ตอนที่ 597. คิดการใหญ่ ต้องรู้จักฐานกำลังอำนาจ

เกียงอุยขอรับพระบรมราชโองการยกไปตีวุยก๊กครั้งที่หนึ่ง ให้กุอั๋นและลิหิมเป็นกองทัพหน้ายกไปตั้งอยู่ที่เขาก๊กสัน แต่ถูกกวยหวยยกทหารมาล้อมไว้จนอดน้ำ ลิหิมจึงตีฝ่าหนีกลับไป และพบกับเกียงอุยที่กลางทาง

            ในคืนวันที่ลิหิมตีฝ่าวงล้อมหนีออกไปนั้นท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ฝนได้ตกหนักลงมาห่าใหญ่ ทหารเมืองเสฉวนทั้งสองค่ายซึ่งอ่อนล้าสิ้นเรี่ยวแรงเพราะไม่มีน้ำกิน พอได้น้ำฝนก็ดีใจดุจปลากระดี่ได้น้ำ พากันกระชุ่มกระชวยขึ้น แล้วตั้งมั่นรักษาค่ายไว้เป็นมั่นคง

            ฝ่ายลิหิมเมื่อพบกับเกียงอุยแล้วจึงรายงานความให้เกียงอุยทราบทุกประการ แล้วต่อว่าเกียงอุยว่าเหตุไฉนจึงยกกองทัพหนุนมาล่าช้า กองทัพหน้ามีทหารแต่น้อยตัว ไหนเลยจะรบพุ่งเอาชนะข้าศึกได้

            ลิหิมปัดความผิดให้พ้นตัว กล่าวหารุกเอาความผิดแก่เกียงอุยในทันทีที่พบหน้า เกียงอุยก็พาซื่อกล่าวว่า ซึ่งเรายกมาล่าช้านี้ก็ด้วยเหตุจำเป็นเนื่องจากคอยท่ากองทัพเมืองเกี๋ยงอยู่เป็นหลายวันก็ยังไม่ยกมา เกรงว่ากองทัพหน้าจะเป็นอันตรายจึงรีบยกตามมาก่อน

            เกียงอุยเห็นลิหิมบาดเจ็บเป็นหลายแห่ง จึงให้ทหารพาตัวลิหิมกลับเข้าไปรักษาที่เมืองเสฉวน แล้วปรึกษากับแฮหัวป๋าว่าซึ่งจะคอยท่ากองทัพเมืองเกี๋ยงต่อไปนั้นไม่สมควร กองทัพเราได้เสียเวลาคอยท่าอยู่หลายวันแล้ว เห็นทีกองทัพหน้าก็เห็นจะรักษาค่ายอยู่ได้ไม่นาน จะคิดอ่านประการใด

            แฮหัวป๋าจึงว่า กวยหวยคุมทหารยกออกจากเมืองเองจิ๋วมาตั้งค่ายรายล้อมภูเขาก๊กสัน ดังนั้นทหารข้างในเมืองเองจิ๋วจึงเบาบาง ให้ท่านยกทหารไปตามซอกเขางิวเทาสันด้านหลังเมืองเองจิ๋วแล้วจู่โจมเข้าตีเมือง เห็นจะยึดเมืองได้โดยง่าย ครั้นกวยหวยรู้ว่าเมืองเองจิ๋วเสียแก่ท่านแล้วก็จะละเขาก๊กสัน ยกทหารมาชิงเอาเมืองเองจิ๋ว ทหารของกุอั๋นก็จะไม่เป็นอันตราย

            เกียงอุยได้ยินแฮหัวป๋าเสนออุบายดังนั้นก็ชอบใจ แล้วกล่าวว่าอุบายของท่านนี้หลักแหลมดีนัก เห็นจะทำการสำเร็จเป็นแน่แท้ กล่าวแล้วก็รีบสั่งทหารให้เคลื่อนทัพไปทางเขางิวเทาสัน

            ฝ่ายต้านท่ายและกวยหวยเมื่อได้รับรายงานจากทหารว่าลิหิมตีฝ่าวงล้อมหนีออกไปได้ จึงปรึกษากันว่าลิหิมหนีออกไปได้ทั้งนี้เห็นจะกลับไปรายงานแก่เกียงอุย เมื่อเกียงอุยรู้ว่าเรายกกองทัพมาล้อมเขาก๊กสัน เห็นจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองเองจิ๋วเป็นมั่นคง

            สองนายทหารปรึกษาคะเนการณ์จะเป็นไปดังนั้นแล้ว จึงตกลงกันให้กวยหวยยกทหารไปตั้งอยู่ที่ตำบลเตียวซุยในซอกเขางิวเทาสัน คอยสกัดทางถอยของเกียงอุยไว้ ส่วนต้านท่ายจะยกไปตีสกัดหน้ากองทัพของเกียงอุยที่ยกล่วงซอกเขางิวเทาสันเข้ามาแล้ว

            ตกลงกันดังนั้นแล้วจึงแบ่งทหารสองหมื่นให้ล้อมเขาก๊กสันไว้ต่อไป แล้วยกทหารที่เหลือไปสกัดหน้าสกัดหลังเกียงอุยไว้ตามที่ตกลงกัน

            ฝ่ายเกียงอุยครั้นนำทหารไปตามซอกเขางิวเทาสันก็ได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมว่า กองทัพเมืองเองจิ๋วได้ยกมาตั้งขัดตาทัพอยู่ในซอกเขาใกล้ปากทาง เกียงอุยทราบดังนั้นจึงรีบคุมทหารรีบรุดไป เห็นต้านท่ายคุมทหารตั้งขบวนสกัดอยู่ จึงสั่งทหารให้เตรียมรบ

            ต้านท่ายเห็นเกียงอุยยกมาดังนั้นจึงร้องโอ่ว่า กูรู้อยู่ก่อนแล้วว่ามึงจะยกวกมาทางนี้ จึงมาตั้งสกัดคอยท่าไว้ แล้วกระทืบโกลนม้ารำง้าวเข้ารบกับเกียงอุย เกียงอุยเห็นดังนั้นจึงกรายทวนตรงเข้ารบกับต้านท่าย  ทั้งสองฝ่ายรบกันได้เพียงสามเพลงต้านท่ายสู้ฝีมือเกียงอุยไม่ได้ จึงพาทหารหนีขึ้นไปตั้งค่ายอยู่บนยอดเขา

            เกียงอุยเห็นได้ทีก็พาทหารยกตามไปที่เนินเขา แต่ไล่ตามขึ้นไปไม่ได้เพราะต้านท่ายให้ทหารทุ่มก้อนศิลาลงมาสกัดไว้ เกียงอุยพยายามตีฝ่าจะขึ้นไปบนภูเขา แต่ก็ถูกสกัดไว้เป็นหลายหน จนค่ำลงจึงพักศึก

            แฮหัวป๋าเห็นดังนั้นจึงเสนอกับเกียงอุยว่า ซึ่งจะตั้งรบพุ่งอยู่ฉะนี้ เกลือกข้าศึกรู้แล้วยกมาสกัดหลังไว้แล้วตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกันเห็นจะเป็นอันตราย ชอบที่จะล่าทัพถอยกลับไปก่อนแล้วค่อยคิดการสืบไป

            ในขณะนั้นหน่วยสอดแนมได้นำความเข้าไปรายงานแก่เกียงอุยว่า ซอกเขาทางด้านหลังมีกองทัพของกวยหวยตั้งสกัดทางถอยอยู่ เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็ตกใจ สั่งให้แฮหัวป๋าเป็นกองหน้าล่าทัพออกไปก่อน แล้วเกียงอุยจึงยกทหารตามไป

            ฝ่ายต้านท่ายพาทหารหนีไปตั้งมั่นอยู่บนยอดเขา คอยท่าให้กวยหวยยกกองทัพมาช่วย แต่จู่ ๆ กองทัพของเกียงอุยก็ล่าถอยกลับไป ก็คาดคะเนว่าเกียงอุยคงจะรู้ข่าวว่ากวยหวยยกกองทัพมาสกัดทางถอยเอาไว้ หากตั้งอยู่ต่อไปก็อาจเป็นอันตรายจึงต้องล่าถอย

            ต้านท่ายคะเนการณ์ดังนั้น จึงจัดทหารเป็นห้ากองยกไล่ตีตามหลังกองทัพเกียงอุย

            ฝ่ายเกียงอุยคุมทหารเป็นกองหลัง เห็นต้านท่ายยกทหารมาจู่โจมดังนั้น จึงสั่งทหารให้แปรขบวนเข้ารบกับต้านท่าย ต้านท่ายสู้ฝีมือเกียงอุยไม่ได้จึงพาทหารหนีกลับไป

            เกียงอุยคุมทหารล่าถอยต่อไป จึงปะทะกับกองทัพของกวยหวยที่สกัดขวางทางอยู่ ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ ทหารของเกียงอุยถูกทหารของกวยหวยฆ่าฟันบาดเจ็บลงกว่าครึ่ง จึงสามารถตีฝ่าหนีออกไปได้ เกียงอุยก็ค่อยคลายใจ แต่เพียงพักเดียวเท่านั้นก็เห็นทหารอีกกองหนึ่งยกสวนมา

            ครั้นฝุ่นจางลงก็เห็นทหารซึ่งยกมานั้นมีธงประจำตัวนายทัพชื่อว่าสุมาสู ซึ่งสามก๊กฉบับสมบูรณ์พรรณนาว่า “มีกองทหารหนึ่งบุกมาถึง ผู้เป็นหัวหน้านั้นเป็นแม่ทัพชั้นพิเศษ ควบม้าเผ่นโผนโจนทะยาน ใช้ง้าวพาดขวาง คนผู้นั้นมีนรลักษณ์หน้ากลม หูใหญ่ ริมฝีปากหนา ใต้ตาซ้ายมีก้อนเนื้องอกสีดำ มีขนสีดำอยู่สิบกว่าเส้น”

            เกียงอุยเห็นกองทัพยกมาดังนั้นก็คะเนว่าเป็นกองทัพจากเมืองลกเอี๋ยงยกหนุนมาช่วยเมืองเองจิ๋ว แต่ด้วยความทะนงในฝีมือเกียงอุยจึงมิได้ระย่อ กระตุ้นม้าออกหน้าทหารตรงเข้าไปรบกับสุมาสู

            สุมาสูไม่เคยรู้ฝีมือของเกียงอุย เห็นทหารแปลกหน้ารุกเข้ามาดังนั้น จึงขี่ม้าเข้าไปรบกับเกียงอุย แต่พอรบกันได้เพียงสามเพลงสุมาสูก็เห็นว่าเหลือกำลัง ไม่อาจรับมือเกียงอุยต่อไปได้ จึงปลีกม้าออกจากวงรบ แล้วพาทหารถอยหนีไปสมทบกับกองหลังซึ่งยกหนุนตามมา

            เกียงอุยเห็นดังนั้นจึงพาทหารที่เหลือถอยกลับเข้าด่านแฮบังก๋วนซึ่งเป็นด่านปลายแดนเมืองเสฉวน

            ฝ่ายสุมาสูพาทหารหนีเกียงอุยไประยะหนึ่งก็พบกับกองหลังซึ่งถอยตามมาทัน จึงรวมกำลังกองหน้ากองหลังเข้าด้วยกันเป็นกำลังพลห้าหมื่นคนเตรียมจะยกกลับไปรบกับเกียงอุยอีกครั้งหนึ่ง ครั้นทราบว่าเกียงอุยพาทหารล่าถอย จึงคุมทหารตามไปเพื่อไล่ตามตี แต่พอสุมาสูยกไปถึงเกียงอุยก็ได้พาทหารถอยเข้าด่านแฮบังก๋วนจนหมดสิ้นแล้ว สุมาสูจึงขับทหารให้บุกเข้าพังประตูด่าน

            พอทหารของสุมาสูเข้าประชิดประตูด่าน เกียงอุยก็คุมทหารบนกำแพงด่านระดมยิงเกาทัณฑ์สกัดทหารของสุมาสูไว้

            สุมาสูเห็นทหารบนกำแพงด่านระดมยิงเกาทัณฑ์สกัดไว้เป็นแน่นหนายิ่งกว่าห่าฝน ก็เขม้นมองด้วยความประหลาดใจและตกใจ เห็นทหารเมืองเสฉวนบนเชิงเทินด่านยิงเกาทัณฑ์แต่ละครั้งก็มีลูกเกาทัณฑ์พุ่งออกมาถึงสิบดอก จึงมองไปที่ทหารซึ่งกำลังประชิดด่านอยู่นั้นเห็นถูกเกาทัณฑ์บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            สุมาสูตระหนกใจเป็นอันมากว่าไฉนทหารเมืองเสฉวนจึงใช้เกาทัณฑ์ประหลาดพิสดาร มีอานุภาพการยิงที่ร้ายแรงปานนี้ โดยที่หารู้ไม่ว่านั่นคือเกาทัณฑ์กลที่ขงเบ้ง บอกตำราไว้กับเกียงอุย และเกียงอุยได้สร้างขึ้นแล้วได้ทำฝึกสอนทหารเมืองฮันต๋งและทหารเมืองเสฉวนจนชำนาญสิ้น

            สุมาสูไม่เห็นทางใดที่จะเอาชัยชนะต่อเกาทัณฑ์กลได้ เพราะทหารวุยประชิดเข้าไปใกล้ประตูด่านเท่าใดก็ถูกเกาทัณฑ์กลยิงบาดเจ็บล้มตายลงจนหมดสิ้น ทหารที่เหลือเห็นเพื่อนทหารล้มตายเป็นใบไม้ร่วงก็พากันกริ่งกลัว ถึงแม้จะได้ยินคำสั่งให้รุกจู่โจมหนุนเข้าไปก็รวนเรรั้งรออยู่นอกรัศมีเกาทัณฑ์

            สุมาสูเห็นดังนั้นก็รู้ตัวว่าไม่สามารถหักฝ่าเข้าด่านได้ และเกรงว่าเกียงอุยจะคุมทหารยกออกมาจู่โจม จึงสั่งทหารให้รีบถอยทัพ แล้วเลิกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง

            ฝ่ายกุอั๋นซึ่งรักษาค่ายมั่นอยู่ที่เขาก๊กสัน ครั้นลิหิมหนีไปแล้วก็ตั้งตาคอยกองทัพเกียงอุย แต่นานวันก็ยังไม่เห็นกองทัพเกียงอุยยกมา น้ำฝนที่เคยตกลงมาก็เหือดแห้ง ทหารอดน้ำได้ความยากลำบากนัก ครั้นจะหักออกไปก็ไม่ได้ จึงจำใจพาทหารเข้าสวามิภักดิ์กับกวยหวย

            ฝ่ายเกียงอุยเมื่อปราชัยเสียทีในการยุทธ์ครั้งแรกที่ยกบุกวุยก๊ก ก็รู้สึกอัปยศอดสูใจเพราะสูญเสียทหารไปเป็นอันมาก หลังจากทราบว่าสุมาสูเลิกทัพกลับไปแล้วจึงพาทหารกลับไปเมืองฮันต๋งแล้วสั่งให้ตกแต่งกำแพงเมืองเชิงเทินค่ายคูประตูหอรบไว้ให้มั่นคง เพราะคิดว่าสุมาสูยกทหารไล่ตามมาถึงด่านแฮบังก๋วนแล้ว วันหน้าก็อาจยกทหารมาประชิดเมืองฮันต๋ง จึงจำต้องป้องกันไว้ก่อน

            ฝ่ายสุมาสูครั้นเลิกทัพกลับไปถึงเมืองลกเอี๋ยง ก็รายงานความให้สุมาอี้ทราบทุกประการ

            สุมาอี้ได้ทราบความจากสุมาสูผู้บุตรก็ส่ายศีรษะ แล้วกล่าวว่าตระกูลสุมาเราเพิ่งได้อำนาจในเมืองลกเอี๋ยง จำเป็นต้องเสริมสร้างฐานอำนาจทางการเมืองและการทหารให้แน่นแฟ้นมั่นคงก่อน จึงจะคิดอ่านทำการศึกภายนอกได้ ซึ่งจ๊กก๊กยกกองทัพมาตีเมืองเราในครั้งนี้ แม้จะมีความขุ่นแค้นเคืองใจอยากจะยกไปตีเอาเมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวนประการใดก็ไม่อาจกระทำได้ เพราะถ้าใช้แม่ทัพนายกองอื่นเห็นจะไม่ใช่คู่มือของเกียงอุย แลเส้นทางที่จะยกกองทัพไปตีเมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวนนั้นทุรกันดารขัดสน ต้องเสียเวลานับปี ครั้นตัวเรายกกองทัพไปด้วยตนเองก็เหมือนหนึ่งเสือออกจากถ้ำ นกอินทรีออกจากรัง ปรปักษ์ทางการเมืองก็จะช่วงชิงฉวยโอกาสยึดอำนาจในเมืองลกเอี๋ยง แล้วยกกองทัพไปตีกระหนาบหลัง เราจะรุดไปข้างหน้าก็มิรู้กำลังจ๊กก๊กว่าเป็นประการใด จะถอยกลับก็ขัดสน จะกลายเป็นว่าวที่สายป่านขาด จึงไม่อาจยกไปแก้แค้นได้ เราจึงเจ็บใจนัก

            สุมาสูได้ฟังคำบิดาก็เห็นด้วย เมื่อเห็นบิดาเป็นทุกข์ใจจึงปลอบประโลมว่าบิดาจะปรารมภ์ไปไย ศึกครั้งนี้ประจักษ์แล้วว่ากองทัพเมืองเสฉวนแม้จะยกล่วงแดนเข้ามาได้ แต่ก็ไม่อาจรุกคืบหน้าเข้ามาถึงแม่น้ำอุยโหเหมือนเมื่อครั้งขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ ท่านพ่อเคยสอนสั่งอยู่เนือง ๆ มิใช่หรือว่าจะคิดการใหญ่ต้องเข้าใจถึงฐานกำลังอำนาจของตนเองก่อน ต้องพิทักษ์รักษาบำรุงฐานกำลังอำนาจนั้นให้มั่นคงแข็งแกร่ง หากฐานกำลังอำนาจยังรักษาไว้ได้ตราบใดก็จะยังคงดำรงความเป็นใหญ่ไว้ได้ตราบนั้น ซึ่งท่านพ่อคิดจะรักษาฐานกำลังอำนาจในเมืองลกเอี๋ยงไว้เป็นสำคัญนั้นย่อมประเสริฐยิ่งแล้ว

            สุมาอี้กำลังขุ่นแค้นขัดเคืองเกียงอุย ครั้นได้ฟังคำบุตรก็ได้สติ จึงว่าเจ้าว่ามานี้ก็ชอบด้วยโบราณ ตัวเราวันนี้ชราแล้วจึงห่วงหน้ากังวลหลังมากเกินไป พอได้ยินคำเจ้าจึงระลึกขึ้นมาได้ 

            กล่าวแล้วสุมาอี้ก็ลุกขึ้นยืนปรบมือหัวเราะด้วยความชอบใจ

            พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบสี่พรรษา เดือนเก้า กาลเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งอยู่ในอำนาจวาสนาแล้วก็ยิ่งดูเหมือนว่ากาลเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปรวดเร็วกว่าปกติ ตรงกันข้ามกับยามอยู่ในความทุกข์ลำเค็ญก็จะดูเหมือนว่ากาลเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปอย่างเชื่องช้านักหนา

            สุมาอี้มีอำนาจมากก็ยิ่งคิดมาก วิตกกังวลมาก แล้วกลายเป็นความทุกข์ใจ ตรอมใจ กินไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ ในที่สุดสุมาอี้ก็ล้มป่วยลง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘