป็นอันมาก คิดจะทำการแก้มือเพื่อตีเอาเมืองลกเอี๋ยง สืบสานปณิธานของขงเบ้งให้จงได้
วันหนึ่งเกียงอุยได้แต่งโต๊ะเลี้ยงแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วปรารภว่าจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กอีกครั้งหนึ่ง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
ฝ่ายฮวนเกี้ยนซึ่งเป็นโหรประจำเมืองฮันต๋ง เมื่อได้ฟังคำปรารภของเกียงอุยดังนั้นจึงกล่าวว่าเมื่อครั้งก่อนท่านยกกองทัพไปรบกับทหารวุย ได้สังหารทหารของวุยก๊กเสียเป็นอันมาก กิตติศัพท์เลื่องลือไปทั้งแผ่นดิน เป็นเกียรติยศแก่ท่านและเมืองเสฉวนเราอยู่แล้ว เห็นข้าศึกจะขยาดคร้ามเกรงประหนึ่งหนูกลัวแมว เมื่อเป็นดังนี้จึงชอบที่จะรักษาเมืองบำรุงอาณาประชาราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุขจะดีกว่า
ฮวนเกี้ยนกล่าวต่อไปว่า บัดนี้ดาวประจำเมืองวุยก๊กยังรุ่งเรืองสดใส ถึงอย่างไรก็ไม่อาจหักเอาเมืองลกเอี๋ยงได้ สวรรค์ลิขิตดังนี้มนุษย์ย่อมต้องคล้อยตาม หากมาตรแม้นท่านฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ยกไปทำการแล้วก็อาจปราชัยแก่ข้าศึก ทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศของพระเจ้าเล่าเสี้ยน ย่อมไม่บังควร
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นจึงแย้งว่า ท่านเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น คิดถึงแต่ความสุขส่วนตัว มิได้คิดถึงบุญคุณของพระมหากษัตริย์ ตัวเราให้คำมั่นสัญญาไว้กับมหาอุปราชจูกัดเหลียงที่จะสืบสานอุดมการณ์ของพระเจ้าเล่าปี่ รวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งให้สำเร็จจงได้ จึงคิดอ่านจะทำการตามปณิธานนั้นให้สำเร็จ
เกียงอุยเห็นแม่ทัพนายกองทั้งปวงนั่งฟังด้วยความตั้งใจ จึงกล่าวสืบไปว่าสถานการณ์บัดนี้มีเหตุผลถึงห้าประการที่จะยกไปทำการกับวุยก๊ก
ประการหนึ่ง เราได้ชัยชนะที่แม่น้ำเจ้าซุยอย่างยิ่งใหญ่ ข้าศึกสูญเสียทหารเป็นอันมาก ข้าศึกอ่อนเราแข็ง เป็นสถานการณ์ที่ควรยกไปทำการ นี่เป็นข้อหนึ่ง
ประการหนึ่ง กองทัพเราเคลื่อนทัพลำเลียงผู้คนได้ทั้งทางบกและทางเรือสะดวกยิ่งนัก แต่ข้าศึกยกมาตั้งรับได้โดยทางบกทางเดียว เป็นทางทุรกันดารขัดสน เราสะดวกข้าศึกยากลำบาก เป็นเหตุอันควรยกไปทำการเป็นข้อที่สอง
ประการหนึ่ง ทหารเราได้ฝึกซ้อมเป็นอย่างดีมาช้านาน มีเสถียรภาพมั่นคงในการบังคับบัญชา แต่ข้าศึกใช้กำลังทหารผสมจากหลายเมือง ผู้บังคับบัญชาก็หลากหน้าหลายตา เราเป็นเอกภาพ ข้าศึกไม่เป็นเอกภาพ เป็นเหตุที่ควรยกไปทำการเป็นข้อสาม
ประการหนึ่ง กองทัพเรายกออกทางเขากิสานก็ยึดชัยภูมิที่ได้เปรียบ สามารถชิงเอาเสบียงอาหารในแดนข้าศึกมาบำรุงกองทัพได้อย่างเต็มที่ แต่ข้าศึกจะต้องลำเลียงเสบียงอาหารมาจากเส้นทางไกล และทุรกันดาร ทหารของเราอิ่มหนำสำราญแต่ข้าศึกอดอยาก นี่เป็นเหตุอันควรยกไปทำการเป็นข้อที่สี่
ประการหนึ่ง กองทัพเรากำหนดเส้นทางรุกทางใดแล้วก็รวมศูนย์กำลังรุกไปในเส้นทางนั้น สามารถปฏิบัติการและใช้กำลังทหารได้อย่างเต็มที่ ข้าศึกไม่รู้ว่าเราจะรุกไปทางไหนต้องกระจายกำลังป้องกันเส้นทางและยากที่จะช่วยเหลือกันได้ เรารวมศูนย์ ข้าศึกกระจายศูนย์ นี่เป็นเหตุที่จะได้ชัยชนะเป็นข้อที่ห้า
ด้วยเหตุห้าประการนี้จึงชอบที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊ก หากไม่ยกไปในสถานการณ์ฉะนี้แล้วจะต้องรอคอยถึงเมื่อใดเล่า.
เกียงอุยตั้งมั่นคอยท่าว่ากองทัพวุยก๊กจะยกไล่ตามมาเป็นเวลาหลายวัน เห็นเหตุการณ์ยังเงียบงันไม่มีวี่แววใด ๆ ของกองทัพวุยก๊กก็หลากใจ จึงให้ทหารไปสอดแนมตามเส้นทางในซอกเขาฮางเนีย
ครั้นหน่วยสอดแนมกลับมารายงานว่า แท้จริงแล้วตลอดเส้นทางในซอกเขาฮางเนียหาได้มีกองทัพวุยก๊กยกมาแต่ประการใดไม่ คงมีแต่กองหลอนกองละห้าสิบคนตั้งซุ่มอยู่บนยอดเขา พอกองทัพจ๊กก๊กล่าถอยมาถึงก็ช่วยกันจุดประทัดสัญญาณแล้วชูธงทิวให้ปลิวไสววิ่งวนไปมา แล้วพากันโห่ร้องข่มขวัญ ทหารจ๊กก๊กไม่รู้ทันจึงแตกตื่นวิ่งหนีเป็นทอด ๆ เท่านั้น
เกียงอุยได้ฟังความตลอดแล้วก็ทอดถอนใจใหญ่ รำพึงว่าเตงงายนี้มีสติปัญญาในการสงครามลึกซึ้งหลักแหลมนัก ถอดแบบของมหาอุปราชจูกัดเหลียงได้ดีกว่าตัวเราอีก
ครั้นเกียงอุยทราบความจากหน่วยสอดแนมเป็นอันแน่ใจแล้วว่ากองทัพวุยก๊กไม่ได้ยกติดตามมา จึงพาแม่ทัพนายกองเดินทางเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่เมืองเสฉวน กราบบังคมทูลถวายรายงานให้ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบรายงานของเกียงอุยแล้วจึงรับสั่งว่า ในการสงครามครั้งนี้ท่านมีความชอบได้ชัยชนะแก่ข้าศึก แม้จะถอยทัพก็มิได้เพลี่ยงพล้ำเสียทีแต่ประการใด จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เกียงอุยเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งแคว้น มีอำนาจบังคับบัญชาทหารทั่วทั้งแคว้นจ๊กก๊ก และให้ปูนบำเหน็จแก่แม่ทัพนายกองซึ่งมีความชอบเป็นอันมาก
เสร็จจากเฝ้าแล้วเกียงอุยจึงกราบถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนพาแม่ทัพนายกองกลับไปเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายอองเก๋งซึ่งรักษาเมืองเต๊กโตเสีย ครั้นทราบว่ากองทัพจ๊กก๊กได้เลิกทัพกลับไปแล้วก็มีความยินดี รีบพาทหารออกไปเชิญเตงงายและต้านท่ายเข้ามาในเมือง แล้วจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่
หลังงานเลี้ยงแล้วอองเก๋งได้แต่งฎีกาให้ทหารถือเข้าไปเมืองลกเอี๋ยง กราบบังคมทูลถวายรายงานให้พระเจ้าโจมอทราบความศึกทุกประการ และกราบบังคมทูลเสนอให้ ปูนบำเหน็จความชอบแก่เตงงาย
พระเจ้าโจมอทราบความแล้วทรงดีพระทัย มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าตั้งเตงงายเป็นขุนพลปราบตะวันตก และให้อยู่ช่วยราชการที่เมืองเองจิ๋วพร้อมกับต้านท่าย
หลังจากเตงงายรับพระบรมราชโองการและตราตั้งแล้ว ต้านท่ายได้มาแสดงความยินดีกับเตงงาย และจัดงานสันนิบาตสโมสรเพื่อฉลองตราตั้งให้กับเตงงาย
ในระหว่างงานเลี้ยงนั้นต้านท่ายได้กล่าวกับเตงงายว่า ซึ่งเกียงอุยนายทหารเมืองเสฉวนแพ้ความคิดท่านต้องเลิกทัพกลับไปเมืองฮันต๋งในครั้งนี้ เห็นทีจะขยาดคร้ามเกรงไม่กล้ายกกองทัพมารุกรานเมืองเราอีกนาน
เตงงายจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นต่างกับท่าน และเห็นว่าเกียงอุยกลับไปถึงเมืองฮันต๋งแล้วจะจัดแจงแต่งกองทัพยกมารบกับเราอีกในไม่ช้านี้ ต้านท่ายจึงถามว่าเหตุไฉนท่านจึงกล่าวความดังนี้
เตงงายจึงว่า ข้าพเจ้าคาดการณ์จากเหตุผลแห่งสงคราม แต่ใช่ว่าจะเป็นเหตุผลที่เลื่อนลอย หากมีเหตุผลที่หนักแน่นถึงห้าประการคือ
ประการหนึ่ง กองทัพเมืองเสฉวนเลิกทัพกลับไปในครั้งนี้มิได้เสียทหารแลรี้พลศาสตราวุธแม้แต่น้อย หากจำล่าถอยไปเพราะเกรงกลศึก ทั้งการศึกครั้งที่ผ่านมา เกียงอุยได้ชัยชนะแก่กองทัพวุยก๊ก ทำลายทหารและยึดศาสตราวุธตลอดจนเสบียงอาหารไว้ได้เป็นอันมาก การถอยทัพจึงไม่ใช่การพ่ายแพ้ กองทัพของเราแม้ดูเหมือนจะได้รับชัยชนะเพราะสามารถขับไล่กองทัพจ๊กก๊กจนยกกลับเข้าแดนเมืองฮันต๋งไปได้ แต่แท้จริงมีฐานะพ่ายแพ้เพราะสูญเสียเสบียงอาหาร ศาสตราวุธและรี้พลเป็นอันมาก โดยสรุปก็คือจ๊กก๊กดูเหมือนแพ้แต่ชนะ ฝ่ายเราดูเหมือนชนะแต่ปราชัย นี่เป็นเหตุผลข้อแรกที่จ๊กก๊กจะต้องยกมารุกรานเราอีก
ประการหนึ่ง ทหารจ๊กก๊กได้รับการอบรมฝึกฝนโดยตรงจากขงเบ้ง มีความชำนาญในเชิงยุทธ์และมีระเบียบวินัยในการศึก แม้ขงเบ้งจะสิ้นบุญไปนานแล้วแต่ทหารที่ขงเบ้งฝึกสอนไว้ยังคงรักษาระเบียบวินัยได้เป็นอย่างดี แต่ทหารข้างเรานั้นขาดการฝึกฝน มีการเปลี่ยนแปลงแม่ทัพนายกองอันเป็นผลจากปัญหาการเมืองภายในไม่หยุดหย่อน ข้าศึกแข็งเราอ่อน นี่เป็นเหตุที่ข้าศึกจะยกมาทำการเป็นข้อสอง
ประการหนึ่ง เส้นทางที่ฝ่ายจ๊กก๊กจะยกรุกเข้ามาแดนเมืองวุยก๊กมีทั้งเส้นทางน้ำ ทางบก สะดวกแก่ไพร่พลในการเดินทัพและในการลำเลียงเสบียงอาหาร แต่ฝ่ายกองทัพเราซึ่งจะยกมารับศึกจะต้องยกมาแต่โดยทางบกเท่านั้น เป็นทางทุรกันดารหนักหนา การขนส่งลำเลียงเสบียงอาหารก็ยากลำบาก สภาพที่ข้าศึกสะดวกดายแต่ฝ่ายเราลำบากขัดสน นี่เป็นเหตุที่ข้าศึกจะยกมาทำร้ายเป็นข้อสาม
ประการหนึ่ง เส้นทางซึ่งข้าศึกจะยกมานั้นมีหลากหลายเส้นทาง ไม่ว่าทางเมืองเต๊กโตเสีย ทางเมืองหลงเส ทางเมืองลำอั๋น หรือทางตำบลเขากิสาน แต่ละเส้นทางอยู่ห่างกันไกลและทุรกันดาร กองทัพเสฉวนคุ้นเคยกับเส้นทางเหล่านี้เพราะเคยยกมารุกรานวุยก๊กเมื่อครั้งขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ก็หลายหน มาครั้งเกียงอุยเล่าก็สามครั้งแล้ว ทหารเสฉวนชำนาญภูมิประเทศและเลือกเส้นทางได้ตามใจชอบ สามารถระดมกำลังให้เป็นเอกภาพได้โดยง่าย ฝ่ายเราเป็นฝ่ายรับ ไม่รู้ว่าข้าศึกจะยกมาตามเส้นทางไหน ต้องกระจายกำลังกันป้องกันรักษาเส้นทาง กำลังมากก็กลายเป็นกำลังน้อย สภาพที่ข้าศึกสามารถรวมศูนย์กำลังแต่เรากลับต้องกระจายกำลัง เป็นเหตุที่ข้าศึกจะยกมาทำอันตรายเป็นข้อสี่
ประการหนึ่ง กองทัพเสฉวนยกมาทำการครั้งใด ถึงจะใช้เสบียงอาหารจากเมือง เสฉวนบ้างก็บางส่วน ส่วนใหญ่ใช้เสบียงอาหารจากแดนเมืองเกี๋ยงบ้าง และใช้เสบียงอาหารจากแดนเมืองเราบ้าง ดังนั้นแม้จะทำศึกมากครั้งมากวันเมืองเสฉวนก็ไม่ได้อ่อนอิดโรยลง เพราะกินข้าวของเราไม่ได้กินข้าวตนเอง แต่เราสิกลับจะอ่อนแอด้วยสงคราม เพราะเกิดสงครามครั้งใดก็ต้องกินข้าวปลาเสบียงอาหารของตัวเอง และยังถูกข้าศึกเบียดเบียนแย่งเสบียงข้าวปลาอาหารไปกินอีก สภาพที่ข้าศึกยิ่งรบยิ่งแข็ง แต่เรายิ่งรบยิ่งอ่อน เป็นเหตุที่ข้าศึกจะยกมาทำอันตรายเป็นข้อที่ห้า
เตงงายได้สรุปว่าด้วยเหตุจูงใจห้าประการนี้ ข้าพเจ้าจึงคาดคะเนว่าเกียงอุยจะต้องเตรียมการยกกองทัพมาบุกแดนเมืองเราอีกเป็นมั่นคง
ต้านท่ายได้ฟังคำเตงงายพรรณนาความแสดงเหตุแลผลอย่างลึกซึ้งกว้างไกลก็ตกตะลึงพรึงเพริด เพราะสิ่งอันเป็นมูลเหตุสงครามทั้งห้าประการนี้เป็นสิ่งซึ่งต้านท่ายไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่กาลก่อน จึงกล่าวว่าสติปัญญาท่านในการสงครามเหลือที่จะหยั่งคาด ดังนั้นแม้หากเกียงอุยจะยกกองทัพมาก็หาได้มีสิ่งใดต้องเกรงกลัวอีกแล้ว
เตงงายได้ฟังคำต้านท่ายชื่นชมสรรเสริญด้วยความสุจริตก็มีความยินดี คำนับขอบคุณต้านท่ายแล้วว่าท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ไยจะต้องมายกย่องข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้น้อยถึงเพียงนี้
ต้านท่ายจึงว่า คุณค่าของคนมิได้อยู่ที่อายุว่ามากแลน้อย เพราะอายุมากแต่แก่แบบพระพร้าวเฒ่าแบบมะละกอก็มีอยู่ถมไป อายุน้อยแต่ยิ่งใหญ่ด้วยภูมิปัญญาดุจดังเทพยดาเหมือนหนึ่งท่านนี้ก็มีอยู่ ตัวข้าพเจ้านับถือผู้คนที่สติปัญญา หาได้นับถือผู้คนเพราะเหตุมีอายุมากหรือมียศศักดิ์อัครฐานมากไม่ เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงนับถือศรัทธาท่านด้วยความจริงใจ หากท่านไม่รังเกียจแล้ว ข้าพเจ้าขอกระทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องกับท่าน
เตงงายได้ฟังคำต้านท่ายดังนั้นก็ซาบซึ้งใจ กระทำคำนับต้านท่ายแล้วกล่าวว่า ตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อย สิกลับได้รับการยกย่องจากท่านดังนี้ พระคุณมีแก่ข้าพเจ้ายิ่งนัก ข้าพเจ้าไหนเลยจะกล้าบังอาจรังเกียจเดียดฉันท์ที่จะเป็นผู้น้องของท่านเล่า
ต้านท่ายได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี สั่งทหารให้แต่งการพิธีบูชาเทพยดาแล้วกรีดโลหิตผสมกับสุรากระทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องกับเตงงายแต่นั้นมา
หลังจากวันนั้นแล้วต้านท่ายและเตงงายได้เร่งทหารให้ฝึกปรือยุทธวิธีค่ายกลพยุหะและการรบไว้ให้ชำนาญ เตรียมการที่จะต่อกรรับมือกับเกียงอุยตามที่เตงงายได้คาดหมายคะเนไว้ และให้จัดหน่วยทหารไปรักษาด่านและซอกเขาที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ทุกตำบล
ฝ่ายเกียงอุยครั้นกลับจากเมืองเสฉวนมาถึงเมืองฮันต๋งแล้วคิดถึงการศึกที่ได้ชัยชนะกองทัพวุยก๊กแล้วต้องยกทัพกลับเพราะต้องกลลวงครั้งใด ก็ให้โกรธแค้นเตงงายเป็นอันมาก คิดจะทำการแก้มือเพื่อตีเอาเมืองลกเอี๋ยง สืบสานปณิธานของขงเบ้งให้จงได้
วันหนึ่งเกียงอุยได้แต่งโต๊ะเลี้ยงแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วปรารภว่าจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กอีกครั้งหนึ่ง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
ฝ่ายฮวนเกี้ยนซึ่งเป็นโหรประจำเมืองฮันต๋ง เมื่อได้ฟังคำปรารภของเกียงอุยดังนั้นจึงกล่าวว่าเมื่อครั้งก่อนท่านยกกองทัพไปรบกับทหารวุย ได้สังหารทหารของวุยก๊กเสียเป็นอันมาก กิตติศัพท์เลื่องลือไปทั้งแผ่นดิน เป็นเกียรติยศแก่ท่านและเมืองเสฉวนเราอยู่แล้ว เห็นข้าศึกจะขยาดคร้ามเกรงประหนึ่งหนูกลัวแมว เมื่อเป็นดังนี้จึงชอบที่จะรักษาเมืองบำรุงอาณาประชาราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุขจะดีกว่า
ฮวนเกี้ยนกล่าวต่อไปว่า บัดนี้ดาวประจำเมืองวุยก๊กยังรุ่งเรืองสดใส ถึงอย่างไรก็ไม่อาจหักเอาเมืองลกเอี๋ยงได้ สวรรค์ลิขิตดังนี้มนุษย์ย่อมต้องคล้อยตาม หากมาตรแม้นท่านฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ยกไปทำการแล้วก็อาจปราชัยแก่ข้าศึก ทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศของพระเจ้าเล่าเสี้ยน ย่อมไม่บังควร
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นจึงแย้งว่า ท่านเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น คิดถึงแต่ความสุขส่วนตัว มิได้คิดถึงบุญคุณของพระมหากษัตริย์ ตัวเราให้คำมั่นสัญญาไว้กับมหาอุปราชจูกัดเหลียงที่จะสืบสานอุดมการณ์ของพระเจ้าเล่าปี่ รวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งให้สำเร็จจงได้ จึงคิดอ่านจะทำการตามปณิธานนั้นให้สำเร็จ
เกียงอุยเห็นแม่ทัพนายกองทั้งปวงนั่งฟังด้วยความตั้งใจ จึงกล่าวสืบไปว่าสถานการณ์บัดนี้มีเหตุผลถึงห้าประการที่จะยกไปทำการกับวุยก๊ก
ประการหนึ่ง เราได้ชัยชนะที่แม่น้ำเจ้าซุยอย่างยิ่งใหญ่ ข้าศึกสูญเสียทหารเป็นอันมาก ข้าศึกอ่อนเราแข็ง เป็นสถานการณ์ที่ควรยกไปทำการ นี่เป็นข้อหนึ่ง
ประการหนึ่ง กองทัพเราเคลื่อนทัพลำเลียงผู้คนได้ทั้งทางบกและทางเรือสะดวกยิ่งนัก แต่ข้าศึกยกมาตั้งรับได้โดยทางบกทางเดียว เป็นทางทุรกันดารขัดสน เราสะดวกข้าศึกยากลำบาก เป็นเหตุอันควรยกไปทำการเป็นข้อที่สอง
ประการหนึ่ง ทหารเราได้ฝึกซ้อมเป็นอย่างดีมาช้านาน มีเสถียรภาพมั่นคงในการบังคับบัญชา แต่ข้าศึกใช้กำลังทหารผสมจากหลายเมือง ผู้บังคับบัญชาก็หลากหน้าหลายตา เราเป็นเอกภาพ ข้าศึกไม่เป็นเอกภาพ เป็นเหตุที่ควรยกไปทำการเป็นข้อสาม
ประการหนึ่ง กองทัพเรายกออกทางเขากิสานก็ยึดชัยภูมิที่ได้เปรียบ สามารถชิงเอาเสบียงอาหารในแดนข้าศึกมาบำรุงกองทัพได้อย่างเต็มที่ แต่ข้าศึกจะต้องลำเลียงเสบียงอาหารมาจากเส้นทางไกล และทุรกันดาร ทหารของเราอิ่มหนำสำราญแต่ข้าศึกอดอยาก นี่เป็นเหตุอันควรยกไปทำการเป็นข้อที่สี่
ประการหนึ่ง กองทัพเรากำหนดเส้นทางรุกทางใดแล้วก็รวมศูนย์กำลังรุกไปในเส้นทางนั้น สามารถปฏิบัติการและใช้กำลังทหารได้อย่างเต็มที่ ข้าศึกไม่รู้ว่าเราจะรุกไปทางไหนต้องกระจายกำลังป้องกันเส้นทางและยากที่จะช่วยเหลือกันได้ เรารวมศูนย์ ข้าศึกกระจายศูนย์ นี่เป็นเหตุที่จะได้ชัยชนะเป็นข้อที่ห้า
ด้วยเหตุห้าประการนี้จึงชอบที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊ก หากไม่ยกไปในสถานการณ์ฉะนี้แล้วจะต้องรอคอยถึงเมื่อใดเล่า.