ตอนที่ 601. พิษหลง ลมลวง

ราชครูจูกัดเก๊กแห่งง่อก๊กถือโอกาสที่เตงฮองได้รับชัยชนะแก่กองทัพวุยก๊ก และสุมาเจียวต้องล่าถอยทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยงคิดการบุกวุยก๊ก ด้านหนึ่งมีหนังสือขอให้เกียงอุยเข้าตีวุยก๊กจากเมืองฮันต๋ง อีกด้านหนึ่งจูกัดเก๊กยกกองทัพรุกขึ้นไปจากทางใต้ ระหว่างเดินทัพปรากฏม่านหมอกสีขาวปกคลุมกองทัพถือเป็นนิมิตร้ายว่าจะเสียแม่ทัพ

            จูกัดเก๊กได้ยินคำทัดทานของเจียวเอี๋ยนที่ให้ถอยทัพกลับเมืองกังตั๋งก็โกรธ กล่าวว่า “เราจะทำการใหญ่ให้มีชัย ท่านมาว่าให้ร้ายแก่เราดังนี้ จะให้นายทัพนายกองแลทหารทั้งปวงเสียน้ำใจ”

            กล่าวแล้วจูกัดเก๊กจึงสั่งให้ทหารคุมตัวเจียวเอี๋ยนเอาไปประหารชีวิต แม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นดังนั้นจึงพากันร้องขอชีวิตเจียวเอี๋ยนไว้ จูกัดเก๊กขัดมิได้จึงจำต้องยกโทษให้กับเจียวเอี๋ยน แต่ให้ถอดจากตำแหน่งเสนาธิการปลดเป็นพลทหารเลว แล้วกำชับให้รีบเคลื่อนทัพ

            ครั้นกองทัพง่อก๊กใกล้จะถึงเขตเมืองซินเสีย เตงฮองได้เข้าไปปรึกษากับจูกัดเก๊กว่าเมืองซินเสียนี้เป็นเมืองหน้าด่าน มีป้อมปราการสูงใหญ่มั่นคง นับเป็นด่านสำคัญของวุยก๊ก หากเราตีเมืองหน้าด่านนี้แตกแล้วจึงจะรุกเข้าสู่แดนตงง้วนได้โดยสะดวก จึงควรที่ท่านแม่ทัพจะเร่งยึดเมืองซินเสียเป็นฤกษ์ชัยแก่กองทัพไว้ก่อน

            จูกัดเก๊กได้ฟังเตงฮองก็เห็นชอบ สั่งให้เคลื่อนทัพไปประชิดเมืองซินเสีย

            ฝ่ายเตียวเต๊กซึ่งรักษาด่านปลายแดนเมืองซินเสีย เมื่อได้ทราบข่าวศึกว่ากองทัพเมืองกังตั๋งกำลังยกมาเป็นจำนวนมาก จึงให้ม้าเร็วถือใบบอกไปแจ้งข้อราชการแก่สุมาสูที่เมืองลกเอี๋ยง และสั่งทหารให้อพยพชาวเมืองที่อยู่ด้านนอกด่านเข้ามาอยู่ข้างในด่าน เผาเสบียงอาหารมิให้ตกได้แก่ทหารง่อก๊ก และให้กวดขันป้องกันรักษาด่านไว้ให้มั่นคง

            จูกัดเก๊กยกกองทัพมาถึงหน้าด่านก็สั่งทหารให้ตั้งค่ายรายล้อมด่านไว้และให้ทหารออกไปท้ารบกับเตียวเต๊ก แต่เตียวเต๊กไม่ยอมออกมารบ คงดำเนินยุทโธบายตั้งรับ กำชับให้ทหารรักษาด่านทั้งกลางวันและกลางคืน

            ฝ่ายสุมาสูเมื่อได้ทราบใบบอกจากเมืองซินเสียแล้ว จึงปรึกษาด้วยขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าจะคิดอ่านประการใด

            งี่สงซึ่งเป็นที่ปรึกษาจึงกล่าวกับสุมาสูว่า ซึ่งกองทัพง่อก๊กยกมาครั้งนี้ท่านอย่าได้วิตกเลย ด้วยทหารง่อก๊กนั้นไม่ถนัดเชิงรุก ถนัดก็แต่เชิงรับ แลด่านเมืองซินเสียนั้นสูงใหญ่มั่นคง นายด่านก็เป็นทหารมีประสบการณ์ในสงคราม เห็นจะตั้งมั่นรักษาด่านเอาไว้ได้ อนึ่งเล่าจูกัดเก๊กคุมทัพมาแต่เมืองกังตั๋งถึงเมืองซินเสียเป็นระยะทางไกล เห็นจะเอาเสบียงอาหารมาไม่มากนัก เมื่อเราตั้งรับอยู่แต่ในด่านนานวันเข้าจูกัดเก๊กก็จะขาดเสบียง เห็นจะล่าถอยทัพกลับไปเอง ถึงเวลานั้นจึงค่อยยกตามตี เห็นจะได้ชัยชนะประการเดียวเท่านั้น

            สุมาสูได้ฟังคำงี่สงก็พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย งี่สงเห็นดังนั้นจึงกล่าวสืบไปว่า ศึกฝ่ายใต้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลย วิตกก็แต่การศึกด้านเมืองเสฉวน กริ่งว่าเกียงอุยจะฉวยโอกาสที่วุยก๊กเราเกิดศึกติดพันข้างฝ่ายใต้แล้วจะยกกองทัพมาตีกระหนาบ จึงควรที่จะแต่งกองทัพไปป้องกันรักษาด่านต่าง ๆ ทางด้านตะวันตก

            สุมาสูใคร่ครวญความเห็นของงี่สงก็เห็นด้วย จึงให้สุมาเจียวคุมทหารไปช่วยกวยหวยรักษาเมืองเองจิ๋ว เตรียมป้องกันกองทัพของเกียงอุย แล้วสั่งให้บู๊ขิวเขียมและอ้าวจุ๋นยกทหารหนุนไปช่วยเมืองซินเสีย และกำชับว่าให้ถือหลักยุทโธบายตั้งรับ รอคอยโอกาสให้จูกัดเก๊กล่าทัพแล้วจึงค่อยยกตามตี สุมาเจียว บู๊ขิวเขียมและอ้าวจุ๋นรับคำสั่งแล้วจึงจัดแจงทหารรีบยกไป

            ฝ่ายจูกัดเก๊กตั้งค่ายประชิดล้อมด่านอยู่ถึงเก้าวันสิบวัน ในระหว่างนั้นได้ให้ทหารออกไปท้ารบหลายครั้งหลายหน ข้างในด่านก็สงบนิ่งอยู่ จูกัดเก๊กเกรงว่าหากตั้งค่ายประชิดด่านนานช้าไปเสบียงอาหารก็จะร่อยหรอ จึงสั่งทหารให้บุกเข้าตีด่านตลอดทั้งวันทั้งคืน หวังจะทำศึกแตกหักให้เสร็จสิ้นเสียก่อนที่เสบียงอาหารจะหมด

            ข้างในด่านได้อาศัยชัยภูมิที่ได้เปรียบป้องกันรักษาด่านไว้เป็นสามารถ ทหารเมืองกังตั๋งไม่สามารถหักเข้าด่านได้ จูกัดเก๊กเห็นดังนั้นก็โกรธ ออกคำสั่งกำชับทหารทั้งปวงให้บุกขึ้นหน้า ปีนกำแพงขึ้นไปหักเอาด่านให้จงได้ มาตรแม้นผู้ใดไม่เอาใจด้วยราชการก็จะประหารชีวิตมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง

            ทหารเมืองกังตั๋งเกรงอาญาของจูกัดเก๊ก จึงเร่งรีบหักเข้าตีด่านอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันทั้งคืน ทหารซึ่งรักษาด่านก็พยายามป้องกันรักษาด่านไว้เป็นสามารถ แต่แม้จะใช้เกาทัณฑ์ระดมยิงหรือทุ่มก้อนศิลาเข้าใส่ประการใด ทหารง่อก๊กก็บุกเข้าตีด่านระลอกแล้วระลอกเล่าดุจดั่งคลื่นในพระสมุทรซัดเข้าสู่ฝั่ง ในที่สุดทหารซึ่งรักษากำแพงด่านด้านทิศเหนือก็ร่อยหรอลง และกำแพงด่านทั้งสี่ด้านก็ถูกทำลายจนเกือบจะทรุดพังลงมา

            เตียวเต๊กเห็นสถานการณ์ดังนั้นก็ตกใจ เกรงว่าหากการศึกยังติดพันอีกสองสามชั่วยาม ทหารเมืองกังตั๋งก็อาจหักเข้าด่านได้ จึงปรึกษากับนายกองทั้งปวงว่าหากยังรบติดพันกันสืบไป ข้างในด่านเรามีทหารน้อย เห็นจะเสียทีแก่ข้าศึกเป็นมั่นคง ด้วยเป็นธรรมดาน้ำน้อยไหนเลยจะสู้ไฟได้ จำจะคิดกลอุบายรบประวิงเวลาให้ข้าศึกชะล่าใจ คอยท่าให้เมืองหลวงยกกองทัพหนุนมาจึงจะควร

            ทหารทั้งปวงได้ฟังปรารภของเตียวเต๊กก็เห็นด้วย เตียวเต๊กจึงทำหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งถึงจูกัดเก๊กเป็นใจความว่า ตามกฎหมายของวุยก๊กนั้น ถ้าข้าศึกบุกมาประชิดติดพัน หากทิ้งเมืองหรือยอมจำนนก็จะมีโทษประหารชีวิต แต่ถ้าต่อสู้ป้องกันรักษาเมืองไว้ได้ถึงร้อยวันแล้วยังไม่มีกองทัพหนุนมาช่วย เหลือกำลังจะต้านทานแล้ว ถึงจะยอมสวามิภักดิ์ก็ไม่เป็นโทษ ข้าพเจ้าเตียวเต๊กเป็นชายชาติทหาร เคารพกฎหมายและวินัยศึก จึงตั้งหน้าป้องกันรักษาด่านไว้ถึงเก้าสิบวันแล้ว ทหารทั้งสองฝ่ายได้รบพุ่งบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก จึงมีความปรารถนาจะยอมสวามิภักดิ์ต่อท่าน แต่ไม่ต้องการให้ขัดต่อบทกฎหมาย จึงขอความเมตตาให้ท่านผ่อนผันเวลาอีกสิบห้าวันพอได้พ้นร้อยวัน แล้วข้าพเจ้าจะพาทหารและชาวเมืองไปยอมอ่อนน้อมต่อท่าน ในระหว่างนี้ขอให้พักรบเอาไว้ก่อน อย่าให้เดือดร้อนแก่ทหารทั้งปวงเลย

            ครั้นทำหนังสือเสร็จแล้วเตียวเต๊กจึงให้ทหารถือหนังสือนั้นไปให้แก่จูกัดเก๊ก ฝ่ายจูกัดเก๊กเห็นทหารบุกเข้าตีด่าน บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ครั้นได้ทราบว่าเตียวเต๊กจะยอมสวามิภักดิ์ก็มีความยินดี จึงบอกแก่คนถือหนังสือว่าซึ่งเราจะรุกเข้าตีด่านให้ได้ในวันนี้วันพรุ่งก็จะได้อยู่ แต่เอ็นดูทหารทั้งปวงจะได้ยากลำบาก ฉะนั้นเมื่อเตียวเต๊กขอผ่อนผันเพียงสิบห้าวันจะเป็นไรมี เราจะคอยท่าเวลาให้เตียวเต๊กพาสมัครพรรคพวกมาอ่อนน้อมตามที่ขอร้องมา

            ครั้นคนถือหนังสือคำนับลากลับออกไปแล้ว จูกัดเก๊กจึงสั่งให้ทหารทั้งปวงพักรบ คอยท่าว่าเตียวเต๊กจะยอมออกมาอ่อนน้อมแต่โดยดี

            ฝ่ายเตียวเต๊กครั้นได้ทราบว่าจูกัดเก๊กหลงกลก็มีความยินดี พอเวลากลางคืนก็ใช้ทหารให้แต่งซ่อมกำแพงด่านที่ถูกทำลายจนแข็งแรงเหมือนดังเดิม แล้วให้ทหารพักผ่อนบำรุงกำลังและเกณฑ์ชาวเมืองเข้าเป็นทหารเพิ่มเติม พอใกล้วันที่สิบห้าเตียวเต๊กจึงเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาด่านอย่างพร้อมเพรียง

            เตียวเต๊กเห็นทหารลาดตระเวนของจูกัดเก๊กจึงร้องเยาะเย้ยว่า “เสบียงอาหารของกูยังบริบูรณ์อยู่ จะเลี้ยงทหารอีกสักปีหนึ่งกูก็หากลัวไม่ กูจะยอมไปเข้าด้วยเอ็งเหล่าชาติสุนัขเมืองกังตั๋งนั้นมิชอบ”

            ทหารลาดตระเวนทราบความก็นำความไปรายงานแก่จูกัดเก๊ก พอได้ทราบความว่าหลงกลแก่ข้าศึกจูกัดเก๊กก็โกรธ สั่งทหารให้บุกเข้าตีด่านอีกครั้งหนึ่ง จูกัดเก๊กด้วยอารมณ์โทสะได้ขี่ม้าออกหน้าทหารบุกเข้าไปใกล้กำแพงด่าน ทหารของเตียวเต๊กเห็นจูกัดเก๊กประมาทขี่ม้าเข้ามาในระยะเกาทัณฑ์ จึงเอาเกาทัณฑ์ยิงไปที่จูกัดเก๊ก ถูกจูกัดเก๊กที่หน้าผาก พลัดตกลงจากหลังม้า

            ทหารง่อก๊กเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปช่วยพาจูกัดเก๊กออกมาจากรัศมีเกาทัณฑ์ เดชะบุญที่หมวกเกราะของจูกัดเก๊กคลุมหน้าผากไว้อย่างมิดชิด ดังนั้นลูกเกาทัณฑ์จึงมิได้ทำอันตรายจนถึงแก่ชีวิต เพียงแต่บาดเจ็บเพราะแรงกระแทกเท่านั้น จูกัดเก๊กออกพ้นรัศมีเกาทัณฑ์แล้วก็ยิ่งโกรธ เร่งให้ทหารบุกเข้ายึดด่าน

            ทหารเมืองกังตั๋งบุกเข้าตีด่านตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาเย็นก็ไม่สามารถหักเข้าด่านได้ พอเวลาค่ำจูกัดเก๊กจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าจะคิดอ่านประการใดจึงจะยึดด่านได้

            แม่ทัพนายกองเมืองกังตั๋งได้ออกความเห็นตรงกันว่า ทหารง่อก๊กยกมาประชิดด่านร่วมร้อยวันแล้ว ผิดอากาศและผิดอาหารได้รับความป่วยเจ็บเป็นอันมาก ซึ่งได้พักรบไว้สิบกว่าวันนั้นทำให้โอกาสที่จะยึดด่านห่างไกลออกไป เพราะข้างในด่านได้ฉวยโอกาสซ่อมแต่งกำแพงจนเป็นปกติ ดังนั้นแม้จะหักเข้าตีด่านสืบไปก็เห็นจะไม่ได้ชัยชนะ

            จูกัดเก๊กได้ยินดังนั้นก็โกรธ กล่าวว่าประเพณีการสงครามจะเกรงกลัวข้าศึกนั้นไม่ชอบ หากผู้ใดไม่เป็นใจด้วยราชการ อ้างความเจ็บป่วยก็ให้เอาตัวไปตัดหัวเสียให้สิ้น

            การประชุมวันนั้นไม่ได้ข้อยุติประการใด แต่ทหารทั้งปวงเกรงกลัวว่าการทำศึกต่อไปจะขัดสน เพราะข้างในด่านอาศัยชัยภูมิที่ได้เปรียบระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ดุจห่าฝน รุกเข้าไปแม้นไม่เจ็บก็ถึงตาย ครั้นจะระย่อท้อถอยก็เกรงอาญาของจูกัดเก๊กที่จะเอาโทษถึงตายแม้หากจะตั้งมั่นต่อไปความเจ็บป่วยไข้ก็ยิ่งระบาดไปทั่วทั้งกองทัพ ดังนั้นทหารในกองทัพของจูกัดเก๊กจึงพากันหนีทัพไปเป็นอันมาก

            ฝ่ายซัวหลิมซึ่งเป็นนายทหารรองของกองทัพจูกัดเก๊ก เห็นทหารหนีทัพเป็นอันมากก็เสียน้ำใจ ทั้งเกรงว่าขืนอยู่กับจูกัดเก๊กต่อไปก็อาจต้องอาญาถึงตาย พอค่ำลงจึงพาพรรคพวกหนีไปสวามิภักดิ์กับทหารวุยก๊ก

            ทหารซึ่งยังภักดีต่อจูกัดเก๊กอยู่เห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงนำความไปรายงานให้จูกัดเก๊กทราบ จูกัดเก๊กได้ทราบความก็ตกใจ ขี่ม้าออกมาตรวจตราตามค่ายทหาร เห็น ร่อยหรอลงเป็นอันมาก และทหารที่เหลืออยู่ในค่ายจำนวนมากก็ป่วยเจ็บ หน้าเหลือง หน้าบวม ร้องโอดครวญเป็นที่น่าเวทนา

            จูกัดเก๊กเห็นดังนั้นจึงคิดว่า หากขืนตั้งค่ายประชิดด่านต่อไปก็ไม่อาจเอาชัยชนะแก่ชาวด่านได้ ดีร้ายก็จะถูกกองทัพหนุนมาจากเมืองลกเอี๋ยงตีกระหนาบให้ย่อยยับอับจนไปกว่านี้ ในเที่ยงคืนวันนั้นจูกัดเก๊กจึงสั่งให้เลิกทัพถอยกลับเมืองกังตั๋ง

            ในขณะนั้นบู๊ขิวเขียมและอ้าวจุ๋นได้ยกกองทัพหนุนมาใกล้ด่าน พอได้ทราบความว่าจูกัดเก๊กถอยทัพจึงสั่งทหารให้ไล่ตามตี ทหารของจูกัดเก๊กกำลังล่าถอยโดยไม่คาดคิดว่าข้าศึกจะล่วงรู้ยกมาตามตี ครั้นถูกกองทัพวุยก๊กจู่โจมเข้าตีก็พากันตกใจแตกตื่น ต่างคนต่างหนีไม่เป็นขบวน จึงถูกทหารวุยก๊กฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            บู๊ขิวเขียมและอ้าวจุ๋นคุมทหารไล่ตามตีทหารของจูกัดเก๊กจนกระทั่งสว่าง เห็นจะไม่ทันแล้วจึงพากันถอยทัพกลับ จูกัดเก๊กจึงพาทหารที่เหลือล่าถอยกลับไปถึงเมืองกังตั๋ง

            จูกัดเก๊กกลับมาถึงเมืองกังตั๋งแล้วให้รู้สึกอัปยศอดสูที่พ่ายแพ้เสียที ประกอบทั้งเจ็บปวดที่บริเวณหน้าผากอันเกิดแต่แรงกระแทกของลูกเกาทัณฑ์ จูกัดเก๊กจึงอ้างว่าป่วย ไม่ออกว่าราชการตามปกติ แล้วนอนซมอยู่แต่ในจวน

            ฝ่ายพระเจ้าซุนเหลียงครั้นได้ทราบข่าวว่าจูกัดเก๊กเลิกทัพกลับมาแล้วและยังป่วยเจ็บเพราะถูกเกาทัณฑ์ก็ตกพระทัย จึงพาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปเยี่ยมอาการของจูกัดเก๊กที่จวนมหาอุปราช

            จูกัดเก๊กทราบว่าพระเจ้าซุนเหลียงและบรรดาขุนนางยกขบวนมาเยี่ยมก็ละอายใจ แต่จำใจถวายการต้อนรับตามธรรมเนียม แล้วแสร้งทำเป็นป่วยหนักขึ้น ในขณะที่ในจิตใจก็ร้อนรุ่มด้วยระแวงว่าคนทั้งปวงจะดูหมิ่นว่าทำการเสียทีแก่ข้าศึก จูกัดเก๊กยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดระแวง จึงมีความทุกข์ตรมอยู่ในใจทุกวันคืน.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร