ตอนที่ 612. เค้าวิบัติเหนือราชสำนักวุย
กองทัพพันธมิตรของบู๊ขิวเขียมประศึกยกแรกกับกองทัพวุยก๊กก็ตกเป็นฝ่ายปราชัย บุนเอ๋งแม้มีฝีมือแต่กำลังทหารน้อยตัวจึงถูกตีจนแตกพ่าย ในขณะที่บุนขิมผู้พ่อพลาดท่าหลงทางยกไปสมทบไม่ทันตามนัด จึงพลัดกับบุนเอ๋งแล้วเข้าสวามิภักดิ์กับเมืองกังตั๋ง คงเหลือแต่บู๊ขิวเขียมตัดสินใจสู้ตายกับเตงงายอัจฉริยะสงครามรุ่นใหม่ของวุยก๊ก
พอกองทัพทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน บู๊ขิวเขียมจึงให้กันหยงออกไปท้ารบกับเตงงาย แต่พอรบกันได้ไม่ถึงเพลงเตงงายก็เอาง้าวฟันถูกกันหยงตกม้าตาย ทหารของเตงงายเห็นตัวนายได้ทีจึงรุกจู่โจมเข้าตีทหารของบู๊ขิวเขียม
ฝ่ายอ้าวจุ๋นและอองกี๋ซึ่งสุมาสูใช้ให้ยกมาตีเมืองฮางเสีย เห็นกองทัพวุยก๊กได้ทีจึงยกกระหนาบตีกองทัพบู๊ขิวเขียมเข้ามาพร้อมกันเป็นสามทาง ทหารของบู๊ขิวเขียมถูกตีกระหนาบจึงพากันแตกตื่นตกใจเรรวน และถูกทหารวุยก๊กฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
บู๊ขิวเขียมเห็นกำลังศึกเกินที่จะต้านทาน จึงพาทหารคนสนิทเพียงสิบกว่าคนตีฝ่าหนีออกจากวงล้อมกระหนาบมุ่งหน้าไปทางเมืองซิมก๋วน หวังจะขออาศัยซองเป๊กผู้เป็นเจ้าเมืองซึ่งมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันมาแต่ก่อน
ฝ่ายซองเป๊กซึ่งเป็นเจ้าเมืองซิมก๋วน แม้จะมีความสนิทสนมกับบู๊ขิวเขียมประหนึ่งเป็นเพื่อนรักร่วมน้ำสาบาน แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ผันแปรก็คะเนว่าศึกครั้งนี้เห็นทีบู๊ขิวเขียมจะปราชัยเป็นแน่แท้ จึงคิดว่าหากจะรับบู๊ขิวเขียมเข้าเมืองแล้วร่วมรบกับกองทัพวุยภัยก็จะมาถึงตัว แต่ถ้าหากไม่รับก็เกรงบู๊ขิวเขียมจะด่าว่าให้ได้อายแก่คนทั้งปวง ดังนั้นจึงจำรับบู๊ขิวเขียมเข้ามาในเมืองก่อน แล้วค่อยคิดอ่านสังหารบู๊ขิวเขียมทำความชอบไว้กับสุมาสูต่อไป
ซองเป๊กครุ่นคิดทบทวนต่อไปว่า ซึ่งจะหักหลังบู๊ขิวเขียมนั้นโลกจะตำหนิติเตียนได้ว่าเป็นเพื่อนหักหลังเพื่อน แต่ถ้าจะเข้าด้วยบู๊ขิวเขียมโลกจะนินทาว่าเป็นข้าทรยศเจ้า ดังนั้นจึงตัดสินใจจับบู๊ขิวเขียมฆ่าเสีย ยอมถูกตำหนิติเตียนว่าเป็นคนหักหลังเพื่อน แต่จะได้ความชอบว่าเป็นข้าภักดีต่อเจ้า ซึ่งมีคุณค่ามากกว่ากันหนักหนา
ซองเป๊กตกลงใจดังนั้นแล้วจึงแสร้งทำทีออกไปต้อนรับบู๊ขิวเขียมที่หน้าประตูเมือง พอบู๊ขิวเขียมพาทหารคนสนิทมาถึงก็เข้าไปคำนับทักทายตามประเพณี แล้วกล่าวว่าซึ่งท่านเสียทีแก่ศัตรูราชสมบัตินั้นอย่าได้วิตกเลย จงเข้ามาตั้งหลักปักฐานอยู่ในเมืองซิมก๋วนนี้ให้เป็นที่สบายใจก่อน แม้ข้าศึกยกมาก็จะทำการรบพุ่งต้านทานไว้มิให้ท่านเป็นอันตราย
บู๊ขิวเขียมสำคัญว่าเพื่อนกินเป็นเพื่อนตาย พอได้ยินคำเพื่อนระรื่นหูจึงตกปากรับคำโดยมิได้ระแวงสงสัยว่าจะเป็นแผนอุบายหมายเอาความชอบจากการหักหลังเพื่อน พอเข้าไปในเมืองแล้วซองเป๊กจึงจัดงานเลี้ยงต้อนรับบู๊ขิวเขียมอย่างยิ่งใหญ่ ในระหว่างงานเลี้ยงทั้งซองเป๊กและผู้ใต้บังคับบัญชาได้พากันไปชนจอกดื่มสุรากับบู๊ขิวเขียมิได้หยุดมิได้หย่อน
บู๊ขิวเขียมหลงเชื่อว่าเพื่อนห่วงใยเป็นทุกข์ร้อนในทุกข์ของตนก็ลืมตัว หลงดื่มสุราตามคำชวน พอเวลาชั่วยามเศษผ่านไปบู๊ขิวเขียมก็เมามายไม่ได้สติ ซองเป๊กจึงสั่งทหารให้จับกุมตัวบู๊ขิวเขียมและทหารคนสนิทตัดศีรษะเสียทั้งสิ้น
วันรุ่งขึ้นซองเป๊กจึงพาศีรษะของบู๊ขิวเขียมและทหารคนสนิทออกจากเมืองซิม ก๋วนพาไปมอบให้แก่สุมาสูที่ค่ายพัก สุมาสูทราบความดังนั้นก็มีความยินดี ปูนบำเหน็จให้แก่ซองเป๊กเป็นอันมาก
สุมาสูข่มความปวดจัดแจงบ้านเมืองทั้งปวงจนเป็นปกติแล้ว จึงตั้งให้จูกัดเอี๋ยนเป็นขุนพลปราบทักษิณ ว่าราชการเมืองเองจิ๋ว เมืองห้วยหลำและหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งปวง เสร็จแล้วจึงสั่งให้เลิกทัพจะกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
แต่พอเคลื่อนทัพได้ไม่ทันนาน สุมาสูให้รู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลผ่าตัดบริเวณนัยน์ตาเป็นอันมาก ทหารองครักษ์เกรงว่าหากเดินทางไปเมืองลกเอี๋ยงจะเนิ่นช้าสุมาสูอาจทนความเจ็บไม่ได้ และเห็นว่าเมืองฮูโต๋อยู่ใกล้กว่า จึงให้เคลื่อนทัพไปที่เมืองฮูโต๋
พอสุมาสูไปถึงเมืองฮูโต๋ได้สั่งการให้ระดมแพทย์มีชื่อเสียงทั่วทั้งเมืองมารักษาพยาบาลแต่อาการก็ไม่ทุเลาลง สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “สุมาสูป่วยจักษุหนัก ให้เจ็บปวดเป็นกำลัง เวลากลางคืนนอนไม่หลับ”
ในคืนวันรุ่งขึ้นสุมาสูซึ่งกินไม่ได้และนอนไม่หลับมาตลอดทั้งคืนก่อนให้รู้สึกอ่อนเพลีย แต่พอลืมตัวม่อยหลับไปก็รู้สึกตัวว่ามีสายลมเย็นยะเยือกหนาวสะท้านพัดมาต้องกาย ในภวังค์นั้นสุมาสูลืมตามองไปเบื้องหน้า เห็นลิฮอง เตียวอิบ แฮเฮาเหียน และพระมเหสีของพระเจ้าโจฮองเลือดโทรมทั่วทั้งตัวยืนร้องไห้ระงมอยู่ที่ปลายเท้า ต่างคนต่างทวงชีวิตว่าพวกเราเป็นผู้ภักดีต่อเจ้า แต่ถูกท่านประหารชีวิตอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต พวกเรารอคอยท่านนานเนิ่นแล้ว บัดนี้กรรมของท่านมาถึง พวกเราจึงมาทวงเอาชีวิตท่านบ้าง
สุมาสูได้ยินดังนั้นก็ตกใจ วิ่งหนีจะให้พ้นไปจากการรุมทวงเอาชีวิต ในพลันนั้นได้พลัดตกจากเตียงที่นอน รู้สึกตัวตื่นขึ้นแล้วยังหวาดกลัวเป็นกำลัง สุมาสูใคร่ครวญดูเหตุการณ์รู้ว่าซึ่งฝันทั้งนี้เป็นฝันร้าย เห็นความตายจะมาถึงตัวในไม่กี่วันนี้แล้ว
สุมาสูคิดดังนั้นก็เสียใจร้องไห้ พลางเอ่ยถามทหารซึ่งเฝ้าเวรยามว่าขณะนี้เป็นเวลากี่โมงยาม ทหารนั้นรายงานว่าเป็นเวลาใกล้สองยามแล้ว สุมาสูได้ยินดังนั้นเกรงว่าหากเนิ่นช้าต่อไปอาจจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงสั่งทหารให้รีบเดินทางไปเมืองลกเอี๋ยงแจ้งให้สุมาเจียวผู้น้องรีบมาหาในทันที
ฝ่ายสุมาเจียวรักษาราชการเมืองลกเอี๋ยงแทนสุมาสูผู้พี่ ในค่ำคืนวันนั้นให้รู้สึกรุ่มร้อนรำคาญใจ นอนไม่หลับ จนใกล้สองยามจึงออกมาเดินเล่นที่ระเบียงจวนแล้วกลับเข้าไปนั่งที่โต๊ะหนังสือ หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านจนเผลอตัวม่อยหลับไป พอตื่นขึ้นก็ให้รู้สึกรำลึกถึงสุมาสูผู้พี่ จึงรีบคว้าเอารายงานการข่าวมาพิจารณาไตร่ตรอง ทราบความว่าสุมาสูผู้พี่ทำการได้ชัยชนะแก่ข้าศึกมาโดยลำดับก็ค่อยคลายใจ แต่ในใจลึกให้รู้สึกวิตกเกรงว่าสุมาสูผู้พี่จะเป็นอันตราย
วันรุ่งขึ้นสุมาเจียวได้ทราบความว่าสุมาสูให้หาไปเมืองฮูโต๋เป็นการด่วนก็ตกใจ รีบพาทหารคนสนิทออกเดินทางไปเมืองฮูโต๋ในทันที
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบแปดพรรษา เดือนสี่ สุมาเจียวเดินทางไปถึงเมืองฮูโต๋ จึงรีบเข้าไปยังจวนที่พักของสุมาสู พอเห็นทหารรักษาการณ์หน้าจวนยืนรักษาหน้าที่ด้วยความซึมเศร้า สุมาเจียวก็รู้ว่าอาการผู้พี่ครั้งนี้คงวิกฤต จึงมิได้ไต่ถาม รีบก้าวเท้ายาวเข้าไปยังห้องนอนของสุมาสู
สุมาเจียวเห็นสุมาสูนอนหลับอยู่บนที่นอน ร่างกายผอมซูบโซแต่ใบหน้าบวมเต่ง มีสีดำคล้ำ บริเวณใต้ตาข้างซ้ายมีน้ำเลือดน้ำหนองไหลซึมก็รู้สึกสงสารผู้พี่แล้วร้องไห้ ทหารคนสนิทของสุมาสูเห็นสุมาเจียวร้องไห้รักผู้พี่ดังนั้นก็พากันร้องไห้ตาม
สุมาสูรู้สึกตัว เหลือบตามองเห็นสุมาเจียวผู้น้องนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงก็ร้องไห้ สุมาเจียวเอามือไปกุมมือสุมาสูผู้พี่ไว้แล้วร้องไห้ตาม สุมาสูจึงพูดว่า “ข้าทำราชการมาก็ได้เป็นที่มหาอุปราช อุตส่าห์รักษาตัวมาได้ไม่มีอันตราย เจ้าจะทำราชการแทนที่พี่สืบไป อุตส่าห์ระวังรักษาตัวจงดี ถ้ามีราชการเป็นข้อใหญ่อย่าไว้ใจแก่ผู้อื่นจะเสียราชการจะฉิบหายสิ้นทั้งโคตร”
กล่าวแล้วสุมาสูจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนอิดโรยว่า ก่อนถึงแก่กรรมบิดาเราได้สอนสั่งเราสองคนพี่น้องไว้เป็นหลายประการ ตัวเราได้ยึดถือปฏิบัติตามจึงปลอดภัยและมีชัยชนะตลอดมา เจ้าจะทำการแทนที่เราจงจำคำของบิดาไว้ให้มั่นคง ก็จะมีความสวัสดีในที่ทั้งปวง
สุมาเจียวพยักหน้ารับคำพี่ชายแล้วกระชับมือซึ่งกุมมือสุมาสูเอาไว้แน่น สุมาสูเบือนหน้ามาสั่งทหารคนสนิทให้ไปหยิบตราประจำตำแหน่ง แล้วให้มอบแก่สุมาเจียว
สุมาเจียวเห็นดังนั้นก็รู้นัยว่าสุมาสูต้องการเวรคืนตำแหน่งมหาอุปราชให้แก่ตัวก็ตกใจ รีบกล่าวว่าท่านพี่ป่วยแต่เพียงเท่านี้อย่าได้คิดมากเกินไป อีกไม่กี่วันอาการก็จะทุเลาลงเอง
คำปลอบใจของสุมาเจียวไม่เป็นผลเพราะในขณะนั้นอาการสุมาสูกำเริบขึ้น กลั้นอยู่มิได้ ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าโอยแล้วก็สิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา ขณะนั้นพระเจ้าโจมอเสวยราชสมบัติได้สองปีเศษ
สุมาเจียวเห็นผู้พี่ถึงแก่กรรมจึงสั่งให้ตั้งการพิธีศพของสุมาสูอย่างสมเกียรติที่เมืองฮูโต๋ และแต่งฎีกาเข้าไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจมอทรงทราบความ
ฝ่ายพระเจ้าโจมอครั้นทรงทราบฎีกาของสุมาเจียวว่าสุมาสูผู้เป็นอุปราชได้ถึงแก่ความตายแล้วก็มีพระทัยยินดี ด้วยทรงรู้พระองค์เป็นอย่างดีว่าพี่น้องตระกูลสุมาได้กุมอำนาจการเมืองการทหารไว้อย่างแน่นหนา สุมาสูตายไปเสียคนหนึ่ง สุมาเจียวก็จะขาดคู่คิด แลบัดนี้สุมาเจียวออกไปทำการศพสุมาสูอยู่ที่เมืองฮูโต๋ เป็นโอกาสอันดีที่จะปรับปรุงอำนาจการเมืองการทหารในเมืองลกเอี๋ยง ดำริดังนั้นแล้วพระเจ้าโจมอจึงมีหมายรับสั่งให้ข้าหลวงเชิญไปให้แก่สุมาเจียวว่า ขณะนี้การศึกข้างเมืองกังตั๋งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นประการใด จึงให้ท่านพักทหารคุมเชิงกองทัพเมืองกังตั๋งไว้ที่เมืองฮูโต๋ เมื่อเป็นที่วางพระราชหฤทัยแล้วก็จะมีหมายรับสั่งมาเรียกตัวเข้าเมืองหลวงต่อไป
สุมาเจียวได้รับหมายรับสั่งจากข้าหลวงของพระเจ้าโจมอก็รู้สึกผิดปกติ ครั้นใคร่ครวญแล้วเห็นว่าซึ่งพระเจ้าโจมอทำการทั้งนี้ก็เพื่อต้องการปรับปรุงอำนาจการเมืองการทหารในเมืองลกเอี๋ยง ในขณะที่สุมาเจียวออกมาอยู่ที่เมืองฮูโต๋
สุมาเจียวยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นเงื่อนงำ จึงปรึกษากับแม่ทัพนายกองว่าจะคิดอ่านประการใด
จงโฮยอัจฉริยะสงครามรุ่นใหม่ของวุยก๊กขอหมายรับสั่งมาดูก็รู้ความนัย จึงกล่าวกับสุมาเจียวว่า “มหาอุปราชเพิ่งดับสูญ น้ำใจทหารทั้งปวงก็ยังมิราบคาบ ท่านจะตั้งอยู่เมืองฮูโต๋ แม้มีคนคิดร้ายวุ่นวายขึ้นข้างในวัง ซึ่งจะไปกำจัดเสียนั้นเห็นจะมิทันที”
จงโฮยเห็นสุมาเจียวนิ่งฟังด้วยความตั้งใจจึงกล่าวสืบไปว่า เมืองลกเอี๋ยงคือศูนย์กลางอำนาจการเมืองการทหารประดุจดังถ้ำใหญ่ ตัวท่านเหมือนหนึ่งพญาเสือจะออกมาไกลถ้ำดังนี้ไม่สมควร ชอบที่จะคืนกลับเมืองลกเอี๋ยง แล้วเข้ากุมอำนาจการเมืองการทหารสืบต่อจากมหาอุปราชจึงจะควร
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงสั่งให้กองทัพทั้งปวงยกไปที่เมืองลกเอี๋ยง ครั้นใกล้ตัวเมืองจึงให้ตั้งค่ายอยู่ทางทิศใต้ของประตูเมืองบริเวณตำบลลกซุย และให้ม้าเร็วนำความเข้าไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจมอทรงทราบว่า บัดนี้การศึกข้างเมืองกังตั๋งสงบราบคาบแล้ว ข้าพระองค์จึงนำกองทัพคืนกลับเมืองลกเอี๋ยง
พระเจ้าโจมอพอได้ทราบรายงานของสุมาเจียว ก็ทรงรู้ความนัยว่าสุมาเจียวหยั่งรู้แผนการซึ่งพระองค์คิดจะปรับปรุงอำนาจการเมืองการทหารเพื่อจะกำจัดอำนาจของสุมาเจียวก็ตกพระทัย เกรงว่าเมื่อสุมาเจียวไม่วางใจแล้วจะคิดอ่านกำจัดพระองค์ จึงตรัสปรึกษากับอองซกขุนนางผู้ใหญ่ว่าการเป็นเช่นนี้จะคิดอ่านประการใด
อองซกจึงกราบทูลว่า ต่อหน้าสถานการณ์เช่นนี้ชอบที่พระองค์จะว่ากล่าวเอาใจสุมาเจียวไว้ก่อน ซึ่งสุมาเจียวรีบเลิกทัพกลับมาเมืองลกเอี๋ยงครั้งนี้ก็เพื่อหวังได้ครองอำนาจการเมืองการทหารสืบต่อจากสุมาสูผู้พี่ ดังนั้นจึงควรที่พระองค์จะได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้สุมาเจียวดำรงตำแหน่งมหาอุปราช
พระเจ้าโจมอกำลังตกพระทัย พอได้ฟังคำทูลของอองซกก็ทรงลืมนึกไปว่าอันกองเพลิงซึ่งลุกไหม้โชติช่วงแล้วจะเติมเชื้อฟืนหวังให้ไฟดับนั้นไม่ใช่ฐานะอันจะเป็นไปได้ และทรงเห็นว่าเป็นหนทางเดียวที่จะปลอบประโลมใจสุมาเจียวให้เยือกเย็นลง จึงมีหมายรับสั่งให้ อองซกเชิญไปหาสุมาเจียวให้รีบเข้ามาเฝ้าเพื่อรับพระบรมราชโองการ
สุมาเจียวทราบความตามหมายรับสั่งแล้วจึงพาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้าไปที่ท้องพระโรง พระเจ้าโจมอเสด็จออกว่าราชการเป็นการฉุกเฉินแล้วโปรดเกล้าสถาปนาตั้งให้สุมาเจียวดำรงตำแหน่งมหาอุปราชแทนสุมาสูผู้พี่ชาย
หลังจากนั้นมาสุมาเจียวก็ได้ครองอำนาจทางการเมืองการทหาร ควบคุมราชการแผ่นดินวุยก๊กแทนสุมาสูแต่ผู้เดียว แต่เป็นการครองอำนาจบนพื้นฐานความไม่ไว้วางใจกันระหว่างฮ่องเต้กับมหาอุปราช จึงก่อเป็นเค้าวิบัติเหนือราชสำนักวุยแต่นั้นมา.
พอกองทัพทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน บู๊ขิวเขียมจึงให้กันหยงออกไปท้ารบกับเตงงาย แต่พอรบกันได้ไม่ถึงเพลงเตงงายก็เอาง้าวฟันถูกกันหยงตกม้าตาย ทหารของเตงงายเห็นตัวนายได้ทีจึงรุกจู่โจมเข้าตีทหารของบู๊ขิวเขียม
ฝ่ายอ้าวจุ๋นและอองกี๋ซึ่งสุมาสูใช้ให้ยกมาตีเมืองฮางเสีย เห็นกองทัพวุยก๊กได้ทีจึงยกกระหนาบตีกองทัพบู๊ขิวเขียมเข้ามาพร้อมกันเป็นสามทาง ทหารของบู๊ขิวเขียมถูกตีกระหนาบจึงพากันแตกตื่นตกใจเรรวน และถูกทหารวุยก๊กฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
บู๊ขิวเขียมเห็นกำลังศึกเกินที่จะต้านทาน จึงพาทหารคนสนิทเพียงสิบกว่าคนตีฝ่าหนีออกจากวงล้อมกระหนาบมุ่งหน้าไปทางเมืองซิมก๋วน หวังจะขออาศัยซองเป๊กผู้เป็นเจ้าเมืองซึ่งมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันมาแต่ก่อน
ฝ่ายซองเป๊กซึ่งเป็นเจ้าเมืองซิมก๋วน แม้จะมีความสนิทสนมกับบู๊ขิวเขียมประหนึ่งเป็นเพื่อนรักร่วมน้ำสาบาน แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ผันแปรก็คะเนว่าศึกครั้งนี้เห็นทีบู๊ขิวเขียมจะปราชัยเป็นแน่แท้ จึงคิดว่าหากจะรับบู๊ขิวเขียมเข้าเมืองแล้วร่วมรบกับกองทัพวุยภัยก็จะมาถึงตัว แต่ถ้าหากไม่รับก็เกรงบู๊ขิวเขียมจะด่าว่าให้ได้อายแก่คนทั้งปวง ดังนั้นจึงจำรับบู๊ขิวเขียมเข้ามาในเมืองก่อน แล้วค่อยคิดอ่านสังหารบู๊ขิวเขียมทำความชอบไว้กับสุมาสูต่อไป
ซองเป๊กครุ่นคิดทบทวนต่อไปว่า ซึ่งจะหักหลังบู๊ขิวเขียมนั้นโลกจะตำหนิติเตียนได้ว่าเป็นเพื่อนหักหลังเพื่อน แต่ถ้าจะเข้าด้วยบู๊ขิวเขียมโลกจะนินทาว่าเป็นข้าทรยศเจ้า ดังนั้นจึงตัดสินใจจับบู๊ขิวเขียมฆ่าเสีย ยอมถูกตำหนิติเตียนว่าเป็นคนหักหลังเพื่อน แต่จะได้ความชอบว่าเป็นข้าภักดีต่อเจ้า ซึ่งมีคุณค่ามากกว่ากันหนักหนา
ซองเป๊กตกลงใจดังนั้นแล้วจึงแสร้งทำทีออกไปต้อนรับบู๊ขิวเขียมที่หน้าประตูเมือง พอบู๊ขิวเขียมพาทหารคนสนิทมาถึงก็เข้าไปคำนับทักทายตามประเพณี แล้วกล่าวว่าซึ่งท่านเสียทีแก่ศัตรูราชสมบัตินั้นอย่าได้วิตกเลย จงเข้ามาตั้งหลักปักฐานอยู่ในเมืองซิมก๋วนนี้ให้เป็นที่สบายใจก่อน แม้ข้าศึกยกมาก็จะทำการรบพุ่งต้านทานไว้มิให้ท่านเป็นอันตราย
บู๊ขิวเขียมสำคัญว่าเพื่อนกินเป็นเพื่อนตาย พอได้ยินคำเพื่อนระรื่นหูจึงตกปากรับคำโดยมิได้ระแวงสงสัยว่าจะเป็นแผนอุบายหมายเอาความชอบจากการหักหลังเพื่อน พอเข้าไปในเมืองแล้วซองเป๊กจึงจัดงานเลี้ยงต้อนรับบู๊ขิวเขียมอย่างยิ่งใหญ่ ในระหว่างงานเลี้ยงทั้งซองเป๊กและผู้ใต้บังคับบัญชาได้พากันไปชนจอกดื่มสุรากับบู๊ขิวเขียมิได้หยุดมิได้หย่อน
บู๊ขิวเขียมหลงเชื่อว่าเพื่อนห่วงใยเป็นทุกข์ร้อนในทุกข์ของตนก็ลืมตัว หลงดื่มสุราตามคำชวน พอเวลาชั่วยามเศษผ่านไปบู๊ขิวเขียมก็เมามายไม่ได้สติ ซองเป๊กจึงสั่งทหารให้จับกุมตัวบู๊ขิวเขียมและทหารคนสนิทตัดศีรษะเสียทั้งสิ้น
วันรุ่งขึ้นซองเป๊กจึงพาศีรษะของบู๊ขิวเขียมและทหารคนสนิทออกจากเมืองซิม ก๋วนพาไปมอบให้แก่สุมาสูที่ค่ายพัก สุมาสูทราบความดังนั้นก็มีความยินดี ปูนบำเหน็จให้แก่ซองเป๊กเป็นอันมาก
สุมาสูข่มความปวดจัดแจงบ้านเมืองทั้งปวงจนเป็นปกติแล้ว จึงตั้งให้จูกัดเอี๋ยนเป็นขุนพลปราบทักษิณ ว่าราชการเมืองเองจิ๋ว เมืองห้วยหลำและหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งปวง เสร็จแล้วจึงสั่งให้เลิกทัพจะกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
แต่พอเคลื่อนทัพได้ไม่ทันนาน สุมาสูให้รู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลผ่าตัดบริเวณนัยน์ตาเป็นอันมาก ทหารองครักษ์เกรงว่าหากเดินทางไปเมืองลกเอี๋ยงจะเนิ่นช้าสุมาสูอาจทนความเจ็บไม่ได้ และเห็นว่าเมืองฮูโต๋อยู่ใกล้กว่า จึงให้เคลื่อนทัพไปที่เมืองฮูโต๋
พอสุมาสูไปถึงเมืองฮูโต๋ได้สั่งการให้ระดมแพทย์มีชื่อเสียงทั่วทั้งเมืองมารักษาพยาบาลแต่อาการก็ไม่ทุเลาลง สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “สุมาสูป่วยจักษุหนัก ให้เจ็บปวดเป็นกำลัง เวลากลางคืนนอนไม่หลับ”
ในคืนวันรุ่งขึ้นสุมาสูซึ่งกินไม่ได้และนอนไม่หลับมาตลอดทั้งคืนก่อนให้รู้สึกอ่อนเพลีย แต่พอลืมตัวม่อยหลับไปก็รู้สึกตัวว่ามีสายลมเย็นยะเยือกหนาวสะท้านพัดมาต้องกาย ในภวังค์นั้นสุมาสูลืมตามองไปเบื้องหน้า เห็นลิฮอง เตียวอิบ แฮเฮาเหียน และพระมเหสีของพระเจ้าโจฮองเลือดโทรมทั่วทั้งตัวยืนร้องไห้ระงมอยู่ที่ปลายเท้า ต่างคนต่างทวงชีวิตว่าพวกเราเป็นผู้ภักดีต่อเจ้า แต่ถูกท่านประหารชีวิตอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต พวกเรารอคอยท่านนานเนิ่นแล้ว บัดนี้กรรมของท่านมาถึง พวกเราจึงมาทวงเอาชีวิตท่านบ้าง
สุมาสูได้ยินดังนั้นก็ตกใจ วิ่งหนีจะให้พ้นไปจากการรุมทวงเอาชีวิต ในพลันนั้นได้พลัดตกจากเตียงที่นอน รู้สึกตัวตื่นขึ้นแล้วยังหวาดกลัวเป็นกำลัง สุมาสูใคร่ครวญดูเหตุการณ์รู้ว่าซึ่งฝันทั้งนี้เป็นฝันร้าย เห็นความตายจะมาถึงตัวในไม่กี่วันนี้แล้ว
สุมาสูคิดดังนั้นก็เสียใจร้องไห้ พลางเอ่ยถามทหารซึ่งเฝ้าเวรยามว่าขณะนี้เป็นเวลากี่โมงยาม ทหารนั้นรายงานว่าเป็นเวลาใกล้สองยามแล้ว สุมาสูได้ยินดังนั้นเกรงว่าหากเนิ่นช้าต่อไปอาจจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงสั่งทหารให้รีบเดินทางไปเมืองลกเอี๋ยงแจ้งให้สุมาเจียวผู้น้องรีบมาหาในทันที
ฝ่ายสุมาเจียวรักษาราชการเมืองลกเอี๋ยงแทนสุมาสูผู้พี่ ในค่ำคืนวันนั้นให้รู้สึกรุ่มร้อนรำคาญใจ นอนไม่หลับ จนใกล้สองยามจึงออกมาเดินเล่นที่ระเบียงจวนแล้วกลับเข้าไปนั่งที่โต๊ะหนังสือ หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านจนเผลอตัวม่อยหลับไป พอตื่นขึ้นก็ให้รู้สึกรำลึกถึงสุมาสูผู้พี่ จึงรีบคว้าเอารายงานการข่าวมาพิจารณาไตร่ตรอง ทราบความว่าสุมาสูผู้พี่ทำการได้ชัยชนะแก่ข้าศึกมาโดยลำดับก็ค่อยคลายใจ แต่ในใจลึกให้รู้สึกวิตกเกรงว่าสุมาสูผู้พี่จะเป็นอันตราย
วันรุ่งขึ้นสุมาเจียวได้ทราบความว่าสุมาสูให้หาไปเมืองฮูโต๋เป็นการด่วนก็ตกใจ รีบพาทหารคนสนิทออกเดินทางไปเมืองฮูโต๋ในทันที
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบแปดพรรษา เดือนสี่ สุมาเจียวเดินทางไปถึงเมืองฮูโต๋ จึงรีบเข้าไปยังจวนที่พักของสุมาสู พอเห็นทหารรักษาการณ์หน้าจวนยืนรักษาหน้าที่ด้วยความซึมเศร้า สุมาเจียวก็รู้ว่าอาการผู้พี่ครั้งนี้คงวิกฤต จึงมิได้ไต่ถาม รีบก้าวเท้ายาวเข้าไปยังห้องนอนของสุมาสู
สุมาเจียวเห็นสุมาสูนอนหลับอยู่บนที่นอน ร่างกายผอมซูบโซแต่ใบหน้าบวมเต่ง มีสีดำคล้ำ บริเวณใต้ตาข้างซ้ายมีน้ำเลือดน้ำหนองไหลซึมก็รู้สึกสงสารผู้พี่แล้วร้องไห้ ทหารคนสนิทของสุมาสูเห็นสุมาเจียวร้องไห้รักผู้พี่ดังนั้นก็พากันร้องไห้ตาม
สุมาสูรู้สึกตัว เหลือบตามองเห็นสุมาเจียวผู้น้องนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงก็ร้องไห้ สุมาเจียวเอามือไปกุมมือสุมาสูผู้พี่ไว้แล้วร้องไห้ตาม สุมาสูจึงพูดว่า “ข้าทำราชการมาก็ได้เป็นที่มหาอุปราช อุตส่าห์รักษาตัวมาได้ไม่มีอันตราย เจ้าจะทำราชการแทนที่พี่สืบไป อุตส่าห์ระวังรักษาตัวจงดี ถ้ามีราชการเป็นข้อใหญ่อย่าไว้ใจแก่ผู้อื่นจะเสียราชการจะฉิบหายสิ้นทั้งโคตร”
กล่าวแล้วสุมาสูจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนอิดโรยว่า ก่อนถึงแก่กรรมบิดาเราได้สอนสั่งเราสองคนพี่น้องไว้เป็นหลายประการ ตัวเราได้ยึดถือปฏิบัติตามจึงปลอดภัยและมีชัยชนะตลอดมา เจ้าจะทำการแทนที่เราจงจำคำของบิดาไว้ให้มั่นคง ก็จะมีความสวัสดีในที่ทั้งปวง
สุมาเจียวพยักหน้ารับคำพี่ชายแล้วกระชับมือซึ่งกุมมือสุมาสูเอาไว้แน่น สุมาสูเบือนหน้ามาสั่งทหารคนสนิทให้ไปหยิบตราประจำตำแหน่ง แล้วให้มอบแก่สุมาเจียว
สุมาเจียวเห็นดังนั้นก็รู้นัยว่าสุมาสูต้องการเวรคืนตำแหน่งมหาอุปราชให้แก่ตัวก็ตกใจ รีบกล่าวว่าท่านพี่ป่วยแต่เพียงเท่านี้อย่าได้คิดมากเกินไป อีกไม่กี่วันอาการก็จะทุเลาลงเอง
คำปลอบใจของสุมาเจียวไม่เป็นผลเพราะในขณะนั้นอาการสุมาสูกำเริบขึ้น กลั้นอยู่มิได้ ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าโอยแล้วก็สิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา ขณะนั้นพระเจ้าโจมอเสวยราชสมบัติได้สองปีเศษ
สุมาเจียวเห็นผู้พี่ถึงแก่กรรมจึงสั่งให้ตั้งการพิธีศพของสุมาสูอย่างสมเกียรติที่เมืองฮูโต๋ และแต่งฎีกาเข้าไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจมอทรงทราบความ
ฝ่ายพระเจ้าโจมอครั้นทรงทราบฎีกาของสุมาเจียวว่าสุมาสูผู้เป็นอุปราชได้ถึงแก่ความตายแล้วก็มีพระทัยยินดี ด้วยทรงรู้พระองค์เป็นอย่างดีว่าพี่น้องตระกูลสุมาได้กุมอำนาจการเมืองการทหารไว้อย่างแน่นหนา สุมาสูตายไปเสียคนหนึ่ง สุมาเจียวก็จะขาดคู่คิด แลบัดนี้สุมาเจียวออกไปทำการศพสุมาสูอยู่ที่เมืองฮูโต๋ เป็นโอกาสอันดีที่จะปรับปรุงอำนาจการเมืองการทหารในเมืองลกเอี๋ยง ดำริดังนั้นแล้วพระเจ้าโจมอจึงมีหมายรับสั่งให้ข้าหลวงเชิญไปให้แก่สุมาเจียวว่า ขณะนี้การศึกข้างเมืองกังตั๋งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นประการใด จึงให้ท่านพักทหารคุมเชิงกองทัพเมืองกังตั๋งไว้ที่เมืองฮูโต๋ เมื่อเป็นที่วางพระราชหฤทัยแล้วก็จะมีหมายรับสั่งมาเรียกตัวเข้าเมืองหลวงต่อไป
สุมาเจียวได้รับหมายรับสั่งจากข้าหลวงของพระเจ้าโจมอก็รู้สึกผิดปกติ ครั้นใคร่ครวญแล้วเห็นว่าซึ่งพระเจ้าโจมอทำการทั้งนี้ก็เพื่อต้องการปรับปรุงอำนาจการเมืองการทหารในเมืองลกเอี๋ยง ในขณะที่สุมาเจียวออกมาอยู่ที่เมืองฮูโต๋
สุมาเจียวยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นเงื่อนงำ จึงปรึกษากับแม่ทัพนายกองว่าจะคิดอ่านประการใด
จงโฮยอัจฉริยะสงครามรุ่นใหม่ของวุยก๊กขอหมายรับสั่งมาดูก็รู้ความนัย จึงกล่าวกับสุมาเจียวว่า “มหาอุปราชเพิ่งดับสูญ น้ำใจทหารทั้งปวงก็ยังมิราบคาบ ท่านจะตั้งอยู่เมืองฮูโต๋ แม้มีคนคิดร้ายวุ่นวายขึ้นข้างในวัง ซึ่งจะไปกำจัดเสียนั้นเห็นจะมิทันที”
จงโฮยเห็นสุมาเจียวนิ่งฟังด้วยความตั้งใจจึงกล่าวสืบไปว่า เมืองลกเอี๋ยงคือศูนย์กลางอำนาจการเมืองการทหารประดุจดังถ้ำใหญ่ ตัวท่านเหมือนหนึ่งพญาเสือจะออกมาไกลถ้ำดังนี้ไม่สมควร ชอบที่จะคืนกลับเมืองลกเอี๋ยง แล้วเข้ากุมอำนาจการเมืองการทหารสืบต่อจากมหาอุปราชจึงจะควร
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงสั่งให้กองทัพทั้งปวงยกไปที่เมืองลกเอี๋ยง ครั้นใกล้ตัวเมืองจึงให้ตั้งค่ายอยู่ทางทิศใต้ของประตูเมืองบริเวณตำบลลกซุย และให้ม้าเร็วนำความเข้าไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจมอทรงทราบว่า บัดนี้การศึกข้างเมืองกังตั๋งสงบราบคาบแล้ว ข้าพระองค์จึงนำกองทัพคืนกลับเมืองลกเอี๋ยง
พระเจ้าโจมอพอได้ทราบรายงานของสุมาเจียว ก็ทรงรู้ความนัยว่าสุมาเจียวหยั่งรู้แผนการซึ่งพระองค์คิดจะปรับปรุงอำนาจการเมืองการทหารเพื่อจะกำจัดอำนาจของสุมาเจียวก็ตกพระทัย เกรงว่าเมื่อสุมาเจียวไม่วางใจแล้วจะคิดอ่านกำจัดพระองค์ จึงตรัสปรึกษากับอองซกขุนนางผู้ใหญ่ว่าการเป็นเช่นนี้จะคิดอ่านประการใด
อองซกจึงกราบทูลว่า ต่อหน้าสถานการณ์เช่นนี้ชอบที่พระองค์จะว่ากล่าวเอาใจสุมาเจียวไว้ก่อน ซึ่งสุมาเจียวรีบเลิกทัพกลับมาเมืองลกเอี๋ยงครั้งนี้ก็เพื่อหวังได้ครองอำนาจการเมืองการทหารสืบต่อจากสุมาสูผู้พี่ ดังนั้นจึงควรที่พระองค์จะได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้สุมาเจียวดำรงตำแหน่งมหาอุปราช
พระเจ้าโจมอกำลังตกพระทัย พอได้ฟังคำทูลของอองซกก็ทรงลืมนึกไปว่าอันกองเพลิงซึ่งลุกไหม้โชติช่วงแล้วจะเติมเชื้อฟืนหวังให้ไฟดับนั้นไม่ใช่ฐานะอันจะเป็นไปได้ และทรงเห็นว่าเป็นหนทางเดียวที่จะปลอบประโลมใจสุมาเจียวให้เยือกเย็นลง จึงมีหมายรับสั่งให้ อองซกเชิญไปหาสุมาเจียวให้รีบเข้ามาเฝ้าเพื่อรับพระบรมราชโองการ
สุมาเจียวทราบความตามหมายรับสั่งแล้วจึงพาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้าไปที่ท้องพระโรง พระเจ้าโจมอเสด็จออกว่าราชการเป็นการฉุกเฉินแล้วโปรดเกล้าสถาปนาตั้งให้สุมาเจียวดำรงตำแหน่งมหาอุปราชแทนสุมาสูผู้พี่ชาย
หลังจากนั้นมาสุมาเจียวก็ได้ครองอำนาจทางการเมืองการทหาร ควบคุมราชการแผ่นดินวุยก๊กแทนสุมาสูแต่ผู้เดียว แต่เป็นการครองอำนาจบนพื้นฐานความไม่ไว้วางใจกันระหว่างฮ่องเต้กับมหาอุปราช จึงก่อเป็นเค้าวิบัติเหนือราชสำนักวุยแต่นั้นมา.