ตอนที่ 59. จิตใจมหาบุรุษ

โจโฉกรีฑาทัพใหญ่หวังจะเหยียบเมืองชีจิ๋วให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่สถานการณ์ถึงวันนี้เรื่องที่คาดคิดว่าจะสำเร็จได้โดยง่ายทำท่าว่าจะกลับกลายจนเหยียบเท้าลงที่เมืองชีจิ๋วไม่สะดวกดายเสียแล้ว

            ข้างในเมืองโตเกี๋ยมก็ไม่ยอมออกรบ ตั้งมั่นอยู่แต่ในเมือง หากต้องถึงกับโจมตีเมืองที่มีกำแพงเชิงเทินสูงใหญ่ ค่ายคูหอรบแข็งแรงก็จะสูญเสียทหารมาก ส่วนข้างนอกเมืองก็ยังมีกองทัพอีกสองเมืองมาตั้งมั่นอยู่ด้านหลัง สถานการณ์บังคับให้ต้องแยกกองทัพออกเป็นสองกองรับศึกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

            ดังนั้นสถานการณ์สงครามจึงเริ่มแปรเปลี่ยนให้กองทัพโจโฉต้องตกอยู่ในสภาพถูกกระทำ

            ในขณะที่คุมเชิงกันอยู่นั้นโจโฉได้รับรายงานว่าบัดนี้มีกองทัพยกมาอีกกองหนึ่งเป็นกองทัพเมืองเพงง้วนก๋วน ดูธงประจำทัพแล้วระบุว่าเล่าปี่เป็นแม่ทัพโจโฉก็ยิ่งหัวเสีย ไม่ทันไรทหารก็เข้ามารายงานอีกว่าบัดนี้เล่าปี่กำลังตีฝ่าทหารของเราจะเข้าเมืองชีจิ๋ว โจโฉจึงมีคำสั่งให้อิกิ๋มทหารเอกยกทหารออกไปสกัดไม่ให้เล่าปี่เข้าเมืองได้

            อิกิ๋มรับคำสั่งแล้วจึงยกทหารออกไปสกัดเล่าปี่ตามคำสั่ง พอเผชิญหน้ากันไม่ทันได้พูดพร่ำทำเพลง เตียวหุยก็ขับม้ากรายทวนเข้ารบด้วยอิกิ๋ม เล่าปี่จึงขับทหารตีฝ่าเข้าไป อิกิ๋มต่อสู้กับเตียวหุยได้สิบเพลงเห็นท่าว่าจะสู้เตียวหุยไม่ได้จึงชักม้าหนี

            เล่าปี่ เตียวหุย และทหารพันหนึ่งได้โจมตีทหารอิกิ๋มล้มตายลงเป็นอันมาก แล้วตีฝ่าเข้าไปถึงประตูเมือง ขณะนั้นโตเกี๋ยมขึ้นไปดูการศึกบนเชิงเทินเห็นเล่าปี่ เตียวหุย ตีฝ่าทหารเข้ามาก็ให้เปิดประตูเมืองรับแล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าปี่กับทหารทั้งนั้น

            โตเกี๋ยมได้พินิจพิเคราะห์ดูเล่าปี่เห็นว่ามีสง่าราศีสมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ก็มีใจศรัทธาจึงใช้ให้บิต๊กไปเอาตราสำหรับเมืองมามอบแก่เล่าปี่ เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ตกใจรีบถามโตเกี๋ยมว่านี่เป็นเรื่องราวใดกัน

            โตเกี๋ยมจึงว่า “ทุกวันนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ครองพระราชสมบัติ พระชันษานั้นยังเยาว์อยู่ ขุนนางที่มิได้มีน้ำใจสัตย์ซื่อนั้นมักทำจลาจลต่าง ๆ แผ่นดินได้รับความเดือดร้อนเนือง ๆ มา ข้าพเจ้าก็แก่ชราแล้ว จะคิดการทำนุบำรุงแผ่นดินต่อไปนั้นก็ขัดสน ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านเป็นเชื้อพระวงศ์แล้วก็มีสติปัญญาโอบอ้อมอารี ควรที่จะทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุข ข้าพเจ้าจึงเอาตราสำหรับที่มาให้ หวังจะเชิญให้ท่านเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว เพื่อจะได้คิดการกำจัดศัตรูราชสมบัติต่อไป แล้วข้าพเจ้าจะแต่งหนังสือขึ้นไปให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้”

            ข้อเสนอของโตเกี๋ยมนี้หากเสนอให้กับคนทั่วไปแล้ว โตเกี๋ยมคงจะไม่ผิดหวัง เพราะเป็นข้อเสนอที่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ โดยเฉพาะโจโฉ อ้วนเสี้ยว ซุนเซ็ก หรือลิฉุย กุยกี หรือนักการเมืองคนใดคนหนึ่ง คนเหล่านั้นย่อมรีบที่จะรับเอา โจโฉนั้นยอมยากลำบากยกกองทัพจำนวนมากมาเพื่อยึดเอาเมืองแต่โตเกี๋ยมไม่ยอมยกให้กลับคิดต่อสู้ และถ้าหากโตเกี๋ยมคิดจะเซ็งลี้แล้วย่อมจะได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาลยิ่งกว่าการขายธนาคารให้กับต่างชาติ แต่โตเกี๋ยมไม่กระทำ

            จิตใจชนิดนี้คือจิตใจที่ต้องการ “ทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุข” เป็นน้ำใจแท้ที่เปี่ยมด้วยความรักและความเมตตาอาทรต่อราษฎร ไม่ใช่น้ำใจของนักการเมือง ไม่ว่าระดับนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในบางประเทศ ที่ปากพร่ำแต่คำว่าเพื่อราษฎร แต่กระทำตนเป็นนักขายชาติ นักเผด็จการ หลอกลวงราษฎรและปล้นสดมภ์ราษฎรและบ้านเมืองของตน บังอาจถึงขนาดตั้งนักค้ายาเสพติดระดับโลก นักปล้นชาติและอาชญากรระดับชาติเป็นรัฐมนตรี กล้าหาญกระทั่งเบียดเบียนพระราชมรดก และพระราชทรัพย์ของฮ่องเต้ และพร้อมที่จะทำความชั่วช้าทุกประการเพียงเพื่อให้ได้อยู่ในอำนาจ

            นอกจากวัตถุประสงค์เพื่อทำนุบำรุงราษฎรแล้ว โตเกี๋ยมยังมีวัตถุประสงค์เป็นข้อที่สองคือ “คิดการกำจัดศัตรูราชสมบัติต่อไป” นี่คือจิตใจที่เดือดร้อนด้วยบ้านเมืองที่เกิดทุกข์เข็ญเนื่องจากพวกทรราชย์ ทรชนและพวกอิทธิพลมาเฟียต่าง ๆ กระทำย่ำยีต่อบ้านเมือง มิใช่อ้างเพียงว่ารักชาติแต่ทำตัวเป็นนายหน้าในการขายชาติ แล้วป่าวประกาศลัทธิธรรมรัฐ หรือธรรมาภิบาล ขึ้นเพื่อสร้างความมึนชาแก่ประชาชน โดยที่ตนเองก็ไม่รู้แม้แต่ความหมายของคำว่า “ธรรม” หรือบ้างก็เที่ยวสรรสร้างแต่ถ้อยคำสวยหรูซึ่งไร้ความหมายและคุณค่าทางความเป็นจริงเพื่อจะได้อวดอ้างว่าตัวเองเป็นราษฎรอาวุโสอะไรเทือกนั้น

            คนแบบโตเกี๋ยมจึงเป็นคนที่หาได้ยากยิ่งในโลก เป็นคนที่ควรแก่การสดุดีให้ปรากฏไว้ในประวัติศาสตร์ เพื่อเป็นแบบอย่างให้คนรุ่นหลังปฏิบัติตามสถานหนึ่ง และเพื่อเป็นกระจกให้บรรดานักลวงโลกหรือวิญญูชนแบบเถรขวาดได้ส่องดูใบหน้าหลังหน้ากากของตน

            เหตุผลที่โตเกี๋ยมจำเพาะมอบเมืองชีจิ๋วแก่เล่าปี่มีอยู่สี่ข้อคือ เพราะเป็นเชื้อพระวงศ์หนึ่ง เพราะเห็นว่ามีสติปัญญาหนึ่ง เพราะมีน้ำใจโอบอ้อมอารีหนึ่งและเชื่อว่าจะสามารถทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุขอีกหนึ่ง

            ความเป็นเชื้อพระวงศ์เป็นฐานะอันติดตัวมาแต่กำเนิด สามารถทราบได้โดยง่าย ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีนั้นโตเกี๋ยมเห็นได้ด้วยตนเองจากการที่เล่าปี่ ซึ่งมิได้รู้จักมักคุ้นใด ๆ กับตัวและแม้ไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากการตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับโจโฉ แต่ยอมตัวเข้าช่วยเหลือเพียงเพราะเห็นแก่เพื่อนของโตเกี๋ยมที่ขอร้องเท่านั้น

            ความมีสติปัญญาก็อาจเล็งเห็นได้ในสถานการณ์ที่กองทัพใหญ่ของโจโฉล้อมเมืองอยู่แล้วไม่ผลีผลามทำการ คิดเชื่อมการข้างในกับการข้างนอกเมืองให้ได้เสียก่อน

            ส่วนความเชื่อที่ว่าจะทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุขนั้นเป็นความเชื่อใจของ โตเกี๋ยมโดยแท้ และย่อมเป็นความเชื่อเพียงแค่ได้เห็นรูปร่างบุคลิกท่วงทำนองของเล่าปี่เท่านั้น แต่อาจยอมรับได้ว่านั่นเป็นความเชื่อที่มีเหตุผลของคนแก่แบบ โตเกี๋ยมที่มีโรคหลายโรครุมเร้าอยู่ ดีกว่าคนในยุคหลังที่มีพร้อมทั้งข้อมูลข่าวสารและความรอบรู้สารพัด กลับถูกนักการเมืองไร้อาชีพที่เพียงแค่พูดจาดูเหมือนมีหลักฐานและหวานหูหลอกต้มกันจนเปื่อยทั้งเมือง

            เล่าปี่ได้ฟังคำโตเกี๋ยมแล้วตกใจ รีบลุกขึ้นคำนับแล้วว่า “เรานี้เป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริงแต่สติปัญญาน้อย ทำราชการยังหาความชอบข้อใหญ่มิได้ เป็นแต่เจ้าเมืองจัตวา เราก็ยังคิดเกรงอยู่ว่าจักไม่ควรกับสติปัญญา ซึ่งยกมาทั้งนี้เพราะมีน้ำใจหวังจะช่วยท่านรบโจโฉ หรือท่านแคลงอยู่ว่าเราจะมาชิงเอาเมืองชีจิ๋ว ถ้าเราคิดดังนั้นก็ขออย่าให้เทพยดารักษาชีวิตเราเลย”

            นี่คือน้ำใจแท้ของเล่าปี่ที่ไม่เคยคิดอยากได้หรือโลภของคนอื่น ทั้ง ๆ ที่เขายกให้ด้วยความเต็มใจและเปี่ยมด้วยเหตุผล ใจเล่าปี่นั้นเจียมตัวว่าเป็นเจ้าเมืองเล็ก สติปัญญาน้อย ความเป็นคนเจียมตัวและถ่อมตนนี้เป็นคุณสมบัติประจำตัวและฝังลึกอยู่ในใจไม่มีหนทางใดจะแก้ไขหรือลดหย่อนผ่อนลงได้ จึงทำให้เล่าปี่ต้องสูญเสียโอกาสหลายครั้งหลายหนจนบางครั้งแทบเอาตัวไม่รอด

           น้ำใจเช่นนี้แม้จะเทียบไม่ได้กับพระเวสสันดรที่ทรงบำเพ็ญทานบารมีจนเปี่ยมล้น จนสามารถยกแม้กระทั่งบุตรและธิดาให้เป็นทานก็ตาม แต่ความมีคุณธรรมของเล่าปี่ในข้อที่ไม่ยอมหวังสิ่งใดจากใครอื่นก็ล้ำเลิศแล้วสำหรับปุถุชน

            ความเจียมเนื้อเจียมตัวของเล่าปี่ยังเลยเถิดไปถึงขนาดที่คิดว่าการที่โตเกี๋ยม กระทำเช่นนั้นเพราะคิดว่าเล่าปี่จะหวังชิงเอาเมือง โตเกี๋ยมคะยั้นคะยอให้เล่าปี่รับเป็นเจ้าเมืองอีกหลายครั้งแต่เล่าปี่ก็ยังยืนยันเจตนาเดิม บิต๊กที่ปรึกษาของโตเกี๋ยมเห็นเล่าปี่จะไม่ยอมรับเป็นแม่นมั่น จึงเปลี่ยนหัวข้อหารือมาเป็นการรับมือกับกองทัพโจโฉต่อไป

            เล่าปี่จึงว่าข้าพเจ้านี้เคยปราบโจรโพกผ้าเหลืองร่วมกับโจโฉในกองทัพของโลติดแม่ทัพใหญ่ ทั้งเคยร่วมในกองทัพปฏิวัติกับโจโฉ และโจโฉก็มีน้ำใจเมตตาเคยเอาหมูเห็ดเป็ดไก่ไปผูกไมตรีถึงในค่าย เมื่อไมตรีมีอยู่ดังนี้ข้าพเจ้าจะทำหนังสือไปถึงโจโฉขอให้เห็นแก่ไมตรีแล้วชี้แจงความจริงให้ปรากฏเชื่อว่าโจโฉจะยอมถอนทัพกลับไป

            โตเกี๋ยมและบิต๊กเห็นชอบกับความเห็นของเล่าปี่ ดังนั้นเล่าปี่จึงแต่งหนังสือให้ทหารสิบสองนายถือไปยังค่ายโจโฉ และให้ทหารลอบไปที่ค่ายของขงหยงและเต๊งไก๋แจ้งว่าให้ตั้งค่ายมั่นไว้ก่อน

            โจโฉเห็นหนังสือของเล่าปี่แล้วก็โกรธ คิดระแวงว่าเล่าปี่แกล้งมีหนังสือมาหลอกให้ตายใจแล้วจะยกเข้าโจมตีในภายหลัง จึงสั่งให้ทหารจับตัวทหารเดินสารของเล่าปี่เพื่อจะเอาไปประหารเสีย

            กุยแกที่ปรึกษาของโจโฉจึงว่าเล่าปี่นั้นเป็นคนสัตย์ซื่อ คงมีหนังสือมาโดยสุจริต การที่จะฆ่าทหารเดินทหารเดินสารเสียนั้นไม่สมควรด้วยธรรมเนียมศึก ควรจะหาทางตอบเอาใจผูกไมตรีไว้ก่อนแล้วค่อยชิงเอาเมืองชีจิ๋วในภายหลังก็จะได้โดยง่าย

            โจโฉเห็นชอบกับคำที่ปรึกษาจึงให้ต้อนรับขับสู้ทหารเดินสารเป็นอย่างดีแล้วบอกให้รอรับหนังสือตอบสักวันสองวัน
            ในระหว่างที่โจโฉกำลังตรึกตรองหาวิธีตอบหนังสือเล่าปี่อยู่นั้น เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คือทหารจากเมืองกุนจิ๋วรีบรุดมายังค่ายโจโฉแล้วรายงานว่าบัดนี้กองทัพเมืองตันลิวได้ยกกองทัพไปตีเมืองกุนจิ๋ว และเมืองกุนจิ๋วเสียทีแก่ข้าศึกแล้ว คงเหลือแต่หัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองกุนจิ๋วสามเมืองเท่านั้นที่ยังรักษาไว้ได้ คือเมืองเอียงเสีย, เมืองตองไฮ และเมืองฮวนกวน

            โจโฉได้ฟังรายงานแล้วตกใจยิ่งนัก จึงสอบถามความเป็นมาจากทหารที่มาแต่เมืองกุนจิ๋วนั้น ได้ความว่าหลังจากลิโป้ได้หนีลิฉุย กุยกี ไปหาอ้วนสุดที่เมืองลำหยงแล้ว อ้วนสุดไม่ยอมรับลิโป้ไว้ในราชการ ลิโป้จึงไปขออยู่กับอ้วนเสี้ยวแต่ต่อมาลิโป้กำเริบก่อการวิวาทและสังหารทหารอ้วนเสี้ยวเสียหลายคน อ้วนเสี้ยวโกรธจะฆ่าลิโป้ ดังนั้นลิโป้จึงหนีไปอยู่กับเตียนเอี๋ยงที่เมืองเสียงต๋ง

            ครั้นลิโป้ไปอยู่กับเตียนเอี๋ยงแล้ว บังสีซึ่งเป็นขุนนางอยู่เมืองหลวงสนิทกับลิโป้ทราบข่าวจึงลอบพาครอบครัวของลิโป้ไปส่งให้แก่ลิโป้ ลิฉุย กุยกี ทราบความจึงฆ่าบังสีเสียแล้วสั่งเตียนเอี๋ยงให้จับลิโป้ส่งไปเมืองหลวง ลิโป้รู้ข่าวจึงหนีไปอยู่กับเตียวเมี่ยว เจ้าเมืองตันลิว

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าลิโป้ไปอยู่กับเตียวเมา เจ้าเมืองตันลิว ซึ่งน่าจะเป็นการแปลโดยสับสน เพราะเตียวเมาถูกเล่าต้ายฆ่าเสียแล้วตั้งแต่กองทัพปฏิวัติใกล้จะสลายตัว ดังนั้นเตียวเมี่ยวน้องชายเตียวเมาจึงเป็นเจ้าเมืองสืบต่อมา

            ทหารนั้นรายงานต่อไปว่าเหตุเกิดขึ้นเนื่องจากตันก๋งซึ่งเคยมาขอร้องให้โจโฉถอนทัพแต่ไม่สำเร็จ จึงไปอยู่กับเตียวเมี่ยวเจ้าเมืองตันลิวและได้รับความไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษา ตันก๋งคิดช่วยเหลือโตเกี๋ยมตามความคิดเดิมอย่างหนึ่งและเห็นเป็นโอกาสที่โจโฉยกกองทัพใหญ่มาเมืองชีจิ๋ว มีทหารรักษาเมืองกุนจิ๋วอยู่น้อยตัว จึงเสนอให้เตียวเมี่ยวยกกองทัพไปตีเมืองกุนจิ๋ว

            เตียวเมี่ยวเห็นด้วยกับความคิดของตันก๋งจึงให้ลิโป้เป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองกุนจิ๋ว โจหยินรับมือลิโป้ไม่ได้จึงยกทหารหนีออกจากเมืองกุนจิ๋ว คงจะตามมาหาโจโฉในไม่ช้านี้

            ครั้นลิโป้ได้เมืองกุนจิ๋วแล้ว ได้ยกกองทัพไปตีหัวเมืองในบังคับเมืองกุนจิ๋วอีกหลายเมืองไปจนสุดชายแดนเมืองปักเอี้ยง คงเหลือแต่เพียงสามเมืองที่ซุนฮกและเทียหยกรักษาไว้ได้

            โจโฉทราบความละเอียดแล้วจึงหากุยแกมาปรึกษา หารือกันแล้วเห็นพร้อมกันที่จะต้องถอนทัพยกกลับไปยึดเมืองกุนจิ๋วคืน

            กุยแกจึงเสนอว่าการถอนทัพครั้งนี้ต้องผูกไมตรีและเอาบุญคุณไว้กับเล่าปี่จึงเสนอให้โจโฉตอบหนังสือเล่าปี่ว่ายินดีถอนทัพ เพราะเห็นแก่หน้าของเล่าปี่ โจโฉก็เห็นด้วย แล้วแต่งหนังสือตามคำกุยแกว่าส่งให้กับทหารของเล่าปี่แล้วเลิกทัพยกกลับไปเมืองกุนจิ๋ว.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร