ตอนที่ 602. กรรมบังนิมิต
จูกัดเก๊กพลาดท่าเสียทีแก่วุยก๊ก ต้องพาทหารง่อก๊กถอยทัพกลับเข้าแดนเมืองกังตั๋งด้วยความอัปยศอดสู หลังจากนั้นก็ป่วยด้วยโรคหวาดระแวง แม้พระเจ้าซุนเหลียงและขุนนางข้าราชการมาเยี่ยมไข้ก็ระแวงว่ามาเยาะเย้ยดูหมิ่นให้ได้อาย จูกัดเก๊กจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ใจทุกวันคืน
หลังจากพระเจ้าซุนเหลียงพาคณะขุนนางกลับออกไปจากจวนแล้ว จูกัดเก๊กก็ยิ่งคิดมาก และยิ่งละอายใจแก่คนทั้งปวงที่พ่ายแพ้เสียทีในการศึกที่กระทำกับวุยก๊ก จึงปรารภความกับขุนนางคนสนิทว่า “ข้าพเจ้าไปทำการทุกครั้งทุกทีมีแต่ชัยชนะ ครั้งนี้เคราะห์ร้ายทั้งตัวก็แทบตาย แล้วก็เสียทหารเป็นอันมาก ได้ความอัปยศนัก เพราะนายทัพ นายกองทั้งปวงมิได้เป็นใจจึงเสียทีแก่ข้าศึก ถ้าผู้ใดติเตียนนินทาว่าเราเสียทัพ เราจะจับตัวผู้นั้นไปฆ่าเสีย”
โรคหวาดระแวงนับวันยิ่งกำเริบขึ้น คำปรารภของจูกัดเก๊กดังกล่าวได้โยนความผิดในการพลาดท่าเสียทีในสงครามไปให้แก่บรรดาแม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงว่าไม่เอาใจใส่เต็มใจด้วยราชการ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเป็นความผิดพลาดในการบัญชาการของจูกัดเก๊กโดยตรง เนื่องจากได้ทีแล้วไม่รุกเข้าตีด่านที่กำลังจะพังทลายให้แตกหักชิงเอาชัยชนะให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลับหลงคำลวงของศัตรูที่ขอผันผ่อนเวลาสิบห้าวันแล้วจะออกมาอ่อนน้อม อันเป็นการไม่ต้องด้วยพิชัยสงคราม เพราะสัจจะไม่มีอยู่ในสงคราม ธรรมะไม่มีในสงคราม จูกัดเก๊กหลงคำลวงปล่อยให้ข้าศึกตั้งหลักซ่อมแต่งกำแพงมั่นคงแล้วปักหลักต่อสู้ครั้งใหม่ ในขณะที่ทหารของตัวก็ป่วยเจ็บด้วยผิดสำแดงในอากาศและอาหารการกิน กระนั้นแล้วก็ยังลุแก่โมหะ สถานการณ์ควรรีบถอยก็ไม่ถอย รู้ว่ารุกไม่ได้ยังกลับสั่งให้รุก เป็นเหตุให้ทหารหนีทัพและบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็ต้องถอยทัพแล้วถูกตามตี สูญเสียไพร่พลช้างม้าอย่างยับเยิน คำปรารภชนิดนี้จึงเข้าลักษณะเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้เพื่อน มิหนำซ้ำยังกำเริบคิดปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ หมายสังหารผลาญชีวิตผู้คนที่เจรจาพาดพิงถึงการสงครามอีก ดังนี้จึงเท่ากับจูกัดเก๊กได้เดินออกไปจากวิถีแห่งธรรมสู่วิถีแห่งอธรรมอันจะนำไปสู่อุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราชโดยไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว
หลังจากวันนั้นแล้วจูกัดเก๊กก็ให้ทหารคนสนิทเที่ยวลอบสืบข่าวคราวการพูดจาของข้าราชการขุนนางและทหารว่ามีผู้ใดพูดถึงการพ่ายแพ้ของกองทัพง่อก๊กบ้าง พอได้รับรายงานว่าใครพูดจาในเรื่องนี้จูกัดเก๊กก็สั่งทหารให้ไปคุมตัวเอาไปตัดหัวทุกรายไป ขุนนางข้าราชการและทหาร ตลอดจนชาวบ้านชาวเมืองถูกตัดศีรษะสังเวยความระแวงของราชครูผู้สำเร็จราชการเป็นจำนวนมาก ในจำนวนผู้คนเหล่านี้ย่อมมีอยู่ไม่น้อยที่ต้องตกตายเพราะรายงานอันเป็นเท็จของคนสนิทของจูกัดเก๊ก บ้างก็เป็นการรายงานเท็จเนื่องจากแรงอาฆาตพยาบาทส่วนตัว บ้างก็เป็นรายงานเท็จเพราะไปรีดไถเอาผลประโยชน์แล้วเขาไม่ให้
จูกัดเก๊กยิ่งลงโทษประหารชีวิตผู้คนที่พูดถึงเรื่องศึกสงครามกับวุยก๊กมากขึ้นเท่าใด ความระแวงระไวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตาม หนักเข้าก็ระแวงว่าญาติพี่น้องของผู้ต้องโทษจะคิดพยาบาทลอบสังหาร จึงต้องเพิ่มกองกำลังทหารองครักษ์คอยคุ้มกันทุกหนแห่งทั้งที่อยู่และที่ไป จนกลายเป็นขบวนใหญ่ที่ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่อาณาราษฎรทั้งปวง การจะออกจากจวนไปแห่งหนตำบลใดก็ระวังระไวว่าจะถูกลอบสังหาร ต้องเปลี่ยนกำหนดการหรือปกปิดกำหนดการอยู่เนือง ๆ
หนักเข้าก็หวาดระแวงว่าบรรดาขุนนางข้างในจวนจะลอบทำร้าย จึงอพยพโยกย้ายผู้ที่ไม่ใช่ญาติออกไปจากบริเวณจวนจนหมดสิ้น เหลือแต่ครอบครัวบุตรภรรยาที่ใกล้ชิดเท่านั้น
ยิ่งระแวงมากก็ยิ่งระวังมาก หนักเข้าก็ระแวงว่ามีผู้ประสงค์ร้ายจะลอบวางยาพิษในอาหาร ดังนั้นก่อนจะกินอาหารหรือน้ำจูกัดเก๊กก็ต้องให้ทหารกินก่อน รอจนเห็นว่าไม่มียาพิษเจือปนแล้วจึงค่อยกิน
พฤติกรรมของจูกัดเก๊กนับวันจึงกลายเป็นพฤติกรรมของทรราช แม้กระนั้นแล้วความหวาดระแวงก็มิได้สร่างคลายลง กลับหวาดระแวงมากขึ้นว่าในแคว้นกังตั๋งทุกวันนี้บรรดาทหารขุนนางข้าราชการทั้งปวงล้วนอยู่ในอำนาจของตัวเราหมดสิ้นแล้ว คงเหลืออยู่แต่กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ซึ่งเป็นทหารองครักษ์พิทักษ์รักษาพระราชวังพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น แต่ก็หวั่นว่าเมื่อหน่วยทหารนี้ยังมีอาวุธอยู่ในมือก็ย่อมวางใจมิได้
ประกอบกับพระเจ้าซุนเหลียงและพระมเหสีได้เห็นพฤติกรรมของจูกัดเก๊กแปรเปลี่ยนผิดเพี้ยนไปเป็นอันมาก จึงทรงพระวิตกว่าจะเกิดกลียุคขึ้นในบ้านเมือง ดังนั้นจึงทรงเข้าแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดินมากขึ้นโดยลำดับ ขุนนางจำนวนมากที่ถูกเนรเทศตามคำสั่งของจูกัดเก๊กก็โปรดเกล้ารับเข้ามาเป็นข้าราชสำนัก ขุนนางจำนวนหนึ่งที่ถูกจูกัดเก๊กโยกย้ายไปอยู่ตามชายแดน ก็ลอบมีหมายรับสั่งให้เข้ามาทำราชการในพระราชวัง ดังนั้นจูกัดเก๊กจึงหวาดระแวงไปถึงพระเจ้าซุนเหลียง
เมื่อหวาดระแวงพระเจ้าซุนเหลียงดังนี้แล้วก็ยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงซุนจุ๋นซึ่งเป็นเจ้ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นขุมกำลังเดียวที่เหลืออยู่ในเมืองกังตั๋งที่ยังไม่ขึ้นตรงกับจูกัดเก๊ก
ซุนจุ๋นผู้นี้เป็นบุตรของซุนหยง ซุนหยงเป็นบุตรของซุนเจ้ง ซุนเจ้งเป็นน้องของซุนเกี๋ยนซึ่งเป็นบิดาของซุนกวน ดังนั้นซุนจุ๋นจึงถือว่าเป็นพระญาติอันสนิทของพระเจ้าซุนกวน เมื่อครั้งที่พระเจ้าซุนกวนยังทรงพระชนม์อยู่ ทรงโปรดปรานซุนจุ๋นและไว้วางพระราชหฤทัยใกล้ชิดสนิทสนม และโปรดเกล้าตั้งให้ซุนจุ๋นเป็นเจ้ากรมมหาดเล็กรักษาพระองค์ และดำรงตำแหน่งนี้ต่อมาจนถึงรัชกาลพระเจ้าซุนเหลียง
จูกัดเก๊กหวาดระแวงซุนจุ๋นดังนั้นแล้ว จึงออกคำสั่งถอดซุนจุ๋นออกจากตำแหน่งเจ้ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ แล้วตั้งให้เตียวเอียดและจูอิ๋นเป็นเจ้ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์และรองเจ้ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เพื่อเป็นเขี้ยวเล็บให้กับจูกัดเก๊กต่อไป
ซุนจุ๋นถูกจูกัดเก๊กถอดออกจากตำแหน่งโดยไม่มีความผิดก็โกรธ แต่เกรงว่าจูกัดเก๊กจะหวาดระแวงมากขึ้นจึงแสร้งทำเป็นนิ่งเงียบ พอได้โอกาสจึงไปปรึกษากับเตงอิ๋นขุนนางผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งซึ่งมีความเจ็บแค้นพยาบาทกับจูกัดเก๊กมาแต่ก่อนว่าบัดนี้จูกัดเก๊กประพฤติตนเป็นทรราช ข่มเหงรังแกข้าราชการ แย่งยึดอำนาจของฮ่องเต้ เห็นจะทำการกบฏชิงเอาราชสมบัติเป็นมั่นคง
เตงอิ๋นผูกความแค้นพยาบาทจูกัดเก๊กมาช้านาน พอทราบความทุกข์ในใจของซุนจุ๋นก็ผสมโรงเห็นด้วย แล้วกล่าวว่าซึ่งจูกัดเก๊กทำการทั้งนี้คนทั้งแผ่นดินก็เห็นกันอยู่ว่าเป็นการเตรียมการชิงเอาราชสมบัติ ตัวท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ เหตุไฉนจึงเพิกเฉยปล่อยให้จูกัดเก๊กข่มเหงยำเยงพระเจ้าซุนเหลียงถึงเพียงนี้ ชอบที่จะคิดอ่านกำจัดจูกัดเก๊ก ทำนุบำรุงพระเจ้าซุนเหลียงให้สมกับที่พระเจ้าซุนกวนได้ไว้วางพระราชหฤทัยจึงจะควร
ซุนจุ๋นได้เตงอิ๋นขุนนางผู้ใหญ่เป็นเพื่อนคิดก็อุ่นใจแล้วกล่าวว่า ท่านกล่าวคำต้องด้วยน้ำใจข้าพเจ้า อันความแค้นที่จูกัดเก๊กกระทำต่อข้าพเจ้านั้นใหญ่หลวงนัก หากท่านร่วมการคิดอ่านแล้วเห็นจะกำจัดจูกัดเก๊กได้เป็นมั่นคง
เตงอิ๋นได้ฟังคำซุนจุ๋นดังนั้นก็ดีใจ กล่าวว่าพวกเราเป็นข้าเก่าของตระกูลซุน ได้กินข้าวแดงแกงร้อนของตระกูลซุน พระคุณท่วมดินเกริกฟ้า จำจะอาสาเจ้ากำจัดศัตรูราชสมบัติให้จงได้ เราสองคนจงร่วมกันทำการครั้งนี้ให้สำเร็จเถิด จะบังเกิดประโยชน์ใหญ่แก่แผ่นดินและอาณาประชาราษฎร
ซุนจุ๋นได้ยินเตงอิ๋นเจรจามั่นเหมาะดังนั้นจึงกล่าวว่า ซึ่งจูกัดเก๊กก่อการกำเริบนี้ไม่เป็นที่ต้องพระทัยของพระเจ้าซุนเหลียง เมื่อท่านเต็มใจทำการแล้วข้าพเจ้าก็จะพาท่านไปเฝ้าพระเจ้าซุนเหลียง แล้วคิดอ่านกำจัดจูกัดเก๊กต่อไป
เตงอิ๋นได้ฟังคำซุนจุ๋นดังนั้นก็เห็นด้วย วันหนึ่งซุนจุ๋นจึงพาเตงอิ๋นลอบเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนเหลียงถึงพระตำหนักที่ประทับ แล้วกระซิบกราบทูลความซึ่งได้คิดอ่านกำจัดจูกัดเก๊กนั้นให้พระเจ้าซุนเหลียงทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าซุนเหลียงทราบความแล้วก็ดีพระทัย รับสั่งด้วยพระสุรเสียงอันแผ่วเบาพอได้ยินแต่สามคนว่า “การอันนี้ข้าพิเคราะห์เห็นนานอยู่แล้ว แต่ทว่าจนใจหารู้ที่จะทำประการใดไม่ บัดนี้ท่านทั้งสองจงรักภักดีต่อเรา เห็นแก่การแผ่นดินก็เร่งคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียให้จงได้”
เตงอิ๋นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ชำนาญการแผ่นดิน ได้ฟังรับสั่งของพระเจ้าซุนเหลียงก็ทราบน้ำพระทัยลึกว่าทรงพระวิตกด้วยจูกัดเก๊กเป็นอันมาก จึงกระซิบกราบทูลว่าจูกัดเก๊กคุมอำนาจทหารและพลเรือนไว้ในมือสิ้นแล้ว หากเนิ่นช้าไปก็จะชิงเอาราชสมบัติ จำจะต้องคิดอ่านกำจัดเสียโดยเร็วจึงจะไม่เป็นอันตราย
พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่าความเรื่องนี้เราร้อนใจยิ่งกว่าใคร ใคร่จะกำจัดจูกัดเก๊กเสียให้ได้ในวันนี้วันพรุ่ง แต่วิตกด้วยจูกัดเก๊กคุมอำนาจทหารทั้งในและนอกราชสำนักไว้จนหมดสิ้น มิรู้ที่จะคิดอ่านประการใด
เตงอิ๋นจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์ขอเสนอแผนการให้มีหมายรับสั่งเชิญจูกัดเก๊กมารับพระราชทานเลี้ยงโต๊ะที่พระตำหนักฝ่ายใน แล้วแต่งทหารซึ่งมีฝีมือเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยซุ่มไว้ภายในพระตำหนัก เมื่อจูกัดเก๊กดื่มสุราเมาเห็นเป็นทีแล้วให้พระองค์ทิ้งจอกสุราเป็นสำคัญ แล้วทหารผู้มีฝีมือซึ่งซุ่มไว้นั้นจะได้ออกมาสังหารจูกัดเก๊กเสีย
พระเจ้าซุนเหลียงได้ฟังแผนการของเตงอิ๋นก็พอพระทัย ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงรับสั่งให้จัดเตรียมทหารผู้มีฝีมือห้าสิบคนเข้ามาซุ่มอยู่ข้างในพระตำหนัก แล้วให้ทำหมายรับสั่งเชิญจูกัดเก๊กมาเลี้ยงโต๊ะที่พระตำหนักฝ่ายใน
ฝ่ายจูกัดเก๊กแม้ว่าจะหายป่วยเจ็บที่หน้าผากอันเนื่องจากถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์แล้ว แต่อาการป่วยทางใจก็มิได้เสื่อมคลาย กลับกำเริบมากขึ้นทุกที วันหนึ่งจูกัดเก๊กให้รู้สึกรุ่มร้อนรำคาญใจ ไม่อาจนั่งตรมอยู่ด้านในจวนได้ จึงออกมาเดินเล่นที่บริเวณห้องโถงด้านหน้าจวน
พอจูกัดเก๊กเดินออกมาถึงบริเวณใกล้ประตูห้องโถง ก็เห็นชายคนหนึ่งนุ่งขาวห่มขาวโพกขาวด้วยผ้าปอแบบไว้ทุกข์ เดินตรงเข้ามาที่ประตูห้องโถง
จูกัดเก๊กเห็นคนแต่งกายไว้ทุกข์เดินเข้ามาดังนั้นก็ระแวงว่าเป็นผู้ประสงค์ร้าย เข้ามาหมายจะสาปแช่งให้เร่งวันตายก็โกรธ สั่งทหารให้ควบคุมตัวชายผู้นั้นไว้ แล้วไต่สวนว่าเหตุใดจึงบุกรุกเข้ามาถึงในจวนมหาอุปราช
ชายนั้นได้ให้การไปตามความจริงว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าที่นี่เป็นจวนมหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้าเป็นคนบ้านนอก บิดาถึงแก่ความตายจึงเดินทางเข้าเมืองหมายจะนิมนต์หลวงจีนไปสวดอุทิศส่วนกุศลไปให้กับบิดาผู้ตาย ครั้นมาถึงบริเวณข้างหน้าจวนเห็นเหมือนวัดวาอารามของหลวงจีนจึงสำคัญว่าเป็นวัดและหลงเดินเข้ามา ครั้นบัดนี้ทราบความว่าเป็นจวนของมหาอุปราชก็สำนึกตัวว่าเป็นความผิดนัก แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจเจตนาจะกระทำความผิดแม้แต่น้อย ขอให้มหาอุปราชได้งดโทษเถิด
จูกัดเก๊กได้ยินดังนั้นก็โกรธทหารรักษาประตูจวนและทหารรักษาเวรยามที่ปล่อยปละละเลยให้ชายผู้นี้บุกรุกเข้ามาถึงประตูห้องโถงใหญ่ของจวนได้ จึงให้ทหารองครักษ์เรียกทหารรักษาประตูจวนและทหารรักษาเวรยามประมาณสี่สิบคนมาไต่สวนว่าเหตุใดจึงปล่อยปละละเลยให้ชายแปลกหน้าบุกรุกล่วงล้ำมาถึงข้างในได้
ทหารรักษาประตูจวนและทหารรักษาเวรยามประมาณสี่สิบคนได้ให้การตรงกันว่า “ข้าพเจ้าถืออาวุธครบมือรักษาประตูพร้อมหน้ากันอยู่ หาเห็นผู้ใดเข้ามาไม่”
จูกัดเก๊กได้ฟังคำให้การของทหารสี่สิบกว่าคน แทนที่จะได้คิดว่าการที่คนเพียงคนเดียวสามารถเดินฝ่าทหารรักษาการณ์ประมาณสี่สิบกว่าคนโดยไม่มีใครพบเห็นเป็นเทพยดาสังหรณ์ บ่งบอกนิมิตร้ายว่าจะมีคนตายให้ได้รู้ล่วงหน้า แล้วคิดอ่านป้องกันแก้ไข กลับคิดไปว่าทหารทั้งสี่สิบคนซึ่งรักษาการณ์นั้นให้การแก้ตัวเพื่อไม่ให้ต้องโทษก็ยิ่งโกรธ แล้วคิดระแวงต่อไปว่าแม้เรื่องเพียงเท่านี้ยังคิดอ่านโกหกหลอกลวงเรา มิได้ซื่อตรงจงรักภักดีต่อเราจริง ขืนเลี้ยงไปก็ป่วยการเปล่า คิดดังนั้นแล้วจึงสั่งให้ทหารคุมตัวทหารรักษาการณ์ประมาณสี่สิบคนนั้นเอาไปประหารชีวิตจนหมดสิ้น.
หลังจากพระเจ้าซุนเหลียงพาคณะขุนนางกลับออกไปจากจวนแล้ว จูกัดเก๊กก็ยิ่งคิดมาก และยิ่งละอายใจแก่คนทั้งปวงที่พ่ายแพ้เสียทีในการศึกที่กระทำกับวุยก๊ก จึงปรารภความกับขุนนางคนสนิทว่า “ข้าพเจ้าไปทำการทุกครั้งทุกทีมีแต่ชัยชนะ ครั้งนี้เคราะห์ร้ายทั้งตัวก็แทบตาย แล้วก็เสียทหารเป็นอันมาก ได้ความอัปยศนัก เพราะนายทัพ นายกองทั้งปวงมิได้เป็นใจจึงเสียทีแก่ข้าศึก ถ้าผู้ใดติเตียนนินทาว่าเราเสียทัพ เราจะจับตัวผู้นั้นไปฆ่าเสีย”
โรคหวาดระแวงนับวันยิ่งกำเริบขึ้น คำปรารภของจูกัดเก๊กดังกล่าวได้โยนความผิดในการพลาดท่าเสียทีในสงครามไปให้แก่บรรดาแม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงว่าไม่เอาใจใส่เต็มใจด้วยราชการ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเป็นความผิดพลาดในการบัญชาการของจูกัดเก๊กโดยตรง เนื่องจากได้ทีแล้วไม่รุกเข้าตีด่านที่กำลังจะพังทลายให้แตกหักชิงเอาชัยชนะให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลับหลงคำลวงของศัตรูที่ขอผันผ่อนเวลาสิบห้าวันแล้วจะออกมาอ่อนน้อม อันเป็นการไม่ต้องด้วยพิชัยสงคราม เพราะสัจจะไม่มีอยู่ในสงคราม ธรรมะไม่มีในสงคราม จูกัดเก๊กหลงคำลวงปล่อยให้ข้าศึกตั้งหลักซ่อมแต่งกำแพงมั่นคงแล้วปักหลักต่อสู้ครั้งใหม่ ในขณะที่ทหารของตัวก็ป่วยเจ็บด้วยผิดสำแดงในอากาศและอาหารการกิน กระนั้นแล้วก็ยังลุแก่โมหะ สถานการณ์ควรรีบถอยก็ไม่ถอย รู้ว่ารุกไม่ได้ยังกลับสั่งให้รุก เป็นเหตุให้ทหารหนีทัพและบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็ต้องถอยทัพแล้วถูกตามตี สูญเสียไพร่พลช้างม้าอย่างยับเยิน คำปรารภชนิดนี้จึงเข้าลักษณะเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้เพื่อน มิหนำซ้ำยังกำเริบคิดปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ หมายสังหารผลาญชีวิตผู้คนที่เจรจาพาดพิงถึงการสงครามอีก ดังนี้จึงเท่ากับจูกัดเก๊กได้เดินออกไปจากวิถีแห่งธรรมสู่วิถีแห่งอธรรมอันจะนำไปสู่อุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราชโดยไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว
หลังจากวันนั้นแล้วจูกัดเก๊กก็ให้ทหารคนสนิทเที่ยวลอบสืบข่าวคราวการพูดจาของข้าราชการขุนนางและทหารว่ามีผู้ใดพูดถึงการพ่ายแพ้ของกองทัพง่อก๊กบ้าง พอได้รับรายงานว่าใครพูดจาในเรื่องนี้จูกัดเก๊กก็สั่งทหารให้ไปคุมตัวเอาไปตัดหัวทุกรายไป ขุนนางข้าราชการและทหาร ตลอดจนชาวบ้านชาวเมืองถูกตัดศีรษะสังเวยความระแวงของราชครูผู้สำเร็จราชการเป็นจำนวนมาก ในจำนวนผู้คนเหล่านี้ย่อมมีอยู่ไม่น้อยที่ต้องตกตายเพราะรายงานอันเป็นเท็จของคนสนิทของจูกัดเก๊ก บ้างก็เป็นการรายงานเท็จเนื่องจากแรงอาฆาตพยาบาทส่วนตัว บ้างก็เป็นรายงานเท็จเพราะไปรีดไถเอาผลประโยชน์แล้วเขาไม่ให้
จูกัดเก๊กยิ่งลงโทษประหารชีวิตผู้คนที่พูดถึงเรื่องศึกสงครามกับวุยก๊กมากขึ้นเท่าใด ความระแวงระไวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตาม หนักเข้าก็ระแวงว่าญาติพี่น้องของผู้ต้องโทษจะคิดพยาบาทลอบสังหาร จึงต้องเพิ่มกองกำลังทหารองครักษ์คอยคุ้มกันทุกหนแห่งทั้งที่อยู่และที่ไป จนกลายเป็นขบวนใหญ่ที่ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่อาณาราษฎรทั้งปวง การจะออกจากจวนไปแห่งหนตำบลใดก็ระวังระไวว่าจะถูกลอบสังหาร ต้องเปลี่ยนกำหนดการหรือปกปิดกำหนดการอยู่เนือง ๆ
หนักเข้าก็หวาดระแวงว่าบรรดาขุนนางข้างในจวนจะลอบทำร้าย จึงอพยพโยกย้ายผู้ที่ไม่ใช่ญาติออกไปจากบริเวณจวนจนหมดสิ้น เหลือแต่ครอบครัวบุตรภรรยาที่ใกล้ชิดเท่านั้น
ยิ่งระแวงมากก็ยิ่งระวังมาก หนักเข้าก็ระแวงว่ามีผู้ประสงค์ร้ายจะลอบวางยาพิษในอาหาร ดังนั้นก่อนจะกินอาหารหรือน้ำจูกัดเก๊กก็ต้องให้ทหารกินก่อน รอจนเห็นว่าไม่มียาพิษเจือปนแล้วจึงค่อยกิน
พฤติกรรมของจูกัดเก๊กนับวันจึงกลายเป็นพฤติกรรมของทรราช แม้กระนั้นแล้วความหวาดระแวงก็มิได้สร่างคลายลง กลับหวาดระแวงมากขึ้นว่าในแคว้นกังตั๋งทุกวันนี้บรรดาทหารขุนนางข้าราชการทั้งปวงล้วนอยู่ในอำนาจของตัวเราหมดสิ้นแล้ว คงเหลืออยู่แต่กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ซึ่งเป็นทหารองครักษ์พิทักษ์รักษาพระราชวังพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น แต่ก็หวั่นว่าเมื่อหน่วยทหารนี้ยังมีอาวุธอยู่ในมือก็ย่อมวางใจมิได้
ประกอบกับพระเจ้าซุนเหลียงและพระมเหสีได้เห็นพฤติกรรมของจูกัดเก๊กแปรเปลี่ยนผิดเพี้ยนไปเป็นอันมาก จึงทรงพระวิตกว่าจะเกิดกลียุคขึ้นในบ้านเมือง ดังนั้นจึงทรงเข้าแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดินมากขึ้นโดยลำดับ ขุนนางจำนวนมากที่ถูกเนรเทศตามคำสั่งของจูกัดเก๊กก็โปรดเกล้ารับเข้ามาเป็นข้าราชสำนัก ขุนนางจำนวนหนึ่งที่ถูกจูกัดเก๊กโยกย้ายไปอยู่ตามชายแดน ก็ลอบมีหมายรับสั่งให้เข้ามาทำราชการในพระราชวัง ดังนั้นจูกัดเก๊กจึงหวาดระแวงไปถึงพระเจ้าซุนเหลียง
เมื่อหวาดระแวงพระเจ้าซุนเหลียงดังนี้แล้วก็ยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงซุนจุ๋นซึ่งเป็นเจ้ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นขุมกำลังเดียวที่เหลืออยู่ในเมืองกังตั๋งที่ยังไม่ขึ้นตรงกับจูกัดเก๊ก
ซุนจุ๋นผู้นี้เป็นบุตรของซุนหยง ซุนหยงเป็นบุตรของซุนเจ้ง ซุนเจ้งเป็นน้องของซุนเกี๋ยนซึ่งเป็นบิดาของซุนกวน ดังนั้นซุนจุ๋นจึงถือว่าเป็นพระญาติอันสนิทของพระเจ้าซุนกวน เมื่อครั้งที่พระเจ้าซุนกวนยังทรงพระชนม์อยู่ ทรงโปรดปรานซุนจุ๋นและไว้วางพระราชหฤทัยใกล้ชิดสนิทสนม และโปรดเกล้าตั้งให้ซุนจุ๋นเป็นเจ้ากรมมหาดเล็กรักษาพระองค์ และดำรงตำแหน่งนี้ต่อมาจนถึงรัชกาลพระเจ้าซุนเหลียง
จูกัดเก๊กหวาดระแวงซุนจุ๋นดังนั้นแล้ว จึงออกคำสั่งถอดซุนจุ๋นออกจากตำแหน่งเจ้ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ แล้วตั้งให้เตียวเอียดและจูอิ๋นเป็นเจ้ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์และรองเจ้ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เพื่อเป็นเขี้ยวเล็บให้กับจูกัดเก๊กต่อไป
ซุนจุ๋นถูกจูกัดเก๊กถอดออกจากตำแหน่งโดยไม่มีความผิดก็โกรธ แต่เกรงว่าจูกัดเก๊กจะหวาดระแวงมากขึ้นจึงแสร้งทำเป็นนิ่งเงียบ พอได้โอกาสจึงไปปรึกษากับเตงอิ๋นขุนนางผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งซึ่งมีความเจ็บแค้นพยาบาทกับจูกัดเก๊กมาแต่ก่อนว่าบัดนี้จูกัดเก๊กประพฤติตนเป็นทรราช ข่มเหงรังแกข้าราชการ แย่งยึดอำนาจของฮ่องเต้ เห็นจะทำการกบฏชิงเอาราชสมบัติเป็นมั่นคง
เตงอิ๋นผูกความแค้นพยาบาทจูกัดเก๊กมาช้านาน พอทราบความทุกข์ในใจของซุนจุ๋นก็ผสมโรงเห็นด้วย แล้วกล่าวว่าซึ่งจูกัดเก๊กทำการทั้งนี้คนทั้งแผ่นดินก็เห็นกันอยู่ว่าเป็นการเตรียมการชิงเอาราชสมบัติ ตัวท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ เหตุไฉนจึงเพิกเฉยปล่อยให้จูกัดเก๊กข่มเหงยำเยงพระเจ้าซุนเหลียงถึงเพียงนี้ ชอบที่จะคิดอ่านกำจัดจูกัดเก๊ก ทำนุบำรุงพระเจ้าซุนเหลียงให้สมกับที่พระเจ้าซุนกวนได้ไว้วางพระราชหฤทัยจึงจะควร
ซุนจุ๋นได้เตงอิ๋นขุนนางผู้ใหญ่เป็นเพื่อนคิดก็อุ่นใจแล้วกล่าวว่า ท่านกล่าวคำต้องด้วยน้ำใจข้าพเจ้า อันความแค้นที่จูกัดเก๊กกระทำต่อข้าพเจ้านั้นใหญ่หลวงนัก หากท่านร่วมการคิดอ่านแล้วเห็นจะกำจัดจูกัดเก๊กได้เป็นมั่นคง
เตงอิ๋นได้ฟังคำซุนจุ๋นดังนั้นก็ดีใจ กล่าวว่าพวกเราเป็นข้าเก่าของตระกูลซุน ได้กินข้าวแดงแกงร้อนของตระกูลซุน พระคุณท่วมดินเกริกฟ้า จำจะอาสาเจ้ากำจัดศัตรูราชสมบัติให้จงได้ เราสองคนจงร่วมกันทำการครั้งนี้ให้สำเร็จเถิด จะบังเกิดประโยชน์ใหญ่แก่แผ่นดินและอาณาประชาราษฎร
ซุนจุ๋นได้ยินเตงอิ๋นเจรจามั่นเหมาะดังนั้นจึงกล่าวว่า ซึ่งจูกัดเก๊กก่อการกำเริบนี้ไม่เป็นที่ต้องพระทัยของพระเจ้าซุนเหลียง เมื่อท่านเต็มใจทำการแล้วข้าพเจ้าก็จะพาท่านไปเฝ้าพระเจ้าซุนเหลียง แล้วคิดอ่านกำจัดจูกัดเก๊กต่อไป
เตงอิ๋นได้ฟังคำซุนจุ๋นดังนั้นก็เห็นด้วย วันหนึ่งซุนจุ๋นจึงพาเตงอิ๋นลอบเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนเหลียงถึงพระตำหนักที่ประทับ แล้วกระซิบกราบทูลความซึ่งได้คิดอ่านกำจัดจูกัดเก๊กนั้นให้พระเจ้าซุนเหลียงทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าซุนเหลียงทราบความแล้วก็ดีพระทัย รับสั่งด้วยพระสุรเสียงอันแผ่วเบาพอได้ยินแต่สามคนว่า “การอันนี้ข้าพิเคราะห์เห็นนานอยู่แล้ว แต่ทว่าจนใจหารู้ที่จะทำประการใดไม่ บัดนี้ท่านทั้งสองจงรักภักดีต่อเรา เห็นแก่การแผ่นดินก็เร่งคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียให้จงได้”
เตงอิ๋นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ชำนาญการแผ่นดิน ได้ฟังรับสั่งของพระเจ้าซุนเหลียงก็ทราบน้ำพระทัยลึกว่าทรงพระวิตกด้วยจูกัดเก๊กเป็นอันมาก จึงกระซิบกราบทูลว่าจูกัดเก๊กคุมอำนาจทหารและพลเรือนไว้ในมือสิ้นแล้ว หากเนิ่นช้าไปก็จะชิงเอาราชสมบัติ จำจะต้องคิดอ่านกำจัดเสียโดยเร็วจึงจะไม่เป็นอันตราย
พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่าความเรื่องนี้เราร้อนใจยิ่งกว่าใคร ใคร่จะกำจัดจูกัดเก๊กเสียให้ได้ในวันนี้วันพรุ่ง แต่วิตกด้วยจูกัดเก๊กคุมอำนาจทหารทั้งในและนอกราชสำนักไว้จนหมดสิ้น มิรู้ที่จะคิดอ่านประการใด
เตงอิ๋นจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์ขอเสนอแผนการให้มีหมายรับสั่งเชิญจูกัดเก๊กมารับพระราชทานเลี้ยงโต๊ะที่พระตำหนักฝ่ายใน แล้วแต่งทหารซึ่งมีฝีมือเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยซุ่มไว้ภายในพระตำหนัก เมื่อจูกัดเก๊กดื่มสุราเมาเห็นเป็นทีแล้วให้พระองค์ทิ้งจอกสุราเป็นสำคัญ แล้วทหารผู้มีฝีมือซึ่งซุ่มไว้นั้นจะได้ออกมาสังหารจูกัดเก๊กเสีย
พระเจ้าซุนเหลียงได้ฟังแผนการของเตงอิ๋นก็พอพระทัย ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงรับสั่งให้จัดเตรียมทหารผู้มีฝีมือห้าสิบคนเข้ามาซุ่มอยู่ข้างในพระตำหนัก แล้วให้ทำหมายรับสั่งเชิญจูกัดเก๊กมาเลี้ยงโต๊ะที่พระตำหนักฝ่ายใน
ฝ่ายจูกัดเก๊กแม้ว่าจะหายป่วยเจ็บที่หน้าผากอันเนื่องจากถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์แล้ว แต่อาการป่วยทางใจก็มิได้เสื่อมคลาย กลับกำเริบมากขึ้นทุกที วันหนึ่งจูกัดเก๊กให้รู้สึกรุ่มร้อนรำคาญใจ ไม่อาจนั่งตรมอยู่ด้านในจวนได้ จึงออกมาเดินเล่นที่บริเวณห้องโถงด้านหน้าจวน
พอจูกัดเก๊กเดินออกมาถึงบริเวณใกล้ประตูห้องโถง ก็เห็นชายคนหนึ่งนุ่งขาวห่มขาวโพกขาวด้วยผ้าปอแบบไว้ทุกข์ เดินตรงเข้ามาที่ประตูห้องโถง
จูกัดเก๊กเห็นคนแต่งกายไว้ทุกข์เดินเข้ามาดังนั้นก็ระแวงว่าเป็นผู้ประสงค์ร้าย เข้ามาหมายจะสาปแช่งให้เร่งวันตายก็โกรธ สั่งทหารให้ควบคุมตัวชายผู้นั้นไว้ แล้วไต่สวนว่าเหตุใดจึงบุกรุกเข้ามาถึงในจวนมหาอุปราช
ชายนั้นได้ให้การไปตามความจริงว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าที่นี่เป็นจวนมหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้าเป็นคนบ้านนอก บิดาถึงแก่ความตายจึงเดินทางเข้าเมืองหมายจะนิมนต์หลวงจีนไปสวดอุทิศส่วนกุศลไปให้กับบิดาผู้ตาย ครั้นมาถึงบริเวณข้างหน้าจวนเห็นเหมือนวัดวาอารามของหลวงจีนจึงสำคัญว่าเป็นวัดและหลงเดินเข้ามา ครั้นบัดนี้ทราบความว่าเป็นจวนของมหาอุปราชก็สำนึกตัวว่าเป็นความผิดนัก แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจเจตนาจะกระทำความผิดแม้แต่น้อย ขอให้มหาอุปราชได้งดโทษเถิด
จูกัดเก๊กได้ยินดังนั้นก็โกรธทหารรักษาประตูจวนและทหารรักษาเวรยามที่ปล่อยปละละเลยให้ชายผู้นี้บุกรุกเข้ามาถึงประตูห้องโถงใหญ่ของจวนได้ จึงให้ทหารองครักษ์เรียกทหารรักษาประตูจวนและทหารรักษาเวรยามประมาณสี่สิบคนมาไต่สวนว่าเหตุใดจึงปล่อยปละละเลยให้ชายแปลกหน้าบุกรุกล่วงล้ำมาถึงข้างในได้
ทหารรักษาประตูจวนและทหารรักษาเวรยามประมาณสี่สิบคนได้ให้การตรงกันว่า “ข้าพเจ้าถืออาวุธครบมือรักษาประตูพร้อมหน้ากันอยู่ หาเห็นผู้ใดเข้ามาไม่”
จูกัดเก๊กได้ฟังคำให้การของทหารสี่สิบกว่าคน แทนที่จะได้คิดว่าการที่คนเพียงคนเดียวสามารถเดินฝ่าทหารรักษาการณ์ประมาณสี่สิบกว่าคนโดยไม่มีใครพบเห็นเป็นเทพยดาสังหรณ์ บ่งบอกนิมิตร้ายว่าจะมีคนตายให้ได้รู้ล่วงหน้า แล้วคิดอ่านป้องกันแก้ไข กลับคิดไปว่าทหารทั้งสี่สิบคนซึ่งรักษาการณ์นั้นให้การแก้ตัวเพื่อไม่ให้ต้องโทษก็ยิ่งโกรธ แล้วคิดระแวงต่อไปว่าแม้เรื่องเพียงเท่านี้ยังคิดอ่านโกหกหลอกลวงเรา มิได้ซื่อตรงจงรักภักดีต่อเราจริง ขืนเลี้ยงไปก็ป่วยการเปล่า คิดดังนั้นแล้วจึงสั่งให้ทหารคุมตัวทหารรักษาการณ์ประมาณสี่สิบคนนั้นเอาไปประหารชีวิตจนหมดสิ้น.