ตอนที่ 5 - คำอธิษฐาน

เมื่อไปถึงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองใจก็รู้สึกศรัทธาว่าเรากำลังมาอยู่ ณ ใจกลางของพระมหานครอันเป็นที่ตั้งแห่งศาลพระหลักเมืองซึ่งทรงความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ ซึ่งก๋งได้บอกเล่ากล่าวขานมาตั้งแต่น้อยนั้น

ในใจคิดว่าได้จากบ้านมาก็หลายวันแล้ว ที่อยู่ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้อยู่ที่ไหน ที่จะมาเรียนก็ยังไม่รู้ว่าจะได้เรียนที่ไหน พ่อก็มาประสบเหตุถูกล้วงกระเป๋า ญาติพี่น้องอันพอวางใจช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ร้อนได้ก็ไม่มี เห็นทีจะต้องบอกกล่าวให้เจ้าพ่อหลักเมืองได้รับรู้แล้วขอใบบุญท่านให้ช่วยคุ้มครองทำนุบำรุงคงจะดีเป็นแน่

เมื่อนึกดังนั้นแล้วก็คิดถึงคำแม่ที่เคยพร่ำสอนมาแต่น้อยว่าเราเป็นชาวพุทธจึงพึงเชื่อว่าเทวดามีจริง ผีมีจริง บุญกรรมมีจริง อำนาจแห่งคำอธิษฐานในพระศาสนานี้มีจริงแท้ และถ้าตั้งอธิษฐานให้ถูกต้องก็สามารถอาศัยกำลังบุญก่อเป็นอธิษฐานฤทธิ์ให้สัมฤทธิผลดังปรารถนาได้

แม่เคยบอกไว้ว่าตัวแม่นั้นทำบุญกุศลในพระศาสนามาตลอดชีวิต ยึดมั่นอยู่ในศีลและธรรม ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางพระศาสนาจึงมีกองบุญกองกุศลสั่งสมอยู่ไม่น้อยเหมือนกับมีเงินออมไว้ในธนาคาร หากจำเป็นขึ้นมาก็สามารถถอนออกมาใช้ได้ จึงมั่นใจว่าหากยามยากทุกข์เข็ญ ทั้งตัวแม่และลูก ๆ จะสามารถเดชะเอาบุญนั้นมาเป็นที่พึ่งได้

คิดถึงคำแม่ดังนั้นแล้วก็ตั้งใจว่าเมื่อไม่มีผู้คนจะพึ่งพาอาศัยได้ก็พึ่งพาเจ้าพ่อหลักเมืองเห็นจะดี ดังนั้นเมื่อจุดธูปเทียนถวายดอกไม้บูชาและคอยท่าจนพ่อตั้งคำอธิษฐานเสร็จแล้ว ผมจึงตั้งคำอธิษฐานบอกเล่าความทุกข์ร้อนในใจและตั้งความปรารถนาขอฝากเนื้อฝากตัวให้เจ้าพ่อหลักเมืองช่วยทำนุบำรุงดูแลอย่าให้ได้ความขัดสนเลย

มาถึงวันนี้คิดไปคิดมาแล้วก็ได้ความคิดว่าความคิดของผู้อาวุโสนั้นมีความลึกซึ้งเป็นอันมาก เพราะเจ้าบ้านเจ้าเมืองนั้นมีความหมายถึงเจ้าบ้านเจ้าเมืองทั้งที่ยังมีชีวิตและทั้งที่เป็นจิตวิญญาณ หากได้ฝากตัวกับเจ้าบ้านเจ้าเมืองเป็นอันดีแล้วย่อมหวังได้ว่าจะไม่ประสบเหตุเภทภัยหรืออันตรายใด ๆ มาเบียดเบียน

มาถึงวันนี้บางครั้งที่หวนคิดย้อนไปถึงวันเวลาและประสบการณ์ที่ผ่านมาก็เข้าใจได้กระจ่างว่าครั้งใดแห่งไหนหากได้ฝากตัวไว้กับเจ้าบ้านเจ้าเมืองแล้วการทั้งปวงก็จะลุล่วงไปได้ด้วยดี หาไม่แล้วก็ถูกพวกผีบ้านผีเมืองทั้งที่เป็นคนและทั้งที่เป็นผีรบกวนจนไม่มีวันสงบสุขได้เลย

ออกจากศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแล้ว นั่งรถสามล้อไปยังท่าพระจันทร์ ซึ่งขณะนั้นมีเรือข้ามฟากของคุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ ให้บริการเป็นประจำอยู่ทุกวัน และยังคงให้บริการต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นแต่ว่าค่าโดยสารข้ามฟากเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ในครั้งนั้นแค่สลึงเดียวเท่านั้น แต่วันนี้ท่าเดียวกันนี้คิดค่าโดยสารข้ามฟากถึง 2 บาทแล้ว แม้กระนั้นอัตราที่เปลี่ยนสูงขึ้นหากจะเทียบกับข้าวของอย่างอื่นก็ยังจัดว่าเพิ่มขึ้นไม่มากเท่าใดนัก

พวกเรานั่งเรือข้ามฟากไปยังท่าพรานนกแล้วนั่งรถสามล้อต่อไปยังวัดอัมรินทร์ พ่อผมได้ไปถามไถ่หากุฏิพระมหาผวนเพื่อหวังจะได้พบกับพระมหาผลตามที่ได้ทราบความมาจากพระวัดชลประทาน

พระมหาผวนเป็นชาวจังหวัดพัทลุง บวชนานมาแล้ว ได้เดินทางมาศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่กรุงเทพฯ ต่อมาได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศฟิลิปปินส์โดยทุนการศึกษาของทางการ ครั้นจบการศึกษาแล้วได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดอัมรินทร์ซึ่งเป็นวัดที่ท่านชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีชาวจังหวัดตรังเคยมาเป็นเด็กวัดอยู่ที่วัดนี้ก่อนหน้าผมไม่กี่ปี

พ่อได้ถามไถ่จนได้พบกับพระมหาผวนก็ได้ทราบความว่าพระมหาผลมาที่วัดนี้จริงแล้ว แต่ทว่าเมื่อวานพระมหาผลได้ไปชวนพระมหาทรงธรรมซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดระฆังไปงานบุญที่ต่างจังหวัด อีกอาทิตย์กว่าจึงจะกลับมา

พ่อได้ฟังดังนั้นก็ผิดหวัง เพราะตั้งหน้าดั้นด้นมาหาพระมหาผลหลายที่หลายแห่งแต่ก็มีอันแคล้วคลาดกันไปทุกที่ พ่อจึงปรารภความที่พาลูกและหลานมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯให้พระมหาผวนฟัง และบอกว่ากำลังหาที่อยู่ที่เรียนให้ลูกและหลานแต่ยังไม่เรียบร้อย จำเป็นจะต้องกลับไปบ้านก่อนอีก 3-4 วันจะขึ้นมาใหม่

พระมหาผวนเป็นพระที่มีน้ำใจ รักพวกรักพ้องตามวิสัยของคนภาคใต้ พอทราบความดังนั้นก็ทราบถึงความประสงค์ของพ่อที่ถึงแม้จะไม่ได้บอกว่าต้องการฝากลูกและหลานให้อยู่กับพระมหาผวนก่อน จึงบอกกับพ่อว่ามีความคุ้นเคยกับอดีตครูโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์คนหนึ่งซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันชื่อว่าครูกริ้วพอจะฝากเรียนหนังสือได้สักคนหนึ่งแต่ก็ไม่แน่ใจเท่าใดนักเนื่องจากครูกริ้วเพิ่งลาออกจากการเป็นครูโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์เพราะสอบได้เป็นผู้พิพากษา แต่จะลองพูดจากันดู

ครูกริ้วที่ว่านี้คือท่านสกล เหมือนพะวง หลังจากลาออกความเป็นข้าราชการครูแล้วได้สอบเป็นผู้พิพากษา มีความเจริญก้าวหน้าในทางราชการเป็นอันมาก เพราะเป็นคนเด็ดขาด ซื่อสัตย์ สุจริต และมีความรู้ความสามารถมาก ได้ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาและเลื่อนตำแหน่งไปโดยลำดับ จนกระทั่งเกษียณอายุในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา

พระมหาผวนได้บอกกับพ่อว่าไปมากรุงเทพฯเป็นทางไกลลำบาก ดังนั้นให้กลับไปแต่ตัว ลูกและหลานให้ฝากไว้ที่วัดก่อน ไว้ขึ้นมาแล้วค่อยว่ากล่าวกัน พ่อก็ตกลง แล้วบอกผมกับลูกผู้น้องว่าให้อยู่กับพระมหาผวนสัก 3-4 วัน แล้วจะขึ้นมารับหาที่อยู่ที่เรียน ในระหว่างนี้ให้รับใช้พระ ทำตัวเป็นเด็กวัด อย่าทำตัวเป็นลูกเถ้าแก่

แล้วพ่อก็สอนว่าเด็กวัดนั้นต้องพยายามทำตามพระ ตอนเช้าพระออกบิณฑบาตรก็ให้ติดตามพระไปบิณฑบาตรด้วย วันไหนพระลงอุโบสถถ้าหากมีเวลาก็ให้ตามพระไปฟังพระท่านสวด หากพระรับกิจนิมนต์ก็ให้พยายามถือย่ามตามพระไป ผมก็รับคำ

พ่อรู้ดีว่าฝากผมกับลูกผู้น้องไว้กับพระเพียงไม่กี่วัน แต่ที่สั่งสอนอย่างนี้ก็พอจะเห็นได้ว่าต้องการให้ลูกและหลานอยู่ใกล้พระ จะได้ไกลออกไปจากความเสื่อม ก็นับว่าเป็นความฉลาดและเข้าใจสั่งสอน

หลังจากพ่อพูดจาฝากฝังผมกับลูกผู้น้องไว้กับพระแล้วพวกเราก็กลับไปที่โรงแรม เก็บเอาข้าวของเสื้อผ้าแล้วกลับมาที่วัดอัมรินทร์อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นพ่อก็เดินทางกลับบ้าน
กุฏิพระมหาผวนเป็นกุฏิสองชั้น ชั้นบนมีสองห้องนอน มีห้องกลางอยู่ห้องหนึ่ง ส่วนที่เป็นห้องนอนนั้น ห้องหนึ่งเป็นห้องของพระมหาผวน อีกห้องหนึ่งเป็นห้องของพระอีกรูปหนึ่ง ส่วนห้องกลางเป็นห้องรับรองแขกเหรื่อ สำหรับพวกเด็กวัดอยู่กันชั้นล่างซึ่งเป็นพื้นไม้ ใต้ถุนมีน้ำครำส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งและมียุงชุกชุมมาก

พระมหาผวนได้ให้ผมและลูกผู้น้องพักอยู่ที่ชั้นล่างของกุฏิ แต่เป็นที่โล่ง ไม่มีห้องหับเป็นสัดส่วน เวลานอนตอนกลางคืนต้องกางมุ้ง ถือเอามุ้งเป็นห้อง ส่วนข้าวของก็เก็บกองไว้ข้างฝา พระมหาผวนบอกว่าที่วัดนี้ไม่มีขโมยจึงไม่ต้องกลัวของหาย และความจริงพวกเราก็ไม่มีสิ่งใดกังวลว่าของอะไรจะสูญหายเพราะของที่ติดตัวมาในเวลานั้นไม่ได้มีของสิ่งใดมีราคาค่างวดหรือสะดุดตาที่ชักพาสายตาขโมยให้สนใจเลย

เด็กวัดรุ่นก่อนเขาคงอยู่กันคุ้นเคยแล้วจึงไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร แต่ผมนั้นค่อนข้างจะรู้สึกเดือดร้อน เพราะรู้สึกว่าแม้ชั้นล่างกุฏิจะโล่งแต่ก็อับชื้นและมีกลิ่นเหม็นน้ำครำคละคลุ้งไปหมด ที่สำคัญคือผมไม่คุ้นกับยุงเพราะที่บ้านไม่มียุง เพิ่งมารู้ว่ายุงกรุงเทพฯชุกชุมและร้ายแรง ทำให้เข้าใจคำโบราณที่ว่ายุงร้ายกว่าเสือก็ในครั้งนั้น

ผมทำตามคำพ่อ ช่วยพระทำความสะอาดกุฏิ ตามไปบิณฑบาตร และตามไปงานบุญสุดแท้แต่พระจะพาไป แต่ให้รู้สึกเป็นทุกขเวทนาด้วยความไม่คุ้นเคยทั้งในเรื่องยุง เรื่องกลิ่นน้ำครำ และความไม่สะดวกสบายทุก ๆ ประการ

ในใจก็คิดถึงก๋ง ยาย พ่อแม่ เพื่อน คิดถึงพระอาจารย์ คิดถึงใครต่อใครอีกมากมายและคิดถึงบ้าน เพราะแต่เล็กแต่น้อยไม่เคยจากบ้านมาไกลถึงเพียงนี้ และวันนี้ก็เป็นวันแรกที่พ่อก็กลับไปบ้านแล้ว อยู่ก็แต่กับลูกผู้น้องและกับคนซึ่งไม่คุ้นหน้าค่าตากันมาแต่ก่อน นับว่าเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกเป็นทุกข์ร้อนมากที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต เพราะความเหงา ความลำบาก และความไม่สบายประดังเข้ามาพร้อมกัน โดยที่ไม่รู้ว่าความหวังนั้นคืออะไรและอยู่ที่ไหน

แต่ละวันช่างนานหนักหนา กว่าจะผ่านไปได้วันหนึ่ง ๆ ก็รู้สึกว่าวันเวลาของกรุงเทพฯเหตุใดหนอจึงยาวนานกว่าวันเวลาที่อยู่บ้านมากเหลือเกิน นี่แหละที่เขาว่าเวลาในความทุกข์ร้อนยาวนานกว่าเวลาในความสุขสบาย หรือที่เขาว่าร้อยปีนรกเท่ากับหนึ่งวันมนุษย์ ร้อยปีมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันสวรรค์ อะไรทำนองนั้น

นั่นก็คือธรรมชาติของสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งคนเราที่ไม่ชอบความทุกข์ ความร้อน ประสบความทุกข์ร้อนแม้หน่อยหนึ่งก็รู้สึกว่าเดือดร้อนรำคาญ เวลาที่ประสบทุกข์ร้อนหน่อยหนึ่งก็รู้สึกว่ายาวนาน ตรงกันข้ามกับเวลาแห่งความสุขอันเป็นที่ปรารถนาของทุกคน จึงรู้สึกว่าผ่านไปอย่างเร็วรี่ ซึ่งล้วนอยู่ที่ใจของเรารู้สึกเอาเองทั้งสิ้น

พวกเราเป็นเด็กวัดหน้าใหม่จึงต้องเกรงอกเกรงใจเด็กวัดรุ่นพี่ ดังนั้นหลังจากพระฉันอาหารเช้าแล้วถึงแม้บรรดาเด็กวัดจะนั่งกินข้าวรวมกัน แต่ผมก็ต้องให้ความเกรงอกเกรงใจ ปล่อยให้เด็กวัดรุ่นพี่ตักอาหารเก็บเอาขนมและผลไม้ก่อน แล้วพวกเราค่อยตักตาม

รสชาติเด็กวัดในกรุงเทพฯครั้งแรกก็คล้าย ๆ กับสภาพความเป็นเด็กวัดที่บ้าน จะต่างกันบ้างก็ตรงที่ความเป็นคนหน้าใหม่ และบรรดาข้าวปลาอาหารที่อุดมสมบูรณ์มากกว่าวัดที่บ้านเท่านั้น

กินอาหารกันเสร็จแล้วพวกเราก็ต้องช่วยกันล้างถ้วยชามจานบาตรและปิ่นโต ปฏิบัติอย่างนี้ทั้งมื้อเช้าและมื้อเที่ยง ส่วนมื้อเย็นนั้นต้องไปซื้อหากินกันเอาเอง แต่ก็ไม่ลำบากเท่าใดนักเพราะมีร้านข้าวแกงในย่านนั้นอยู่หลายร้านและราคาก็ไม่แพง ค่าอาหารเย็นตกมื้อละ 2 บาท 3 บาทเท่านั้น ส่วนน้ำแข็งเปล่าเป็นรายการแถมฟรี

วันหนึ่ง พระมหาผวนได้บอกให้ทราบว่าติดต่อครูกริ้วได้แล้ว รับจะฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์แต่ฝากได้เพียงคนเดียวเท่านั้น จะต้องเลือกกันว่าผมจะเข้าเรียนหรือลูกผู้น้องจะเข้าเรียน เพราะการฝากเข้าเรียนในชั้น ม.ศ. 3 เป็นเรื่องยาก เนื่องจากเป็นช่วงครึ่ง ๆ กลาง ๆ และครูกริ้วก็มีโควต้าที่จะฝากได้เพียงคนเดียวเท่านั้น

ผมเพิ่งได้ยินคำว่าโควต้าเป็นครั้งแรก ได้แต่แปลกใจว่าเป็นถ้อยคำแปลก เป็นถ้อยคำใหม่ แต่ก็พอจะรู้ว่าครูกริ้วสามารถฝากเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดมกุฏฯ ได้เพียงคนเดียว ไม่เคยคิดจริง ๆ เลยว่าเรื่องโควต้าที่ได้ยินในครั้งแรกที่มากรุงเทพฯในวันนั้นจะกลายเป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมืองในทุกเรื่องราว จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

เพราะอะไร ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวด้วยโควต้าไปทั้งหมด ดังนั้นเกิดเป็นคนทุกวันนี้จะต้องทำความรู้ ความเข้าใจเรื่องโควต้าให้ดี รู้จักโควต้า รู้จักขอโควต้า รู้จักค่าโควต้า และใช้โควต้าให้ดี มิฉะนั้นก็จะดูเหมือนว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

ผมไม่อาจตัดสินใจได้ว่าใครจะได้เรียนหนังสือก่อน จนกระทั่ง 5 วันผ่านไปพ่อขึ้นมาจากบ้านและมาที่วัดอัมรินทร์อีกครั้งหนึ่ง หลังจากทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว ได้ยินพระมหาผวนแจ้งกับพ่อว่าได้ติดต่อฝากเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ได้แล้วแต่ได้เพียงคนเดียว จะให้ใครเรียนก็ให้รีบบอก

พ่อบอกพระมหาผวนโดยไม่ลังเลเลยว่าให้ลูกผู้น้องของผมเรียน ผมได้แต่สงสัยว่าทำไมเมื่อจำเป็นจะต้องตัดสินใจเลือกระหว่างลูกกับหลาน แทนที่พ่อจะตัดสินใจเลือกให้ลูกได้เรียนก่อนกลับให้หลานเรียนก่อนโดยที่ไม่รู้ชะตากรรมว่าลูกจะได้มีโอกาสเล่าเรียนตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่

วันหลังเมื่อมีโอกาสผมจึงถามความสงสัยในเรื่องนี้ พ่อก็ไขให้ฟังว่ารับภาระพาทั้งลูกและหลานมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ หากให้ลูกเรียนก่อนทิ้งหลานให้เคว้งคว้างจะกลับไปบ้านไม่ได้ เพราะญาติพี่น้องจะตำหนิติเตียนว่าไม่มีความยุติธรรม แต่ถ้าให้หลานเรียนก่อน ถึงแม้ยังหาโรงเรียนให้ลูกไม่ได้ก็ยังพอกลับไปบ้านได้ และไม่มีใครจะว่ากล่าวให้เสียหายได้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘