ตอนที่ 606. อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน
เกียงอุยเล็งความคิดของสุมาเจียวว่าจะใช้ลูกไม้เก่าของสุมาอี้ส่งกำลังไปตีกองเสบียงและยึดเส้นทางลำเลียง จึงวางอุบายอย่างแยบคายทำลายกองกำลังที่ยกไปปล้นกองเสบียง และสังหารชีจิดนายทหารผู้มีฝีมือของวุยก๊กได้สำเร็จ แล้วย้อนรุกเข้ายึดเอาค่ายของสุมาเจียว จนสุมาเจียวต้องพาทหารหนีขึ้นไปอดน้ำอยู่บนยอดเขาเทียดลองสัน
ฝ่ายอองโถซึ่งเป็นปลัดบัญชีของกองทัพสุมาเจียว ครั้นได้ยินคำรำพึงรำพันแบบหมดอาลัยตายอยากของสุมาเจียว จึงกล่าวว่าแม้ว่ากองทัพจะขัดสนน้ำกินน้ำดื่ม แต่ท่านแม่ทัพอย่าเพิ่งทอดอาลัยให้ทหารเสียขวัญเลย ด้วยในอดีตก็มีปรากฏเป็นแบบอย่างว่าเมื่อครั้งที่เกงกะหยงยกกองทัพไปทำศึกแล้วขาดน้ำกินน้ำใช้ ก็ได้ตั้งการพิธีเสี่ยงสัตยาธิษฐานต่อเทพยดาก็ได้น้ำมากินใช้ดังประสงค์ เมื่อครั้งที่ขงเบ้งไปรบเบ้งเฮ็กคนเถื่อนครั้งหนึ่งขาดน้ำกิน ขุดบ่อลึกถึงสิบบ่อก็ไม่มีน้ำ ครั้งนั้นมีกิตติศัพท์ว่าขงเบ้งได้เสี่ยงสัตยาธิษฐานอ้างเอาความจงรักภักดีต่อพระเจ้าเล่าปี่และราชวงศ์ฮั่น เทพยดาก็บันดาลให้บังเกิดน้ำเต็มทุกบ่อ ครั้งนี้จึงชอบที่ท่านแม่ทัพจะได้ลองเสี่ยงสัตยาธิษฐานต่อเทพยดาดูสักครั้งหนึ่ง
สุมาเจียวได้ฟังอองโถเตือนสติดังนั้นก็เห็นด้วย ในเวลาบ่ายวันนั้นจึงให้ตั้งการพิธีตามมีตามเกิด บวงสรวงเทพยดาเจ้าป่าเจ้าเขา แล้วตั้งสัตยาธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าสุมาเจียวอาสาพระเจ้าแผ่นดินมาปราบปรามข้าศึก ถ้าข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิตแล้วขออย่าให้น้ำมีมาเลย ข้าพเจ้าจะได้เชือดคอตายเสีย ทหารทั้งปวงจะยอมเข้าไปหาข้าศึก ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่ จะได้ทำราชการรักษาแผ่นดินสืบไป ขอให้เทพยดาเจ้าบันดาลให้มีน้ำมาเต็มห้วงนี้เถิด”
สุมาเจียวเสี่ยงสัตยาธิษฐานแล้วสำรวมจิตคำนับฟ้าดินเป็นเสร็จพิธี พอค่ำลงก็ปรากฏว่าน้ำในบ่อซึ่งเหือดแห้งหายไปกลับมีน้ำไหลเข้ามาจนเต็มบ่อ สุมาเจียวและทหารทั้งปวงต่างมีความยินดี และนับแต่บัดนั้นความระส่ำระสายอันเกิดแต่การขาดน้ำก็สิ้นสุดลง
ฝ่ายเกียงอุยคุมทหารล้อมสุมาเจียวอยู่ที่เชิงเขา แม้ว่าจะยกทหารตามขึ้นไปบนเขาเทียดลองสันไม่ได้ แต่ก็รู้ภูมิประเทศเป็นอันดีว่าสุมาเจียวก็ไม่สามารถพาทหารหนีลงจากเขาได้เช่นเดียวกัน จึงกล่าวกับทหารทั้งปวงว่าสุมาเจียวติดกับอยู่บนยอดเขา เสบียงอาหารแลน้ำก็น้อย เห็นจะพากันอดตายสิ้น เมื่อครั้งก่อนมหาอุปราชขงเบ้งได้วางอุบายล่อสุมาอี้เข้าไปในหุบเขาน้ำเต้า หวิดหวุดจะเอาชีวิตสุมาอี้ได้ด้วยเพลิงอยู่แล้ว แต่เทพยดาไม่เมตตาประทานฝนมาดับไฟจนสิ้น สุมาอี้จึงหนีรอดไปได้ มาครั้งนี้แม้จะจับเป็นสุมาเจียวไม่ได้ก็เห็นจะจับตายได้เป็นมั่นคง
เกียงอุยจึงคุมทหารให้เข้มงวดกวดขันระมัดระวังรักษาแนวล้อมเขาเทียดลองสันไว้อย่างแน่นหนามิได้ประมาท ตั้งความประสงค์ว่าถ้ามาตรแม้นสุมาเจียวไม่พาทหารลงมายอมจำนนก็จะต้องอดตายอยู่บนเขา
ฝ่ายกวยหวยซึ่งคุมทหารอยู่ที่เมืองเองจิ๋ว ได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพสุมาเจียวเสียทีแก่เกียงอุยอย่างยับเยิน ตัวสุมาเจียวกำลังตกอยู่ในที่คับขัน ถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนาที่เขาเทียดลองสันก็ตกใจ ปรึกษากับต้านท่ายเพื่อนนายทหารคู่คิดว่าซึ่งเราจะนิ่งดูดายอยู่ดังนี้ไม่ชอบ ควรจะรีบยกทหารไปช่วยสุมาเจียวจึงจะควร
ต้านท่ายจึงว่า ซึ่งจะยกทหารไปช่วยสุมาเจียวนั้นก็ชอบอยู่ แต่ศึกครั้งนี้เกียงอุยได้เชื้อเชิญเจ้าเมืองเกี๋ยงให้ยกกองทัพมาร่วมรบด้วย บัดนี้กองทัพเมืองเกี๋ยงได้ยกมาตั้งอยู่ที่แดนเมืองลำอั๋นแล้ว หากรู้ว่าท่านยกทหารออกจากเมืองเองจิ๋วไปช่วยสุมาเจียว กองทัพเมืองเกี๋ยงก็จะบุกมายึดเอาเมืองเองจิ๋ว เห็นจะเสียทีแก่ข้าศึก
กวยหวยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงปรึกษาต้านท่ายว่าเมื่อเป็นดังนี้ท่านจะคิดอ่านประการใด
ต้านท่ายจึงว่า ประเพณีการสงครามจะทำศึกสองด้านให้เป็นที่ละล้าละลังหน้าหลังนั้นไม่ควร ทหารเมืองเกี๋ยงแม้จะมีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ แต่สติปัญญาน้อย และอยู่ในที่ใกล้ ควรที่จะกำจัดกองทัพเมืองเกี๋ยงเสียก่อนแล้วจึงจะค่อยยกไปช่วยสุมาเจียว
ต้านท่ายเห็นกวยหวยนิ่งฟังมีท่าทีที่เห็นด้วย จึงกล่าวสืบไปว่าข้าพเจ้าคิดกลอุบายจะไปลวงปีต๋องให้ยกกองทัพมาตีเมืองเองจิ๋ว ขอให้ท่านสั่งทหารขุดคูตลอดแนวกำแพงเมือง ปักขวากหนามไว้ในคูนั้น แล้วเอาไม้ไผ่ทำเป็นฟากปิดปากคูไว้ เอาดินเกลี่ยไว้อย่าให้เห็นร่องรอย เมื่อปีต๋องยกกองทัพหักเข้าเอาเมืองก็จะพลัดตกลงไปในคูเจ็บตายด้วยขวากเป็นอันมาก เมื่อกำจัดปีต๋องได้แล้วจะได้ยกกองทัพไปช่วยสุมาเจียว จะได้ไม่ต้องระวังหลังให้กังวลสืบไป
กวยหวยได้ฟังแผนการของต้านท่ายก็เห็นชอบ จึงสั่งทหารให้ขุดคูปักขวากไว้รอบแนวกำแพงเมืองตามแผนการของต้านท่าย และจัดทหารให้ต้านท่ายห้าพันยกไปที่กองทัพเมืองเกี๋ยงซึ่งตั้งอยู่แดนเมืองลำอั๋น
ต้านท่ายคุมทหารห้าพันไปใกล้เมืองลำอั๋นแล้ว จึงให้ทหารรวบรวมอาวุธทั้งปวงมัดเป็นกองและแบกหามเข้าไปที่หน้าค่ายของปีต๋อง แล้วแจ้งแก่ทหารซึ่งรักษาประตูค่ายว่าจะมาขอเข้าสวามิภักดิ์กับปีต๋อง
ปีต๋องทราบความก็มีความยินดี สั่งทหารให้คุมตัวต้านท่ายเข้ามาพบ พอต้านท่ายเข้าไปเห็นปีต๋องก็ก้มลงคำนับแล้วร้องไห้ และกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทำราชการด้วยกวยหวย มีความชอบหนักหนา กวยหวยมิได้ยกความชอบข้าพเจ้าเลย ตั้งตัวเป็นใหญ่แล้วคิดกำจัดข้าพเจ้าเสียอีกเล่า ข้าพเจ้ามีความน้อยใจนัก จึงสมัครมาเป็นข้าท่าน ด้วยแจ้งอยู่แต่ก่อนว่าท่านมีสติปัญญา รู้เลี้ยงคนดี ข้าพเจ้าจึงมาเข้าด้วยท่าน แลซึ่งจะตีเอาเมืองเองจิ๋ว เป็นพนักงานข้าพเจ้าผู้เดียวมิให้ท่านลำบากเลย ขอให้ยกกองทัพไปในเวลาค่ำวันนี้เถิด ข้าพเจ้าจะขอไปแก้ความแค้น”
ปีต๋องได้ฟังคำต้านท่ายก็สำคัญว่าเป็นความจริง เห็นจะได้เมืองเองจิ๋วโดยง่าย จึงให้โงโหและเสียวกั้วยกกองทัพไปกับต้านท่ายเพื่อไปตีเอาเมืองเองจิ๋ว
โงโหและเสียวกั้วจัดเอาทหารเมืองเกี๋ยงเป็นกองหน้า ให้ทหารของต้านท่ายเป็นกองหลัง แต่ให้ตัวต้านท่ายไปช่วยนำทางอยู่ที่กองหน้า ครั้นเวลาใกล้สองยามกองทัพของโงโห เสียวกั้วก็ยกไปใกล้ประตูเมืองเองจิ๋ว
ฝ่ายกวยหวยหลังจากต้านท่ายคุมทหารยกไปเมืองลำอั๋นแล้วก็สั่งทหารทั้งปวงให้เตรียมพร้อม และให้หน่วยลาดตระเวนติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหว พอได้ทราบว่าต้านท่ายลวงกองทัพเมืองเกี๋ยงยกมาที่เมืองเองจิ๋วก็มีความยินดี สั่งทหารให้คอยฟังสัญญาณออกไปโจมตีกองทัพเมืองเกี๋ยง
พักหนึ่งกวยหวยก็เห็นต้านท่าย โงโห และเสียวกั้วคุมทหารเมืองเกี๋ยงเข้ามาใกล้ประตูเมือง จึงให้จุดประทัดสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ ต้านท่านได้ยินเสียงประทัดก็รู้ว่ากวยหวยจัดแจงทหารไว้พร้อมแล้ว จึงขี่ม้ารุดหน้าไปที่ประตูเมือง ทหารในเมืองเองจิ๋วได้ยินเสียงประทัดสัญญาณก็พากันยกออกจากประตูเมือง รุกเข้าโจมตีกองทัพเมืองเกี๋ยงโดยไม่ทันตั้งตัว
กองหน้าของกองทัพเมืองเกี๋ยงถูกจู่โจมก็พากันแตกตื่นตกใจ เกิดชุลมุนขึ้น ทหารของต้านท่ายซึ่งตามมาเป็นกองหลังเห็นเป็นที จึงพากันตีกระหนาบกระทบขึ้นไป ทหารเมืองเกี๋ยงถูกกองหลังโจมตีเข้ามาอีกทางหนึ่งก็แตกร่นขึ้นไปทางด้านหน้าทั้งสองข้าง พลัดตกลงไปในคูซึ่งปักขวากไว้เจ็บตายเป็นอันมาก
ทหารเมืองเกี๋ยงเห็นพรรคพวกพลัดตกลงไปในคูขวากก็ไม่กล้ารุดไปข้างหน้า จะถอยมาข้างหลังก็ไม่ได้ เพียงครู่เดียวก็ถูกทหารเมืองเองจิ๋วล้อมไว้อย่างแน่นหนา จึงพากันยอมจำนนต่อทหารเมืองเองจิ๋วสิ้น
โงโหและเสียวกั้วเห็นพลาดท่าเสียทีแก่ข้าศึกก็อดสูใจ ด้วยมานะของทหารจึงเอาดาบเชือดคอตัวเองตายทั้งสองคน
พอฟ้าสว่างกวยหวยได้จัดแจงกองทัพทั้งกองทัพเมืองเองจิ๋ว และทหารเมืองเกี๋ยงที่เข้าสวามิภักดิ์ยกย้อนกลับไปยังที่ตั้งค่ายของทหารเมืองเกี๋ยง
ฝ่ายปีต๋องครั้นทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าหลงกลแก่ข้าศึก สูญเสียโงโหและเสียวกั้วแล้วก็โกรธ จึงยกทหารจะไปตีเมืองเองจิ๋ว แต่พอยกทหารไปได้ไม่ถึงร้อยเส้นก็ปะทะกับกองทัพของกวยหวย
กวยหวยเห็นทหารของปีต๋องมีจำนวนน้อยกว่า จึงสั่งทหารให้ขยายปีกโอบล้อม กองทัพของปีต๋องเอาไว้ แล้วกระชับวงล้อมแน่นเข้าไปทุกที ปีต๋องเห็นดังนั้นก็ตัดสินใจสู้ตาย ขี่ม้าจะเข้ารบกับกวยหวย
พอปีต๋องขี่ม้าออกมาหน้าทหาร กวยหวยก็สั่งทหารให้เข้าล้อมม้าของปีต๋องไว้แล้วรุมกันจับตัวปีต๋องไว้
ทหารวุยก๊กจับตัวปีต๋องแล้วจึงคุมตัวเข้าไปหากวยหวย พอกวยหวยเห็นปีต๋องถูกมัดคุมเข้ามาดังนั้นก็ทำทีเป็นตกใจ วิ่งเข้าไปแก้มัดให้ปีต๋องแล้วกล่าวว่า “พระเจ้าโจฮองทรงพระเมตตาท่านนักว่าเป็นคนสัตย์ซื่อ ตั้งพระทัยคอยจะชุบเลี้ยงท่าน เหตุใดท่านจึงเข้าด้วยเกียงอุยซึ่งเป็นคนหยาบช้า”
ปีต๋องตอนแรกที่ถูกจับคิดว่าจะถูกลงโทษประหารชีวิต พอได้เห็นเหตุการณ์ผิดคาดก็ค่อย ๆ ใจชื้น คุกเข่าลงคำนับกวยหวย แล้วว่าข้าพเจ้าหลงผิดเชื่อคำเกียงอุยเป็นโทษหนักนัก ขอท่านจงโปรดไว้ชีวิตสักครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจะทำการแทนคุณไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
กวยหวยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี กล่าวว่าเป็นธรรมดาที่คนเราอาจมีความพลั้งเผลอผิดพลาดได้ เมื่อท่านสำนึกผิดดังนี้ก็ดีแล้ว จะได้มาทำการเป็นข้าในเจ้าเดียวกัน ข้าพเจ้าจะให้ท่านเป็นกองทัพหน้ายกไปทำคุณไถ่โทษ ท่านจะเห็นเป็นประการใด
ปีต๋องจึงว่าข้าพเจ้าเป็นข้าของท่านแล้ว แม้จะให้ฝ่าห้วยเหวดงอาวุธและเพลิงกาฬก็จะไม่ระย่อท้อถอยเลย
กวยหวยจึงว่าขณะนี้สุมาเจียวถูกเกียงอุยล้อมไว้ที่เขาเทียดลองสัน เป็นโอกาสสำคัญที่ท่านจะได้ทำความชอบ หากแก้เอาสุมาเจียวออกจากที่ล้อมได้ ความชอบก็จะมีแก่ท่านเป็นอันมาก
ปีต๋องได้ฟังก็รับคำด้วยความยินดี พอเวลาค่ำกวยหวยได้สั่งให้เคลื่อนทัพย้อนกลับไปที่เขาเทียดลองสัน ให้ปีต๋องเป็นกองทัพหน้าทำทีว่ายกมาช่วยเกียงอุย
ครั้นกวยหวยคุมกองทัพมาใกล้เขาเทียดลองสัน จึงสั่งปีต๋องให้สั่งทหารผู้ใกล้ชิดให้ไปแจ้งความแก่เกียงอุยว่า ปีต๋องตีได้เมืองเองจิ๋วแล้ว จึงยกทัพหนุนมาช่วย
เกียงอุยทราบความจากทหารของปีต๋องดังนั้นก็มีความยินดี ลืมเฉลียวไปว่าการสงครามนั้นจะไว้ใจทาง จะวางใจคนมิได้ จึงสั่งทหารให้กลับไปแจ้งแก่ปีต๋องให้รีบยกทหารเข้ามาอยู่ในค่ายเดียวกับทหารจ๊กก๊ก
กวยหวยและปีต๋องทราบรายงานจากทหารที่กลับมาจากค่ายของเกียงอุยแล้วจึงสั่งให้กระจายกำลังแทรกซึมบุกเข้าไปในค่ายต่าง ๆ ของเกียงอุย ตัวปีต๋องนั้นพาทหารซึ่งมีฝีมือร้อยกว่าคนเข้าไปถึงค่ายของเกียงอุย เกียงอุยมิได้สงสัยจึงชวนแฮหัวป๋าออกไปต้อนรับปีต๋อง
ในทันใดนั้นกวยหวยก็ให้สัญญาณแก่ทหารทั้งปวงให้โจมตีทหารของเกียงอุยพร้อมกัน เกิดโกลาหลอลหม่านขึ้นภายในค่ายต่าง ๆ ของเกียงอุย ทหารของกวยหวยเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีจึงบุกเข้าฆ่าฟันทหารของเกียงอุยบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ฝ่ายปีต๋องซึ่งพาทหารเข้าไปในค่ายของเกียงอุยก็พากันไล่ฆ่าฟันทหารของเกียงอุยและจะเข้าล้อมจับเกียงอุย
เกียงอุยเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบคว้าอาวุธก็ไม่ทัน ฉวยได้แต่เกาทัณฑ์แล้วรีบกระโจนขึ้นหลังม้าหนีออกจากค่าย ด้วยอารามตกใจและลุกลนลูกเกาทัณฑ์จึงร่วงหล่นออกจากกระบอกเกือบหมดสิ้น หลงเหลือติดกระบอกเกาทัณฑ์อยู่เพียงดอกเดียวเท่านั้น
กวยหวยคุมทหารดูเชิงอยู่หน้าค่ายของเกียงอุย เห็นเกียงอุยควบม้าหนีไปจึงขี่ม้าไล่ตาม เกียงอุยเห็นกวยหวยขี่ม้าออกหน้าทหารมาแต่ลำพังก็หยิบลูกเกาทัณฑ์จะเอาขึ้นมายิง พอรู้ว่ามีลูกเกาทัณฑ์เหลืออยู่เพียงดอกเดียวก็ยิ่งตกใจ แต่ด้วยความไวปัญญาจึงแสร้งเอาคันเกาทัณฑ์เปล่าขึ้นมาน้าวทำทีจะยิงไปที่กวยหวย.
ฝ่ายอองโถซึ่งเป็นปลัดบัญชีของกองทัพสุมาเจียว ครั้นได้ยินคำรำพึงรำพันแบบหมดอาลัยตายอยากของสุมาเจียว จึงกล่าวว่าแม้ว่ากองทัพจะขัดสนน้ำกินน้ำดื่ม แต่ท่านแม่ทัพอย่าเพิ่งทอดอาลัยให้ทหารเสียขวัญเลย ด้วยในอดีตก็มีปรากฏเป็นแบบอย่างว่าเมื่อครั้งที่เกงกะหยงยกกองทัพไปทำศึกแล้วขาดน้ำกินน้ำใช้ ก็ได้ตั้งการพิธีเสี่ยงสัตยาธิษฐานต่อเทพยดาก็ได้น้ำมากินใช้ดังประสงค์ เมื่อครั้งที่ขงเบ้งไปรบเบ้งเฮ็กคนเถื่อนครั้งหนึ่งขาดน้ำกิน ขุดบ่อลึกถึงสิบบ่อก็ไม่มีน้ำ ครั้งนั้นมีกิตติศัพท์ว่าขงเบ้งได้เสี่ยงสัตยาธิษฐานอ้างเอาความจงรักภักดีต่อพระเจ้าเล่าปี่และราชวงศ์ฮั่น เทพยดาก็บันดาลให้บังเกิดน้ำเต็มทุกบ่อ ครั้งนี้จึงชอบที่ท่านแม่ทัพจะได้ลองเสี่ยงสัตยาธิษฐานต่อเทพยดาดูสักครั้งหนึ่ง
สุมาเจียวได้ฟังอองโถเตือนสติดังนั้นก็เห็นด้วย ในเวลาบ่ายวันนั้นจึงให้ตั้งการพิธีตามมีตามเกิด บวงสรวงเทพยดาเจ้าป่าเจ้าเขา แล้วตั้งสัตยาธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าสุมาเจียวอาสาพระเจ้าแผ่นดินมาปราบปรามข้าศึก ถ้าข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิตแล้วขออย่าให้น้ำมีมาเลย ข้าพเจ้าจะได้เชือดคอตายเสีย ทหารทั้งปวงจะยอมเข้าไปหาข้าศึก ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่ จะได้ทำราชการรักษาแผ่นดินสืบไป ขอให้เทพยดาเจ้าบันดาลให้มีน้ำมาเต็มห้วงนี้เถิด”
สุมาเจียวเสี่ยงสัตยาธิษฐานแล้วสำรวมจิตคำนับฟ้าดินเป็นเสร็จพิธี พอค่ำลงก็ปรากฏว่าน้ำในบ่อซึ่งเหือดแห้งหายไปกลับมีน้ำไหลเข้ามาจนเต็มบ่อ สุมาเจียวและทหารทั้งปวงต่างมีความยินดี และนับแต่บัดนั้นความระส่ำระสายอันเกิดแต่การขาดน้ำก็สิ้นสุดลง
ฝ่ายเกียงอุยคุมทหารล้อมสุมาเจียวอยู่ที่เชิงเขา แม้ว่าจะยกทหารตามขึ้นไปบนเขาเทียดลองสันไม่ได้ แต่ก็รู้ภูมิประเทศเป็นอันดีว่าสุมาเจียวก็ไม่สามารถพาทหารหนีลงจากเขาได้เช่นเดียวกัน จึงกล่าวกับทหารทั้งปวงว่าสุมาเจียวติดกับอยู่บนยอดเขา เสบียงอาหารแลน้ำก็น้อย เห็นจะพากันอดตายสิ้น เมื่อครั้งก่อนมหาอุปราชขงเบ้งได้วางอุบายล่อสุมาอี้เข้าไปในหุบเขาน้ำเต้า หวิดหวุดจะเอาชีวิตสุมาอี้ได้ด้วยเพลิงอยู่แล้ว แต่เทพยดาไม่เมตตาประทานฝนมาดับไฟจนสิ้น สุมาอี้จึงหนีรอดไปได้ มาครั้งนี้แม้จะจับเป็นสุมาเจียวไม่ได้ก็เห็นจะจับตายได้เป็นมั่นคง
เกียงอุยจึงคุมทหารให้เข้มงวดกวดขันระมัดระวังรักษาแนวล้อมเขาเทียดลองสันไว้อย่างแน่นหนามิได้ประมาท ตั้งความประสงค์ว่าถ้ามาตรแม้นสุมาเจียวไม่พาทหารลงมายอมจำนนก็จะต้องอดตายอยู่บนเขา
ฝ่ายกวยหวยซึ่งคุมทหารอยู่ที่เมืองเองจิ๋ว ได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพสุมาเจียวเสียทีแก่เกียงอุยอย่างยับเยิน ตัวสุมาเจียวกำลังตกอยู่ในที่คับขัน ถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนาที่เขาเทียดลองสันก็ตกใจ ปรึกษากับต้านท่ายเพื่อนนายทหารคู่คิดว่าซึ่งเราจะนิ่งดูดายอยู่ดังนี้ไม่ชอบ ควรจะรีบยกทหารไปช่วยสุมาเจียวจึงจะควร
ต้านท่ายจึงว่า ซึ่งจะยกทหารไปช่วยสุมาเจียวนั้นก็ชอบอยู่ แต่ศึกครั้งนี้เกียงอุยได้เชื้อเชิญเจ้าเมืองเกี๋ยงให้ยกกองทัพมาร่วมรบด้วย บัดนี้กองทัพเมืองเกี๋ยงได้ยกมาตั้งอยู่ที่แดนเมืองลำอั๋นแล้ว หากรู้ว่าท่านยกทหารออกจากเมืองเองจิ๋วไปช่วยสุมาเจียว กองทัพเมืองเกี๋ยงก็จะบุกมายึดเอาเมืองเองจิ๋ว เห็นจะเสียทีแก่ข้าศึก
กวยหวยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงปรึกษาต้านท่ายว่าเมื่อเป็นดังนี้ท่านจะคิดอ่านประการใด
ต้านท่ายจึงว่า ประเพณีการสงครามจะทำศึกสองด้านให้เป็นที่ละล้าละลังหน้าหลังนั้นไม่ควร ทหารเมืองเกี๋ยงแม้จะมีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ แต่สติปัญญาน้อย และอยู่ในที่ใกล้ ควรที่จะกำจัดกองทัพเมืองเกี๋ยงเสียก่อนแล้วจึงจะค่อยยกไปช่วยสุมาเจียว
ต้านท่ายเห็นกวยหวยนิ่งฟังมีท่าทีที่เห็นด้วย จึงกล่าวสืบไปว่าข้าพเจ้าคิดกลอุบายจะไปลวงปีต๋องให้ยกกองทัพมาตีเมืองเองจิ๋ว ขอให้ท่านสั่งทหารขุดคูตลอดแนวกำแพงเมือง ปักขวากหนามไว้ในคูนั้น แล้วเอาไม้ไผ่ทำเป็นฟากปิดปากคูไว้ เอาดินเกลี่ยไว้อย่าให้เห็นร่องรอย เมื่อปีต๋องยกกองทัพหักเข้าเอาเมืองก็จะพลัดตกลงไปในคูเจ็บตายด้วยขวากเป็นอันมาก เมื่อกำจัดปีต๋องได้แล้วจะได้ยกกองทัพไปช่วยสุมาเจียว จะได้ไม่ต้องระวังหลังให้กังวลสืบไป
กวยหวยได้ฟังแผนการของต้านท่ายก็เห็นชอบ จึงสั่งทหารให้ขุดคูปักขวากไว้รอบแนวกำแพงเมืองตามแผนการของต้านท่าย และจัดทหารให้ต้านท่ายห้าพันยกไปที่กองทัพเมืองเกี๋ยงซึ่งตั้งอยู่แดนเมืองลำอั๋น
ต้านท่ายคุมทหารห้าพันไปใกล้เมืองลำอั๋นแล้ว จึงให้ทหารรวบรวมอาวุธทั้งปวงมัดเป็นกองและแบกหามเข้าไปที่หน้าค่ายของปีต๋อง แล้วแจ้งแก่ทหารซึ่งรักษาประตูค่ายว่าจะมาขอเข้าสวามิภักดิ์กับปีต๋อง
ปีต๋องทราบความก็มีความยินดี สั่งทหารให้คุมตัวต้านท่ายเข้ามาพบ พอต้านท่ายเข้าไปเห็นปีต๋องก็ก้มลงคำนับแล้วร้องไห้ และกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทำราชการด้วยกวยหวย มีความชอบหนักหนา กวยหวยมิได้ยกความชอบข้าพเจ้าเลย ตั้งตัวเป็นใหญ่แล้วคิดกำจัดข้าพเจ้าเสียอีกเล่า ข้าพเจ้ามีความน้อยใจนัก จึงสมัครมาเป็นข้าท่าน ด้วยแจ้งอยู่แต่ก่อนว่าท่านมีสติปัญญา รู้เลี้ยงคนดี ข้าพเจ้าจึงมาเข้าด้วยท่าน แลซึ่งจะตีเอาเมืองเองจิ๋ว เป็นพนักงานข้าพเจ้าผู้เดียวมิให้ท่านลำบากเลย ขอให้ยกกองทัพไปในเวลาค่ำวันนี้เถิด ข้าพเจ้าจะขอไปแก้ความแค้น”
ปีต๋องได้ฟังคำต้านท่ายก็สำคัญว่าเป็นความจริง เห็นจะได้เมืองเองจิ๋วโดยง่าย จึงให้โงโหและเสียวกั้วยกกองทัพไปกับต้านท่ายเพื่อไปตีเอาเมืองเองจิ๋ว
โงโหและเสียวกั้วจัดเอาทหารเมืองเกี๋ยงเป็นกองหน้า ให้ทหารของต้านท่ายเป็นกองหลัง แต่ให้ตัวต้านท่ายไปช่วยนำทางอยู่ที่กองหน้า ครั้นเวลาใกล้สองยามกองทัพของโงโห เสียวกั้วก็ยกไปใกล้ประตูเมืองเองจิ๋ว
ฝ่ายกวยหวยหลังจากต้านท่ายคุมทหารยกไปเมืองลำอั๋นแล้วก็สั่งทหารทั้งปวงให้เตรียมพร้อม และให้หน่วยลาดตระเวนติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหว พอได้ทราบว่าต้านท่ายลวงกองทัพเมืองเกี๋ยงยกมาที่เมืองเองจิ๋วก็มีความยินดี สั่งทหารให้คอยฟังสัญญาณออกไปโจมตีกองทัพเมืองเกี๋ยง
พักหนึ่งกวยหวยก็เห็นต้านท่าย โงโห และเสียวกั้วคุมทหารเมืองเกี๋ยงเข้ามาใกล้ประตูเมือง จึงให้จุดประทัดสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ ต้านท่านได้ยินเสียงประทัดก็รู้ว่ากวยหวยจัดแจงทหารไว้พร้อมแล้ว จึงขี่ม้ารุดหน้าไปที่ประตูเมือง ทหารในเมืองเองจิ๋วได้ยินเสียงประทัดสัญญาณก็พากันยกออกจากประตูเมือง รุกเข้าโจมตีกองทัพเมืองเกี๋ยงโดยไม่ทันตั้งตัว
กองหน้าของกองทัพเมืองเกี๋ยงถูกจู่โจมก็พากันแตกตื่นตกใจ เกิดชุลมุนขึ้น ทหารของต้านท่ายซึ่งตามมาเป็นกองหลังเห็นเป็นที จึงพากันตีกระหนาบกระทบขึ้นไป ทหารเมืองเกี๋ยงถูกกองหลังโจมตีเข้ามาอีกทางหนึ่งก็แตกร่นขึ้นไปทางด้านหน้าทั้งสองข้าง พลัดตกลงไปในคูซึ่งปักขวากไว้เจ็บตายเป็นอันมาก
ทหารเมืองเกี๋ยงเห็นพรรคพวกพลัดตกลงไปในคูขวากก็ไม่กล้ารุดไปข้างหน้า จะถอยมาข้างหลังก็ไม่ได้ เพียงครู่เดียวก็ถูกทหารเมืองเองจิ๋วล้อมไว้อย่างแน่นหนา จึงพากันยอมจำนนต่อทหารเมืองเองจิ๋วสิ้น
โงโหและเสียวกั้วเห็นพลาดท่าเสียทีแก่ข้าศึกก็อดสูใจ ด้วยมานะของทหารจึงเอาดาบเชือดคอตัวเองตายทั้งสองคน
พอฟ้าสว่างกวยหวยได้จัดแจงกองทัพทั้งกองทัพเมืองเองจิ๋ว และทหารเมืองเกี๋ยงที่เข้าสวามิภักดิ์ยกย้อนกลับไปยังที่ตั้งค่ายของทหารเมืองเกี๋ยง
ฝ่ายปีต๋องครั้นทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าหลงกลแก่ข้าศึก สูญเสียโงโหและเสียวกั้วแล้วก็โกรธ จึงยกทหารจะไปตีเมืองเองจิ๋ว แต่พอยกทหารไปได้ไม่ถึงร้อยเส้นก็ปะทะกับกองทัพของกวยหวย
กวยหวยเห็นทหารของปีต๋องมีจำนวนน้อยกว่า จึงสั่งทหารให้ขยายปีกโอบล้อม กองทัพของปีต๋องเอาไว้ แล้วกระชับวงล้อมแน่นเข้าไปทุกที ปีต๋องเห็นดังนั้นก็ตัดสินใจสู้ตาย ขี่ม้าจะเข้ารบกับกวยหวย
พอปีต๋องขี่ม้าออกมาหน้าทหาร กวยหวยก็สั่งทหารให้เข้าล้อมม้าของปีต๋องไว้แล้วรุมกันจับตัวปีต๋องไว้
ทหารวุยก๊กจับตัวปีต๋องแล้วจึงคุมตัวเข้าไปหากวยหวย พอกวยหวยเห็นปีต๋องถูกมัดคุมเข้ามาดังนั้นก็ทำทีเป็นตกใจ วิ่งเข้าไปแก้มัดให้ปีต๋องแล้วกล่าวว่า “พระเจ้าโจฮองทรงพระเมตตาท่านนักว่าเป็นคนสัตย์ซื่อ ตั้งพระทัยคอยจะชุบเลี้ยงท่าน เหตุใดท่านจึงเข้าด้วยเกียงอุยซึ่งเป็นคนหยาบช้า”
ปีต๋องตอนแรกที่ถูกจับคิดว่าจะถูกลงโทษประหารชีวิต พอได้เห็นเหตุการณ์ผิดคาดก็ค่อย ๆ ใจชื้น คุกเข่าลงคำนับกวยหวย แล้วว่าข้าพเจ้าหลงผิดเชื่อคำเกียงอุยเป็นโทษหนักนัก ขอท่านจงโปรดไว้ชีวิตสักครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจะทำการแทนคุณไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
กวยหวยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี กล่าวว่าเป็นธรรมดาที่คนเราอาจมีความพลั้งเผลอผิดพลาดได้ เมื่อท่านสำนึกผิดดังนี้ก็ดีแล้ว จะได้มาทำการเป็นข้าในเจ้าเดียวกัน ข้าพเจ้าจะให้ท่านเป็นกองทัพหน้ายกไปทำคุณไถ่โทษ ท่านจะเห็นเป็นประการใด
ปีต๋องจึงว่าข้าพเจ้าเป็นข้าของท่านแล้ว แม้จะให้ฝ่าห้วยเหวดงอาวุธและเพลิงกาฬก็จะไม่ระย่อท้อถอยเลย
กวยหวยจึงว่าขณะนี้สุมาเจียวถูกเกียงอุยล้อมไว้ที่เขาเทียดลองสัน เป็นโอกาสสำคัญที่ท่านจะได้ทำความชอบ หากแก้เอาสุมาเจียวออกจากที่ล้อมได้ ความชอบก็จะมีแก่ท่านเป็นอันมาก
ปีต๋องได้ฟังก็รับคำด้วยความยินดี พอเวลาค่ำกวยหวยได้สั่งให้เคลื่อนทัพย้อนกลับไปที่เขาเทียดลองสัน ให้ปีต๋องเป็นกองทัพหน้าทำทีว่ายกมาช่วยเกียงอุย
ครั้นกวยหวยคุมกองทัพมาใกล้เขาเทียดลองสัน จึงสั่งปีต๋องให้สั่งทหารผู้ใกล้ชิดให้ไปแจ้งความแก่เกียงอุยว่า ปีต๋องตีได้เมืองเองจิ๋วแล้ว จึงยกทัพหนุนมาช่วย
เกียงอุยทราบความจากทหารของปีต๋องดังนั้นก็มีความยินดี ลืมเฉลียวไปว่าการสงครามนั้นจะไว้ใจทาง จะวางใจคนมิได้ จึงสั่งทหารให้กลับไปแจ้งแก่ปีต๋องให้รีบยกทหารเข้ามาอยู่ในค่ายเดียวกับทหารจ๊กก๊ก
กวยหวยและปีต๋องทราบรายงานจากทหารที่กลับมาจากค่ายของเกียงอุยแล้วจึงสั่งให้กระจายกำลังแทรกซึมบุกเข้าไปในค่ายต่าง ๆ ของเกียงอุย ตัวปีต๋องนั้นพาทหารซึ่งมีฝีมือร้อยกว่าคนเข้าไปถึงค่ายของเกียงอุย เกียงอุยมิได้สงสัยจึงชวนแฮหัวป๋าออกไปต้อนรับปีต๋อง
ในทันใดนั้นกวยหวยก็ให้สัญญาณแก่ทหารทั้งปวงให้โจมตีทหารของเกียงอุยพร้อมกัน เกิดโกลาหลอลหม่านขึ้นภายในค่ายต่าง ๆ ของเกียงอุย ทหารของกวยหวยเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีจึงบุกเข้าฆ่าฟันทหารของเกียงอุยบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ฝ่ายปีต๋องซึ่งพาทหารเข้าไปในค่ายของเกียงอุยก็พากันไล่ฆ่าฟันทหารของเกียงอุยและจะเข้าล้อมจับเกียงอุย
เกียงอุยเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบคว้าอาวุธก็ไม่ทัน ฉวยได้แต่เกาทัณฑ์แล้วรีบกระโจนขึ้นหลังม้าหนีออกจากค่าย ด้วยอารามตกใจและลุกลนลูกเกาทัณฑ์จึงร่วงหล่นออกจากกระบอกเกือบหมดสิ้น หลงเหลือติดกระบอกเกาทัณฑ์อยู่เพียงดอกเดียวเท่านั้น
กวยหวยคุมทหารดูเชิงอยู่หน้าค่ายของเกียงอุย เห็นเกียงอุยควบม้าหนีไปจึงขี่ม้าไล่ตาม เกียงอุยเห็นกวยหวยขี่ม้าออกหน้าทหารมาแต่ลำพังก็หยิบลูกเกาทัณฑ์จะเอาขึ้นมายิง พอรู้ว่ามีลูกเกาทัณฑ์เหลืออยู่เพียงดอกเดียวก็ยิ่งตกใจ แต่ด้วยความไวปัญญาจึงแสร้งเอาคันเกาทัณฑ์เปล่าขึ้นมาน้าวทำทีจะยิงไปที่กวยหวย.