ตอนที่ 595. รอยเกวียนย่อมทับร้อยเท้าโค

สุมาอี้ยึดอำนาจแล้วได้สังหารผลาญชีวิตโจซอง รวมทั้งพี่น้องและสมัครพรรคพวกร่วมพันคน ทำลายเชื้อสายตระกูลโจที่อยู่ในตำแหน่งขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนจนย่อยยับแล้ว จึงแกล้งยกย่องสามขุนนางประเภทลูกเต่าว่ามีความกตัญญูภักดีต่อเจ้านาย สมควรเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งปวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามเดิม

            ซินแป สุมาเล่าจี๋ และเอียวจ๋ง แม้จะได้รับพระคุณจากสุมาอี้ไม่เอาโทษฐานเป็นพรรคพวกกับโจซอง แต่ก็รู้ทีว่าสุมาอี้ทำการทั้งนี้หาใช่ปรารถนาดีมีเมตตาแต่ประการใดไม่ หากเป็นการกระทำเพื่อหวังจะสร้างภาพลักษณ์ของตนเองว่าเชิดชูคุณธรรมเท่านั้น จึงแสร้งคำนับขอบคุณสุมาอี้แล้วลากลับออกไป ต่างคนต่างทอดถอนใจใหญ่แต่มิรู้ที่จะทำประการใด

            ซินแปรำลึกถึงความหลังแล้วกล่าวกับเพื่อนขุนนางอีกสองคนว่า เรารอดตายมาครั้งนี้เพราะได้คำพี่สาวแนะนำ หาไม่แล้วก็อาจถูกประหารไปพร้อมกับพรรคพวกของโจซองเป็นแน่แท้

            ฝ่ายสุมาอี้เมื่อทำทีเชิดชูคุณธรรมปล่อยสามขุนนางลูกเต่าให้พ้นผิดแล้ว ก็ปรับปรุงภาพพจน์ตัวเองต่อไปเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาแก่คนทั้งปวง จึงออกหมายประกาศทั่วทุกหัวเมืองว่า บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของโจซองซึ่งยังหลบหนีอยู่นั้น ให้รีบคืนกลับไปหาครอบครัวบุตรภรรยาเถิด ทางราชการไม่เอาเป็นโทษอีกต่อไปแล้ว ผู้ใดเป็นขุนนางไม่ว่าตำแหน่งใหญ่น้อย ไม่ว่าฝ่ายทหารหรือพลเรือน ก็ให้มีตำแหน่งและทำหน้าที่ตามเดิม หากเป็นราษฎรก็ให้กลับมาทำมาหากินตามภูมิลำเนาเดิมนั้นเถิด

            สุมาอี้ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วเห็นว่าตำแหน่งมหาอุปราชและอัครมหาเสนาบดีซึ่งโจซองครองอยู่นั้นยังว่างอยู่ จึงปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงว่าแผ่นดินจะปล่อยให้ว่างขุนนางผู้ใหญ่นั้นไม่สมควร ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด

            ขุนนางทั้งปวงได้ฟังปรารภของสุมาอี้ก็รู้ที ขุนนางอาวุโสหลายคนยังจดจำเหตุการณ์เมื่อครั้งที่โจโฉกำเริบในอำนาจคิดตั้งตนขึ้นเป็นวุยอ๋อง แล้วดำเนินกโลบายบีบบังคับจนพระเจ้าเหี้ยนเต้จำต้องโปรดเกล้าตั้งให้เป็นวุยอ๋อง ก็คิดว่าสุมาอี้ปรารภความทั้งนี้เพราะต้องการมีอำนาจราชศักดิ์แบบเดียวกับโจโฉ ตามวิสัยผู้มีอำนาจแล้วย่อมกำเริบลืมตัวฉะนั้น

            เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงกล่าวกับสุมาอี้ว่า ท่านราชครูเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยในฮ่องเต้พระองค์ก่อน ฝากฝังการแผ่นดินให้ดูแลทำนุบำรุงฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบัน บัดนี้โจซองหาไม่แล้ว จึงควรที่ท่านราชครูจะได้ทำนุบำรุงพระเจ้าโจฮองสืบไป พวกเราจึงขอเสนอให้ท่านราชครูเข้าดำรงตำแหน่งมหาอุปราชและอัครมหาเสนาบดีแทนที่โจซองจึงจะควร

            ขุนนางทั้งปวงได้ฟังคำขุนนางผู้ใหญ่ออกความเห็นดังนั้น จึงพากันกล่าวเสริมว่าความเห็นของขุนนางอาวุโสนั้นควรอยู่แล้ว แต่ท่านราชครูเป็นผู้มีความชอบแก่บ้านเมือง เป็นเสาหลักของบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข ดังนั้นเพื่อเทิดเชิดชูพระบรมเดชานุภาพของฮ่องเต้ให้เป็นที่ยำเกรงแก่หัวเมืองทั้งปวง จึงควรที่จะขอรับพระราชทานอิสริยยศชั้นอ๋องพร้อมกันไปด้วย

            ขุนนางทั้งปวงปรึกษาเห็นชอบกันดังนั้นแล้ว ยังเห็นสุมาอี้นิ่งอยู่ก็รู้ทีว่าต้องด้วยใจแต่ไม่ปรารถนาที่จะทำการด้วยตนเอง จึงกล่าวพร้อมกันว่าข้าพเจ้าทั้งปวงจะได้ร่วมกันถวายฎีกาต่อฮ่องเต้เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ท่านราชครูเป็นจิ้นอ๋อง ครองตำแหน่งมหาอุปราชและอัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้น

            สุมาอี้เห็นขุนนางปรึกษาพร้อมใจกันดังนั้นก็แสร้งบ่ายเบี่ยงว่า ตัวเราทำการมิได้เห็นแก่ความชอบหรือประโยชน์ส่วนตน หวังเอาแต่การเสริมสร้างพระบารมีของฮ่องเต้และความร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมืองแลราษฎรเป็นที่ตั้ง อิสริยยศและตำแหน่งทั้งปวงตามคำท่านทั้งหลายนั้นเกินกว่าวาสนาของเรานัก

            บรรดาขุนนางทั้งปวงได้ฟังคำสุมาอี้ดังนั้นก็รู้ความนัย จึงพร้อมใจกันแต่งฎีกากราบทูลพระเจ้าโจฮองขอให้มีพระบรมราชโองการสถาปนาอิสริยยศของสุมาอี้ขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหาอุปราชแห่งจิ้นหรือจิ้นอ๋อง ครองตำแหน่งมหาอุปราชและอัครมหาเสนาบดีแล้วพากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจฮอง ทูลเกล้าถวายฎีกานั้น

            พระเจ้าโจฮองทอดพระเนตรฎีกาและฟังคำกราบทูลของขุนนางทั้งปวงแล้ว ก็ทรงรู้ว่าการทั้งปวงได้เตรียมการตกลงกันมาก่อนแล้ว ถึงแม้จะทัดทานประการใดก็ไม่เป็นผลจึงทรงลู่ตามลม คล้อยตามคำขุนนาง มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าตั้งให้สุมาอี้เป็นจิ้นอ๋อง มีเครื่องประกอบอิสริยยศเก้าประการ อย่างเดียวกับที่โจโฉเคยได้รับพระราชทานจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ และให้ครองตำแหน่งมหาอุปราชและอัครมหาเสนาบดีแทนที่ตำแหน่งของโจซองอีกด้วย

            ครั้นสำนักราชเลขาธิการให้หัวหน้าขันทีเชิญพระบรมราชโองการไปพระราชทานแก่สุมาอี้ที่จวน สุมาอี้ก็แสร้งบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับ อ้างว่าตัวเราชราแล้วไม่ปรารถนาลาภยศอะไรอีก

            ครั้นหัวหน้าขันทีกลับไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจฮองก็ทรงแปลกพระทัย ตรัสถามขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ว่าไฉนจึงเป็นดังนี้ ขุนนางฝ่ายอาลักษณ์เคยทราบเหตุการณ์ครั้งที่โจโฉปฏิเสธพระบรมราชโองการของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงกราบทูลว่าซึ่งสุมาอี้ทำการทั้งนี้เพียงเพื่อจะแสดงให้ปรากฏว่ามิได้ปรารถนาลาภยศเท่านั้น แต่ใจจริงแล้วกระหายใคร่จะได้อิสริยยศและตำแหน่งเป็นแน่แท้

            พระเจ้าโจฮองจึงตรัสสั่งให้หัวหน้าขันทีเชิญพระบรมราชโองการไปพระราชทานแก่สุมาอี้อีกสองสามครั้ง และตรัสสั่งกำชับว่าไม่ทรงอนุญาตให้สุมาอี้ปฏิเสธ สุมาอี้จึงแสร้งทำทีเป็นจำใจยอมรับอิสริยยศและตำแหน่งที่พระราชทานนั้น

            เมื่อสุมาอี้ได้ครองอิสริยยศและตำแหน่งสมใจแล้ว จึงให้สุมาสูและสุมาเจียวผู้บุตรกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งดังแต่ก่อน หลังจากนั้นมาอำนาจบริหารราชการแผ่นดินก็ตกอยู่ในมือของสุมาอี้และบุตรทั้งสองทั้งสิ้น

            กรรมอันใดซึ่งโจโฉผู้นำตระกูลโจได้กระทำไว้กับพระเจ้าเหี้ยนเต้ บัดนี้กรรมอันนั้นได้ตามสนองมาทันตระกูลโจแล้ว อุปมาดั่งรอยเกวียนย่อมหมุนทับรอยโคฉะนั้น พระเจ้าโจฮองซึ่งแม้จะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลโจ แต่ภายนอกที่คนทั้งปวงรับรู้ก็คือคนในตระกูลโจนั่นเอง พระเจ้าโจฮองทรงเห็นพวกสุมาสามพ่อลูกครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ก็ทรงพระวิตกว่าสืบไปเมื่อหน้าอำนาจกล้ายิ่งขึ้นแล้วก็ย่อมชิงเอาราชสมบัติ ทรงรำลึกว่าตัวเราบัดนี้แม้ครองตำแหน่งเป็นฮ่องเต้ แต่บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวง ทั้งขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารล้วนถูกกำจัดจนหมดสิ้น ขุนนางทั้งปวงที่อยู่ในราชการก็เข้าหาสวามิภักดิ์แก่สุมาอี้สิ้น ตัวเราแม้มีฐานะเป็นใหญ่ก็ไม่ต่างอันใดกับไม้ใหญ่ที่โดดเดี่ยว ไหนเลยจะถือว่าเป็นป่าได้ หลังจากนั้นแล้วพระเจ้าโจฮองก็หวั่นวิตกในพระทัยทุกวันคืน

            วันหนึ่งสุมาอี้ได้คิดว่าเราได้ล้างผลาญขุนนางตระกูลโจ ทั้งที่เป็นขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนไปหมดสิ้นแล้ว แต่พวกตระกูลแฮหัวนั้นมีเชื้อสายและบรรพบุรุษเดียวกันกับตระกูลโจ แลขุนนางในตระกูลแฮหัวบัดนี้ก็เหลือแต่แฮหัวป๋าซึ่งเป็นเชื้อสายใกล้ชิดของโจซอง ยังคงกุมอำนาจทางการเมืองการทหารอยู่ที่เมืองฮองจิ๋ว เมื่อใดที่แฮหัวป๋าทราบความที่เกิดขึ้นในเมืองลกเอี๋ยงเห็นจะมีความพยาบาทแค้นเคืองเป็นอันมาก อาจก่อการจลาจลให้สับสนวุ่นวายต่อไป จำจะกำจัดเสียเหมือนหนึ่งตัดไฟเสียแต่ต้นลม จะได้ไม่กังวลอันตรายในภายหน้า

            สุมาอี้คิดดังนั้นแล้วจึงทำหมายรับสั่งเรียกแฮหัวป๋ากลับเข้าเมืองลกเอี๋ยงเพื่อปรึกษาข้อราชการ ให้ต้านท่ายนำไปมอบให้แก่แฮหัวป๋า และสั่งต้านท่ายให้นำกองทหารติดตามไปด้วย ถ้ามาตรแม้นแฮหัวป๋าขัดขืนเป็นกบฏก็ให้กำจัดเสีย

            ฝ่ายแฮหัวป๋าคุมทหารรักษาเมืองฮองจิ๋วตามคำสั่งของโจซอง ครั้นเกิดการรัฐประหารในเมืองลกเอี๋ยง พรรคพวกของแฮหัวป๋าคนหนึ่งได้หนีหลุดรอดออกจากเมืองไปได้ จึงนำความไปแจ้งให้แฮหัวป๋าทราบว่าบัดนี้สุมาอี้ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจในเมืองลกเอี๋ยงไว้ได้แล้ว และได้ประหารชีวิตโจซองและบรรดาขุนนางตระกูลโจจนหมดสิ้น ในไม่ช้าเห็นทีว่าสุมาอี้จะคิดอ่านกำจัดท่านเป็นมั่นคง

            แฮหัวป๋าทราบความดังนั้นก็ตกใจ จึงคิดถึงชะตาตัวว่าย่อมจะต้องตกเป็นเป้าหมายที่สุมาอี้คิดร้าย หากจะนิ่งเฉยอยู่ก็จะถึงแก่ความตาย จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกก่อการกบฏยึดอำนาจเมืองฮองจิ๋วไว้ และระดมผู้คนเตรียมที่จะยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง แต่เมืองฮองจิ๋วนั้นเป็นหัวเมืองน้อย แฮหัวป๋าระดมทหารได้เพียงสามพันจึงต้องตั้งมั่นซ่องสุมผู้คนต่อไป

            ฝ่ายกวยหวยซึ่งเป็นเจ้าเมืองฮองจิ๋วมาแต่เดิม และถูกย้ายไปอยู่นอกเมืองในครั้งที่โจซองยังมีอำนาจ ครั้นได้ทราบความว่าแฮหัวป๋าก่อการกบฏ จึงคุมสมัครพรรคพวกยกมาตีเมืองฮองจิ๋ว แฮหัวป๋ารู้ข่าวก็ยกทหารออกไปประจันหน้ากับกวยหวย

            กวยหวยขี่ม้าถือทวนออกไปข้างหน้าแล้วร้องด่าแฮหัวป๋าว่าตัวมึงเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ไฉนจึงก่อการกบฏต่อฮ่องเต้ดังนี้เล่า

            แฮหัวป๋าได้ยินก็โกรธ ร้องด่ากลับมาว่าตัวกูเป็นเชื้อพระวงศ์จึงรู้ร้อนรู้หนาวด้วยพระเจ้าอยู่หัว เวลานี้อ้ายสุมาอี้ก่อการกบฏคิดแย่งชิงเอาราชสมบัติ ตัวมึงก็เป็นข้าแผ่นดิน ได้อาศัยข้าวแดงแกงร้อนพึ่งบุญปู่ย่าตายายของกูมา ไฉนจึงไปเข้าข้างผู้ทรยศต่อแผ่นดิน  มิหนำซ้ำยังจะมาด่าว่ากูอีก

            กวยหวยถูกด่าดังนั้นก็โกรธ กระตุ้นม้าและเงื้อทวนพุ่งเข้าหาแฮหัวป๋า ทั้งสองฝ่ายได้รบพุ่งกันบนหลังม้าได้สิบเพลง กวยหวยสู้แฮหัวป๋าไม่ได้จึงชักม้าหนี แฮหัวป๋าเห็นได้ทีจึงขี่ม้าไล่ตามไป

            ฝ่ายต้านท่ายคุมทหารยกมาตามคำสั่งของสุมาอี้เพื่อจะเอาหมายรับสั่งเรียกตัวแฮหัวป๋าเข้าเมืองลกเอี๋ยง ครั้นยกกองทัพมาใกล้เมืองฮองจิ๋วได้ทราบว่ากวยหวยกำลังรบพุ่งอยู่กับแฮหัวป๋าจึงรีบพาทหารเร่งไปที่เมืองฮองจิ๋ว พอเห็นแฮหัวป๋าขี่ม้าไล่ตามกวยหวยดังนั้น จึงสั่งทหารให้ตีกระหนาบหลังหวังจะช่วยกวยหวย

            กวยหวยกำลังควบม้าหนี พลันได้ยินเสียงชุลมุนทางด้านหลังของกองทหาร แฮหัวป๋าจึงเหลียวกลับมามองเห็นธงประจำตัวนายทัพชื่อต้านท่ายยกมาช่วยก็ดีใจ จึงขี่ม้าพาทหารตีกระทบกลับลงมา

            แฮหัวป๋าเห็นดังนั้นก็ตกใจ สั่งทหารให้ประจัญบานกับทหารของกวยหวยและต้านท่าย ทหารของแฮหัวป๋าตกอยู่ในวงล้อมกระหนาบจึงตื่นตระหนกไม่มีแก่ใจสู้รบ จึงถูกทหารของกวยหวยและต้านท่ายฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก

            สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่าทหารของแฮหัวป๋าถูกฆ่าฟันตายไปพันห้าร้อยคน เหลืออยู่เพียงพันห้าร้อยคน แฮหัวป๋าเห็นเหลือกำลังนักจึงตีฝ่าพาทหารหนีวงล้อมไปทางเมืองฮันต๋ง กวยหวยและต้านท่ายเห็นดังนั้นก็พาทหารไล่ตามไปแต่ไม่ทันจึงพากันยกกลับ

            แฮหัวป๋าพาทหารหนีการติดตามทั้งวันทั้งคืน ก็คิดว่าบัดนี้สุมาอี้ยึดอำนาจปกครองแคว้นวุยไว้หมดสิ้นแล้ว แผ่นดินวุยนี้ไม่มีที่ให้เราจะอาศัยได้อีกต่อไป คิดหน้าคิดหลังหาทางไปทางไหนไม่ได้ แฮหัวป๋าจึงตัดใจพาทหารหนีเข้าแดนเมืองฮันต๋ง

            เมื่อไปถึงหน้าด่านชายแดนจึงให้ทหารเข้าไปแจ้งความจำนงแก่นายด่านว่าตัวเราชื่อแฮหัวป๋า พาทหารจะมาเข้าสวามิภักดิ์ด้วยเกียงอุย จงนำความไปรายงานให้เกียงอุยได้ทราบ

            ครั้นเกียงอุยทราบความแล้วก็สงสัยเพราะรู้ดีว่าแฮหัวป๋าเป็นเชื้อพระวงศ์สนิทของพระเจ้าโจฮอง เหตุไฉนจึงยอมมาสวามิภักดิ์ต่อเมืองเสฉวนของเราเล่า คิดดังนั้นแล้วเกียงอุยจึงให้ทหารไปสืบข่าวคราว ครั้นได้ทราบความว่าเกิดการยึดอำนาจในเมืองลกเอี๋ยงแล้วแฮหัวป๋าต้องหนีภัยเข้ามาพึ่งใบบุญ จึงให้ทหารรับแฮหัวป๋าเข้ามาในเมืองฮันต๋ง

            เกียงอุยรู้ว่าแฮหัวป๋ามาถึงเมืองฮันต๋งจึงออกไปต้อนรับตามธรรมเนียม แฮหัวป๋าเห็นเกียงอุยออกมาต้อนรับก็ตรงเข้าไปคุกเข่าคำนับแล้วร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘