ตอนที่ 596. สองอัจฉริยะสงครามรุ่นใหม่

พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบสองพรรษา เดือนเก้า แฮหัวป๋าเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าโจฮองรู้ว่าตกเป็นเป้าที่จะถูกสุมาอี้กำจัดจึงก่อการกบฏ แต่ไม่สำเร็จ จึงพาทหารใต้บังคับบัญชาพันห้าร้อยคนหนีไปขอสวามิภักดิ์กับเกียงอุยที่เมืองฮันต๋ง

            เกียงอุยเห็นแฮหัวป๋าคุกเข่าร้องไห้ดังนั้น จึงเข้าไปก้มประคองให้แฮหัวป๋าลุกขึ้น แล้วกล่าวว่าท่านอย่าทุกข์ใจสืบไปเลย มีการสิ่งใดค่อยพูดจาว่ากล่าวกัน

            แฮหัวป๋าจึงเล่าเหตุการณ์ซึ่งสุมาอี้ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจในแคว้นวุยแล้วกำจัดขุนนางแซ่โจและแซ่แฮหัวจนเกือบหมดสิ้น จึงจำต้องหนีมาพึ่งใบบุญของพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เกียงอุยฟังทุกประการ
เกียงอุยจึงว่า “ท่านมาทางไกลนัก สามิภักดิ์มาเป็นข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้งนี้ไม่เสียที ด้วยพระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นเชื้อวงศ์กษัตริย์”

            ครั้นได้พูดจาไต่ถามความกันตามธรรมเนียมแล้ว เกียงอุยจึงพาแฮหัวป๋าเข้าไปในเมืองฮันต๋ง แล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงให้แฮหัวป๋าได้คลายใจ

            ในระหว่างกินโต๊ะเกียงอุยได้ถามแฮหัวป๋าว่า เมื่อสุมาอี้ครองอำนาจเป็นใหญ่ในเมืองลกเอี๋ยงดังนี้แล้ว ยังคิดที่จะยกกองทัพมารุกรานเมืองเสฉวนหรือเมืองกังตั๋งบ้างหรือไม่

            แฮหัวป๋าจึงว่า ไอ้ศัตรูเฒ่ายังคงต้องสาละวนเพื่อกระชับอำนาจในเมืองลกเอี๋ยงและหัวเมืองทั้งปวงให้มั่นคงเสียก่อน จำเป็นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เห็นจะยังไม่สามารถยกกองทัพไปบุกจ๊กก๊กหรือง่อก๊กได้ แต่ทว่าท่านอย่าได้วางใจ ด้วยไม่กี่ปีมานี้ได้ปรากฏยอดอัจฉริยะรุ่นใหม่ขึ้นในแผ่นดินวุยก๊ก มีปรีชาสามารถในการสงครามยิ่งนัก หากวันหน้าสุมาอี้ให้สองอัจฉริยะนี้เข้ารับตำแหน่งสำคัญในทางการทหารแล้ว เห็นเมืองกังตั๋งและเมืองเสฉวนจะเป็นอันตราย

            เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง จึงถามว่าอัจฉริยะทางทหารทั้งสองคนนี้ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อ เป็นผู้ใดหรือ

            แฮหัวป๋าจึงว่าคนหนึ่งชื่อจงโฮย เป็นบุตรของจงฮิว ชาวเมืองเองจิ๋ว มีพี่ชายคนหนึ่งชื่อจงฮัก เมื่อครั้งที่จงโฮยมีอายุเจ็ดขวบนั้น บิดาได้พาเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจผี จงฮักผู้พี่อายุแก่กว่าจงโฮยผู้น้องปีหนึ่ง ครั้นอยู่ต่อหน้าพระที่นั่งก็เกรงกลัว ตัวสั่น เหงื่อไหลท่วมกาย พระเจ้าโจผีได้รับสั่งถามว่าเหตุใดจึงเหงื่อไหลท่วมใบหน้าดังนี้ จงฮักได้กราบทูลว่าได้อยู่ต่อหน้าผู้มีบุญญาธิการก็ตกใจ เหงื่อจึงไหลท่วมกาย

            พระเจ้าโจผีจึงตรัสถามจงโฮยผู้น้องว่า ตัวเจ้าเล่าเหตุไฉนจึงไม่ตกใจเหงื่อไหลเหมือนพี่ชาย จงโฮยได้ตอบด้วยปฏิภาณของเด็กน้อยว่า ข้าพระองค์ก็หวาดกลัวตกใจจนเหงื่อก็ไม่กล้าไหลออกมาจากร่างกาย พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นก็พอพระทัย ทรง พระสรวล และพระราชทานรางวัลให้แก่จงโฮย

            ครั้นจงโฮยเติบโตขึ้นก็ได้ร่ำเรียนตำราพิชัยสงคราม ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี การยุทธ์ทั้งปวงอย่างช่ำชองลึกซึ้ง ครั้นได้เข้ารับราชการทหารสุมาอี้และเจียวเจ้ประจักษ์ถึงสติปัญญาความสามารถของจงโฮย จึงเลื่อนตำแหน่งและกล่าวคำสรรเสริญอยู่เนือง ๆ

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความตอนนี้ว่าเมื่อจงโฮยอายุเจ็ดขวบนั้น “บิดาพาไปเฝ้าพระเจ้าโจผี พระเจ้าโจผีให้ว่าเพลงถวาย จงโฮยคนนี้เฉลียวฉลาดนัก ก็ว่าเพลงถวายในทันใด พระเจ้าโจผีโปรดปราน ครั้นใหญ่มาบิดาก็สั่งสอนให้รู้ตำราพิชัยสงคราม แล้วศึกษาให้ชำนาญในศิลปศาสตร์สำหรับทหาร เมื่อพระเจ้าโจผีดับสูญแล้วก็ได้เป็นที่ปีสูหลวงเจ้ากรมอาลักษณ์มาจนครั้งพระเจ้าโจยอย สุมาอี้กับเจียวเจ้ก็ยำเกรงจงโฮยนัก”

            แฮหัวป๋าเห็นเกียงอุยนิ่งฟังด้วยความสนใจ จึงกล่าวสืบไปว่าส่วนอีกคนหนึ่งนั้น “ชื่อว่าเตงงายบุตรชาวเมืองหงีเอี๋ยง บิดาตายแต่น้อย น้ำใจห้าวหาญ พอใจจะเป็นแม่ทัพนายกอง แสวงหาวิชาการพิชัยสงคราม ชำนิชำนาญนัก สุมาอี้นับถือจึงตั้งให้เป็น  ที่ขำจานกุนจี๋ได้ว่ากล่าวทหารทั้งปวง”

            สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่าเตงงายนี้ “แต่เยาว์วัยบิดาได้เสียชีวิต แต่ไหนแต่ไรมามีจิตใจใฝ่สูง เมื่อเห็นภูเขาสูง บึงใหญ่ ก็จะสอดส่องคาดคะเน วาดแผนที่ดูว่าจะตั้งทัพได้หรือไม่อยู่เสมอ สถานที่ใดจะสะสมเสบียงได้ สถานที่ใดจะซุ่มดักได้ ผู้คนต่างพากันหัวเราะ เฉพาะแต่สุมาอี้รู้สึกอัศจรรย์ในสติปัญญาจึงบัญชาให้ดำรงตำแหน่งเสนาธิการ วางแผนราชการกองทัพ เตงงายเป็นคนติดอ่าง เวลาแต่ละครั้งที่กราบทูลจะติดอ่างพูดหงาย ๆ อยู่เสมอ สุมาอี้พูดล้อเล่นว่าท่านมักจะพูดว่าหงาย ๆ ไม่ทราบว่าควรจะมีกี่หงาย เตงงายตอบอย่างคล้องจองว่าหงส์เอย หงส์เอย ก็คงเป็นหงส์เดียว เตงงายปฏิภาณฉับไว”

            แฮหัวป๋ากล่าวแล้วจึงย้ำว่าการสงครามในเบื้องหน้าท่านจำต้องระมัดระวังสองอัจฉริยะนี้ให้จงดี

            เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าถึงจะอัจฉริยะสักปานไหนก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อย จะเกรงกลัวไปไยกัน

            หลังจากนั้นอีกสี่ห้าวันเกียงอุยจึงพาแฮหัวป๋าเดินทางเข้าไปเมืองเสฉวน แล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน และกราบทูลว่าบัดนี้สุมาอี้ได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจในเมืองลกเอี๋ยง กำจัดขุนนางแซ่โจและแซ่แฮหัวทั้งทหารและพลเรือนทั้งสิ้น แล้วคิดจะทำร้ายแฮหัวป๋าหวังกำจัดให้สิ้นซาก แฮหัวป๋าเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าโจยอยและเป็นญาติของโจซอง จึงจำต้องหนีมาสวามิภักดิ์พึ่งโพธิสมภารของพระองค์ ข้าพระองค์ได้พิเคราะห์ความแล้วเห็นว่าพระเจ้าโจฮองนั้นยังทรงพระเยาว์ สุมาอี้มีอำนาจเด็ดขาดดังนี้ เห็นจะคิดชิงเอาราชสมบัติเป็นมั่นคง แผ่นดินวุยก๊กเห็นจะร่วงโรยใกล้ดับสูญ เป็นโอกาสที่จะยกกองทัพไปปราบปราม  วุยก๊ก สืบสานปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่และมหาอุปราชจูกัดเหลียงให้เป็นผลสำเร็จ และจะขอเอาแฮหัวป๋าเป็นแม่ทัพกองทัพหน้า เห็นการจะสำเร็จเป็นแน่แท้

            ราชเลขาธิการในพระเจ้าเล่าเสี้ยน ได้ยินดังนั้นจึงกราบทูลว่าหลายปีมานี้แผ่นดินสุขสงบ ราษฎรได้รับความสุขเป็นอันมาก เมื่อเดือนอ้ายปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยแปดสิบแปดมหาอุปราชเจียวอ้วนได้สิ้นบุญลง แม้บิฮุยขุนนางผู้ใหญ่จะได้ครองตำแหน่งแทนแต่ก็ได้ถึงแก่กรรมในเวลาไล่เลี่ยกัน การข้างในเมืองเสฉวนยังไม่ปกติดีนัก ชอบที่จะงดกองทัพเอาไว้ก่อน

            เกียงอุยจึงแย้งว่าแผ่นดินว่างศึกมาช้านานแล้ว เมืองเสฉวนและเมืองฮันต๋งได้ซ่องสุมผู้คนและเสบียงอาหารเป็นอันมาก ราชการภายในมีระบบมั่นคงมาช้านาน ถึงแม้ขุนนางผู้ใหญ่จะสิ้นบุญไป แต่ผู้ครองตำแหน่งแทนก็ปรีชาสามารถ แผ่นดินจึงไม่ระส่ำระสายและเป็นปกติดีอยู่ ซึ่งจะทอดเวลาให้ช้านานสืบไป อีกเมื่อใดเล่าจึงจะรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง สนองพระราชปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่ได้

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นเกียงอุยยืนยันในพระราชปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่ก็มีน้ำพระทัยคล้อยตาม จึงตรัสถามเกียงอุยว่าซึ่งท่านจะยกกองทัพไปตีวุยก๊ก ท่านจะคิดอ่านประการใด

            เกียงอุยจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์มีสมัครพรรคพวกชนเผ่าเกี๋ยงแห่งมองโกเลีย จะทำหนังสือไปเกลี้ยกล่อมให้ยกกองทัพมาช่วยเป็นกองทัพหนุน เห็นจะตีวุยก๊กได้เป็นแน่แท้ หรือแม้นไม่สำเร็จบริบูรณ์ ก็จะขยายดินแดนยึดเอาดินแดนภาคตะวันตกของวุยก๊กเข้ามาอยู่ในขอบขัณฑสีมาของใต้ฝ่าละอองได้เป็นอันมาก

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสว่า เมื่อท่านปรารถนาดังนี้เราก็จะอนุญาตให้ยกไปทำการ แต่จงทำการด้วยความรอบคอบ ตรึกตรองแผนการทั้งปวงให้ถี่ถ้วน ทำการให้เต็มมือ เอาชัยชนะให้จงได้ อย่าให้ทหารทั้งหลายต้องเสียน้ำใจ

            เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี ถวายบังคมขอบพระทัยพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วกราบทูลลาพาแฮหัวป๋ากลับไปเมืองฮันต๋ง

            พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบสองพรรษา เดือนสิบ เกียงอุยเดินทางกลับถึงเมืองฮันต๋งแล้วจึงแต่งหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองเกี๋ยง และตั้งให้ กุอั๋นและลิหิมเป็นกองทัพหน้า ยกทหารหมื่นห้าพันไปตีเมืองเองจิ๋วซึ่งกวยหวยเป็นเจ้าเมือง และให้ไปตั้งค่ายที่เขาก๊กสันสองค่าย ยึดพื้นที่ไว้พลางก่อน คอยท่าเกียงอุยซึ่งจะยกกองทัพหลวงตามไปสมทบในภายหลัง

            กุอั๋นและลิหิมรับคำสั่งแล้วยกทหารออกจากเมืองฮันต๋งไปที่เขาก๊กสัน แล้วแบ่งทหารเป็นสองกอง กองละเจ็ดพันห้าร้อยคน ตั้งค่ายขนาบซ้ายขวาเขาก๊กสันไว้ กุอั๋นนั้นตั้งอยู่ค่ายด้านตะวันออก ส่วนลิหิมตั้งค่ายอยู่ด้านตะวันตก

            ฝ่ายหน่วยสอดแนมของเมืองเองจิ๋ว ครั้นทราบข่าวศึกจึงนำความไปรายงานให้กวยหวยทราบ

            พอกวยหวยทราบข่าวศึกจึงรีบแต่งใบบอกส่งเข้าไปที่เมืองลกเอี๋ยงและจัดแจงทหารจะยกไปตีค่ายของกุอั๋นและลิหิม ในขณะนั้นต้านท่ายซึ่งสุมาอี้ใช้ให้ถือหมายรับสั่งมาให้แก่แฮหัวป๋ายังไม่ทันเดินทางกลับไปเมืองลกเอี๋ยง เนื่องจากกวยหวยร้องขอให้อยู่ช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยตามชายแดนไปพลางก่อน กวยหวยจึงให้ต้านท่ายคุมทหารห้าหมื่นเป็นกองทัพหน้า กวยหวยเป็นกองทัพหลังยกออกจากเมืองเองจิ๋วไปที่เขาก๊กสัน

            ฝ่ายกุอั๋นและลิหิมครั้นได้ตั้งค่ายแล้วก็ตั้งตาคอยท่ากองทัพของเกียงอุยและกองทัพเมืองเกี๋ยงซึ่งจะยกหนุนตามมา ไม่ได้คาดคิดว่ากองทัพเมืองเองจิ๋วจะยกมาต่อตีอย่างรวดเร็วก็กริ่งใจ ครั้นทราบข่าวศึกก็จัดแจงทหารจะยกออกไปรบกับต้านท่าย แต่เมื่อมองออกไปด้านนอกค่ายเห็นทหารข้าศึกยกมาเป็นอันมากไม่อาจต้านทานได้ จึงสั่งทหารให้ตั้งมั่นอยู่ในค่าย กำชับให้ระมัดระวังตรวจตราเวรยามมิได้ประมาท

            ต้านท่ายเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้ตั้งค่ายล้อมกุอั๋นและลิหิมไว้ พอกวยหวยยกกองทัพหลวงหนุนตามมาถึง เห็นต้านท่ายล้อมข้าศึกไว้ก็มีความยินดี หลังจากคำนับทักทายกับต้านท่ายตามธรรมเนียมแล้ว กวยหวยจึงชวนต้านท่ายมาปรึกษาการสงครามแล้วปรารภว่าเทศกาลนี้เป็นหน้าแล้ง และพื้นที่นี้เป็นที่ดอน น้ำท่าขาดแคลนขัดสนนัก ข้าศึกอาศัยน้ำกินน้ำใช้ก็แต่น้ำจากลำธารซึ่งไหลมาจากหุบเขา ถ้าหากให้ทหารไปปิดกั้นทางน้ำไหลอย่าให้ไหลผ่านไปถึงค่ายข้าศึกได้ เห็นข้าศึกจะอ่อนล้าอิดโรยและแตกพ่ายไปเอง

            ปรึกษากันดังนั้นแล้วกวยหวยจึงสั่งทหารให้ยกไปที่ต้นลำธาร แล้วขุดดินถมกั้นลำธารซึ่งจะไหลไปยังเชิงเขาก๊กสัน เบนทางน้ำให้ไหลไปทางอื่น

            ฝ่ายกองทัพของกุอั๋นและลิหิมตั้งค่ายอยู่ใกล้เนินเขา กลางวันร้อนจัด กลางคืนก็มีลมแรง อากาศแห้ง ต้องอาศัยน้ำกินจากลำธารน้ำซึ่งไหลมาจากหุบเขา ครั้นน้ำจากลำธารเหือดแห้งทหารไม่มีน้ำกินน้ำใช้ ได้ความลำบากจึงพากันรวนเร ทั้งกุอั๋นและลิหิมจึงสั่งทหารให้ออกไปหาน้ำ แต่ถูกทหารของกวยหวยสกัดขัดขวางไว้

            ทหารของกุอั๋นและลิหิมหาน้ำไม่ได้ก็พากันหิวน้ำ อดอยาก ได้รับความทุกข์ร้อนเป็นอันมาก ลิหิมจึงปรึกษากับกุอั๋นว่าทหารขาดน้ำแล้วเห็นจะตั้งอยู่ไม่ได้ ชอบที่จะตีฝ่าหนีไปในคืนวันนี้

            กุอั๋นไม่เห็นด้วยกับความคิดของลิหิม จึงกล่าวว่าเรายกมายังไม่ทันต่อรบด้วยข้าศึก จะยกหนีไปดังนี้ไม่สมศักดิ์ศรีของชายชาติทหาร ชอบที่จะอดทนคอยท่าเกียงอุยยกมาก่อน

            ลิหิมจึงว่า ถ้าอดข้าวยังพอทนได้สี่ห้าวัน แต่อดน้ำนั้นแม้วันเดียวก็เห็นจะอิดโรยอลหม่านกันไป อีกไม่รู้เมื่อใดเกียงอุยจะยกมา ทหารจะไม่พากันตายสิ้นหรือ ข้าพเจ้าเห็นว่าขืนตั้งอยู่ก็จะพากันตาย หากหนีไปก็ยังมีโอกาสรอด ดังนั้นแม้นท่านไม่ไป ข้าพเจ้าก็จะไปเอง

            กุอั๋นได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ จึงว่าเมื่อท่านจะหนีไปก็หนีไปแต่ตัวเถิด ซึ่งจะเอาทหารไปด้วยนั้นเราไม่ยอม ลิหิมได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจจึงเดินกลับออกไป ครั้นค่ำลงลิหิมจึงพาทหารที่สนิทสี่สิบคนตีฝ่าวงล้อมทหารของกวยหวย แต่ทหารของกวยหวยได้รบพุ่งสกัดไว้เป็นสามารถ ฆ่าฟันทหารของลิหิมตายจนหมดสิ้น ตัวลิหิมเองตีฝ่าหนีออกไปได้แต่ต้องอาวุธเป็นหลายแห่ง

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าลิหิม “ขี่ม้าไปตามเชิงเขาเสสันในเวลากลางคืนมืดนัก หารู้ที่จะหาน้ำกินไม่ ได้กินแต่น้ำค้าง อดอาหารไปถึงสองวันจึงพบกองทัพเกียงอุย”.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘