ตอนที่ 610. กองทัพปฏิวัติใหม่
การถอดพระเจ้าโจฮองออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์และสถาปนาโจมอขึ้นเสวยราชย์แทน ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นในวุยก๊ก บู๊ขิวเขียมขุนนางผู้ภักดีต่อพระเจ้าโจฮองจึงได้คิดอ่านร่วมกับบุนขิมเพื่อล้มอำนาจของสุมาสูและจะสถาปนาพระเจ้าโจฮองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ดังเดิม
บู๊ขิวเขียมได้ฟังคำบุนขิมแสดงความภักดีต่อพระเจ้าโจฮองและตกลงใจเข้าร่วมการดังนั้นก็ยินดี รีบรินสุราใส่จอกยกขึ้นคำนับบุนขิม บุนขิมก็ดื่มสุราคำนับตอบ
บู๊ขิวเขียมจึงว่า การทั้งนี้เป็นการใหญ่ จะต้องร่วมใจทำการกันให้ตลอด มิฉะนั้นอันตรายก็จะมาถึงตัวและครอบครัว บุนขิมจึงว่าท่านกล่าวทั้งนี้ชอบแล้ว ฉะนั้นเราสองคนจงมากระทำสัตย์สาบานต่อกันว่าจะร่วมใจกันทำการไปจนกว่าจะสำเร็จ
บู๊ขิวเขียมได้ยินคำชวนก็เห็นชอบ จึงต่างเอาถ้วยสุราคำนับฟ้าดิน กระทำสัตย์สาบานต่อกันว่าหากผู้ใดทรยศ ขอให้เทพยดาฟ้าดินลงโทษสังหารชีวิตเสียภายในสามวันเจ็ดวัน
เมื่อกระทำสัตย์สาบานกันแล้ว จึงกำหนดแผนการว่าจะปลอมหมายรับสั่งพระราชเสาวนีย์ของพระนางก๊วยไทเฮาให้บรรดาหัวเมืองทั้งปวงยกกองทัพเข้าไปเมืองลกเอี๋ยงกำจัดสุมาสู สุมาเจียว และอัญเชิญพระเจ้าโจฮองขึ้นครองราชสมบัติดังแต่ก่อน
เมื่อเห็นชอบแผนการพร้อมกันแล้ว บู๊ขิวเขียมได้กล่าวว่าสุมาสูและสุมาเจียวสืบทอดอำนาจของสุมาอี้ ดังนั้นแม้ว่าสุมาอี้ถึงแก่ความตายไปแล้ว แต่อำนาจนั้นยังเป็นปึกแผ่นแน่นหนา หากคอยท่าให้ทุกหัวเมืองมาพร้อมกัน สุมาสูก็จะทันตั้งตัวแล้วยกกองทัพมากำจัดพวกเราเสียก่อน ท่านจะเห็นเป็นประการใด
บุนขิมจึงว่า ซึ่งท่านติงดังนี้ข้าพเจ้าเห็นด้วย เพราะเหตุการณ์วันนี้ต่างกับเมื่อครั้งที่โจโฉก่อตั้งกองทัพปฏิวัติเพื่อล้มล้างอำนาจของตั๋งโต๊ะ ในครั้งนั้นตั๋งโต๊ะเพิ่งครองอำนาจ อำนาจรัฐส่วนกลางยังอ่อนแอ โจโฉจึงประกาศระดมกองทัพพันธมิตรได้โดยเปิดเผย แต่ครั้งนี้อำนาจรัฐส่วนกลางเป็นปึกแผ่น จึงชอบที่จะยกกองทัพจากภาคใต้เข้าตีเมืองลกเอี๋ยงพร้อม ๆ กับการส่งหมายประกาศพระราชเสาวนีย์ของพระนางก๊วยไทเฮาไปยังหัวเมืองต่าง ๆ เมื่อสุมาสูรู้ว่าเรายกกองทัพไปก็คิดอ่านยกกองทัพมารบพุ่ง เห็นจะไม่อาจห้ามปรามหัวเมืองทั้งปวงได้ กว่าจะรู้ตัวกองทัพทั้งปวงก็ยกไปพร้อมกันที่เมืองลกเอี๋ยงแล้ว
บู๊ขิวเขียมจึงว่าแผนการของท่านวิเศษยิ่ง แต่ชอบที่จะระดมหัวเมืองข้างเคียงเมืองซงหยงซึ่งไกลจากเมืองลกเอี๋ยงให้ยกกองทัพไปพร้อมกันที่เมืองชิวฉุนก่อน จะได้ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง ทั้งจะได้กำลังทหารมากพอต่อการยกไปรบพุ่งกับกองทัพเมืองลกเอี๋ยง
บุนขิมได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย ดังนั้นบู๊ขิวเขียมจึงปลอมหมายรับสั่งของพระนางก๊วยไทเฮาไปยังหัวเมืองทั้งปวงให้ยกกองทัพเข้าไปปราบปรามสุมาสูผู้ขบถที่เมืองลกเอี๋ยง แต่บรรดาหัวเมืองใหญ่น้อยที่ขึ้นกับเมืองซงหยงนั้นให้ยกมาพร้อมกันที่เมืองชิวฉุน
ครั้นบู๊ขิวเขียมทราบว่าทหารตามหัวเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองซงหยงกำลังยกมาที่เมือง ชิวฉุนตามหมายรับสั่ง จึงให้ตั้งการพิธีกระทำสัตย์สาบานขึ้นที่บริเวณใกล้ประตูเมืองด้านตะวันตก สั่งการให้ฆ่าม้าขาวเอาเลือดผสมกับสุราสำหรับกระทำสัตย์สาบาน
ครั้นได้เวลาพิธีฤกษ์บู๊ขิวเขียมและบุนขิมจึงเชิญแม่ทัพนายกองจากหัวเมืองทั้งปวงขึ้นไปพร้อมกันบนโรงพิธี ประกาศให้ทราบทั่วกันว่าบัดนี้พระนางก๊วยไทเฮามีพระราชเสาวนีย์ว่าสุมาสู สุมาเจียวสองพี่น้องคิดแย่งชิงราชสมบัติ ถอดพระเจ้าโจฮองออกจากที่พระมหากษัตริย์ตามอำเภอใจ ตั้งโจมอขึ้นเป็นกษัตริย์หุ่นแทน แล้วว่ากล่าวปกครองบ้านเมืองตามอำเภอใจทั้งสิ้น จึงให้บรรดาหัวเมืองทั้งปวงผู้จงรักภักดีร่วมกันกำจัดสุมาสูและสุมาเจียวเสีย ยกพระเจ้าโจฮองขึ้นครองราชย์ดังแต่ก่อน
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังคำประกาศก็หลงเชื่อ จึงพร้อมใจกันกระทำสัตย์สาบานดื่มสุราผสมด้วยเลือดม้าขาว สาบานต่อเทพยดาฟ้าดินว่าจะทำการถวายความจงรักภักดีไปจนกว่าจะสำเร็จ แม้นถึงแก่ความตายก็ไม่เสียดายชีวิต
ครั้นเสร็จพิธีแล้วบู๊ขิวเขียมจึงยกกองทัพหกหมื่นไปตั้งที่เมืองฮางเสีย ให้บุนขิมคุมทหารสองหมื่นเป็นกองลาดตระเวนและกองหนุน เตรียมยกเข้าตีเมืองลกเอี๋ยงต่อไป
ในขณะที่บู๊ขิวเขียมระดมพลเพื่อเตรียมยกไปตีเมืองลกเอี๋ยงนั้น ความทราบไปถึงหน่วยสอดแนมของง่อก๊ก พระเจ้าซุนเหลียงทรงทราบความแล้วไม่ทรงรู้นัยยะว่าเรื่องราวเป็นไปแต่ความขัดแย้งทางการเมืองภายในวุยก๊ก ทรงพระวิตกว่ากองทัพวุยก๊กจะยกมาตีเมืองกังตั๋ง จึงตรัสสั่งให้ซุนจุ่นส่งทหารไปตั้งขัดตาทัพไว้ที่ชายแดน
ฝ่ายสุมาสูหลังจากรู้สึกเจ็บที่เนื้องอกใต้นัยน์ตาซ้ายในวันที่โกรธพระมเหสีพระเจ้าโจฮองแล้ว อาการเจ็บได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น แพทย์หลวงมาตรวจอาการแล้วแนะนำให้ทำการผ่าตัดเอาเนื้องอกสีดำที่อยู่ใต้ตาข้างซ้ายออก ระบุว่าเป็นฝีอักเสบอยู่ภายใน จึงทำให้เนื้องอกนั้นเติบโตขึ้นทุกที จนกระทั่งขนสิบกว่าเส้นที่งอกบนก้อนเนื้องอกหลุดร่วงจนหมดสิ้น
สุมาสูได้กินยาหลายขนานจากทั้งหมอบ้าน หมอหลวง แต่อาการก็ไม่คลาย ไม่เห็นหนทางรักษาด้วยวิธีอย่างอื่น จึงจำต้องทำตามคำแนะนำของหมอหลวง ผ่าตัดเอาเนื้องอกนั้นออก หลังจากผ่าตัดแล้วแพทย์ได้เอายาผงโรยบาดแผลและปิดบาดแผลไว้จนสนิท อาการซึ่งเคยรำคาญก็ค่อยเบาบางลง
ในระหว่างที่สุมาสูพักรักษาแผลผ่าตัดนั้น ได้รับรายงานจากม้าเร็วว่าบู๊ขิวเขียมเป็นกบฏ ยกกองทัพจะมาตีเมืองลกเอี๋ยง สุมาสูจึงให้เชิญอองซกผู้บัญชาการทหารสูงสุดเข้ามาปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด
อองซกจึงว่าศึกเพียงเท่านี้มหาอุปราชอย่าได้วิตกสืบไปเลย ด้วยกองทัพทางใต้ที่ยกมานั้นแท้จริงแล้วล้วนเป็นทหารจากแผ่นดินตงง้วนทั้งสิ้น ตัวไปอยู่รับราชการภาคใต้ แต่ครอบครัวบุตรภรรยาล้วนอยู่ในแผ่นดินตงง้วน “แต่ครั้งกวนอูทหารเอกฝีมือปรากฏทั้งแผ่นดิน ลิบองคิดอ่านเกลี้ยกล่อมครอบครัวทหารซึ่งอยู่ในเมืองเกงจิ๋วได้แล้วก็มีชัยชนะแก่กวนอู ครั้งนี้ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้ไปเกลี้ยกล่อมทหารเมืองห้วยหลำซึ่งอยู่ในแดนเมืองวุยก๊กได้แล้ว เราจึงยกกองทัพไปตั้งสกัดไว้ที่ทางบู๊ขิวเขียมจะกลับไป เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง”
สุมาสูได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า แผนการทั้งนี้ดีเลิศ แต่ผู้นำทัพซึ่งจะยกไปสกัดกองทัพบู๊ขิวเขียมนั้นมิได้เห็นผู้ใด ตัวเราจะยกไปเองก็เกรงบาดแผลซึ่งยังไม่หายสนิทจะกำเริบ
ในขณะนั้นจงโฮยอัจฉริยะสงครามรุ่นใหม่ของวุยก๊กได้อยู่ในที่ประชุมนั้นด้วย พอได้ฟังปรารภของสุมาสูจึงกล่าวเสริมขึ้นว่า “ทหารเมืองห้วยหลำเข้มแข็งอยู่ ซึ่งจะให้ผู้อื่นไปนั้นเกรงจะต้านทานมิหยุด การครั้งนี้เป็นการใหญ่ ถ้าผิดพลั้งจะมิเสียราชการไปหรือ”
จงโฮยเห็นสุมาสูสนใจฟังข้อเสนอ จึงกล่าวสืบไปว่าการศึกครั้งนี้มีการเมืองเจือปน ด้วยบู๊ขิวเขียมแอบอ้างพระราชเสาวนีย์ของไทเฮา ระดมหัวเมืองทั้งปวงเข้ามาตีเมืองลกเอี๋ยง เป็นเหตุการณ์คล้ายคลึงกับเมื่อครั้งพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉก่อตั้งกองทัพปฏิวัติระดมกองทัพหัวเมืองทั้งปวงเพื่อล้มล้างอำนาจของตั๋งโต๊ะ จึงดูแคลนไม่ได้ เพราะหากกองทัพหัวเมืองทั้งปวงรวมตัวผนึกกำลังยกล่วงมาถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้วก็จะรับมือขัดสน ชอบที่จะเผด็จศึกเสียแต่ต้นลม
สุมาสูได้ฟังเหตุผลของจงโฮยเห็นเป็นการใหญ่ ไม่อาจเสี่ยงภัยหรือเสี่ยงต่อความพลาดพลั้งได้ บังเกิดความมุมานะขึ้นในใจแล้วกล่าวว่า เราป่วยเจ็บแต่เท่านี้เป็นไรมี จะคุมกองทัพด้วยตนเองไปกำจัดบู๊ขิวเขียมเสียแต่ต้นศึก เพลิงสงครามจะไม่ไหม้ลามกว้างขวางสืบไป
ปรึกษากันดังนั้นแล้วสุมาสูจึงให้สุมาเจียวอยู่รักษาเมืองลกเอี๋ยง ให้จูกัดตุ้นเป็นแม่ทัพกองทัพส่วนหน้า ยกทหารจากเมืองชีจิ๋วไปขัดตาทัพไว้ที่ปลายแดนต่อกับเมืองชิวฉุน ให้อ้าวจุ๋นเป็นแม่ทัพคุมทหารเมืองเชงจิ๋วยกอ้อมไปสกัดหลังเส้นทางถอยทัพของบู๊ขิวเขียมที่ตำบลเจี๋ยวซอง และให้อองกี๋คุมทหารไปตีตำบลติ๋นลำ ซึ่งเป็นหัวเมืองขึ้นกับเมืองซงหยงเพื่อก่อกวนให้บู๊ขิวเขียมต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่กล้ายกกองทัพรุดไปข้างหน้า ส่วนสุมาสูจะคุมกองทัพหลวงยกไปที่เมืองซงหยง
ครั้นจัดแจงแต่งกองทัพพร้อมสรรพแล้ว สุมาสูจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวงอีกครั้งหนึ่ง ไตร่ตรองแผนการให้กระชับยิ่งขึ้น เตงโป้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้เสนอว่า “บู๊ขิวเขียมคนนี้มีสติปัญญาความคิดอยู่ แต่ว่าคิดอ่านการสิ่งใดก็หาตลอดไม่ ฝ่ายบุนขิมมีกำลังมากแต่ว่าหาปัญญาความคิดไม่ ฝ่ายทหารเมืองห้วยหลำมีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญนัก เราเลินเล่อดูหมิ่นนั้นไม่ได้ ขอให้รักษาค่ายคูไว้ให้มั่นคง ถ้าเราเห็นกำลังข้าศึกร่วงโรยลงแล้ว จึงค่อยคิดอ่านตีให้ยับเยิบอย่าให้ทันรู้ตัวเลย”
ฝ่ายอองกี๋ได้ยินแผนการของเตงโป้ที่ให้กำหนดยุทธการเชิงรับ รอให้ข้าศึกอ่อนล้าอิดโรยจึงค่อยตีก็ไม่เห็นด้วย จึงแย้งว่าศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เพราะได้ระดมเอาหัวเมืองทั้งปวงจะเข้ามาตีเมืองลกเอี๋ยง จึงปล่อยให้เนิ่นช้าสืบไปมิได้ ชอบที่จะรีบรุดเข้าตีเอาอย่าให้ทันตั้งตัว อนึ่งกองทัพที่ยกมาล้วนประกอบขึ้นด้วยกองทัพหัวเมืองต่าง ๆ ไม่มีความเป็นเอกภาพ หากถูกเราเข้าจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว เห็นจะแตกกระจัดกระจายพลัดพรายไปเป็นมั่นคง
สุมาสูได้ฟังความคิดเห็นของทั้งฝ่ายตั้งรับและฝ่ายชิงรุกแล้ว เห็นด้วยกับความเห็นของอองกี๋ จึงสั่งให้รีบยกกองทัพไปตามแผนการ และให้กองทัพหลวงตั้งค่ายไว้ที่สะพานหินซุยแดนเมืองซงหยง เพื่อตรวจตราสภาพการณ์ข้างข้าศึกแล้ววางแผนเข้าโจมตีมิให้ทันตั้งตัว
ครั้นตั้งค่ายที่แดนเมืองซงหยงเสร็จแล้ว อองกี๋จึงเสนอสุมาสูว่าที่ตำบลลำเต๋งนั้นเป็นทางคับขัน มีภูเขาและแม่น้ำขนาบซ้ายขวา ถ้าหากข้าศึกยึดเป็นชัยภูมิได้ก่อนย่อมยากแก่การเข้าโจมตี
สุมาสูได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้อองกี๋เป็นกองหน้า ยกทหารไปชิงยุทธภูมิสำคัญที่ตำบลลำเต๋งให้ได้ก่อน กำชับให้อองกี๋รีบเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน อองกี๋รับคำสั่งแล้วจึงออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปตั้งค่ายอยู่ที่เชิงกำแพงเมืองลำเต๋งอันเป็นชัยภูมิสำคัญ
ฝ่ายบู๊ขิวเขียมตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลฮางเสีย ครั้นได้ทราบความจากหน่วยลาดตระเวนว่าสุมาสูยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่แดนเมืองซงหยง จึงปรึกษากับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าจะคิดอ่านประการใด
ฝ่ายกันหยงซึ่งเป็นกองหน้าได้ยินดังนั้นจึงเสนอว่า ที่เมืองลำเต๋งนี้เป็นชัยภูมิอันสำคัญ หากสุมาสูให้ทหารเข้ายึดชัยภูมินี้ไว้ได้แล้ว ซึ่งจะยกกองทัพรุดหน้าไปก็จะขัดสน จึงชอบที่ท่านจะยกกองทัพไปยึดเอายุทธภูมิลำเต๋งไว้ก่อน
บู๊ขิวเขียมได้ฟังแผนการดังนั้นก็เห็นชอบ สั่งให้เคลื่อนกองทัพไปที่เมืองลำเต๋ง แต่พอเคลื่อนทัพไปไม่ถึงร้อยเส้น ก็ได้รับรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่าสุมาสูได้ส่งกองหน้ามายึดยุทธภูมิลำเต๋งไว้ได้แล้ว
บู๊ขิวเขียมได้ฟังรายงานก็ไม่เชื่อว่ากองทัพเมืองลกเอี๋ยงจะยกมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ จึงคุมทหารรุดหน้าต่อไป แต่พอใกล้กำแพงเมืองลำเต๋งก็เห็นทหารวุยก๊กตั้งค่ายรายเรียงนอกกำแพงเมือง ธงทิวปลิวไสวเป็นอันมาก
บู๊ขิวเขียมเห็นข้าศึกตั้งมั่นในชัยภูมิที่ได้เปรียบ จึงสั่งให้ถอยทัพลงมาตั้งค่ายห่างจากกำแพงเมืองลำเต๋งห้าร้อยเส้น แต่พอตั้งค่ายเสร็จก็ได้รับใบบอกจากเมืองชิวฉุนว่าขณะนี้ซุนจุ่นได้ยกกองทัพเมืองกังตั๋งมาตั้งอยู่ที่ชายแดน เกรงว่าจะยกเข้าตีเอาเมืองชิวฉุน
บู๊ขิวเขียมทราบรายงานแต่มิรู้ความนัยว่าซึ่งซุนจุ่นยกกองทัพมานั้นเป็นเพียงต้องการขัดตาทัพด้วยเกรงว่ากองทัพวุยก๊กจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง จึงสำคัญว่าซุนจุ่นจะยกกองทัพมายึดเมืองชิวฉุน ก็เกรงว่าเมืองชิวฉุนจะเป็นอันตราย ดังนั้นพอค่ำลงบู๊ขิวเขียมจึงสั่งให้ถอยทัพกลับเข้ามาตั้งอยู่ที่เมืองฮางเสียตามเดิม.
บู๊ขิวเขียมได้ฟังคำบุนขิมแสดงความภักดีต่อพระเจ้าโจฮองและตกลงใจเข้าร่วมการดังนั้นก็ยินดี รีบรินสุราใส่จอกยกขึ้นคำนับบุนขิม บุนขิมก็ดื่มสุราคำนับตอบ
บู๊ขิวเขียมจึงว่า การทั้งนี้เป็นการใหญ่ จะต้องร่วมใจทำการกันให้ตลอด มิฉะนั้นอันตรายก็จะมาถึงตัวและครอบครัว บุนขิมจึงว่าท่านกล่าวทั้งนี้ชอบแล้ว ฉะนั้นเราสองคนจงมากระทำสัตย์สาบานต่อกันว่าจะร่วมใจกันทำการไปจนกว่าจะสำเร็จ
บู๊ขิวเขียมได้ยินคำชวนก็เห็นชอบ จึงต่างเอาถ้วยสุราคำนับฟ้าดิน กระทำสัตย์สาบานต่อกันว่าหากผู้ใดทรยศ ขอให้เทพยดาฟ้าดินลงโทษสังหารชีวิตเสียภายในสามวันเจ็ดวัน
เมื่อกระทำสัตย์สาบานกันแล้ว จึงกำหนดแผนการว่าจะปลอมหมายรับสั่งพระราชเสาวนีย์ของพระนางก๊วยไทเฮาให้บรรดาหัวเมืองทั้งปวงยกกองทัพเข้าไปเมืองลกเอี๋ยงกำจัดสุมาสู สุมาเจียว และอัญเชิญพระเจ้าโจฮองขึ้นครองราชสมบัติดังแต่ก่อน
เมื่อเห็นชอบแผนการพร้อมกันแล้ว บู๊ขิวเขียมได้กล่าวว่าสุมาสูและสุมาเจียวสืบทอดอำนาจของสุมาอี้ ดังนั้นแม้ว่าสุมาอี้ถึงแก่ความตายไปแล้ว แต่อำนาจนั้นยังเป็นปึกแผ่นแน่นหนา หากคอยท่าให้ทุกหัวเมืองมาพร้อมกัน สุมาสูก็จะทันตั้งตัวแล้วยกกองทัพมากำจัดพวกเราเสียก่อน ท่านจะเห็นเป็นประการใด
บุนขิมจึงว่า ซึ่งท่านติงดังนี้ข้าพเจ้าเห็นด้วย เพราะเหตุการณ์วันนี้ต่างกับเมื่อครั้งที่โจโฉก่อตั้งกองทัพปฏิวัติเพื่อล้มล้างอำนาจของตั๋งโต๊ะ ในครั้งนั้นตั๋งโต๊ะเพิ่งครองอำนาจ อำนาจรัฐส่วนกลางยังอ่อนแอ โจโฉจึงประกาศระดมกองทัพพันธมิตรได้โดยเปิดเผย แต่ครั้งนี้อำนาจรัฐส่วนกลางเป็นปึกแผ่น จึงชอบที่จะยกกองทัพจากภาคใต้เข้าตีเมืองลกเอี๋ยงพร้อม ๆ กับการส่งหมายประกาศพระราชเสาวนีย์ของพระนางก๊วยไทเฮาไปยังหัวเมืองต่าง ๆ เมื่อสุมาสูรู้ว่าเรายกกองทัพไปก็คิดอ่านยกกองทัพมารบพุ่ง เห็นจะไม่อาจห้ามปรามหัวเมืองทั้งปวงได้ กว่าจะรู้ตัวกองทัพทั้งปวงก็ยกไปพร้อมกันที่เมืองลกเอี๋ยงแล้ว
บู๊ขิวเขียมจึงว่าแผนการของท่านวิเศษยิ่ง แต่ชอบที่จะระดมหัวเมืองข้างเคียงเมืองซงหยงซึ่งไกลจากเมืองลกเอี๋ยงให้ยกกองทัพไปพร้อมกันที่เมืองชิวฉุนก่อน จะได้ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง ทั้งจะได้กำลังทหารมากพอต่อการยกไปรบพุ่งกับกองทัพเมืองลกเอี๋ยง
บุนขิมได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย ดังนั้นบู๊ขิวเขียมจึงปลอมหมายรับสั่งของพระนางก๊วยไทเฮาไปยังหัวเมืองทั้งปวงให้ยกกองทัพเข้าไปปราบปรามสุมาสูผู้ขบถที่เมืองลกเอี๋ยง แต่บรรดาหัวเมืองใหญ่น้อยที่ขึ้นกับเมืองซงหยงนั้นให้ยกมาพร้อมกันที่เมืองชิวฉุน
ครั้นบู๊ขิวเขียมทราบว่าทหารตามหัวเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองซงหยงกำลังยกมาที่เมือง ชิวฉุนตามหมายรับสั่ง จึงให้ตั้งการพิธีกระทำสัตย์สาบานขึ้นที่บริเวณใกล้ประตูเมืองด้านตะวันตก สั่งการให้ฆ่าม้าขาวเอาเลือดผสมกับสุราสำหรับกระทำสัตย์สาบาน
ครั้นได้เวลาพิธีฤกษ์บู๊ขิวเขียมและบุนขิมจึงเชิญแม่ทัพนายกองจากหัวเมืองทั้งปวงขึ้นไปพร้อมกันบนโรงพิธี ประกาศให้ทราบทั่วกันว่าบัดนี้พระนางก๊วยไทเฮามีพระราชเสาวนีย์ว่าสุมาสู สุมาเจียวสองพี่น้องคิดแย่งชิงราชสมบัติ ถอดพระเจ้าโจฮองออกจากที่พระมหากษัตริย์ตามอำเภอใจ ตั้งโจมอขึ้นเป็นกษัตริย์หุ่นแทน แล้วว่ากล่าวปกครองบ้านเมืองตามอำเภอใจทั้งสิ้น จึงให้บรรดาหัวเมืองทั้งปวงผู้จงรักภักดีร่วมกันกำจัดสุมาสูและสุมาเจียวเสีย ยกพระเจ้าโจฮองขึ้นครองราชย์ดังแต่ก่อน
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังคำประกาศก็หลงเชื่อ จึงพร้อมใจกันกระทำสัตย์สาบานดื่มสุราผสมด้วยเลือดม้าขาว สาบานต่อเทพยดาฟ้าดินว่าจะทำการถวายความจงรักภักดีไปจนกว่าจะสำเร็จ แม้นถึงแก่ความตายก็ไม่เสียดายชีวิต
ครั้นเสร็จพิธีแล้วบู๊ขิวเขียมจึงยกกองทัพหกหมื่นไปตั้งที่เมืองฮางเสีย ให้บุนขิมคุมทหารสองหมื่นเป็นกองลาดตระเวนและกองหนุน เตรียมยกเข้าตีเมืองลกเอี๋ยงต่อไป
ในขณะที่บู๊ขิวเขียมระดมพลเพื่อเตรียมยกไปตีเมืองลกเอี๋ยงนั้น ความทราบไปถึงหน่วยสอดแนมของง่อก๊ก พระเจ้าซุนเหลียงทรงทราบความแล้วไม่ทรงรู้นัยยะว่าเรื่องราวเป็นไปแต่ความขัดแย้งทางการเมืองภายในวุยก๊ก ทรงพระวิตกว่ากองทัพวุยก๊กจะยกมาตีเมืองกังตั๋ง จึงตรัสสั่งให้ซุนจุ่นส่งทหารไปตั้งขัดตาทัพไว้ที่ชายแดน
ฝ่ายสุมาสูหลังจากรู้สึกเจ็บที่เนื้องอกใต้นัยน์ตาซ้ายในวันที่โกรธพระมเหสีพระเจ้าโจฮองแล้ว อาการเจ็บได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น แพทย์หลวงมาตรวจอาการแล้วแนะนำให้ทำการผ่าตัดเอาเนื้องอกสีดำที่อยู่ใต้ตาข้างซ้ายออก ระบุว่าเป็นฝีอักเสบอยู่ภายใน จึงทำให้เนื้องอกนั้นเติบโตขึ้นทุกที จนกระทั่งขนสิบกว่าเส้นที่งอกบนก้อนเนื้องอกหลุดร่วงจนหมดสิ้น
สุมาสูได้กินยาหลายขนานจากทั้งหมอบ้าน หมอหลวง แต่อาการก็ไม่คลาย ไม่เห็นหนทางรักษาด้วยวิธีอย่างอื่น จึงจำต้องทำตามคำแนะนำของหมอหลวง ผ่าตัดเอาเนื้องอกนั้นออก หลังจากผ่าตัดแล้วแพทย์ได้เอายาผงโรยบาดแผลและปิดบาดแผลไว้จนสนิท อาการซึ่งเคยรำคาญก็ค่อยเบาบางลง
ในระหว่างที่สุมาสูพักรักษาแผลผ่าตัดนั้น ได้รับรายงานจากม้าเร็วว่าบู๊ขิวเขียมเป็นกบฏ ยกกองทัพจะมาตีเมืองลกเอี๋ยง สุมาสูจึงให้เชิญอองซกผู้บัญชาการทหารสูงสุดเข้ามาปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด
อองซกจึงว่าศึกเพียงเท่านี้มหาอุปราชอย่าได้วิตกสืบไปเลย ด้วยกองทัพทางใต้ที่ยกมานั้นแท้จริงแล้วล้วนเป็นทหารจากแผ่นดินตงง้วนทั้งสิ้น ตัวไปอยู่รับราชการภาคใต้ แต่ครอบครัวบุตรภรรยาล้วนอยู่ในแผ่นดินตงง้วน “แต่ครั้งกวนอูทหารเอกฝีมือปรากฏทั้งแผ่นดิน ลิบองคิดอ่านเกลี้ยกล่อมครอบครัวทหารซึ่งอยู่ในเมืองเกงจิ๋วได้แล้วก็มีชัยชนะแก่กวนอู ครั้งนี้ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้ไปเกลี้ยกล่อมทหารเมืองห้วยหลำซึ่งอยู่ในแดนเมืองวุยก๊กได้แล้ว เราจึงยกกองทัพไปตั้งสกัดไว้ที่ทางบู๊ขิวเขียมจะกลับไป เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง”
สุมาสูได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า แผนการทั้งนี้ดีเลิศ แต่ผู้นำทัพซึ่งจะยกไปสกัดกองทัพบู๊ขิวเขียมนั้นมิได้เห็นผู้ใด ตัวเราจะยกไปเองก็เกรงบาดแผลซึ่งยังไม่หายสนิทจะกำเริบ
ในขณะนั้นจงโฮยอัจฉริยะสงครามรุ่นใหม่ของวุยก๊กได้อยู่ในที่ประชุมนั้นด้วย พอได้ฟังปรารภของสุมาสูจึงกล่าวเสริมขึ้นว่า “ทหารเมืองห้วยหลำเข้มแข็งอยู่ ซึ่งจะให้ผู้อื่นไปนั้นเกรงจะต้านทานมิหยุด การครั้งนี้เป็นการใหญ่ ถ้าผิดพลั้งจะมิเสียราชการไปหรือ”
จงโฮยเห็นสุมาสูสนใจฟังข้อเสนอ จึงกล่าวสืบไปว่าการศึกครั้งนี้มีการเมืองเจือปน ด้วยบู๊ขิวเขียมแอบอ้างพระราชเสาวนีย์ของไทเฮา ระดมหัวเมืองทั้งปวงเข้ามาตีเมืองลกเอี๋ยง เป็นเหตุการณ์คล้ายคลึงกับเมื่อครั้งพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉก่อตั้งกองทัพปฏิวัติระดมกองทัพหัวเมืองทั้งปวงเพื่อล้มล้างอำนาจของตั๋งโต๊ะ จึงดูแคลนไม่ได้ เพราะหากกองทัพหัวเมืองทั้งปวงรวมตัวผนึกกำลังยกล่วงมาถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้วก็จะรับมือขัดสน ชอบที่จะเผด็จศึกเสียแต่ต้นลม
สุมาสูได้ฟังเหตุผลของจงโฮยเห็นเป็นการใหญ่ ไม่อาจเสี่ยงภัยหรือเสี่ยงต่อความพลาดพลั้งได้ บังเกิดความมุมานะขึ้นในใจแล้วกล่าวว่า เราป่วยเจ็บแต่เท่านี้เป็นไรมี จะคุมกองทัพด้วยตนเองไปกำจัดบู๊ขิวเขียมเสียแต่ต้นศึก เพลิงสงครามจะไม่ไหม้ลามกว้างขวางสืบไป
ปรึกษากันดังนั้นแล้วสุมาสูจึงให้สุมาเจียวอยู่รักษาเมืองลกเอี๋ยง ให้จูกัดตุ้นเป็นแม่ทัพกองทัพส่วนหน้า ยกทหารจากเมืองชีจิ๋วไปขัดตาทัพไว้ที่ปลายแดนต่อกับเมืองชิวฉุน ให้อ้าวจุ๋นเป็นแม่ทัพคุมทหารเมืองเชงจิ๋วยกอ้อมไปสกัดหลังเส้นทางถอยทัพของบู๊ขิวเขียมที่ตำบลเจี๋ยวซอง และให้อองกี๋คุมทหารไปตีตำบลติ๋นลำ ซึ่งเป็นหัวเมืองขึ้นกับเมืองซงหยงเพื่อก่อกวนให้บู๊ขิวเขียมต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่กล้ายกกองทัพรุดไปข้างหน้า ส่วนสุมาสูจะคุมกองทัพหลวงยกไปที่เมืองซงหยง
ครั้นจัดแจงแต่งกองทัพพร้อมสรรพแล้ว สุมาสูจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวงอีกครั้งหนึ่ง ไตร่ตรองแผนการให้กระชับยิ่งขึ้น เตงโป้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้เสนอว่า “บู๊ขิวเขียมคนนี้มีสติปัญญาความคิดอยู่ แต่ว่าคิดอ่านการสิ่งใดก็หาตลอดไม่ ฝ่ายบุนขิมมีกำลังมากแต่ว่าหาปัญญาความคิดไม่ ฝ่ายทหารเมืองห้วยหลำมีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญนัก เราเลินเล่อดูหมิ่นนั้นไม่ได้ ขอให้รักษาค่ายคูไว้ให้มั่นคง ถ้าเราเห็นกำลังข้าศึกร่วงโรยลงแล้ว จึงค่อยคิดอ่านตีให้ยับเยิบอย่าให้ทันรู้ตัวเลย”
ฝ่ายอองกี๋ได้ยินแผนการของเตงโป้ที่ให้กำหนดยุทธการเชิงรับ รอให้ข้าศึกอ่อนล้าอิดโรยจึงค่อยตีก็ไม่เห็นด้วย จึงแย้งว่าศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เพราะได้ระดมเอาหัวเมืองทั้งปวงจะเข้ามาตีเมืองลกเอี๋ยง จึงปล่อยให้เนิ่นช้าสืบไปมิได้ ชอบที่จะรีบรุดเข้าตีเอาอย่าให้ทันตั้งตัว อนึ่งกองทัพที่ยกมาล้วนประกอบขึ้นด้วยกองทัพหัวเมืองต่าง ๆ ไม่มีความเป็นเอกภาพ หากถูกเราเข้าจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว เห็นจะแตกกระจัดกระจายพลัดพรายไปเป็นมั่นคง
สุมาสูได้ฟังความคิดเห็นของทั้งฝ่ายตั้งรับและฝ่ายชิงรุกแล้ว เห็นด้วยกับความเห็นของอองกี๋ จึงสั่งให้รีบยกกองทัพไปตามแผนการ และให้กองทัพหลวงตั้งค่ายไว้ที่สะพานหินซุยแดนเมืองซงหยง เพื่อตรวจตราสภาพการณ์ข้างข้าศึกแล้ววางแผนเข้าโจมตีมิให้ทันตั้งตัว
ครั้นตั้งค่ายที่แดนเมืองซงหยงเสร็จแล้ว อองกี๋จึงเสนอสุมาสูว่าที่ตำบลลำเต๋งนั้นเป็นทางคับขัน มีภูเขาและแม่น้ำขนาบซ้ายขวา ถ้าหากข้าศึกยึดเป็นชัยภูมิได้ก่อนย่อมยากแก่การเข้าโจมตี
สุมาสูได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้อองกี๋เป็นกองหน้า ยกทหารไปชิงยุทธภูมิสำคัญที่ตำบลลำเต๋งให้ได้ก่อน กำชับให้อองกี๋รีบเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน อองกี๋รับคำสั่งแล้วจึงออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปตั้งค่ายอยู่ที่เชิงกำแพงเมืองลำเต๋งอันเป็นชัยภูมิสำคัญ
ฝ่ายบู๊ขิวเขียมตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลฮางเสีย ครั้นได้ทราบความจากหน่วยลาดตระเวนว่าสุมาสูยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่แดนเมืองซงหยง จึงปรึกษากับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าจะคิดอ่านประการใด
ฝ่ายกันหยงซึ่งเป็นกองหน้าได้ยินดังนั้นจึงเสนอว่า ที่เมืองลำเต๋งนี้เป็นชัยภูมิอันสำคัญ หากสุมาสูให้ทหารเข้ายึดชัยภูมินี้ไว้ได้แล้ว ซึ่งจะยกกองทัพรุดหน้าไปก็จะขัดสน จึงชอบที่ท่านจะยกกองทัพไปยึดเอายุทธภูมิลำเต๋งไว้ก่อน
บู๊ขิวเขียมได้ฟังแผนการดังนั้นก็เห็นชอบ สั่งให้เคลื่อนกองทัพไปที่เมืองลำเต๋ง แต่พอเคลื่อนทัพไปไม่ถึงร้อยเส้น ก็ได้รับรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่าสุมาสูได้ส่งกองหน้ามายึดยุทธภูมิลำเต๋งไว้ได้แล้ว
บู๊ขิวเขียมได้ฟังรายงานก็ไม่เชื่อว่ากองทัพเมืองลกเอี๋ยงจะยกมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ จึงคุมทหารรุดหน้าต่อไป แต่พอใกล้กำแพงเมืองลำเต๋งก็เห็นทหารวุยก๊กตั้งค่ายรายเรียงนอกกำแพงเมือง ธงทิวปลิวไสวเป็นอันมาก
บู๊ขิวเขียมเห็นข้าศึกตั้งมั่นในชัยภูมิที่ได้เปรียบ จึงสั่งให้ถอยทัพลงมาตั้งค่ายห่างจากกำแพงเมืองลำเต๋งห้าร้อยเส้น แต่พอตั้งค่ายเสร็จก็ได้รับใบบอกจากเมืองชิวฉุนว่าขณะนี้ซุนจุ่นได้ยกกองทัพเมืองกังตั๋งมาตั้งอยู่ที่ชายแดน เกรงว่าจะยกเข้าตีเอาเมืองชิวฉุน
บู๊ขิวเขียมทราบรายงานแต่มิรู้ความนัยว่าซึ่งซุนจุ่นยกกองทัพมานั้นเป็นเพียงต้องการขัดตาทัพด้วยเกรงว่ากองทัพวุยก๊กจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง จึงสำคัญว่าซุนจุ่นจะยกกองทัพมายึดเมืองชิวฉุน ก็เกรงว่าเมืองชิวฉุนจะเป็นอันตราย ดังนั้นพอค่ำลงบู๊ขิวเขียมจึงสั่งให้ถอยทัพกลับเข้ามาตั้งอยู่ที่เมืองฮางเสียตามเดิม.