ตอนที่ 60. ประชาธิปไตยแบบลิโป้

 ทหารของเล่าปี่กลับจากค่ายของโจโฉแล้ว เอาหนังสือตอบของโจโฉนำไปให้แก่เล่าปี่ ในขณะที่เล่าปี่กำลังปรึกษาการศึกอยู่กับโตเกี๋ยม ครั้นโตเกี๋ยมและเล่าปี่ทราบความตามหนังสือของโจโฉแล้วมีความยินดียิ่งนัก ด้วยไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงในการถอนทัพของโจโฉ ครั้นทหารรักษาเชิงเทินมารายงานว่าบัดนี้โจโฉได้เลิกทัพกลับไปแล้ว ทั้งโตเกี๋ยม เล่าปี่ต่างก็โล่งอก

            ดังนั้นโตเกี๋ยมจึงให้เชิญบรรดาผู้มาช่วยเหลือจากเมืองต่าง ๆ เข้ามาในเมืองชีจิ๋วและจัดงานเลี้ยงฉลอง และถือโอกาสที่ผู้คนมากันพร้อมหน้านั้นขอร้องให้เล่าปี่รับเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วอีกครั้งหนึ่ง เล่าปี่ยังคงไม่ยอมรับ บรรดาผู้มาร่วมงานต่างช่วยกันพูดจาให้เล่าปี่ยอมรับเป็นเจ้าเมืองตามคำขอร้องของโตเกี๋ยม แต่เล่าปี่ยังคงยืนกรานปฏิเสธ

            โตเกี๋ยมครั้นเห็นเล่าปี่ยืนยันปฏิเสธอย่างแข็งขันจึงขอร้องใหม่ว่า ในเมื่อไม่ยอมรับเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว ก็ขอให้มาเป็นเจ้าเมืองเสียวพ่าย ซึ่งเป็นหัวเมืองในบังคับของเมืองชีจิ๋ว โดยอ้างว่าถ้าหากมีราชการสำคัญและจำเป็นแล้วจะได้อาศัยเล่าปี่ได้โดยสะดวก

            เล่าปี่เห็นโตเกี๋ยมมีใจมั่นคงต่อตัวโดยสุจริตเช่นนี้ก็เกรงใจ ตัดสินใจละตำแหน่งเจ้าเมืองเพงง้วนก๋วนเสียแล้วยอมเป็นเจ้าเมืองเสียวพ่ายตามคำขอร้องของโตเกี๋ยม

            โตเกี๋ยมยินดียิ่งนัก สั่งทหารให้จัดเสบียงและเงินทองเป็นอันมากมอบแก่เจ้าเมืองทั้งสองและเล่าปี่เป็นการแสดงความขอบคุณที่มาช่วยเหลือ

            ครั้นเสร็จงานเลี้ยง ขงหยงเจ้าเมืองปักไฮและเต๊งไก๋เจ้าเมืองเซียงจิ๋ว จึงขอลาโตเกี๋ยมยกกองทัพกลับเมืองของตน ฝ่ายจูล่งก็เข้าไปลาเล่าปี่กลับเมืองปักเป๋ง ทั้งเล่าปี่ จูล่งต่างร้องไห้อาลัยรักกันเป็นอันมาก แล้วจูล่งจึงยกทหารม้าสองพันที่เล่าปี่ยืมจากกองซุนจ้านกลับเมืองปักเป๋ง ด้านเล่าปี่ก็ไปรับตำแหน่งเจ้าเมืองเสียวพ่ายพร้อมกับกวนอู เตียวหุย ราษฎรเมืองเสียวพ่ายรู้กิตติศัพท์เล่าปี่มาแต่ก่อนก็มีน้ำใจรักเล่าปี่ และทำมาหากินเป็นปกติสุขโดยทั่วกัน

            ฝ่ายโจโฉเมื่อถอนทัพจากเมืองชีจิ๋วแล้ว เดินทัพมาถึงกลางทางพบกับ โจหยิน ซึ่งแตกทัพมาจากเมืองกุนจิ๋ว โจหยินได้รายงานการศึกให้โจโฉทราบ มีเนื้อความต้องกันกับความซึ่งทหารของโจโฉที่แตกทัพมาก่อนได้รายงานให้โจโฉทราบแล้ว

            โจโฉจึงบอกกับโจหยินว่า “ลิโป้นั้นมีฝีมือกล้าหาญก็จริง แต่หาความคิดมิได้ ท่านอย่าเป็นทุกข์เลย” แล้วสั่งให้เคลื่อนกองทัพต่อไปถึงเมืองเต๊งกวน ซึ่งเป็นเมืองกึ่งกลางระหว่างเมืองกุนจิ๋วกับเมืองปักเอี้ยง และให้ตั้งค่ายมั่นไว้

            คำพูดของโจโฉดังกล่าวเป็นการพูดจากความที่รู้จักกับลิโป้ แต่มองข้ามคนแบบตันก๋งไป อันตันก๋งนั้นเป็นคนมีสติปัญญา รู้จักภูมิประเทศของภาคตะวันออกเป็นอย่างดี แต่โจโฉไม่รู้ความข้อนี้ เนื่องจากเวลาที่อยู่ด้วยกันกับตันก๋งเพียงชั่วสามวันเท่านั้น โจโฉจึงเริ่มต้นด้วยความประมาท และ “ไม่รู้เขา” ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการพลาดพลั้งเสียทีในการสงครามทั้งปวง เนื่องเพราะหลักการใหญ่ในการทำสงครามประการหนึ่งนั้นคือ “ต้องรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งบ่พ่าย”

            การที่โจโฉเลือกหยุดทัพที่เมืองเต๊งกวนเกิดแต่เหตุผลสามประการคือ ข้อแรกจากเมืองเต๊งกวนนี้โจโฉสามารถเลือกที่จะเคลื่อนทัพไปตีเมืองกุนจิ๋ว หรือเมืองปักเอี้ยงก็ได้ ข้อสองการตั้งทัพในลักษณะนี้มีผลบังคับให้ลิโป้จำเป็นต้องแยกทหารออกเป็นสองกองเพื่อป้องกันทั้งเมืองกุนจิ๋วและเมืองปักเอี้ยง ทำให้กำลังทหารของลิโป้ถึงแม้จะมีมากก็ต้องถูกแบ่งแยกเหลือแต่ละเมืองเพียงครึ่งเดียว ทำให้ง่ายต่อการโจมตีช่วงชิงชัย และข้อสามเพื่อต้องการทราบความศึกให้กระจ่างเสียก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกทางใดทางหนึ่ง

            การตั้งทัพในลักษณะนี้แสดงให้เห็นว่าโจโฉและทีมที่ปรึกษาในวันนี้ต่างกับโจโฉเมื่อครั้งที่ร่วมในกองทัพปฏิวัติมากมายนัก แม้สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) จะมิได้มีข้อความใดระบุว่าเป็นความคิดอ่านของคณะที่ปรึกษา แต่เมื่อพิจารณาจากการกำหนดแผนการครั้งนี้แล้วย่อมมิใช่ความคิดของโจโฉเพียงลำพัง และย่อมมิใช่ความคิดของซุนฮก หรือเทียหยก ซึ่งไม่ได้อยู่ในกองทัพ ดังนั้นจึงน่าจะเป็นความคิดของกุยแกที่ปรึกษาหนุ่มผู้นั้น

            ฝ่ายลิโป้ครั้นทราบข่าวโจโฉยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองเต๊งกวน จึงปรึกษากับตันก๋งว่าจะให้ลิฮองและซิหลัน ทหารเอกคุมทหารหมื่นหนึ่งรักษาเมืองกุนจิ๋ว โดยตัวลิโป้เองจะคุมทหารไปรักษาเมืองปักเอี้ยง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่กว่าเมืองกุนจิ๋ว

            ตันก๋งจึงว่าโจโฉตั้งหลักในภาคตะวันออกที่เมืองกุนจิ๋ว แม้ว่าจะเป็นเมืองเล็กกว่าเมืองปักเอี้ยงแต่เป็นเมืองยุทธศาสตร์ ดังนั้นเป้าหมายของโจโฉในการยกทัพมาครั้งนี้คือยึดเมืองกุนจิ๋วคืน หาใช่เตรียมโจมตีเมืองปักเอี้ยงไม่ ดังนั้นการที่ท่านจะยกไปที่เมืองปักเอี้ยงจึงเป็นการเสียเที่ยวเปล่า และการให้ลิฮองกับซิหลันคุมทหารหนึ่งหมื่นรักษาเมืองกุนจิ๋วนั้น ทั้งสองคนนี้สติปัญญาห่างชั้นกับโจโฉมากและทหารก็น้อย คงจะไม่สามารถรับมือกับโจโฉได้ เห็นทีจะเสียเมืองกุนจิ๋วเป็นแน่

            ลิโป้ไม่เห็นด้วยกับความคิดตันก๋ง อ้างว่าเมืองปักเอี้ยงเป็นเมืองใหญ่ โจโฉน่าจะยกไปตีเมืองปักเอี้ยงมากกว่า ดังนั้นตัวเราจะไปรับมือกับโจโฉที่เมืองปักเอี้ยงเอง

            นี่คือความคิดแบบโง่ ๆ ของลิโป้ที่ยึดถือเอาแต่ความใหญ่เล็กของเมืองเป็นสำคัญ ยิ่งกว่าฐานะสำคัญทางยุทธศาสตร์ของเมืองนั้น ทั้งไม่เข้าใจว่าเป้าหมายการศึกครั้งนี้ของโจโฉคือการยึดเมืองกุนจิ๋วคืน หาใช่ยึดเมืองปักเอี้ยงไม่

            ตันก๋งเห็นว่าลิโป้ไม่ฟัง ดันทุรังจะทำตามความคิดตัวก็เกรงว่าจะเสียทีแก่โจโฉจึงเสนอแผนการขั้นที่สองว่า ตรงเขาไทสันหรือภูเขาไท้ซัว ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองกุนจิ๋วประมาณแปดร้อยเส้น และไม่ไกลจากเมืองปักเอี้ยงนั้น เป็นชัยภูมิสำคัญเพราะเป็นทางลัดที่จะแยกไปยังเมืองกุนจิ๋วและเมืองปักเอี้ยง แต่เป็นทางทุรกันดารในซอกเขา ข้าพเจ้าคิดว่าโจโฉจะยกไปตามทางนี้ ให้ท่านจัดทหารหมื่นหนึ่งไปซุ่มอยู่สองข้างทางในซอกเขารอให้กองทัพหน้าโจโฉผ่านไปแล้วจึงเข้าตีกองทัพหลวงพร้อมกันก็จะจับตัวโจโฉได้โดยง่าย เพราะกองหน้าและกองหลังจะเข้าช่วยไม่ทันเนื่องจากเป็นทางจำกัด

            ลิโป้ฟังความเห็นของตันก๋งแล้ว ไม่ยอมใช้ความคิดว่าข้อเสนอเช่นนี้เป็นข้อเสนอจากความกระจ่างแจ้งในภูมิประเทศ กลับเห็นไปว่าการเอาทหารไปซุ่มไว้ในซอกเขาเป็นความยากลำบากและเสียเวลาเปล่า เพราะถึงแม้จะเป็นทางลัดแต่โจโฉน่าจะเลือกไปทางใหญ่ซึ่งสะดวกกว่า ดังนั้นลิโป้จึงไม่ยอมรับแผนการของตันก๋ง ตัดสินใจสั่งให้ลิฮองและซิหลันคุมทหารหมื่นหนึ่งรักษาเมืองกุนจิ๋ว ตัวลิโป้เองยกทหารไปเมืองปักเอี้ยง ตั้งค่ายไว้นอกเมืองทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตก ซึ่งอยู่ใกล้ทางที่จะมาจากเมืองเต๊งกวน

            ข้างโจโฉเมื่อตั้งค่ายลงที่เมืองเต๊งกวนแล้วให้ทหารสืบข่าวความเคลื่อนไหวของลิโป้ ครั้นทราบข่าวดังนั้นแล้วก็ดีใจนัก เห็นว่าจะยึดเมืองกุนจิ๋วคืนได้โดยง่าย จึงกำหนดแผนการยุทธ์ให้โจหยินคุมทหารจำนวนมากยกไปตีเมืองกุนจิ๋วทางหนึ่ง ส่วนโจโฉจะไปยึดเมืองปักเอี้ยงเพื่อจัดการกับลิโป้ด้วยตนเอง มั่นใจว่าจะชนะศึกได้ทั้งสองด้าน

            นี่คือความประมาทของโจโฉที่จับปลาพร้อมกันทีเดียวทั้งสองมือ หากโจโฉยึดเมืองกุนจิ๋วให้เสร็จสิ้นเสียก่อนแล้วระดมทัพทั้งหมดไปตีเมืองปักเอี้ยงก็จะได้โดยง่าย ความประมาทนี้เกิดจากการมองข้ามคนแบบตันก๋งนั่นเอง จึงวางกำลังส่วนใหญ่ไว้ที่การยึดเมืองกุนจิ๋ว จัดกำลังแต่ส่วนน้อยไปยึดเมืองปักเอี้ยง

             กำหนดแผนการยุทธ์เสร็จแล้วจึงสั่งการกองทัพให้เคลื่อนทัพไปตามซอกเขาไทสัน เพื่อจะแยกไปโจมตีเมืองกุนจิ๋วและเมืองปักเอี้ยงต่อไป ขณะเคลื่อนทัพใกล้จะถึงเขาไทสัน กุยแกได้ทักท้วงว่าภูมิประเทศเป็นทางจำเพาะ หากข้าศึกจัดทหารมาซุ่มก็จะเสียทีโดยง่าย สมควรหยุดทัพไว้แล้วให้ทหารหน่วยลาดตระเวนไปสืบสภาพดูก่อน

            โจโฉหัวเราะแล้วว่า คนแบบลิโป้ไร้สติปัญญา คงจะไม่คิดจัดกำลังมาซุ่มและการที่ลิโป้ยกไปเมืองปักเอี้ยงแล้วย่อมแสดงว่าไม่สนใจซุ่มโจมตี ว่าแล้วก็สั่งให้เคลื่อนทัพไปตามซอกเขาไทสันนั้นแล้วแยกเดินทัพเป็นสองทางตามแผนการยุทธ์ที่วางไว้

             ฝ่ายตันก๋งยังคงมั่นใจว่าโจโฉต้องยกมาตามทางเขาไทสัน จึงให้ทหารคอยลาดตระเวนหาข่าวความเคลื่อนไหวของกองทัพโจโฉ ครั้นทราบข่าวว่าโจโฉเคลื่อนทัพดังที่คาดการณ์ไว้จึงแจ้งแก่ลิโป้ว่า โจโฉเคลื่อนทัพมาตามทางลัดที่ทุรกันดารยากลำบาก ดังนั้นทหารโจโฉจึงต้องอ่อนล้าอิดโรย ขอให้ลิโป้ยกกองทัพไปโจมตีโจโฉ อย่าให้โจโฉทันตั้งค่ายเสร็จ ก็จะเอาชัยชนะได้โดยง่าย

            ข้อเสนอของตันก๋งนี้เป็นไปตามหลักพิชัยสงครามที่ให้เข้าตีเมื่อข้าศึกอ่อนล้าอิดโรยไร้เรี่ยวแรงและไม่ทันตั้งตัว แต่ลิโป้ไม่เห็นด้วย กลับคิดว่าการที่โจโฉเดินทัพทางเขาไทสันนั้น สมกับการคาดการณ์ของตันก๋ง จึงรู้สึกเสียหน้า ครั้นตันก๋งเสนอแผนโจมตีโจโฉไม่ให้ทันตั้งตัวจึงออกอาการดันทุรังเอากับตันก๋งว่า “เดิมเราตั้งตัวมาแต่ตัวผู้เดียวกับม้า คิดทำการเที่ยวรบพุ่งมาจนได้ทหารมากขึ้นถึงเพียงนี้แล้ว เราจะคิดย่อท้อ โจโฉนั้นหามิได้ ให้โจโฉตั้งค่ายมั่นลงแล้วเราจะหักเอาให้ได้”

            คำพูดของลิโป้นี้แสดงว่า ลิโป้ซึ่งเดิมอยู่กับเตียวเมี่ยวเจ้าเมืองตันลิว รับคำสั่งให้ยกกองทัพไปตีเมืองกุนจิ๋วได้ทรยศหักหลังเตียวเมี่ยว และตั้งตนเป็นอิสระแล้ว และยังทรนงในฝีมือตัวเอง ตกอยู่ในความประมาท เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้โจโฉตั้งหลักปักค่ายมั่น พักฟื้นกำลังเสียก่อน ซึ่งถือว่าเป็นความโง่เขลาที่สุดในทางการทหาร มิต่างกับสมิงนครอินทร์ทหารเอกพระเจ้าราชาธิราช ที่บอกอุบายซึ่งกองทัพมอญวางกลจะสังหารพม่าเสียด้วยเกรงว่าการต่อสู้จะไม่เป็นไปโดยยุติธรรม จะต่างกันบ้างตรงที่สมิงนครอินทร์โง่ในการสงครามแต่ไม่หัวรั้น แต่ลิโป้ทั้งโง่ทั้งรั้น

            โจโฉครั้นเคลื่อนทัพผ่านช่องเขาไทสันแล้วตรงไปยังเมืองปักเอี้ยงเห็นลิโป้ตั้งค่ายอยู่นอกเมืองทางทิศใต้จึงปลงทัพลงแล้วตั้งค่ายประชิดกับค่ายลิโป้โดยสะดวกดายยิ่งนัก เพราะลิโป้ไม่ต้องการโจมตีในขณะที่โจโฉยังอิดโรยและไม่พร้อม จะรอให้โจโฉพร้อมเสียก่อนจึงค่อยยกออกมารบ น่าที่จะโจโฉจะได้มีหนังสือไปขอบคุณลิโป้ให้เป็นที่สะใจสักครั้งหนึ่ง

            ครั้นรุ่งขึ้นทั้งสองฝ่ายจึงยกทหารออกมาประจัญหน้ากัน ธงทิวปลิวไสวประสานกับเสียงกลองศึกให้สัญญาณแปรรูปขบวนเป็นระยะ ๆ โจโฉเห็นลิโป้ยืนม้าอยู่หน้าสุด ตามด้วยแถวทหารเอกแปดนายอยู่ทางด้านหลัง โจโฉจึงเอาแส้ม้าชี้หน้าลิโป้แล้วว่า “ตัวกับเราจะได้มีความผิดกันสิ่งใดหามิได้ เป็นไฉนตัวจึงยกทหารมาตีเอาเมืองเรา”

            ลิโป้จึงตอบโจโฉเป็นสุนทรพจน์อันบันลือลั่นสนั่นโลก เป็นแบบอย่างของการแสดงเหตุผลแบบนักเลงโตที่น่ารักและน่าขันว่า “เมืองเหล่านี้เป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เหมือนหนึ่งของคนทั้งปวงซึ่งอยู่ในแผ่นดิน ถ้าผู้ใดมีบุญแลเข้มแข็งก็จะครอบครองเมืองได้เหมือนกัน เหตุใดท่านจึงว่าบ้านเมืองนี้เป็นของท่าน หามีความละอายไม่”

          โจโฉแม้ว่าจะเป็นคนเจ้ากลอุบายและเฉลียวฉลาด แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีเหตุผลเช่นนี้อยู่ในโลก และไม่คาดคิดว่าลิโป้จะยกเหตุผลอันพิสดารนี้มาแก้ตัว และด่าว่าตัวเองกลับมาเช่นนี้จึงจำนนต่อถ้อยคำ คิดไม่ออกว่าจะหาเหตุผลที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่านี้ไปตอบโต้ได้อย่างไร

            หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนบทความประชดนักการเมืองที่ชอบอ้างประชาธิปไตย แต่ประพฤติตนเป็นทรราชย์ และเป็นทั้งนักเลงอันธพาลว่าเป็น “นักประชาธิปไตยแบบลิโป้”

            นักประชาธิปไตยแบบลิโป้ เกิดขึ้นในประเทศไทยแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ร่วมสามสิบปีแล้ว จึงยิ่งพัฒนาไปกว่าครั้งกระนั้นมากนัก กลายเป็นประชาธิปไตยที่ฉาบหน้าเป็นจุดขายแบบพระเอกลิเก ในขณะที่ภายในเต็มไปด้วยเผด็จการ การฉ้อราษฎร์บังหลวง นักเลงโต นักขายชาติ นักค้ายาเสพติด และเต็มไปด้วยนักปล้นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยแบบที่เป็นอยู่ในปีพุทธศักราช 2543 นี้ จึงร้ายแรงเสียยิ่งกว่าประชาธิปไตยแบบลิโป้หลายเท่านัก.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร