ตอนที่ 604. ซื้อลมได้ลม

มหาอุปราชจูกัดเก๊กแห่งกังตั๋งยามใกล้จะถึงฆาต เอื้อมหัตถ์แห่งมัจจุราชก็กล้ำกรายมาใกล้ตัว แม้เทพยดาจะแสดงสังหรณ์ให้ปรากฏ แต่อำนาจแห่งกรรมก็บังตาและปัญญาไว้จนหมดสิ้น จึงถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในพระตำหนักของพระเจ้าซุนเหลียงพร้อมกับเตียวเอียดขุนนางผู้ภักดี

            เพียงชั่วครู่เดียวเหตุการณ์วุ่นวายภายในพระตำหนักของพระเจ้าซุนเหลียงก็เงียบสงบลง พระเจ้าซุนเหลียงทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง แต่เมื่อเห็นแผนการสำเร็จได้โดยง่ายก็ทรงดีพระทัย ตรัสสั่งให้ซุนจุ๋นจัดการเอาศพของจูกัดเก๊กและพรรคพวกออกไปจากพระตำหนัก

            ซุนจุ๋นจึงให้ทหารเอาเสื่อมาหุ้มศพของจูกัดเก๊กและเตียวเอียดกับพรรคพวกเอาไปทิ้งที่นอกกำแพงเมืองกังตั๋งด้านทิศใต้ และให้ชำระล้างคราบเลือดภายในพระตำหนักจนสะอาดสะอ้านตามเดิม

            พระเจ้าซุนเหลียงได้ตรัสกับซุนจุ๋นว่า จูกัดเก๊กและเตียวเอียดมีสมัครพรรคพวกอยู่เป็นอันมาก หากข่าวการสังหารแพร่หลายออกไปภายนอกแล้วก็อาจเกิดเป็นจลาจลได้ ท่านจะจัดการประการใด

            ซุนจุ๋นจึงว่า การทั้งนี้พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตก ข้าพระองค์จะรับเป็นธุระจัดการมิให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเลย กราบทูลแล้วซุนจุ๋นจึงสั่งทหารให้ยกกำลังไปจับตัวบุตรภรรยาและพรรคพวกของจูกัดเก๊กและเตียวเอียดไปควบคุมตัวไว้ที่กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ และให้ริบทรัพย์สินของจูกัดเก๊กและเตียวเอียดเข้าพระคลังจนหมดสิ้น

            เพื่อมิให้บ้านเมืองว่างเว้นจากรัฐบาล พระเจ้าซุนเหลียงจึงโปรดเกล้าตั้งให้ซุนจุ๋นเป็นที่มหาอุปราช ว่าราชการแผ่นดินทั้งปวงแทนจูกัดเก๊ก และให้ประกาศเป็นทางราชการว่าจูกัดเก๊กมหาอุปราชถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุ จึงโปรดเกล้าตั้งให้ซุนจุ๋นเป็นที่มหาอุปราชสืบแทน ขณะนั้นเป็นปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยเก้าสิบหก เดือนสิบสอง เป็นเวลาหลังจากที่พระเจ้าซุนเหลียงเสวยราชย์แล้วสองปี

            ฝ่ายเกียงอุยทายาททางการทหารของขงเบ้งคุมทหารรักษาเมืองฮันต๋งตามรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยน ครั้นได้รับหนังสือของจูกัดเก๊กที่ชักชวนให้ยกกองทัพไปตีวุยก๊กก็มีความยินดี รีบเดินทางเข้าไปเมืองเสฉวนแล้วกราบทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบ และขอพระบรมราชานุญาตยกกองทัพไปตีวุยก๊ก

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ทราบความว่าพันธมิตรกังตั๋งคิดอ่านแผนการทำศึกกระหนาบรุมเข้าตีวุยก๊กก็ทรงเห็นชอบ ตรัสสั่งให้เกียงอุยเป็นแม่ทัพ ยกพลยี่สิบหมื่นไปตีวุยก๊กตามที่จูกัดเก๊กได้ร้องขอ เกียงอุยรับพระบรมราชโองการแล้วรีบเดินทางกลับไปเมืองฮันต๋ง จัดแจงทแกล้วทหารพร้อมแล้วรอวันฤกษ์ดีจะกรีฑาทัพออกจากเมืองฮันต๋ง

            ครั้นถึงวันฤกษ์ดีเกียงอุยจึงให้ชุมนุมพลยี่สิบหมื่นหน้าเมืองฮันต๋ง สั่งให้เลียวฮัวเป็นปีกซ้าย ให้เตียวเอ๊กเป็นปีกขวา คุมทหารยกล่วงหน้าไปก่อน ให้เตียวหงีเป็นกองทัพหลัง ตัวเกียงอุยคุมกองทัพหลวง และให้แฮหัวป๋าเป็นเสนาธิการกองทัพหลวง พอได้เวลาฤกษ์เกียงอุยก็ให้ลั่นกลองรบเป็นสัญญาณเคลื่อนทัพออกทางด่านแฮบังก๋วน

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าในขณะที่เกียงอุยยกกองทัพไปครั้งนี้ เป็นปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยแปดสิบสาม พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบหกปี ในขณะที่สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่าเป็นจ๊วกฮั่นเอี่ยงฮีศกปีที่สิบหก ฤดูสารท ซึ่งเป็นการคลาดเคลื่อน เพราะการที่เกียงอุยยกกองทัพไปครั้งนี้เป็นไปตามคำชักชวนของจูกัดเก๊ก เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยเก้าสิบหก ไม่มีทางที่จะเป็นปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยแปดสิบสามได้ เพราะขณะนั้นวุยก๊กยังอยู่ในยุคสมัยที่พระเจ้าโจฮองเพิ่งขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์แทนพระเจ้าโจยอย และฝ่ายง่อก๊กยังอยู่ในยุคสมัยของพระเจ้าซุนกวน พระเจ้าซุนกวนสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยเก้าสิบห้า เป็นเหตุให้ฝ่ายวุยก๊กคิดว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นในง่อก๊กจึงยกกองทัพมาตี แต่ง่อก๊กก็สามารถตีโต้จนได้รับชัยชนะ จูกัดเก๊กได้ชัยชนะแล้วกำเริบ คิดอ่านแผนการตีกระหนาบวุยก๊กทั้งจากเหนือและใต้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยเก้าสิบหก ช่วงเวลาเดียวกับที่จูกัดเก๊กกรีฑาทัพบุกวุยก๊ก ซึ่งตกอยู่ในช่วงเดือนเก้าหรือเดือนสิบ ซึ่งถือได้ว่ายังเป็นเทศกาลฤดูสารท ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าช่วงเวลาที่เกียงอุยกรีฑาทัพออกทางด่านแฮบังก๋วนครั้งนี้ ยังคงอยู่ในช่วงปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยเก้าสิบหก เดือนเก้าหรือเดือนสิบ

            ครั้นเกียงอุยเคลื่อนทัพไปถึงด่านแฮบังก๋วนจึงให้พักพลไว้ในด่าน แล้วปรึกษากับแฮหัวป๋าว่าเมื่อครั้งก่อนเราเสียทีแก่วุยก๊ก เพราะได้นัดหมายกับชาวเมืองเกี๋ยงแล้ว แต่ชาวเมืองเกี๋ยงไม่ยกไปตามกำหนด กองทัพเราเสียเวลารอกองทัพเมืองเกี๋ยง จึงทำให้แผนการทั้งปวงรวนเร มาครั้งนี้ทหารก็มาก เสบียงก็พร้อม จำจะต้องนัดหมายกับชาวเมืองเกี๋ยงให้มั่นเหมาะก่อนจึงค่อยรุกเข้าแดนวุยก๊ก ท่านจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด

            แฮหัวป๋าจึงว่า ในบรรดาหัวเมืองของวุยก๊กซึ่งอยู่แนวหน้าใกล้ชิดกับด่านแฮบังก๋วนนั้น เห็นเมืองลำอั๋นเป็นหัวเมืองสำคัญ มีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ หากตีได้เมืองนี้เป็นฐานบำรุงเลี้ยงดูทหารแล้วเห็นจะทำการต่อไปได้โดยสะดวก แลเมื่อครั้งก่อนนั้นท่านชักชวนชาวเมืองเกี๋ยงแต่ไม่มาตามนัด เนื่องเพราะท่านนัดหมายแต่ลมปากชาวเมืองเกี๋ยงจึงรับปากก็แต่ลมปากอย่างเดียวกัน อันวิสัยชาวเมืองเกี๋ยงนั้นมักโลภ เห็นแก่ข้าวของเงินทอง ดังนั้นในครั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผิดพลาด จึงชอบที่ท่านจะแต่งข้าวของเงินทองจำนวนมากเอาไปให้เจ้าเมืองเกี๋ยง แล้วกำหนดนัดหมายให้เดินทัพไปตามปากทางเซ็กเอ๋ง บรรจบกับกองทัพของท่านที่เมืองตองเต๋ง พร้อมแล้วค่อยยกเข้าตีเมืองลำอั๋น เห็นจะได้ชัยชนะ

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าหัวเมืองแรกในแดนวุยก๊กที่แฮหัวป๋าเสนอแผนให้เข้าตีคือเมืองอันหนำซึ่งเป็นการแปลผิด ความจริงก็คือเมืองลำอั๋น เพราะเป็นเส้นทางและหัวเมืองเดียวกับที่ขงเบ้งเคยยกกองทัพเข้าตีมาก่อนในศึกบุกวุยก๊กครั้งที่หนึ่ง ซึ่งตรงกับฉบับภาษาจีนว่าหัวเมืองนี้เคยเป็นหัวเมืองที่ขงเบ้งเคยยกทหารเข้าตีในการทำสงครามกับวุยก๊กครั้งแรก ความคลาดเคลื่อนอาจจะเนื่องจากล่ามแปลจีนเป็นไทย และถ้าดูสำเนียงการแปลแล้วเมื่อครั้งที่ขงเบ้งยกกองทัพไปตีเมืองลำอั๋นนั้นน่าจะเป็นล่ามจีนแต้จิ๋วหรือฮกเกี้ยน แต่พอมาถึงศึกครั้งนี้น่าจะเป็นล่ามจีนไหหลำหรือกวางตุ้ง จึงผิดเพี้ยนจากลำอั๋นเป็นอันหนำดังนี้

            เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงสั่งทหารให้แต่งของบรรณาการประกอบด้วย “เพชรแลเงินทอง แพรกระบวรอย่างดี เป็นเครื่องราชบรรณาการไปถึงปีต๋องเจ้าเมืองเกี๋ยงให้ยกกองทัพมาช่วย”

            ฝ่ายปีต๋องซึ่งเป็นเจ้าเมืองเกี๋ยง ครั้นได้ทราบความจากคณะทูตและเห็นของบรรณาการเป็นอันมากก็มีความยินดี วิสัยคนภาคพายัพซึ่งมีเชื้อเผ่ามองโกลนั้นแม้ว่าจะมีความโลภและหยาบกระด้างก็จริงอยู่ แต่เมื่อได้รับสินบาทคาดสินบนแล้วก็จะรักษาความสัตย์เสมอด้วยชีวิต ผิดกับพวกวิญญูชนปกเสื้อขาวหรือบัณฑิตเต้าหู้ยี้ในยุคหลังที่หวังเอาแต่ประโยชน์ ปลิ้นปล้อนหลอกลวงหาสัจจะแก่นสารอันใดมิได้ ปีต๋องจึงกล่าวแก้ตัวกับคณะทูตว่าเมื่อครั้งก่อนเราได้รับคำเชิญชวนกระทันหันเกินไปจึงยกกองทัพไปไม่ทันการ แต่ครั้งนี้เราจะยกกองทัพไปให้ทันตามกำหนดทุกประการ พวกท่านจงกลับไปแจ้งความแก่เกียงอุยให้วางใจเถิด

            คณะทูตเห็นปีต๋องรับคำดังนั้นก็มีความยินดี คำนับลากลับไปรายงานให้เกียงอุยทราบความทุกประการ

            เมื่อคณะทูตกลับไปแล้วปีต๋องจึงเกณฑ์ทัพห้าหมื่น ตั้งให้โงโหและเสียวกั้วเป็นแม่ทัพหน้าซ้ายขวา ตัวปีต๋องเป็นแม่ทัพหลวง ยกออกจากเมืองเกี๋ยงตรงไปที่เมือง ตองเต๋งตามที่เกียงอุยได้กำหนดนัด

            ฝ่ายกวยหวยเจ้าเมืองเองจิ๋วเมื่อได้ทราบข่าวศึกจึงให้ม้าเร็วถือใบบอกไปแจ้งข้อ ราชการที่เมืองลกเอี๋ยง ครั้นสุมาสูทราบความตามใบบอกว่าเกียงอุยยกกองทัพออกทางด่านแฮบังก๋วนมาตีวุยก๊ก จึงปรึกษากับขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่างี่สงคาดการณ์ไว้อย่างแม่นยำว่าเกียงอุยจะยกกองทัพบุกวุยก๊ก ขอให้เราแต่งทหารออกไปรักษาด่านตามรายทาง ซึ่งเราได้ให้สุมาเจียวคุมทหารยกหนุนไปช่วยกวยหวยรักษาเมืองเองจิ๋ว แต่สุมาเจียวป่วยจึงยังไม่ทันยกไป บัดนี้เมื่อเกียงอุยจะยกกองทัพรุกเข้ามา จะมีผู้ใดอาสาเป็นแม่ทัพยกไปรับศึกครั้งนี้

            ชีจิดซึ่งเป็นนายทหารระดับรองแม่ทัพได้ยินดังนั้นจึงขันอาสาขอเป็นแม่ทัพยกไปรบกับเกียงอุย สุมาสูรู้จักตัวและกิตติศัพท์ของชีจิดเป็นอย่างดีว่าเป็นคนซื่อตรง มี ฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ ทั้งสติปัญญาในการสงครามก็ล้ำลึก ครั้นเห็นชีจิดขันอาสาก็มีความยินดี ตั้งให้ชีจิดเป็นแม่ทัพกองทัพหน้า และให้สุมาเจียวเป็นกองทัพหลวง ยกทหารไปตั้งรับกองทัพของเกียงอุยที่เมืองตองเต๋ง

            สุมาเจียวและชีจิดรับคำสั่งแล้วจัดแจงทหารยกไปที่เมืองตองเต๋ง และให้ตั้งค่ายเตรียมรับศึกกับกองทัพเมืองเสฉวน

            วันรุ่งขึ้นเกียงอุยได้คุมทหารออกมาที่ลานรบ สุมาเจียวก็คุมทหารออกไปตั้งประจันหน้าตามกระบวนที่จะรบกันด้วยฝีมือทหารเอก หลังจากเจรจาโต้ตอบด่าว่าตามธรรมเนียมการรบแล้ว ชีจิดจึงถือขวานใหญ่ขี่ม้าออกไปกลางลานรบ เกียงอุยเห็นดังนั้นจึงสั่งให้เลียวฮัวออกไปรบกับชีจิด เลียวฮัวรับคำสั่งแล้วถือทวนพุ่งม้าออกไปกลางลานรบ

            กลองศึกทั้งสองฝ่ายประโคมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เลียวฮัวรบกับชีจิดได้เพียงสามเพลงก็ทานกำลังชีจิดไม่ได้ ทวนของเลียวฮัวกระทบกับขวานของชีจิดแล้วกระเด็นหลุดออกจากมือ ชีจิดเห็นได้ทีจึงชักม้ากลับมาเงื้อขวานทำท่าจะฟัน เลียวฮัวก็รีบเบนม้าหนีออกจากลานรบ เกียงอุยเห็นดังนั้นจึงสั่งให้เตียวเอ๊กออกไปช่วย

            เตียวเอ๊กถือทวนแล้วพุ่งม้าเข้าไปสกัดหน้าชีจิดไว้ ชีจิดถูกสกัดไว้ดังนั้นจึงหันเข้ารบกับเตียวเอ๊ก ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ห้าเพลงเตียวเอ๊กทานกำลังชีจิดไม่ได้ ชักม้าผละหนีออกจากวงรบ ชีจิดเห็นได้ทีจึงร้องสั่งทหารให้รุกไล่ตามตี

            ทหารวุยก๊กเห็นตัวนายได้ทีมีชัยชนะแก่ข้าศึกก็ฮึกเหิม พากันโหมเข้าตีทหารเมืองเสฉวนอย่างดุเดือด ทหารของเกียงอุยกำลังตกใจแตกตื่นเสียขวัญคุมกันไม่ติด จึงถูกทหารวุยก๊กฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            เกียงอุยเห็นทหารระส่ำระสายไม่เป็นอันสู้รบ จึงออกคำสั่งให้ทหารถอยทัพลงไปตั้งค่ายใหม่ห่างจากที่เดิมประมาณสามร้อยเส้น สุมาเจียวเห็นเกียงอุยพาทหารล่าถอยก็เกรงว่าจะเป็นกลอุบายซุ่มทหารไว้โจมตี จึงสั่งทหารไม่ให้ไล่ติดตาม แล้วกลับเข้าค่ายตั้งมั่นไว้ดังเดิม

            ฝ่ายเกียงอุยเมื่อให้ทหารตั้งค่ายแล้ว จึงปรึกษากับแฮหัวป๋าว่าชีจิดคนนี้มีฝีมือรบพุ่งหนักหน่วงกล้าหาญนัก จะคิดอ่านอุบายประการใดจึงจะกำจัดชีจิดเสียได้ ถ้าสังหารชีจิดได้แล้วเห็นทีทหารวุยก๊กจะตกใจแตกตื่นระส่ำระสายไปเอง

            แฮหัวป๋าจึงว่า ในวันพรุ่งนี้ให้ท่านเอาทหารไปซุ่มไว้ในป่าสองข้างทาง แล้วจัดทหารอีกกองหนึ่งออกไปท้ารบ ล่อชีจิดให้ตามมาที่จุดซุ่ม เห็นจะกำจัดชีจิดได้เป็นมั่นคง

            เกียงอุยจึงแย้งว่าแผนอุบายนี้ก็ดีอยู่ แต่สุมาเจียวก็เป็นบุตรของสุมาอี้ ได้รับการถ่ายทอดเล่ห์กลอุบายมากหลาย เห็นจะแจ้งอุบายของท่าน จึงกริ่งว่าจะไม่สมดังความปรารถนา

            แฮหัวป๋าได้ยินคำเกียงอุยดังนั้นก็นิ่งอึ้ง เกียงอุยจึงกล่าวสืบไปว่า วิสัยลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น การศึกครั้งนี้สุมาเจียวผู้บุตรสุมาอี้เป็นแม่ทัพบัญชาการศึก ดังนั้นกลยุทธ์อันใดของสุมาอี้ที่เคยใช้ กลยุทธ์อันนั้นเห็นจะตกมาสู่สุมาเจียวด้วย แลเมื่อครั้งสุมาอี้ทำการสงครามนั้นมักใช้กลยุทธ์หลักในการสกัดตีต้นทางลำเลียงเสบียงอาหารเป็นสำคัญ ครั้นไม่ป้องกันก็จะสูญเสียเส้นทางลำเลียงและเส้นทางถอย ครั้นส่งทหารไปป้องกันเส้นทางก็จะถูกตีในระหว่างทาง และทหารซึ่งเหลืออยู่ก็น้อยตัว รุดหน้าไปขัดสนนัก.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร