ตอนที่ 603. ศึกชิงอำนาจในเมืองกังตั๋ง
จูกัดเก๊กมหาอุปราชแห่งง่อก๊กยิ่งหวาดระแวงมากก็ยิ่งกระชับอำนาจรวบอำนาจมากขึ้น ในที่สุดอำนาจของจูกัดเก๊กก็ยิ่งใหญ่คับฟ้า กระทบกับพระราชอำนาจของพระเจ้าซุนเหลียง จึงทรงเห็นชอบกับแผนการของเตงอิ๋นและซุนจุ๋นให้กำจัดจูกัดเก๊กเสีย แต่วิสัยผู้เป็นใหญ่เมื่อจะเกิดเหตุร้ายก็ปรากฏเทพสังหรณ์ให้ได้เห็น แต่จูกัดเก๊กถูกกรรมบังตาไม่เฉลียวใจ กลับสังหารทหารรักษาการณ์ถึงสี่สิบคน
ในค่ำวันนั้นจูกัดเก๊กรู้สึกรุ่มร้อนนอนไม่หลับ ผลุดลุกผลุดนั่งเป็นหลายครั้งหลายหนจนเวลาล่วงเข้าสู่สองยาม พลันได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวคล้ายเสียงอสุนีบาตดังขึ้นที่ห้องโถงด้านหน้า จูกัดเก๊กตกใจระแวงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นภายในจวน จึงเรียกทหารรักษาการณ์พากันออกไปดูที่ห้องโถงใหญ่
พอก้าวเข้าสู่ประตูห้องโถงจูกัดเก๊กก็ตื่นตระหนกตกใจเพราะเห็นคานและอกไก่ของห้องโถงใหญ่หักสะบั้นเป็นสองท่อนโดยไม่รู้สาเหตุ กระเบื้องหล่นแตกกระจัดกระจายทั่วทั้งห้องโถง
แต่เนื่องจากเป็นเวลาดึกมากแล้วไม่อาจจัดการประการใดได้ จูกัดเก๊กจึงพาทหารกลับไปยังที่พักด้านใน แล้วขับทหารให้ไปนอน
จูกัดเก๊กถอดเสื้อผ้าเหลือแต่ชุดชั้นในแล้วเข้าไปนั่งที่เตียง เอนหลังลงนอนแต่ก็นอนไม่หลับ พลันสายลมเย็นโชยพัดวูบมาเย็นยะเยือกสะท้านเข้าไปในหัวใจ และมีเสียงประหนึ่งมีคนหลายคนเดินตามสายลมเข้ามา จูกัดเก๊กเหลียวไปมองตามต้นเสียงก็เห็นทหารรักษาการณ์ประมาณสี่สิบคนซึ่งถูกคำสั่งประหารเมื่อตอนกลางวันเดินหิ้วศีรษะตรงเข้ามาหา
แล้วได้ยินเสียงร่ำไห้ของทหารรักษาการณ์เหล่านั้นครวญครางโหยหวนว่า พวกเราไม่มีความผิด แต่ท่านกลับสั่งให้ประหารชีวิตโดยไม่คิดคำนึงถึงลูกเมียครอบครัวของพวกเราจะได้ความเดือดร้อนทุกข์เข็ญ พวกเราจึงมาทวงเอาชีวิตท่านบ้าง จงมอบชีวิตแก่พวกเราเพื่อชดใช้กรรมที่ท่านได้กระทำมาอย่างหนักหนาสาหัสแต่โดยดีเถิด
กล่าวแล้วปีศาจทั้งสี่สิบตนก็เดินถือศีรษะเห็นเลือดไหลเป็นทางเต็มทั้งห้องโถงเข้ามารุมล้อมด้วยท่าทีที่น่ากลัวยิ่งนัก จูกัดเก๊กเห็นดังนั้นก็ยิ่งตกใจ ร้องเสียงดังลั่นห้องเรียกทหารให้เข้ามาช่วยจนพลัดตกลงจากเตียงสิ้นสติสมประดี
ทหารรักษาการณ์ข้างในจวนได้ยินเสียงร้องของจูกัดเก๊กก็พากันวิ่งตรูเข้ามา เห็นจูกัดเก๊กสิ้นสติแน่นิ่งอยู่กับพื้นก็ช่วยกันประคองพยุงขึ้นไปนอนบนเตียง แล้วนวดเฟ้นจนจูกัดเก๊กฟื้นคืนสติ
จูกัดเก๊กได้สติแล้วยังคงตกใจกลัว เกรงว่าปีศาจจะมาหลอกหลอนอีก จึงสั่งทหารรักษาการณ์ให้นั่งเฝ้ารายรอบเตียงแล้วค่อยม่อยหลับไป
ครั้นรุ่งเช้าจูกัดเก๊กตื่นขึ้น หญิงรับใช้ประจำจวนได้นำอ่างล้างหน้าเข้าไปให้จูกัดเก๊กตามหน้าที่ แต่พอจูกัดเก๊กจะเอาน้ำล้างหน้า พลันเห็นน้ำในอ่างสีแดงเป็นเลือด มีกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งกระทบจมูก จูกัดเก๊กก็โกรธ ร้องเรียกหญิงรับใช้ให้รีบเอาน้ำล้างหน้านั้นไปเททิ้งแล้วเปลี่ยนน้ำล้างหน้าใหม่
หญิงรับใช้ได้เปลี่ยนน้ำล้างหน้าใหม่ให้กับจูกัดเก๊กสามสี่ครั้ง ทุกครั้งจูกัดเก๊กก็ยังคงเห็นเป็นน้ำเลือดและมีกลิ่นคาวคละคลุ้ง จนไม่สามารถล้างหน้าได้ตามปกติ จูกัดเก๊กจึงสั่งให้เอาน้ำล้างหน้านั้นไปทิ้ง และให้ขุ่นข้องหมองใจว่าเหตุใดปีศาจจึงจงใจหลอกหลอนไม่หยุดหย่อนถึงเพียงนี้
ในขณะนั้นทหารรักษาการณ์ประจำจวนได้วิ่งเข้ามารายงานว่า พระเจ้าซุนเหลียงมีหมายรับสั่งเชิญท่านมหาอุปราชไปกินโต๊ะที่พระตำหนักฝ่ายในในเวลาเที่ยงวันนี้ จูกัดเก๊กได้ทราบดังนั้นจึงสั่งทหารรักษาการณ์ให้ไปแจ้งข้าหลวงซึ่งเชิญหมายรับสั่งว่าจะเข้าไปเฝ้ารับพระราชทานเลี้ยงตามกำหนด
ข้าหลวงได้ทราบคำตอบจากราชครูแล้วจึงกลับเข้าไปในวัง กราบทูลให้พระเจ้าซุนเหลียงทรงทราบทุกประการ พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสสั่งให้ทหารซึ่งมีฝีมือเข้าประจำจุดซุ่ม และกำชับมิให้ผู้ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้ามายังพระตำหนักใน คอยท่าเวลาจูกัดเก๊กมาถึงแล้วจะได้กำจัดเสียตามแผนการของเตงอิ๋นนั้น
ครั้นเวลาใกล้เที่ยงจูกัดเก๊กจึงแต่งตัวเดินออกจากจวนจะไปขึ้นเกวียนประจำตำแหน่งราชครูซึ่งจอดอยู่ด้านหน้าจวน มีขบวนทหารองครักษ์ตั้งกองขบวนตามตำแหน่ง แต่พอจูกัดเก๊กก้าวออกจากประตูจวนสุนัขขนสีเหลืองซึ่งจูกัดเก๊กเลี้ยงไว้และกักขังไว้ด้านหลังจวนได้หลุดออกจากกรง วิ่งตรงเข้ามากัดชายเสื้อของจูกัดเก๊กพยายามลากกลับเข้าไปในจวน ในขณะที่ปากก็หอนเสียงโหยหวนประหนึ่งเห็นปีศาจ
จูกัดเก๊กเสียทีที่เลี้ยงสุนัขแต่ไม่รู้อัชฌาสัยสุนัข ดังนั้นเมื่อถูกสุนัขกัดชายเสื้อจะลากกลับเข้าไปในจวนก็รู้สึกรำคาญ จึงตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังจนสุนัขตกใจหนีไปทางด้านหลังจวน จูกัดเก๊กจึงขึ้นเกวียนแล้วสั่งเคลื่อนขบวนออกจากจวนไป
ครั้นขบวนของจูกัดเก๊กใกล้จะถึงพระราชวัง พลันสายลมเย็นยะเยือกได้พัดโชยมาเป็นที่แปลกประหลาดนัก ในทันใดนั้นก็มีควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากพื้นดินแผ่ปกคลุมขบวนจนทหารทั้งขบวนต้องหยุดอยู่กับที่ จูกัดเก๊กเห็นเป็นเหตุการณ์ประหลาดซ้ำรอยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งยกกองทัพไปบุกวุยก๊กก็ตกใจ ลังเลรีรอว่าจะรุดหน้าต่อไปหรือจะคืนกลับไปจวน
พอดีเตียวเอียดซึ่งเป็นนายทหารคนสนิท มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของจูกัดเก๊กได้เห็นนิมิตดังนั้นก็รู้ความตามตำราว่าเป็นนิมิตร้าย ตัวแม่ทัพจะถึงแก่ความตาย จึงขี่ม้าเข้าไปหาจูกัดเก๊กถึงเกวียนแล้วกล่าวเตือนสติว่ารังสีธาตุสีขาวที่พวยพุ่งขึ้นจากแผ่นดินดังนี้เป็นนิมิตร้าย หากเป็นการสงครามก็จะเป็นลางว่าแม่ทัพจะถึงแก่ความตาย ซึ่งมีหมายรับสั่งให้ท่านเข้าไปรับพระราชทานเลี้ยงในวันนี้เห็นจะวางใจมิได้ เกรงว่าจะมีผู้คิดร้ายทำอันตรายแก่ท่าน ชอบที่จะรีบกลับไปจวนจึงจะพ้นอันตราย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความซึ่งเตียวเอียดเตือนสติจูกัดเก๊กว่า “ซึ่งมีรับสั่งให้ท่านเข้าไปกินโต๊ะเลี้ยงครั้งนี้ หารู้จักเหตุหนักแลเบาไม่เลย ขอให้ท่านตรึกตรองจงดีก่อน อย่าเพิ่งเบาความ”
จูกัดเก๊กได้ยินคำเตียวเอียดดังนั้นก็ได้สติ หวนรำลึกถึงการแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดินของพระเจ้าซุนเหลียงก็ยิ่งสงสัย แล้วจู่ ๆ มีรับสั่งให้เข้าไปรับพระราชทานเลี้ยงโดยมิใช่เป็นเทศกาลตามประเพณีแต่ประการใด จูกัดเก๊กก็ยิ่งแปลกใจ ตระหนักว่าซึ่งเทพยดาบันดาลนิมิตตั้งแต่ให้ชายไว้ทุกข์บุกเข้ามาถึงจวนโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น มาถึงสุนัขหลุดออกจากกรงแล้วดึงชายเสื้อลากให้กลับเข้าจวน กระทั่งเกิดนิมิตธาตุสีขาวปรากฏดังนี้ ล้วนเป็นเทพยดาสังหรณ์บอกเหตุทั้งสิ้น ตระหนักดังนั้นแล้วจูกัดเก๊กจึงสั่งขบวนให้ย้อนกลับไปจวน
ฝ่ายซุนจุ๋นและเตงอิ๋นได้เตรียมการทั้งปวงไว้พร้อมแล้ว และให้ทหารคอยสอดแนมขบวนของจูกัดเก๊ก ครั้นทราบว่าจูกัดเก๊กกำลังเปลี่ยนใจจะกลับไปจวน จึงรีบขี่ม้ารุดตามมา
เมื่อทันเกวียนของจูกัดเก๊กแล้ว เตงอิ๋นและซุนจุ๋นจึงร้องเรียกจูกัดเก๊กให้หยุดขบวนไว้ก่อนแล้วกล่าวว่า พระเจ้าซุนเหลียงทรงมีความรำลึกถึงจึงโปรดเกล้าให้แต่งโต๊ะเลี้ยง ทรงคอยท่าพร้อมอยู่แล้ว ไฉนมหาอุปราชจะเปลี่ยนใจกลับไปจวนเสียเล่า
จูกัดเก๊กจึงแสร้งบ่ายเบี่ยงว่า เราตั้งใจจะไปรับพระราชทานเลี้ยงตามรับสั่ง แต่เมื่อมาถึงกลางทางก็ให้รู้สึกปวดท้องเป็นกำลัง จำจะกลับไปจวนก่อน จึงไม่อาจเดินทางเข้าไปเฝ้าตามกำหนดได้
เตงอิ๋นจึงว่า “แต่ท่านมหาอุปราชไปทัพกลับมาแล้วยังไม่ได้เข้าไปเฝ้าเลย พระเจ้าซุนเหลียงเอาพระทัยไต่ถามอยู่เนือง ๆ แจ้งว่าท่านคลายแล้วจึงให้เชิญเข้าไปกินโต๊ะ หวังจะได้ปรึกษาราชการแผ่นดิน ได้เข้ามาถึงนี่แล้วอุตส่าห์แข็งใจเข้าไปเฝ้าสักหน่อยหนึ่งเถิด ให้พระเจ้าซุนเหลียงดีพระทัย”
จูกัดเก๊กแม้มีบุญมากแต่กรรมตามทัน จึงบังความเฉลียวเอาไว้จนหมดสิ้น ได้ยินคำซุนจุ๋นและเตงอิ๋นดังนั้นก็ลืมคิดไปว่าเตงอิ๋นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เคยมีความบาดหมางกันมาแต่ก่อน ส่วนซุนจุ๋นเล่าก็เพิ่งปลดออกจากตำแหน่งเจ้ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ มิได้มีหน้าที่ใด ๆ เกี่ยวข้องกับราชสำนัก เหตุไฉนจึงตั้งตนเป็นเจ้ากี้เจ้าการชักชวนให้เข้าไปรับพระราชทานเลี้ยง เมื่อปัญญาและความเฉลียวถูกกรรมบังไว้ดังนั้นจูกัดเก๊กจึงเคลิ้มใจเชื่อตามคำเตงอิ๋นว่าพระเจ้าซุนเหลียงมีความรำลึกนึกถึง จึงชอบที่จะเข้าไปเฝ้าเพื่อให้คลายพระทัย
จูกัดเก๊กคิดดังนั้นแล้วจึงสั่งขบวนให้เดินทางไปยังพระตำหนักที่ประทับของพระเจ้าซุนเหลียงตามแผนการเดิม เตียวเอียดรู้สึกสังหรณ์ใจ จึงสั่งทหารให้ระวังระไวและติดตาม จูกัดเก๊กเจ้าไปจนถึงพระตำหนักที่ประทับ
พระเจ้าซุนเหลียงทราบว่าจูกัดเก๊กกำลังเดินทางมาถึงหน้าพระตำหนักในก็เสด็จออกไปต้อนรับ แล้วกระทำคำนับตามประเพณีที่ศิษย์พึงกระทำต่อราชครู จูกัดเก๊กก็ถวายบังคมตามประเพณี หลังจากมีพระราชปฏิสันถารตามสมควรแล้วพระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสเชิญจูกัดเก๊กเข้าไปข้างในพระตำหนักซึ่งแต่งโต๊ะเตรียมไว้พร้อมแล้ว จากนั้นจึงตรัสชวนจูกัดเก๊กดื่มสุรา
จูกัดเก๊กมากด้วยความระแวงและระมัดระวังตัวอยู่ ครั้นได้ยินรับสั่งชวนให้ดื่มสุราก็แสร้งบ่ายเบี่ยงว่า ข้าพระองค์ยังป่วยด้วยโรคปวดท้อง ไม่อาจเสพสุราได้ ขอได้ทรงอภัยโทษ
พระเจ้าซุนเหลียงได้ยินดังนั้นก็ทรงอึ้ง มิรู้ที่จะทำประการใดจึงจะดำเนินไปสู่แผนการที่วางไว้ ซุนจุ๋นซึ่งยืนเฝ้าอยู่ในที่ใกล้เห็นดังนั้นจึงเข้ามาถวายบังคมพระเจ้าซุนเหลียงแล้วกล่าวกับจูกัดเก๊กว่า “ข้าพเจ้าเห็นมหาอุปราชกินยาดองสุราอยู่อัตรา อย่าให้ขัดพระอัชฌาสัยเลย ใช้ให้บ่าวไปเอายาดองมากินแต่พอใช้ชอบพระอัชฌาสัย”
ซุนจุ๋นก็เกรงบารมีของจูกัดเก๊ก แต่เมื่อเห็นพระเจ้าซุนเหลียงตกตะลึงก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าตามที่ได้รู้เห็นมาว่าจูกัดเก๊กมักเสพยาดองสุรา และเพื่อให้จูกัดเก๊กคลายใจว่าจะไม่มีการวางยาพิษไว้ในสุรา จึงเสนอให้จูกัดเก๊กสั่งลูกน้องให้ไปเอายาดองมาจากจวน จูกัดเก๊กเพราะเหตุถูกกรรมบังตา สิ้นความเฉลียวใจ มองข้ามไปไม่เห็นถึงพิรุธและความไม่ชอบมาพากลว่าซึ่งจะให้ทหารไปเอายาดองจากบ้านมาดื่มกับฮ่องเต้นั้นเป็นการไม่ถวายความเคารพ และเป็นการเสียมารยาทอย่างใหญ่หลวง กลับเห็นดีเห็นงามไปกับซุนจุ๋น แล้วสั่งทหารให้รีบกลับไปเอายาดองมาจากจวน
พระเจ้าซุนเหลียงตรัสชวนให้จูกัดเก๊กดื่มยาดองในขณะที่พระองค์เสวยน้ำจัณฑ์และตรัสชวนจูกัดเก๊กสนทนาในราชการต่าง ๆ จนจูกัดเก๊กเผลอตัวลืมความระแวงสงสัยจนหมดสิ้นแล้วดื่มยาดองจนเมามาย
พระเจ้าซุนเหลียงเห็นจูกัดเก๊กเผลอตัวดื่มยาดองจนเมาแล้ว จึงตรัสถึงความหลังครั้งที่พระเจ้าซุนกวนยังทรงพระชนม์ แล้วไว้วางพระราชหฤทัยในจูกัดกิ๋นและจูกัดเก๊ก ตลอดจนการที่พระเจ้าซุนกวนฝากฝังการแผ่นดินไว้กับจูกัดเก๊กว่าการทั้งนี้เป็นบุญของพระเจ้าซุนเหลียง จึงมีผู้มีสติปัญญาฝีมือมาช่วยทำนุบำรุง จูกัดเก๊กได้ยินความหลังก็เคลิบเคลิ้มวางใจว่าพระเจ้าซุนเหลียงยังคงเป็นศิษย์ที่ตัวสู้ทำนุบำรุงมาเหมือนเดิมทุกประการ
ในขณะที่จูกัดเก๊กเริ่มมีอาการเมา ซุนจุ๋นก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดขุนนางเป็นชุดทหารที่ห้องข้างใน แล้วถือกระบี่ออกมาที่โต๊ะซึ่งพระเจ้าซุนเหลียงกำลังเสวยน้ำจัณฑ์อยู่กับจูกัดเก๊ก และกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “มีรับสั่งให้เราฆ่าอ้ายจูกัดเก๊ก ซึ่งเป็นศัตรูแผ่นดินให้สิ้นชีวิต”
จูกัดเก๊กเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบคว้ากระบี่จะชักออกจากด้ามแต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เงากระบี่ปลาบแวบหนึ่ง ซุนจุ๋นได้ใช้กระบี่ฟันศีรษะของจูกัดเก๊กหลุดจากบ่าตกลงกับพื้น ทหารซึ่งซุ่มตัวอยู่ข้างในก็พากันวิ่งตรูออกมา
ในพริบตาที่ซุนจุ๋นเงื้อกระบี่นั้น เตียวเอียดซึ่งคุมเชิงอยู่ที่ด้านข้างได้คว้าง้าววิ่งตรงเข้ามาหวังจะช่วยจูกัดเก๊กแต่ไม่ทันการณ์แล้ว เตียวเอียดก็โกรธ เอาง้าวฟันซุนจุ๋น ซุนจุ๋นตกใจเอี้ยวตัวหลบแต่ไม่พ้น ง้าวของเตียวเอียดฟันถูกมือของซุนจุ๋นเป็นแผลใหญ่ แต่กระบี่ของซุนจุ๋นก็กรายฟาดไปถูกไหล่ของเตียวเอียด ในขณะนั้นทหารซึ่งกรูออกมาก็ได้รุมเอากระบี่ฟันแทงเตียวเอียดจนถึงแก่ความตาย.
ในค่ำวันนั้นจูกัดเก๊กรู้สึกรุ่มร้อนนอนไม่หลับ ผลุดลุกผลุดนั่งเป็นหลายครั้งหลายหนจนเวลาล่วงเข้าสู่สองยาม พลันได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวคล้ายเสียงอสุนีบาตดังขึ้นที่ห้องโถงด้านหน้า จูกัดเก๊กตกใจระแวงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นภายในจวน จึงเรียกทหารรักษาการณ์พากันออกไปดูที่ห้องโถงใหญ่
พอก้าวเข้าสู่ประตูห้องโถงจูกัดเก๊กก็ตื่นตระหนกตกใจเพราะเห็นคานและอกไก่ของห้องโถงใหญ่หักสะบั้นเป็นสองท่อนโดยไม่รู้สาเหตุ กระเบื้องหล่นแตกกระจัดกระจายทั่วทั้งห้องโถง
แต่เนื่องจากเป็นเวลาดึกมากแล้วไม่อาจจัดการประการใดได้ จูกัดเก๊กจึงพาทหารกลับไปยังที่พักด้านใน แล้วขับทหารให้ไปนอน
จูกัดเก๊กถอดเสื้อผ้าเหลือแต่ชุดชั้นในแล้วเข้าไปนั่งที่เตียง เอนหลังลงนอนแต่ก็นอนไม่หลับ พลันสายลมเย็นโชยพัดวูบมาเย็นยะเยือกสะท้านเข้าไปในหัวใจ และมีเสียงประหนึ่งมีคนหลายคนเดินตามสายลมเข้ามา จูกัดเก๊กเหลียวไปมองตามต้นเสียงก็เห็นทหารรักษาการณ์ประมาณสี่สิบคนซึ่งถูกคำสั่งประหารเมื่อตอนกลางวันเดินหิ้วศีรษะตรงเข้ามาหา
แล้วได้ยินเสียงร่ำไห้ของทหารรักษาการณ์เหล่านั้นครวญครางโหยหวนว่า พวกเราไม่มีความผิด แต่ท่านกลับสั่งให้ประหารชีวิตโดยไม่คิดคำนึงถึงลูกเมียครอบครัวของพวกเราจะได้ความเดือดร้อนทุกข์เข็ญ พวกเราจึงมาทวงเอาชีวิตท่านบ้าง จงมอบชีวิตแก่พวกเราเพื่อชดใช้กรรมที่ท่านได้กระทำมาอย่างหนักหนาสาหัสแต่โดยดีเถิด
กล่าวแล้วปีศาจทั้งสี่สิบตนก็เดินถือศีรษะเห็นเลือดไหลเป็นทางเต็มทั้งห้องโถงเข้ามารุมล้อมด้วยท่าทีที่น่ากลัวยิ่งนัก จูกัดเก๊กเห็นดังนั้นก็ยิ่งตกใจ ร้องเสียงดังลั่นห้องเรียกทหารให้เข้ามาช่วยจนพลัดตกลงจากเตียงสิ้นสติสมประดี
ทหารรักษาการณ์ข้างในจวนได้ยินเสียงร้องของจูกัดเก๊กก็พากันวิ่งตรูเข้ามา เห็นจูกัดเก๊กสิ้นสติแน่นิ่งอยู่กับพื้นก็ช่วยกันประคองพยุงขึ้นไปนอนบนเตียง แล้วนวดเฟ้นจนจูกัดเก๊กฟื้นคืนสติ
จูกัดเก๊กได้สติแล้วยังคงตกใจกลัว เกรงว่าปีศาจจะมาหลอกหลอนอีก จึงสั่งทหารรักษาการณ์ให้นั่งเฝ้ารายรอบเตียงแล้วค่อยม่อยหลับไป
ครั้นรุ่งเช้าจูกัดเก๊กตื่นขึ้น หญิงรับใช้ประจำจวนได้นำอ่างล้างหน้าเข้าไปให้จูกัดเก๊กตามหน้าที่ แต่พอจูกัดเก๊กจะเอาน้ำล้างหน้า พลันเห็นน้ำในอ่างสีแดงเป็นเลือด มีกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งกระทบจมูก จูกัดเก๊กก็โกรธ ร้องเรียกหญิงรับใช้ให้รีบเอาน้ำล้างหน้านั้นไปเททิ้งแล้วเปลี่ยนน้ำล้างหน้าใหม่
หญิงรับใช้ได้เปลี่ยนน้ำล้างหน้าใหม่ให้กับจูกัดเก๊กสามสี่ครั้ง ทุกครั้งจูกัดเก๊กก็ยังคงเห็นเป็นน้ำเลือดและมีกลิ่นคาวคละคลุ้ง จนไม่สามารถล้างหน้าได้ตามปกติ จูกัดเก๊กจึงสั่งให้เอาน้ำล้างหน้านั้นไปทิ้ง และให้ขุ่นข้องหมองใจว่าเหตุใดปีศาจจึงจงใจหลอกหลอนไม่หยุดหย่อนถึงเพียงนี้
ในขณะนั้นทหารรักษาการณ์ประจำจวนได้วิ่งเข้ามารายงานว่า พระเจ้าซุนเหลียงมีหมายรับสั่งเชิญท่านมหาอุปราชไปกินโต๊ะที่พระตำหนักฝ่ายในในเวลาเที่ยงวันนี้ จูกัดเก๊กได้ทราบดังนั้นจึงสั่งทหารรักษาการณ์ให้ไปแจ้งข้าหลวงซึ่งเชิญหมายรับสั่งว่าจะเข้าไปเฝ้ารับพระราชทานเลี้ยงตามกำหนด
ข้าหลวงได้ทราบคำตอบจากราชครูแล้วจึงกลับเข้าไปในวัง กราบทูลให้พระเจ้าซุนเหลียงทรงทราบทุกประการ พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสสั่งให้ทหารซึ่งมีฝีมือเข้าประจำจุดซุ่ม และกำชับมิให้ผู้ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้ามายังพระตำหนักใน คอยท่าเวลาจูกัดเก๊กมาถึงแล้วจะได้กำจัดเสียตามแผนการของเตงอิ๋นนั้น
ครั้นเวลาใกล้เที่ยงจูกัดเก๊กจึงแต่งตัวเดินออกจากจวนจะไปขึ้นเกวียนประจำตำแหน่งราชครูซึ่งจอดอยู่ด้านหน้าจวน มีขบวนทหารองครักษ์ตั้งกองขบวนตามตำแหน่ง แต่พอจูกัดเก๊กก้าวออกจากประตูจวนสุนัขขนสีเหลืองซึ่งจูกัดเก๊กเลี้ยงไว้และกักขังไว้ด้านหลังจวนได้หลุดออกจากกรง วิ่งตรงเข้ามากัดชายเสื้อของจูกัดเก๊กพยายามลากกลับเข้าไปในจวน ในขณะที่ปากก็หอนเสียงโหยหวนประหนึ่งเห็นปีศาจ
จูกัดเก๊กเสียทีที่เลี้ยงสุนัขแต่ไม่รู้อัชฌาสัยสุนัข ดังนั้นเมื่อถูกสุนัขกัดชายเสื้อจะลากกลับเข้าไปในจวนก็รู้สึกรำคาญ จึงตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังจนสุนัขตกใจหนีไปทางด้านหลังจวน จูกัดเก๊กจึงขึ้นเกวียนแล้วสั่งเคลื่อนขบวนออกจากจวนไป
ครั้นขบวนของจูกัดเก๊กใกล้จะถึงพระราชวัง พลันสายลมเย็นยะเยือกได้พัดโชยมาเป็นที่แปลกประหลาดนัก ในทันใดนั้นก็มีควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากพื้นดินแผ่ปกคลุมขบวนจนทหารทั้งขบวนต้องหยุดอยู่กับที่ จูกัดเก๊กเห็นเป็นเหตุการณ์ประหลาดซ้ำรอยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งยกกองทัพไปบุกวุยก๊กก็ตกใจ ลังเลรีรอว่าจะรุดหน้าต่อไปหรือจะคืนกลับไปจวน
พอดีเตียวเอียดซึ่งเป็นนายทหารคนสนิท มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของจูกัดเก๊กได้เห็นนิมิตดังนั้นก็รู้ความตามตำราว่าเป็นนิมิตร้าย ตัวแม่ทัพจะถึงแก่ความตาย จึงขี่ม้าเข้าไปหาจูกัดเก๊กถึงเกวียนแล้วกล่าวเตือนสติว่ารังสีธาตุสีขาวที่พวยพุ่งขึ้นจากแผ่นดินดังนี้เป็นนิมิตร้าย หากเป็นการสงครามก็จะเป็นลางว่าแม่ทัพจะถึงแก่ความตาย ซึ่งมีหมายรับสั่งให้ท่านเข้าไปรับพระราชทานเลี้ยงในวันนี้เห็นจะวางใจมิได้ เกรงว่าจะมีผู้คิดร้ายทำอันตรายแก่ท่าน ชอบที่จะรีบกลับไปจวนจึงจะพ้นอันตราย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความซึ่งเตียวเอียดเตือนสติจูกัดเก๊กว่า “ซึ่งมีรับสั่งให้ท่านเข้าไปกินโต๊ะเลี้ยงครั้งนี้ หารู้จักเหตุหนักแลเบาไม่เลย ขอให้ท่านตรึกตรองจงดีก่อน อย่าเพิ่งเบาความ”
จูกัดเก๊กได้ยินคำเตียวเอียดดังนั้นก็ได้สติ หวนรำลึกถึงการแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดินของพระเจ้าซุนเหลียงก็ยิ่งสงสัย แล้วจู่ ๆ มีรับสั่งให้เข้าไปรับพระราชทานเลี้ยงโดยมิใช่เป็นเทศกาลตามประเพณีแต่ประการใด จูกัดเก๊กก็ยิ่งแปลกใจ ตระหนักว่าซึ่งเทพยดาบันดาลนิมิตตั้งแต่ให้ชายไว้ทุกข์บุกเข้ามาถึงจวนโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น มาถึงสุนัขหลุดออกจากกรงแล้วดึงชายเสื้อลากให้กลับเข้าจวน กระทั่งเกิดนิมิตธาตุสีขาวปรากฏดังนี้ ล้วนเป็นเทพยดาสังหรณ์บอกเหตุทั้งสิ้น ตระหนักดังนั้นแล้วจูกัดเก๊กจึงสั่งขบวนให้ย้อนกลับไปจวน
ฝ่ายซุนจุ๋นและเตงอิ๋นได้เตรียมการทั้งปวงไว้พร้อมแล้ว และให้ทหารคอยสอดแนมขบวนของจูกัดเก๊ก ครั้นทราบว่าจูกัดเก๊กกำลังเปลี่ยนใจจะกลับไปจวน จึงรีบขี่ม้ารุดตามมา
เมื่อทันเกวียนของจูกัดเก๊กแล้ว เตงอิ๋นและซุนจุ๋นจึงร้องเรียกจูกัดเก๊กให้หยุดขบวนไว้ก่อนแล้วกล่าวว่า พระเจ้าซุนเหลียงทรงมีความรำลึกถึงจึงโปรดเกล้าให้แต่งโต๊ะเลี้ยง ทรงคอยท่าพร้อมอยู่แล้ว ไฉนมหาอุปราชจะเปลี่ยนใจกลับไปจวนเสียเล่า
จูกัดเก๊กจึงแสร้งบ่ายเบี่ยงว่า เราตั้งใจจะไปรับพระราชทานเลี้ยงตามรับสั่ง แต่เมื่อมาถึงกลางทางก็ให้รู้สึกปวดท้องเป็นกำลัง จำจะกลับไปจวนก่อน จึงไม่อาจเดินทางเข้าไปเฝ้าตามกำหนดได้
เตงอิ๋นจึงว่า “แต่ท่านมหาอุปราชไปทัพกลับมาแล้วยังไม่ได้เข้าไปเฝ้าเลย พระเจ้าซุนเหลียงเอาพระทัยไต่ถามอยู่เนือง ๆ แจ้งว่าท่านคลายแล้วจึงให้เชิญเข้าไปกินโต๊ะ หวังจะได้ปรึกษาราชการแผ่นดิน ได้เข้ามาถึงนี่แล้วอุตส่าห์แข็งใจเข้าไปเฝ้าสักหน่อยหนึ่งเถิด ให้พระเจ้าซุนเหลียงดีพระทัย”
จูกัดเก๊กแม้มีบุญมากแต่กรรมตามทัน จึงบังความเฉลียวเอาไว้จนหมดสิ้น ได้ยินคำซุนจุ๋นและเตงอิ๋นดังนั้นก็ลืมคิดไปว่าเตงอิ๋นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เคยมีความบาดหมางกันมาแต่ก่อน ส่วนซุนจุ๋นเล่าก็เพิ่งปลดออกจากตำแหน่งเจ้ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ มิได้มีหน้าที่ใด ๆ เกี่ยวข้องกับราชสำนัก เหตุไฉนจึงตั้งตนเป็นเจ้ากี้เจ้าการชักชวนให้เข้าไปรับพระราชทานเลี้ยง เมื่อปัญญาและความเฉลียวถูกกรรมบังไว้ดังนั้นจูกัดเก๊กจึงเคลิ้มใจเชื่อตามคำเตงอิ๋นว่าพระเจ้าซุนเหลียงมีความรำลึกนึกถึง จึงชอบที่จะเข้าไปเฝ้าเพื่อให้คลายพระทัย
จูกัดเก๊กคิดดังนั้นแล้วจึงสั่งขบวนให้เดินทางไปยังพระตำหนักที่ประทับของพระเจ้าซุนเหลียงตามแผนการเดิม เตียวเอียดรู้สึกสังหรณ์ใจ จึงสั่งทหารให้ระวังระไวและติดตาม จูกัดเก๊กเจ้าไปจนถึงพระตำหนักที่ประทับ
พระเจ้าซุนเหลียงทราบว่าจูกัดเก๊กกำลังเดินทางมาถึงหน้าพระตำหนักในก็เสด็จออกไปต้อนรับ แล้วกระทำคำนับตามประเพณีที่ศิษย์พึงกระทำต่อราชครู จูกัดเก๊กก็ถวายบังคมตามประเพณี หลังจากมีพระราชปฏิสันถารตามสมควรแล้วพระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสเชิญจูกัดเก๊กเข้าไปข้างในพระตำหนักซึ่งแต่งโต๊ะเตรียมไว้พร้อมแล้ว จากนั้นจึงตรัสชวนจูกัดเก๊กดื่มสุรา
จูกัดเก๊กมากด้วยความระแวงและระมัดระวังตัวอยู่ ครั้นได้ยินรับสั่งชวนให้ดื่มสุราก็แสร้งบ่ายเบี่ยงว่า ข้าพระองค์ยังป่วยด้วยโรคปวดท้อง ไม่อาจเสพสุราได้ ขอได้ทรงอภัยโทษ
พระเจ้าซุนเหลียงได้ยินดังนั้นก็ทรงอึ้ง มิรู้ที่จะทำประการใดจึงจะดำเนินไปสู่แผนการที่วางไว้ ซุนจุ๋นซึ่งยืนเฝ้าอยู่ในที่ใกล้เห็นดังนั้นจึงเข้ามาถวายบังคมพระเจ้าซุนเหลียงแล้วกล่าวกับจูกัดเก๊กว่า “ข้าพเจ้าเห็นมหาอุปราชกินยาดองสุราอยู่อัตรา อย่าให้ขัดพระอัชฌาสัยเลย ใช้ให้บ่าวไปเอายาดองมากินแต่พอใช้ชอบพระอัชฌาสัย”
ซุนจุ๋นก็เกรงบารมีของจูกัดเก๊ก แต่เมื่อเห็นพระเจ้าซุนเหลียงตกตะลึงก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าตามที่ได้รู้เห็นมาว่าจูกัดเก๊กมักเสพยาดองสุรา และเพื่อให้จูกัดเก๊กคลายใจว่าจะไม่มีการวางยาพิษไว้ในสุรา จึงเสนอให้จูกัดเก๊กสั่งลูกน้องให้ไปเอายาดองมาจากจวน จูกัดเก๊กเพราะเหตุถูกกรรมบังตา สิ้นความเฉลียวใจ มองข้ามไปไม่เห็นถึงพิรุธและความไม่ชอบมาพากลว่าซึ่งจะให้ทหารไปเอายาดองจากบ้านมาดื่มกับฮ่องเต้นั้นเป็นการไม่ถวายความเคารพ และเป็นการเสียมารยาทอย่างใหญ่หลวง กลับเห็นดีเห็นงามไปกับซุนจุ๋น แล้วสั่งทหารให้รีบกลับไปเอายาดองมาจากจวน
พระเจ้าซุนเหลียงตรัสชวนให้จูกัดเก๊กดื่มยาดองในขณะที่พระองค์เสวยน้ำจัณฑ์และตรัสชวนจูกัดเก๊กสนทนาในราชการต่าง ๆ จนจูกัดเก๊กเผลอตัวลืมความระแวงสงสัยจนหมดสิ้นแล้วดื่มยาดองจนเมามาย
พระเจ้าซุนเหลียงเห็นจูกัดเก๊กเผลอตัวดื่มยาดองจนเมาแล้ว จึงตรัสถึงความหลังครั้งที่พระเจ้าซุนกวนยังทรงพระชนม์ แล้วไว้วางพระราชหฤทัยในจูกัดกิ๋นและจูกัดเก๊ก ตลอดจนการที่พระเจ้าซุนกวนฝากฝังการแผ่นดินไว้กับจูกัดเก๊กว่าการทั้งนี้เป็นบุญของพระเจ้าซุนเหลียง จึงมีผู้มีสติปัญญาฝีมือมาช่วยทำนุบำรุง จูกัดเก๊กได้ยินความหลังก็เคลิบเคลิ้มวางใจว่าพระเจ้าซุนเหลียงยังคงเป็นศิษย์ที่ตัวสู้ทำนุบำรุงมาเหมือนเดิมทุกประการ
ในขณะที่จูกัดเก๊กเริ่มมีอาการเมา ซุนจุ๋นก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดขุนนางเป็นชุดทหารที่ห้องข้างใน แล้วถือกระบี่ออกมาที่โต๊ะซึ่งพระเจ้าซุนเหลียงกำลังเสวยน้ำจัณฑ์อยู่กับจูกัดเก๊ก และกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “มีรับสั่งให้เราฆ่าอ้ายจูกัดเก๊ก ซึ่งเป็นศัตรูแผ่นดินให้สิ้นชีวิต”
จูกัดเก๊กเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบคว้ากระบี่จะชักออกจากด้ามแต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เงากระบี่ปลาบแวบหนึ่ง ซุนจุ๋นได้ใช้กระบี่ฟันศีรษะของจูกัดเก๊กหลุดจากบ่าตกลงกับพื้น ทหารซึ่งซุ่มตัวอยู่ข้างในก็พากันวิ่งตรูออกมา
ในพริบตาที่ซุนจุ๋นเงื้อกระบี่นั้น เตียวเอียดซึ่งคุมเชิงอยู่ที่ด้านข้างได้คว้าง้าววิ่งตรงเข้ามาหวังจะช่วยจูกัดเก๊กแต่ไม่ทันการณ์แล้ว เตียวเอียดก็โกรธ เอาง้าวฟันซุนจุ๋น ซุนจุ๋นตกใจเอี้ยวตัวหลบแต่ไม่พ้น ง้าวของเตียวเอียดฟันถูกมือของซุนจุ๋นเป็นแผลใหญ่ แต่กระบี่ของซุนจุ๋นก็กรายฟาดไปถูกไหล่ของเตียวเอียด ในขณะนั้นทหารซึ่งกรูออกมาก็ได้รุมเอากระบี่ฟันแทงเตียวเอียดจนถึงแก่ความตาย.