ตอนที่ 607. เมฆดำเหนือราชบัลลังก์วุยก๊ก
เกียงอุยมัวตายใจว่าสุมาเจียวถูกล้อมอยู่บนเขาเทียดลองสัน ไม่มีทางหนีหลุดรอดออกไปได้ จึงตั้งตาเฝ้าคอยให้สุมาเจียวลงจากเขามายอมจำนนหรือไม่ก็ต้องอดตายไปเอง แต่ฟ้าไม่เข้าข้างเนื่องจากกวยหวยนายทหารเอกของสุมาเจียวทำกลอุบายยกทหารบุกเข้าตีค่ายของเกียงอุยจนแตกพ่ายยับเยิน
กวยหวยควบม้าไล่ตามเกียงอุยไปอย่างกระชั้นชิด พอเห็นเกียงอุยเหลียวตัวมายิงเกาทัณฑ์ก็คิดระวังป้องกันตัว ครั้นได้ยินเสียงยิงเกาทัณฑ์แล้วแต่ไม่เห็นลูกเกาทัณฑ์ก็รู้ว่าเกียงอุยไม่มีลูกเกาทัณฑ์ เป็นแต่การยิงสายเปล่า กวยหวยจึงชะล่าใจสำคัญว่าเกียงอุยเหลือแต่มือเปล่า จึงเร่งม้าให้ไล่ตามเกียงอุยกระชั้นเข้าไป พอใกล้ระยะสมคะเนกวยหวยจึงเอาหอกสั้นซัดไปที่เกียงอุย แต่ฝีเท้าม้าเกียงอุยรุดไปข้างหน้าเสียก่อน หอกสั้นจึงพลัดตกลงข้าง ๆ
ในจังหวะเดียวกันนั้นเกียงอุยก็หยิบเอาลูกเกาทัณฑ์ที่เหลืออยู่เพียงดอกเดียวพาดเข้าแล่ง แล้วกลับตัวยิงเกาทัณฑ์ถูกกวยหวยที่หน้าท้อง กวยหวยพลัดตกลงจากหลังม้า เกียงอุยเห็นดังนั้นจึงรีบขี่ม้าย้อนกลับมา โน้มตัวลงคว้าหอกสั้นของกวยหวยที่หล่นอยู่ข้าง ๆ แล้วพุ่งม้าตรงเข้าไปจะแทงกวยหวย
ในขณะนั้นทหารของกวยหวยได้ยกไล่ตามมาทัน เกียงอุยเห็นจะเข้าไปทำการไม่ทันท่วงทีจึงรีบขี่ม้าหนีไปทางเมืองฮันต๋ง
ทหารของกวยหวยเห็นผู้เป็นนายต้องเกาทัณฑ์บาดเจ็บสาหัสก็พากันหยุดและรีบกระโดดลงจากหลังม้า แล้วอุ้มกวยหวยขึ้นหลังม้าพากลับไปค่าย กวยหวยได้รับบาดเจ็บเป็นทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่ด้วยน้ำใจแกร่งดังเหล็กเพชร กวยหวยจึงข่มความเจ็บไว้มิได้ร้องไห้แม้แต่สักคำเดียว แต่แผลเกาทัณฑ์นั้นสาหัสนัก กวยหวยทนความบาดเจ็บไม่ได้จึงสลบไสลไปบนหลังม้า
ครั้นกลับถึงค่ายกวยหวยก็ค่อยฟื้นคืนสติ พอลืมตาขึ้นก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว จึงตัดสินใจสั่งทหารให้ถอนเกาทัณฑ์ออกจากหน้าท้อง พลันที่ลูกเกาทัณฑ์หลุดจากตัวเลือดสีแดงฉานก็พุ่งออกมา กวยหวยสิ้นสติและถึงแก่ความตายด้วยพิษเกาทัณฑ์นั้น
ฝ่ายสุมาเจียวเห็นเกิดความวุ่นวายแตกตื่นขึ้นในหมู่ทหารของเกียงอุยก็ประหลาดใจ พอทราบว่ากวยหวยยกมาช่วยจึงเร่งขับทหารลงจากเขารุกเข้าฆ่าฟันทหารจ๊กก๊กซึ่งกำลังหนีออกจากค่าย สุมาเจียวพาทหารไล่ตามตีชั่วยามหนึ่งแต่เป็นเวลากลางคืนจึงไล่ติดตามไม่ถนัดเป็นเหตุให้ไล่ไม่ทัน ครั้นทราบว่ากองทัพจ๊กก๊กถอยเข้าแดนเมืองฮันต๋งแล้ว สุมาเจียวจึงให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่ทหารทั้งปวงเป็นจำนวนมาก
สุมาเจียวได้กล่าวกับปีต๋องว่า ตัวท่านกระทำความผิดคิดเข้ากับศัตรูราชสมบัติ แต่สำนึกผิดได้ทันท่วงที แล้วทำการมีความชอบ ท่านจงกลับไปเมืองก่อน เมื่อเราไปถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้วจะกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจฮองปูนบำเหน็จความชอบแก่ท่าน
ปีต๋องคำนับสุมาเจียวแล้วจึงกลับออกมาพาทหารเดินทางกลับไปเมืองเกี๋ยง วันรุ่งขึ้นสุมาเจียวจึงเลิกทัพยกกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายแฮหัวป๋าพาทหารหนีพ้นจากการติดตามแล้วก็มุ่งหน้าไปทางเมืองฮันต๋ง ได้พบกับเกียงอุยในระหว่างทาง จึงปรึกษาหารือกันว่าการสงครามครั้งนี้ได้สูญเสียทหารเป็นจำนวนมาก แต่ยังดีหน่อยหนึ่งตรงที่ได้กำจัดนายทหารเอกของวุยก๊กไปถึงสองคนและทหารเลวอีกไม่น้อย ความผิดและความชอบเห็นจะพอคุ้มกัน แม้นจะเข้าไปเฝ้ากราบบังคมทูลก็เห็นจะไม่เป็นโทษ
เกียงอุยจึงชวนแฮหัวป๋าเข้าไปเมืองเสฉวน แล้วกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบความทุกประการ
ฝ่ายสุมาเจียวเมื่อเลิกทัพกลับถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้ว จึงเข้าไปรายงานให้สุมาสูผู้พี่ทราบความทุกประการ ครั้นถึงวันพระเจ้าโจฮองเสด็จออกว่าราชการ สุมาสูจึงพาสุมาเจียวเข้าไปเฝ้าในท่ามกลางมหาสมาคม แล้วกราบบังคมทูลถวายรายงานการสงครามให้ทรงทราบ และขอให้ทรงปูนบำเหน็จความชอบแก่ปีต๋องและแม่ทัพนายกองทั้งปวง
พระเจ้าโจฮองทรงฟังรายงานด้วยความยินดี และโปรดพระราชทานบำเหน็จรางวัลตามที่ทูลขอนั้นทุกประการ แต่ในขณะนั้นก็รู้สึกหวั่นพระทัยว่าสุมาสูและสุมาเจียวในวันนี้เริ่มมีพฤติการที่ไม่สู้จะนอบน้อมต่อพระองค์ดังแต่ก่อน จึงทรงเก็บความอันไม่ปกติไว้นั้นในพระทัย
หลังจากชนะสงครามครั้งนี้แล้วสุมาสูและสุมาเจียวก็มีบารมีในทางการทหารเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก เป็นไปดังความในพิชัยสงครามที่ว่า อันแม่ทัพนายกองเมื่อทำการได้ชัยชนะแก่ข้าศึกหนึ่งครั้งก็จะกำเริบเติบใหญ่ไปอีกนานเท่านาน ดังนั้นแต่โบราณมาเมื่อผู้เป็นรัฎฐาธิปัตย์เห็นผู้ใดทำการได้ชัยแก่ข้าศึกมีความชอบก็จะต้องรีบโยกย้ายหรือลดทอนอำนาจทางการทหารลงในทันที แม้นขืนปล่อยไว้ก็จะก่อการกำเริบมากขึ้น และคิดชิงเอาราชสมบัติในภายหน้า แม้ในการบริหารราชการแผ่นดินก็เป็นอย่างเดียวกัน ขุนนางผู้ใดครองอำนาจบาทใหญ่ในหน่วยงานนานช้าแล้ว ก็จะสร้างสมซ่องสุมอิทธิพลอำนาจ อุปมาดั่งต้นไทรที่แผ่ขยายรากครอบคลุมแน่นหนามากขึ้น จนกระทั่งร้อยรัดเอาต้นไม้หลักให้เหี่ยวเฉาตายไปในที่สุด ตัวอย่างที่เป็นมาในประวัติศาสตร์ก็ได้ปรากฏเป็นบทพิสูจน์ความแห่งพิชัยสงครามนี้นับครั้งไม่ถ้วน เหตุนี้โบราณจึงมีบทแก้ว่าอย่าปล่อยให้น้ำนิ่งจนเน่า จะต้องขับเคลื่อนให้เลื่อนไหลไปจึงจะใสสะอาด ใช้ดื่มกินได้ดังนี้แล
พระเจ้าโจฮองเป็นกษัตริย์ผู้เยาว์ ทั้งบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ร่วมสกุลและพระญาติต่าง ๆ ก็ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น ขุนนางทั้งปวงที่อยู่ในราชการก็แปรผันไปเข้าเป็นพวกของสุมาสูและสุมาเจียวจนหมดสิ้น ดังนั้นพระเจ้าโจฮองจึงจำต้องปล่อยให้สองสุมาพี่น้องครองอำนาจเป็นใหญ่เติบกล้าขึ้นทุกที ทั้ง ๆ ที่ทรงกังวลในพระทัยแต่ก็ไม่รู้ที่จะทำประการใด
สุมาสูและสุมาเจียวได้ครองอำนาจการเมืองการทหารในแผ่นดินวุยก๊กอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด “บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็อยู่ในบังคับบัญชาสิ้นทั้งนั้น จะผิดแลชอบประการใดก็หาผู้ทัดทานได้ไม่”
อำนาจทางการเมืองการทหารของสุมาสูและสุมาเจียวเพิ่มพูนขึ้นเพียงใด ความกำเริบในใจของสองพี่น้องสุมาก็ยิ่งมากขึ้นตาม ดังนั้นทั้งสีหน้าท่าทางจึงแปรเปลี่ยนไปจากเดิม เวลาเข้าเฝ้าถวายบังคมพระเจ้าโจฮองก็มีลักษณะที่แข็งกร้าว ค่อยๆ ก่อตัวเป็นความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นกับพระเจ้าโจฮองมากขึ้นทุกที บรรดาขุนนางซึ่งเป็นพวกนกรู้และพลิ้วลู่ตามลม สังเกตเหตุการณ์ได้โดยละเอียดก็ยิ่งประพฤติตนเป็นฝักฝ่ายใกล้ชิดกับสุมาสูและสุมาเจียวมากขึ้น จนกระทั่งพระเจ้าโจฮองทรงรู้สึกพระองค์ว่าทรงโดดเดี่ยวมากขึ้นทุกที ในแต่ละวันบรรดาพ่อค้าวาณิชพากันแห่เข้าไปแสดงความยินดีและนำข้าวของไปบรรณาการแก่สองพี่น้องสุมาอย่างเอิกเกริก จนเกิดเป็นคำกล่าวเล่าขานว่าสองพี่น้องตระกูลสุมาก็คือฮ่องเต้องค์จริงของวุยก๊ก กิตติศัพท์ได้ยินถึงพระกรรณของพระเจ้าโจฮองก็ทรงยิ่งร้อนพระทัย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบเจ็ดพรรษา เดือนสิบ ความขัดแย้งทางการเมืองในแผ่นดินวุยก๊กได้ก่อเค้าดำทะมึนเข้าแผ่ปกคลุมเหนือราชสำนักวุยอย่างแน่นหนา
วันหนึ่งพระเจ้าโจฮองเสด็จออกว่าราชการตามปกติ ทอดพระเนตรเห็นสุมาสูถือกระบี่เข้ามาในท้องพระโรง ซึ่งเป็นการผิดกฎมณเฑียรบาลมีโทษถึงประหารชีวิต โดยมิได้หวาดหวั่นพรั่งพรึงต่อพระราชอาญาก็ตกพระทัย และด้วยความอ่อนเยาว์ทางความคิด พระเจ้าโจฮองเผลอพระองค์เสด็จลงจากพระราชบัลลังก์ออกไปต้อนรับสุมาสู ขุนนางทั้งปวงในท้องพระโรงเห็นดังนั้นก็พากันตกตะลึงเพราะไม่เคยปรากฏมาแต่ก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จลงจากพระราชบัลลังก์ไปต้อนรับขุนนางไม่ว่าขุนนางนั้นจะมีตำแหน่งใหญ่โตประการใด
สุมาสูเห็นพระเจ้าโจฮองเสด็จออกมาต้อนรับก็หัวเราะดังสนั่นท้องพระโรง แต่มิได้ถวายบังคมตามประเพณี กลับทูลว่า “มีธรรมเนียมอยู่หรือเจ้าจะออกมาต้อนรับข้า เชิญเสด็จขึ้นไปนั่งบนที่เถิดจึงจะสมควร”
พระเจ้าโจฮองได้ยินคำสุมาสูก็ได้พระสติ เสด็จพระราชดำเนินกลับขึ้นไปประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์แต่มิได้ทรงตรัสประการใด ขุนนางทั้งปวงพากันนิ่งอึ้ง สุมาสูออกมายืนอยู่เบื้องหน้าขุนนางทั้งปวงแต่มิได้กราบทูลหรือกล่าวประการใด
บรรยากาศเคร่งเครียดครอบงำท้องพระโรงอย่างหนาแน่น พระเจ้าโจฮองประทับนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มิรู้ที่จะทำประการใดจึงเสด็จกลับเข้าไปที่ข้างใน สุมาสูก็หัวเราะแล้วเดินกลับออกไปจากท้องพระโรง ขึ้นเกวียนประจำตำแหน่ง ให้ทหารองครักษ์กว่าพันคนแห่แหนหน้าหลังจากพระราชวังกลับไปจวน ขุนนางทั้งปวงเห็น ดังนั้นจึงพากันเดินตามสุมาสูออกไป เหลืออยู่แต่เพียงขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของพระจักรพรรดิสามคน คือแฮเฮาเหียน ลิฮอง และเตียวอิบ ซึ่งเป็นบิดาของพระมเหสีของพระเจ้าโจฮองยังคงยืนอยู่ในท้องพระโรง
ครู่หนึ่งพระเจ้าโจฮองได้เยี่ยมพระพักตร์ผ่านพระวิสูตรด้านหลังท้องพระโรง เห็นขุนนางทั้งปวงพากันกลับออกไปจากท้องพระโรงจนหมดสิ้น เหลืออยู่แต่เพียงขุนนางผู้ใหญ่สามคนก็ทอดถอนพระทัย และเมื่อเห็นว่าภายในท้องพระโรงไม่มีผู้ใดนอกจาก ขุนนางผู้ใหญ่สามคน และทหารผู้น้อยซึ่งรักษาความปลอดภัยในท้องพระโรง จึงเสด็จเข้ามาหาขุนนางทั้งสามคน
พระเจ้าโจฮองยุดเอามือเตียวอิบมากุมไว้ ทรงกันแสงและตรัสว่า “ทุกวันนี้สุมาสู ดูถูกเราเหมือนเด็กน้อย ดูถูกขุนนางทั้งปวงเหมือนหญ้าแพรก เราเห็นไม่ช้าแล้วราชสมบัติก็จะเป็นของสุมาสู”
ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามคนเห็นดังนั้นก็พากันร้องไห้ ลิฮองจึงกราบทูลว่าข้าพระองค์เป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋น ได้ตระหนักดีถึงความทุกข์อันอัดแน่นอยู่ในพระทัย แต่เมื่อไม่มีอำนาจทางการทหารก็มิรู้ที่จะคิดอ่านช่วยเหลือพระองค์ประการใดได้ แต่ถ้าหากพระองค์ทรงตั้งความประสงค์ที่จะแก้ไขปัญหา ข้าพระองค์ก็เห็นว่าต่อภายนอกนั้นชอบที่พระองค์จะมีหมายรับสั่งไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวงให้เตรียมกำลังพร้อมไว้ ต่อภายในให้เกลี้ยกล่อมซ่องสุมคนดีมีฝีมือแลสติปัญญา และทหารซึ่งมีฝีมือเข้มแข็งซึ่งจงรักภักดีให้ตระเตรียมการไว้ เมื่อพร้อมแล้วก็ให้หัวเมืองทั้งปวงยกทหารเข้ามากำจัดสองพี่น้องแซ่สุมาเสีย เมื่อการภายนอกภายในกระหนาบพร้อมกันดังนี้ เห็นทุกข์ในพระทัยของพระองค์จะสร่างสิ้นไปเป็นแน่แท้
แฮเฮาเหียนได้ยินดังนั้นจึงกราบทูลเสริมว่า แฮหัวป๋าพี่ชายข้าพระองค์ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ มีความพยาบาทสองพี่น้องสุมาอยู่เป็นอันมาก เพราะได้สังหารผลาญชีวิตญาติพี่น้องจนหมดสิ้น เมื่อใดที่แฮหัวป๋าทราบว่าพระองค์จะทำการกำจัดศัตรูราชสมบัติ ข้าพระองค์ก็จะขอให้แฮหัวป๋ายกทหารมาช่วย
พระเจ้าโจฮองได้ยินดังนั้นจึงตรัสว่า เวลาบัดนี้ทหารทั้งปวงอยู่ในอำนาของสุมาสูและสุมาเจียวทั้งสิ้น เห็นแต่แฮหัวป๋าซึ่งมีกำลังทหารอยู่กับเกียงอุยที่เมืองฮันต๋งพอจะยกมาช่วยทำการได้ แต่ทำประการใดจึงจะแจ้งความทุกข์ของเราไปถึงแฮหัวป๋าได้
แฮเฮาเหียนจึงกราบทูลว่าข้าพระองค์ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ หาได้นิ่งนอนใจแต่ประการใดไม่ ความทุกข์ร้อนของพระองค์ประการใด ก็เป็นความทุกข์ร้อนของข้าพระองค์ประการนั้นด้วย ดังนั้นจึงขออาสาไปกับลิฮอง จะทำการเกลี้ยกล่อมให้แฮหัวป๋ายกทหารมากำจัดสุมาสูและสุมาเจียวเอง
พระเจ้าโจฮองจึงตรัสว่า ความคิดทั้งนี้ก็ดีอยู่ แต่เราให้หวั่นใจว่าจะทำการไม่สำเร็จ ด้วยหูตาของสุมาสูและสุมาเจียวทั้งข้างในและข้างนอกราชสำนักหนาแน่น หากพลาดพลั้งประการใดอันตรายก็จะมาถึงตัว ตรัสแล้วก็ยิ่งทรงกันแสงหนักขึ้น.
กวยหวยควบม้าไล่ตามเกียงอุยไปอย่างกระชั้นชิด พอเห็นเกียงอุยเหลียวตัวมายิงเกาทัณฑ์ก็คิดระวังป้องกันตัว ครั้นได้ยินเสียงยิงเกาทัณฑ์แล้วแต่ไม่เห็นลูกเกาทัณฑ์ก็รู้ว่าเกียงอุยไม่มีลูกเกาทัณฑ์ เป็นแต่การยิงสายเปล่า กวยหวยจึงชะล่าใจสำคัญว่าเกียงอุยเหลือแต่มือเปล่า จึงเร่งม้าให้ไล่ตามเกียงอุยกระชั้นเข้าไป พอใกล้ระยะสมคะเนกวยหวยจึงเอาหอกสั้นซัดไปที่เกียงอุย แต่ฝีเท้าม้าเกียงอุยรุดไปข้างหน้าเสียก่อน หอกสั้นจึงพลัดตกลงข้าง ๆ
ในจังหวะเดียวกันนั้นเกียงอุยก็หยิบเอาลูกเกาทัณฑ์ที่เหลืออยู่เพียงดอกเดียวพาดเข้าแล่ง แล้วกลับตัวยิงเกาทัณฑ์ถูกกวยหวยที่หน้าท้อง กวยหวยพลัดตกลงจากหลังม้า เกียงอุยเห็นดังนั้นจึงรีบขี่ม้าย้อนกลับมา โน้มตัวลงคว้าหอกสั้นของกวยหวยที่หล่นอยู่ข้าง ๆ แล้วพุ่งม้าตรงเข้าไปจะแทงกวยหวย
ในขณะนั้นทหารของกวยหวยได้ยกไล่ตามมาทัน เกียงอุยเห็นจะเข้าไปทำการไม่ทันท่วงทีจึงรีบขี่ม้าหนีไปทางเมืองฮันต๋ง
ทหารของกวยหวยเห็นผู้เป็นนายต้องเกาทัณฑ์บาดเจ็บสาหัสก็พากันหยุดและรีบกระโดดลงจากหลังม้า แล้วอุ้มกวยหวยขึ้นหลังม้าพากลับไปค่าย กวยหวยได้รับบาดเจ็บเป็นทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่ด้วยน้ำใจแกร่งดังเหล็กเพชร กวยหวยจึงข่มความเจ็บไว้มิได้ร้องไห้แม้แต่สักคำเดียว แต่แผลเกาทัณฑ์นั้นสาหัสนัก กวยหวยทนความบาดเจ็บไม่ได้จึงสลบไสลไปบนหลังม้า
ครั้นกลับถึงค่ายกวยหวยก็ค่อยฟื้นคืนสติ พอลืมตาขึ้นก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว จึงตัดสินใจสั่งทหารให้ถอนเกาทัณฑ์ออกจากหน้าท้อง พลันที่ลูกเกาทัณฑ์หลุดจากตัวเลือดสีแดงฉานก็พุ่งออกมา กวยหวยสิ้นสติและถึงแก่ความตายด้วยพิษเกาทัณฑ์นั้น
ฝ่ายสุมาเจียวเห็นเกิดความวุ่นวายแตกตื่นขึ้นในหมู่ทหารของเกียงอุยก็ประหลาดใจ พอทราบว่ากวยหวยยกมาช่วยจึงเร่งขับทหารลงจากเขารุกเข้าฆ่าฟันทหารจ๊กก๊กซึ่งกำลังหนีออกจากค่าย สุมาเจียวพาทหารไล่ตามตีชั่วยามหนึ่งแต่เป็นเวลากลางคืนจึงไล่ติดตามไม่ถนัดเป็นเหตุให้ไล่ไม่ทัน ครั้นทราบว่ากองทัพจ๊กก๊กถอยเข้าแดนเมืองฮันต๋งแล้ว สุมาเจียวจึงให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่ทหารทั้งปวงเป็นจำนวนมาก
สุมาเจียวได้กล่าวกับปีต๋องว่า ตัวท่านกระทำความผิดคิดเข้ากับศัตรูราชสมบัติ แต่สำนึกผิดได้ทันท่วงที แล้วทำการมีความชอบ ท่านจงกลับไปเมืองก่อน เมื่อเราไปถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้วจะกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจฮองปูนบำเหน็จความชอบแก่ท่าน
ปีต๋องคำนับสุมาเจียวแล้วจึงกลับออกมาพาทหารเดินทางกลับไปเมืองเกี๋ยง วันรุ่งขึ้นสุมาเจียวจึงเลิกทัพยกกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายแฮหัวป๋าพาทหารหนีพ้นจากการติดตามแล้วก็มุ่งหน้าไปทางเมืองฮันต๋ง ได้พบกับเกียงอุยในระหว่างทาง จึงปรึกษาหารือกันว่าการสงครามครั้งนี้ได้สูญเสียทหารเป็นจำนวนมาก แต่ยังดีหน่อยหนึ่งตรงที่ได้กำจัดนายทหารเอกของวุยก๊กไปถึงสองคนและทหารเลวอีกไม่น้อย ความผิดและความชอบเห็นจะพอคุ้มกัน แม้นจะเข้าไปเฝ้ากราบบังคมทูลก็เห็นจะไม่เป็นโทษ
เกียงอุยจึงชวนแฮหัวป๋าเข้าไปเมืองเสฉวน แล้วกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบความทุกประการ
ฝ่ายสุมาเจียวเมื่อเลิกทัพกลับถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้ว จึงเข้าไปรายงานให้สุมาสูผู้พี่ทราบความทุกประการ ครั้นถึงวันพระเจ้าโจฮองเสด็จออกว่าราชการ สุมาสูจึงพาสุมาเจียวเข้าไปเฝ้าในท่ามกลางมหาสมาคม แล้วกราบบังคมทูลถวายรายงานการสงครามให้ทรงทราบ และขอให้ทรงปูนบำเหน็จความชอบแก่ปีต๋องและแม่ทัพนายกองทั้งปวง
พระเจ้าโจฮองทรงฟังรายงานด้วยความยินดี และโปรดพระราชทานบำเหน็จรางวัลตามที่ทูลขอนั้นทุกประการ แต่ในขณะนั้นก็รู้สึกหวั่นพระทัยว่าสุมาสูและสุมาเจียวในวันนี้เริ่มมีพฤติการที่ไม่สู้จะนอบน้อมต่อพระองค์ดังแต่ก่อน จึงทรงเก็บความอันไม่ปกติไว้นั้นในพระทัย
หลังจากชนะสงครามครั้งนี้แล้วสุมาสูและสุมาเจียวก็มีบารมีในทางการทหารเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก เป็นไปดังความในพิชัยสงครามที่ว่า อันแม่ทัพนายกองเมื่อทำการได้ชัยชนะแก่ข้าศึกหนึ่งครั้งก็จะกำเริบเติบใหญ่ไปอีกนานเท่านาน ดังนั้นแต่โบราณมาเมื่อผู้เป็นรัฎฐาธิปัตย์เห็นผู้ใดทำการได้ชัยแก่ข้าศึกมีความชอบก็จะต้องรีบโยกย้ายหรือลดทอนอำนาจทางการทหารลงในทันที แม้นขืนปล่อยไว้ก็จะก่อการกำเริบมากขึ้น และคิดชิงเอาราชสมบัติในภายหน้า แม้ในการบริหารราชการแผ่นดินก็เป็นอย่างเดียวกัน ขุนนางผู้ใดครองอำนาจบาทใหญ่ในหน่วยงานนานช้าแล้ว ก็จะสร้างสมซ่องสุมอิทธิพลอำนาจ อุปมาดั่งต้นไทรที่แผ่ขยายรากครอบคลุมแน่นหนามากขึ้น จนกระทั่งร้อยรัดเอาต้นไม้หลักให้เหี่ยวเฉาตายไปในที่สุด ตัวอย่างที่เป็นมาในประวัติศาสตร์ก็ได้ปรากฏเป็นบทพิสูจน์ความแห่งพิชัยสงครามนี้นับครั้งไม่ถ้วน เหตุนี้โบราณจึงมีบทแก้ว่าอย่าปล่อยให้น้ำนิ่งจนเน่า จะต้องขับเคลื่อนให้เลื่อนไหลไปจึงจะใสสะอาด ใช้ดื่มกินได้ดังนี้แล
พระเจ้าโจฮองเป็นกษัตริย์ผู้เยาว์ ทั้งบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ร่วมสกุลและพระญาติต่าง ๆ ก็ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น ขุนนางทั้งปวงที่อยู่ในราชการก็แปรผันไปเข้าเป็นพวกของสุมาสูและสุมาเจียวจนหมดสิ้น ดังนั้นพระเจ้าโจฮองจึงจำต้องปล่อยให้สองสุมาพี่น้องครองอำนาจเป็นใหญ่เติบกล้าขึ้นทุกที ทั้ง ๆ ที่ทรงกังวลในพระทัยแต่ก็ไม่รู้ที่จะทำประการใด
สุมาสูและสุมาเจียวได้ครองอำนาจการเมืองการทหารในแผ่นดินวุยก๊กอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด “บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็อยู่ในบังคับบัญชาสิ้นทั้งนั้น จะผิดแลชอบประการใดก็หาผู้ทัดทานได้ไม่”
อำนาจทางการเมืองการทหารของสุมาสูและสุมาเจียวเพิ่มพูนขึ้นเพียงใด ความกำเริบในใจของสองพี่น้องสุมาก็ยิ่งมากขึ้นตาม ดังนั้นทั้งสีหน้าท่าทางจึงแปรเปลี่ยนไปจากเดิม เวลาเข้าเฝ้าถวายบังคมพระเจ้าโจฮองก็มีลักษณะที่แข็งกร้าว ค่อยๆ ก่อตัวเป็นความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นกับพระเจ้าโจฮองมากขึ้นทุกที บรรดาขุนนางซึ่งเป็นพวกนกรู้และพลิ้วลู่ตามลม สังเกตเหตุการณ์ได้โดยละเอียดก็ยิ่งประพฤติตนเป็นฝักฝ่ายใกล้ชิดกับสุมาสูและสุมาเจียวมากขึ้น จนกระทั่งพระเจ้าโจฮองทรงรู้สึกพระองค์ว่าทรงโดดเดี่ยวมากขึ้นทุกที ในแต่ละวันบรรดาพ่อค้าวาณิชพากันแห่เข้าไปแสดงความยินดีและนำข้าวของไปบรรณาการแก่สองพี่น้องสุมาอย่างเอิกเกริก จนเกิดเป็นคำกล่าวเล่าขานว่าสองพี่น้องตระกูลสุมาก็คือฮ่องเต้องค์จริงของวุยก๊ก กิตติศัพท์ได้ยินถึงพระกรรณของพระเจ้าโจฮองก็ทรงยิ่งร้อนพระทัย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบเจ็ดพรรษา เดือนสิบ ความขัดแย้งทางการเมืองในแผ่นดินวุยก๊กได้ก่อเค้าดำทะมึนเข้าแผ่ปกคลุมเหนือราชสำนักวุยอย่างแน่นหนา
วันหนึ่งพระเจ้าโจฮองเสด็จออกว่าราชการตามปกติ ทอดพระเนตรเห็นสุมาสูถือกระบี่เข้ามาในท้องพระโรง ซึ่งเป็นการผิดกฎมณเฑียรบาลมีโทษถึงประหารชีวิต โดยมิได้หวาดหวั่นพรั่งพรึงต่อพระราชอาญาก็ตกพระทัย และด้วยความอ่อนเยาว์ทางความคิด พระเจ้าโจฮองเผลอพระองค์เสด็จลงจากพระราชบัลลังก์ออกไปต้อนรับสุมาสู ขุนนางทั้งปวงในท้องพระโรงเห็นดังนั้นก็พากันตกตะลึงเพราะไม่เคยปรากฏมาแต่ก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จลงจากพระราชบัลลังก์ไปต้อนรับขุนนางไม่ว่าขุนนางนั้นจะมีตำแหน่งใหญ่โตประการใด
สุมาสูเห็นพระเจ้าโจฮองเสด็จออกมาต้อนรับก็หัวเราะดังสนั่นท้องพระโรง แต่มิได้ถวายบังคมตามประเพณี กลับทูลว่า “มีธรรมเนียมอยู่หรือเจ้าจะออกมาต้อนรับข้า เชิญเสด็จขึ้นไปนั่งบนที่เถิดจึงจะสมควร”
พระเจ้าโจฮองได้ยินคำสุมาสูก็ได้พระสติ เสด็จพระราชดำเนินกลับขึ้นไปประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์แต่มิได้ทรงตรัสประการใด ขุนนางทั้งปวงพากันนิ่งอึ้ง สุมาสูออกมายืนอยู่เบื้องหน้าขุนนางทั้งปวงแต่มิได้กราบทูลหรือกล่าวประการใด
บรรยากาศเคร่งเครียดครอบงำท้องพระโรงอย่างหนาแน่น พระเจ้าโจฮองประทับนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มิรู้ที่จะทำประการใดจึงเสด็จกลับเข้าไปที่ข้างใน สุมาสูก็หัวเราะแล้วเดินกลับออกไปจากท้องพระโรง ขึ้นเกวียนประจำตำแหน่ง ให้ทหารองครักษ์กว่าพันคนแห่แหนหน้าหลังจากพระราชวังกลับไปจวน ขุนนางทั้งปวงเห็น ดังนั้นจึงพากันเดินตามสุมาสูออกไป เหลืออยู่แต่เพียงขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของพระจักรพรรดิสามคน คือแฮเฮาเหียน ลิฮอง และเตียวอิบ ซึ่งเป็นบิดาของพระมเหสีของพระเจ้าโจฮองยังคงยืนอยู่ในท้องพระโรง
ครู่หนึ่งพระเจ้าโจฮองได้เยี่ยมพระพักตร์ผ่านพระวิสูตรด้านหลังท้องพระโรง เห็นขุนนางทั้งปวงพากันกลับออกไปจากท้องพระโรงจนหมดสิ้น เหลืออยู่แต่เพียงขุนนางผู้ใหญ่สามคนก็ทอดถอนพระทัย และเมื่อเห็นว่าภายในท้องพระโรงไม่มีผู้ใดนอกจาก ขุนนางผู้ใหญ่สามคน และทหารผู้น้อยซึ่งรักษาความปลอดภัยในท้องพระโรง จึงเสด็จเข้ามาหาขุนนางทั้งสามคน
พระเจ้าโจฮองยุดเอามือเตียวอิบมากุมไว้ ทรงกันแสงและตรัสว่า “ทุกวันนี้สุมาสู ดูถูกเราเหมือนเด็กน้อย ดูถูกขุนนางทั้งปวงเหมือนหญ้าแพรก เราเห็นไม่ช้าแล้วราชสมบัติก็จะเป็นของสุมาสู”
ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามคนเห็นดังนั้นก็พากันร้องไห้ ลิฮองจึงกราบทูลว่าข้าพระองค์เป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋น ได้ตระหนักดีถึงความทุกข์อันอัดแน่นอยู่ในพระทัย แต่เมื่อไม่มีอำนาจทางการทหารก็มิรู้ที่จะคิดอ่านช่วยเหลือพระองค์ประการใดได้ แต่ถ้าหากพระองค์ทรงตั้งความประสงค์ที่จะแก้ไขปัญหา ข้าพระองค์ก็เห็นว่าต่อภายนอกนั้นชอบที่พระองค์จะมีหมายรับสั่งไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวงให้เตรียมกำลังพร้อมไว้ ต่อภายในให้เกลี้ยกล่อมซ่องสุมคนดีมีฝีมือแลสติปัญญา และทหารซึ่งมีฝีมือเข้มแข็งซึ่งจงรักภักดีให้ตระเตรียมการไว้ เมื่อพร้อมแล้วก็ให้หัวเมืองทั้งปวงยกทหารเข้ามากำจัดสองพี่น้องแซ่สุมาเสีย เมื่อการภายนอกภายในกระหนาบพร้อมกันดังนี้ เห็นทุกข์ในพระทัยของพระองค์จะสร่างสิ้นไปเป็นแน่แท้
แฮเฮาเหียนได้ยินดังนั้นจึงกราบทูลเสริมว่า แฮหัวป๋าพี่ชายข้าพระองค์ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ มีความพยาบาทสองพี่น้องสุมาอยู่เป็นอันมาก เพราะได้สังหารผลาญชีวิตญาติพี่น้องจนหมดสิ้น เมื่อใดที่แฮหัวป๋าทราบว่าพระองค์จะทำการกำจัดศัตรูราชสมบัติ ข้าพระองค์ก็จะขอให้แฮหัวป๋ายกทหารมาช่วย
พระเจ้าโจฮองได้ยินดังนั้นจึงตรัสว่า เวลาบัดนี้ทหารทั้งปวงอยู่ในอำนาของสุมาสูและสุมาเจียวทั้งสิ้น เห็นแต่แฮหัวป๋าซึ่งมีกำลังทหารอยู่กับเกียงอุยที่เมืองฮันต๋งพอจะยกมาช่วยทำการได้ แต่ทำประการใดจึงจะแจ้งความทุกข์ของเราไปถึงแฮหัวป๋าได้
แฮเฮาเหียนจึงกราบทูลว่าข้าพระองค์ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ หาได้นิ่งนอนใจแต่ประการใดไม่ ความทุกข์ร้อนของพระองค์ประการใด ก็เป็นความทุกข์ร้อนของข้าพระองค์ประการนั้นด้วย ดังนั้นจึงขออาสาไปกับลิฮอง จะทำการเกลี้ยกล่อมให้แฮหัวป๋ายกทหารมากำจัดสุมาสูและสุมาเจียวเอง
พระเจ้าโจฮองจึงตรัสว่า ความคิดทั้งนี้ก็ดีอยู่ แต่เราให้หวั่นใจว่าจะทำการไม่สำเร็จ ด้วยหูตาของสุมาสูและสุมาเจียวทั้งข้างในและข้างนอกราชสำนักหนาแน่น หากพลาดพลั้งประการใดอันตรายก็จะมาถึงตัว ตรัสแล้วก็ยิ่งทรงกันแสงหนักขึ้น.