ตอนที่ 594. การเมืองที่หลั่งเลือด
โจซองไม่ฟังคำแนะนำของฮวนห้อมขุนนางผู้มีสติปัญญาและเป็นเพื่อนตาย กลับหลงเชื่อคำแนะนำของเค้าอิ๋น ต้านท่าย และอินต้ายบก ซึ่งเป็นเพื่อนกินและแปรพักตร์ไปเข้ากับสุมาอี้แล้ว จึงยอมจำนนและส่งมอบตราประจำตำแหน่งให้แก่สุมาอี้ แล้วเดินทางกลับเมืองลกเอี๋ยงเพื่อรายงานตัวต่อสุมาอี้
ครั้นขบวนของโจซองซึ่งมีเพียงพี่น้องสามคนและทหารคนสนิทไม่กี่คนไปถึงกองทัพของสุมาอี้ที่หน้าเมืองลกเอี๋ยง ก็พากันเข้าไปคำนับสุมาอี้ประหนึ่งว่าเป็นคนต้องโทษ สุมาอี้รับคำนับตามธรรมเนียมแล้วจึงกล่าวกับโจซองว่า พวกท่านพี่น้องสามคนจงกลับไปจวนเถิด แต่ขุนนางพรรคพวกทั้งปวงนั้นให้ไปรายงานตัวที่กองกำลังรักษาพระนคร
โจซองและพี่น้องทั้งสามคนได้ยินดังนั้นก็คำนับลาสุมาอี้กลับไปจวน บรรดาทหารและขุนนางที่ตามขบวนโจซองต้องแยกทางไปที่กองกำลังรักษาพระนครตามคำสั่งของสุมาอี้
ในขณะนั้นสุมาอี้เห็นฮวนห้อมขี่ม้าตามโจซองและพี่น้องกำลังจะผ่านหน้าไป จึงเอาแส้ม้าชี้หน้าแล้วกล่าวว่า เราทำการเพื่อทำนุบำรุงฮ่องเต้แต่ไฉนท่านจึงคิดอ่านยุยงให้โจซองรบพุ่งกับเราเล่า
ฮวนห้อมได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าอยู่บนหลังม้า สุมาอี้ก็ปล่อยให้ฮวนห้อมขี่ม้าตามขบวนไป
พอขบวนของโจซองเข้าไปในเมืองแล้ว สุมาอี้จึงยกกองทัพกลับเข้าเมืองลกเอี๋ยงแล้วตรงไปที่กองกำลังรักษาพระนคร
สุมาอี้ไปถึงกองกำลังรักษาพระนครแล้วออกคำสั่งให้ทหารจับกุมตัวขุนนางและพรรคพวกของโจซองไปจำขังไว้ในคุกทั้งสิ้น และสั่งทหารให้เพิ่มความกวดขันในการล้อมจวนของโจซองและพี่น้องไว้อย่างแน่นหนา ที่ประตูจวนให้ใส่กุญแจลั่นดานไว้ไม่ให้คนข้างในออกมาข้างนอกได้ แล้วออกคำสั่งให้รองราชเลขาธิการนำความไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจฮองซึ่งยังคงประทับอยู่ข้างนอกเมืองให้ทรงทราบ และกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จกลับเมืองลกเอี๋ยง
พระเจ้าโจฮองทรงทราบความจึงตรัสสั่งให้จัดขบวนเสด็จกลับพระนคร สุมาอี้ทราบว่าพระเจ้าโจฮองเสด็จมาใกล้ประตูเมือง จึงพาทหารออกไปถวายการต้อนรับ เมื่อได้ถวายบังคมตามประเพณีแล้วจึงกราบทูลถวายรายงานให้ทรงทราบแล้วเชิญเสด็จกลับเข้าวัง
สุมาอี้ส่งเสด็จเสร็จแล้วจึงกลับไปที่กองกำลังรักษาพระนคร ฝ่ายเจียวเจ้ได้ทราบความว่าสุมาอี้ปล่อยโจซองสามพี่น้องกลับไปที่จวน จึงถามสุมาอี้ว่าการใหญ่ถึงเพียงนี้ ไฉนท่านราชครูจึงประมาทปล่อยให้โจซองและพี่น้องกลับไปที่จวนได้ หากโจซองคบคิดกับพรรคพวกทำการต่อสู้แล้วก็จะยุ่งยากสืบไป
สุมาอี้จึงว่าจะวิตกอันใดกับโจซองและพี่น้อง เราเกรงอยู่ก็แต่ห้วงเวลาที่โจซองยังคงถวายอารักขาฮ่องเต้อยู่ที่นอกเมืองแล้วเชิญเสด็จฮ่องเต้ไปเมืองฮูโต๋ อาศัยพระบรมราชโองการของฮ่องเต้ระดมไพร่พลมาต่อต้านเราต่างหาก แต่โจซองบัดนี้เหมือนเสืออยู่ในน้ำ ปลาฉลามอยู่บนบก จะเกรงกลัวอันใดอีก การทำอันตรายโจซองในขณะนี้ไม่ชอบเพราะจะเป็นที่ครหาแก่คนทั้งปวงเนื่องจากความผิดยังไม่ประจักษ์
สุมาอี้กล่าวสืบไปว่า เราได้สั่งให้ทำการไต่สวนความผิดของโจซองและพี่น้องพรรคพวกทั้งปวง ขณะนี้ได้จับกุมเตียวต๋องเจ้ากรมขันทีและพรรคพวกมาไต่สวนแล้ว อีกไม่นานเมื่อหลักฐานพร้อมมูลจึงค่อยทำการสืบไป
ฝ่ายโจซองเมื่อกลับเข้าไปในจวนพบลูกเมียครอบครัวก็ค่อยอุ่นใจ แต่พอทราบว่าถูกทหารปิดประตูจวนและล้อมไว้อย่างแน่นหนาก็กลับตกใจ สามพี่น้องมีจวนอยู่ในบริเวณเดียวกันจึงหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกันว่าจะคิดอ่านประการใด
โจอี้ผู้น้องเห็นโจซองผู้พี่เป็นทุกข์ใจเพราะเสบียงอาหารในจวนร่อยหรอใกล้หมดสิ้น จึงเสนอโจซองว่าควรที่ท่านพี่จะลองน้ำใจสุมาอี้ว่ามีความสุจริตจริงหรือไม่ ขอให้แต่งหนังสือไปขอเสบียงอาหารจากสุมาอี้ ถ้าหากสุมาอี้ให้เสบียงอาหารก็พอจะเชื่อได้ว่าสุมาอี้มีน้ำใจสุจริต ไม่คิดทำอันตรายพวกเรา
โจซองได้ฟังคำผู้น้องก็เห็นชอบ จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งให้ทหารรับใช้ภายในจวนถือไปให้แก่สุมาอี้ ขอยืมเสบียงอาหารตามจำนวนที่เห็นว่าสมควร
สุมาอี้ได้รับหนังสือของโจซองแล้วก็รู้ทันความคิด จึงหัวเราะร่วนแล้วสั่งทหารให้จัดข้าวสารร้อยถังเอาไปส่งให้ที่จวนของโจซอง
โจซองได้รับข้าวสารจากสุมาอี้ก็ดีใจว่าครั้งนี้เห็นทีจะไม่เป็นอันตราย ด้วยสำคัญว่า สุมาอี้มีความสุจริตใจตามคำของอินต้ายบก
ฝ่ายสุมาอี้หลังจากควบคุมสถานการณ์ในเมืองลกเอี๋ยงเป็นปกติแล้ว จึงเร่งรัดการไต่สวนความผิดของโจซองกับพวก ได้ให้ทหารเฆี่ยนเตียวต๋อง บังคับให้รับสารภาพว่าได้คบคิดกับโจซองจะแย่งชิงเอาราชสมบัติ เตียวต๋องทนอาญาไม่ได้ก็จำต้องรับสารภาพว่าได้คบคิดกับโจซองจะก่อการกบฏในอีกสามเดือนข้างหน้า
สุมาอี้ให้ทหารไต่สวนต่อไปว่าการกบฏจะทำกันแต่เพียงสองคนเท่านี้หรือ เตียวต๋องก็ไม่รู้ที่จะกล่าวประการใด สุมาอี้จึงให้ทหารถามนำว่าผู้ร่วมคิดการกบฏในครั้งนี้มิได้มีแต่เพียงสองคนเท่านั้น หากยังมีโฮอั๋น เตงเหยียง หลีซิน เตงปิด ปิดห้วน ร่วมคิดการด้วยใช่หรือไม่
เตียวต๋องได้ยินคำถามนำดังนั้นก็ปฏิเสธว่า ข้าพเจ้าไม่เคยปรึกษาหารือใด ๆ กับ ขุนนางทั้งห้าคนนี้ คณะผู้ไต่สวนไม่ยอมเชื่อ สั่งให้โบยเตียวต๋องเป็นสาหัส เตียวต๋องทนอาญาไม่ได้ก็จำรับสารภาพแล้วยอมซัดทอดป้ายผิดว่าได้คบคิดกับขุนนางคนสนิททั้งห้าคนด้วย สุมาอี้จึงให้เตียวต๋องลงชื่อในคำรับสารภาพไว้เป็นหลักฐาน แล้วสั่งทหารให้ไปคุมตัวห้าองครักษ์ของโจซองมาทำการไต่สวนต่อไป
ห้าองครักษ์แม้จะร่วมคิดสนิทสนมกับโจซองก็เป็นเรื่องของการเสพสุขและแสวงหาลาภยศ พอได้ยินคำถามจึงพากันปฏิเสธ แต่ผู้ไต่สวนไม่เชื่อฟัง สั่งให้โบยห้าขุนนางเป็นสาหัส ทั้งห้าองครักษ์พิทักษ์นายทนอาญาไม่ได้ก็จำรับสารภาพสิ้น สุมาอี้จึงให้ขุนนางทั้งห้าคนลงชื่อไว้ในคำรับสารภาพเป็นสำคัญ
พอขุนนางทั้งห้าคนลงนามรับสารภาพ สุมาอี้จึงออกคำสั่งให้เอาขุนนางทั้งห้าคนไปจำขังในคุกหลวง ตรึงขื่อคาในฐานะเป็นนักโทษฉกรรจ์ของบ้านเมือง
ฝ่ายสูหวนซึ่งเป็นนายประตูและปล่อยให้ฮวนห้อมหนีออกไปนอกเมือง เกรงว่าความผิดจะตกแก่ตัวจึงเข้าไปแจ้งความแก่สุมาอี้ว่า ฮวนห้อมได้อ้างป้ายอาญาสิทธิ์ปลอมลวงให้ข้าพเจ้าหลงปล่อยออกไปนอกเมือง เข้าลักษณะคบคิดกับโจซองก่อการกบฏด้วย มิหนำซ้ำยังชักชวนข้าพเจ้าว่าท่านราชครูก่อการกบฏ ให้ข้าพเจ้าเข้าเป็นพวกกำจัดท่านราชครูเสีย
สุมาอี้พยาบาทฮวนห้อมอยู่แล้ว พอได้ยินสูหวนโจทก์เป็นหลักฐานดังนั้นก็ยิ่งโกรธ แล้วกล่าวว่า อ้ายฮวนห้อมมันเป็นพวกกบฏ แล้วยังมาป้ายสีเราว่าเป็นขบถอีกเล่า
กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้ทหารไปจับฮวนห้อมกับโจซองและพี่น้องไปขังไว้ในคุก
วันรุ่งขึ้นสุมาอี้เรียกประชุมขุนนางทั้งปวงแล้วปรารภความว่า โจซองและพี่น้องพรรคพวกได้คบคิดกันเป็นกบฏจะล้มล้างราชบัลลังก์แล้วชิงเอาราชสมบัติ เดชะบุญที่ข้าพเจ้ารู้แผนการก่อนจึงแก้ไขได้ทันท่วงที บัดนี้ได้จับกุมคนผิดมาทำการไต่สวนทวนพยานพร้อมมูลแล้ว มีหลักฐานมั่นคงฟังได้ชัดว่าโจซองและพี่น้องพรรคพวกประมาณพันคนได้คบคิดกันเป็นกบฏจริง จะชิงเอาราชบัลลังก์ในอีกสามเดือนข้างหน้า ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด
บรรดาพรรคพวกสุมาอี้ได้ฟังปรารภดังนั้นก็พากันออกความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้คบคิดแย่งชิงเอาราชสมบัติเป็นกบฏ จำต้องประหารชีวิตเสียทั้งสิ้น ไม่อาจลดหย่อนผ่อนโทษได้แม้แต่น้อย
ขุนนางทั้งปวงได้ยินดั้งนั้นก็พากันออกความเห็นคล้อยตาม เพราะต่างคนต่างรู้ดีว่าลมการเมืองบัดนี้ผันแปรเปลี่ยนแปลงไปเป็นประการใด สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงสรุปว่าเมื่อท่านทั้งปวงมีความเห็นพร้อมกันดังนี้แล้วก็จำต้องลงโทษประหารชีวิตผู้ก่อการกบฏเสียทั้งสิ้น
กล่าวแล้วสุมาอี้จึงออกคำสั่งให้คุมตัวโจซองกับพี่น้องและฮวนห้อมพร้อมกับพรรคพวกญาติพี่น้องสามชั่วโคตรจำนวนพันกว่าคนเอาไปประหารชีวิตที่กลางตลาดเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั้งปวงสืบไป และให้ริบทรัพย์สมบัติของคนทั้งนั้นเข้าพระคลังหลวงทั้งสิ้น
ฝ่ายญาติของโจซองอีกคนหนึ่งเป็นบุตรของแฮหัวเหลงและเป็นภรรยาของโจวุนซกน้องชายของโจซอง มีบุตรด้วยกันคนหนึ่ง โจวุนซกถึงแก่ความตายมานานแล้วนางจึงตกเป็นหม้าย แฮหัวเหลงผู้บิดาจะให้มีสามีใหม่แต่นางไม่ยอม เพราะได้สาบานไว้ว่าจะภักดีต่ออดีตสามีผู้ตาย ไม่ยอมมีสามีใหม่เป็นอันขาด ครั้นถูกผู้พ่อบังคับนางจึงตัดหูตนเองออกข้างหนึ่ง หลังจากนั้นแล้วบิดาก็ไม่กล้าบังคับขืนใจนางอีกเลย
ครั้นโจซองต้องโทษฐานกบฏ แฮหัวเหลงผู้บิดาเกรงว่านางจะตกเป็นโทษฐานดองญาติกับโจซอง จึงบังคับนางอีกครั้งหนึ่งให้ออกจากตระกูลโจแต่งงานมีสามีใหม่ แต่นางกลับไม่ยินยอมแล้วตัดปลายจมูกของตนเองทิ้งเสียหวังให้กลายเป็นหญิงเสียโฉม
ผู้คนในเรือนเห็นดังนั้นก็ตกใจ ช่วยกันอธิบายว่าซึ่งบิดานางบังคับดังนี้ก็เพราะไม่ปรารถนาให้นางต้องโทษตาย จึงต้องให้แต่งงานมีสามีใหม่ออกไปจากตระกูลโจก็จะได้พ้นความผิด
นางนั้นจึงตอบว่า “ประเพณีลูกผู้หญิงเมื่อยังหาสามีมิได้ ก็ตั้งอยู่ในบังคับบัญชาของบิดา ถ้ามีสามีแล้วก็ตั้งอยู่ในบังคับสามี ถ้าสามีได้ยศศักดิ์เป็นสุขก็ได้เป็นสุขด้วยสามี ถ้าสามีประกอบไปด้วยทุกข์ ก็ให้สู้ทุกข์สู้ยากด้วยสามี เมื่อยังมีชีวิตอยู่รักใคร่ร่วมสุขร่วมทุกข์ฉันใด สามีตายแล้วก็ให้รักใคร่ร่วมสุขร่วมทุกข์ดังนั้น โจซองมีบุญสิพึ่งบุญเขามา ครั้นเขาเป็นโทษจะเอาตัวหนีออกหากดังนี้เป็นคนอกตัญญูหารู้คุณเขาไม่เหมือนสัตว์เดียรัจฉาน”
สุมาอี้ได้ทราบความอันเป็นไปของนางผู้เป็นบุตรแฮหัวเหลงดังนั้น จึงสั่งให้นางพ้นจากโทษประหาร ปล่อยตัวกลับไปเรือน แล้วกล่าวกับคนทั้งปวงว่าสตรีน้ำใจงามสัตย์ซื่อภักดีต่อสามีดังนี้หาได้ยากนัก สามีนางชั่วเพราะเกิดมาเป็นญาติของโจซอง แต่ตัวนางนั้นมีคุณธรรมอันประเสริฐ ชอบที่จะทำการให้ปรากฏเกียรติคุณไปในเบื้องหน้าให้เป็นแบบอย่างแก่คนทั้งปวง
สุมาอี้กล่าวดังนั้นแล้วจึงขอเอาบุตรของนางมาเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม หวังจะให้คนทั้งปวงเลื่องลือไปว่าสุมาอี้มีน้ำใจใฝ่ยกย่องผู้มีคุณธรรม นางขัดอำนาจสุมาอี้ไม่ได้ก็ยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรมของสุมาอี้สืบไป
ต่อมาเจียวเจ้ได้เข้าไปหาสุมาอี้แล้วเสนอว่าท่านได้สังหารญาติพี่น้องของโจซองและพรรคพวกเสียเป็นอันมากแต่ยังไม่หมดสิ้น พวกที่เหลืออยู่ก็จะอาฆาตพยาบาทท่านสืบไป ชอบที่จะต้องถอนรากถอนโคนให้หมดจด จะได้ไม่เป็นที่กังวลใจในภายหน้า
เจียวเจ้เห็นสุมาอี้ตั้งใจฟังจึงกล่าวต่อไปว่า สุมาเล่าจี๋กับซินแปเป็นทหารคนสนิทของโจซอง ในขณะเกิดเหตุได้สังหารพวกนายประตูเมืองเสียหลายคนแล้วหนีตามไปหาโจซอง นอกจากนี้ยังมีเอียวจ๋งปลัดบัญชีของโจซองอีกคนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้รับรายงานว่าในขณะที่โจซองจะส่งตราตำแหน่งให้นำมามอบแก่ท่านนั้น เอียวจ๋งได้ยุดมือห้ามปรามโจซองไว้ ทั้งสามคนนี้ควรจะกำจัดเสียอย่าให้เป็นเสี้ยนหนามสืบไป
สุมาอี้ตรองดูก็คิดว่าคนทั้งสามนี้มิใช่พวกมักใหญ่ใฝ่สูง และไม่มีความคิดที่จะต่อต้านการครองอำนาจ ไม่เป็นพิษเป็นภัยอันใดแม้แต่น้อย ทั้งตัวเราได้สังหารผลาญชีวิตโจซองและพรรคพวกไปเป็นจำนวนมากแล้ว จำจะอาศัยชีวิตสามคนนี้สร้างชื่อเสียงให้ลือชาปรากฏสืบไปเบื้องหน้าจะดีกว่า
สุมาอี้คิดดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่าทั้งสามคนนี้เป็นลูกน้องที่มีความกตัญญูซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนาย เป็นข้าที่หาได้ยาก ใครมีลูกน้องแบบนี้ก็นับว่าเป็นวาสนาของผู้นั้น หากประหารผู้มีคุณธรรมก็จะเป็นที่ครหาแก่คนทั้งปวง อย่าได้เอาโทษคนทั้งสามนี้สืบไปเลย
กล่าวแล้วสุมาอี้จึงให้ทหารไปเชิญตัวขุนนางทั้งสามคนเข้ามาพบแล้วกล่าวว่าพวกท่านเป็นขุนนางที่มีความกตัญญู สมควรเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งปวง เราจะไม่เอาผิดกับท่าน แล้วตั้งให้เป็นขุนนางตามตำแหน่งที่ดังเดิม.
ครั้นขบวนของโจซองซึ่งมีเพียงพี่น้องสามคนและทหารคนสนิทไม่กี่คนไปถึงกองทัพของสุมาอี้ที่หน้าเมืองลกเอี๋ยง ก็พากันเข้าไปคำนับสุมาอี้ประหนึ่งว่าเป็นคนต้องโทษ สุมาอี้รับคำนับตามธรรมเนียมแล้วจึงกล่าวกับโจซองว่า พวกท่านพี่น้องสามคนจงกลับไปจวนเถิด แต่ขุนนางพรรคพวกทั้งปวงนั้นให้ไปรายงานตัวที่กองกำลังรักษาพระนคร
โจซองและพี่น้องทั้งสามคนได้ยินดังนั้นก็คำนับลาสุมาอี้กลับไปจวน บรรดาทหารและขุนนางที่ตามขบวนโจซองต้องแยกทางไปที่กองกำลังรักษาพระนครตามคำสั่งของสุมาอี้
ในขณะนั้นสุมาอี้เห็นฮวนห้อมขี่ม้าตามโจซองและพี่น้องกำลังจะผ่านหน้าไป จึงเอาแส้ม้าชี้หน้าแล้วกล่าวว่า เราทำการเพื่อทำนุบำรุงฮ่องเต้แต่ไฉนท่านจึงคิดอ่านยุยงให้โจซองรบพุ่งกับเราเล่า
ฮวนห้อมได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าอยู่บนหลังม้า สุมาอี้ก็ปล่อยให้ฮวนห้อมขี่ม้าตามขบวนไป
พอขบวนของโจซองเข้าไปในเมืองแล้ว สุมาอี้จึงยกกองทัพกลับเข้าเมืองลกเอี๋ยงแล้วตรงไปที่กองกำลังรักษาพระนคร
สุมาอี้ไปถึงกองกำลังรักษาพระนครแล้วออกคำสั่งให้ทหารจับกุมตัวขุนนางและพรรคพวกของโจซองไปจำขังไว้ในคุกทั้งสิ้น และสั่งทหารให้เพิ่มความกวดขันในการล้อมจวนของโจซองและพี่น้องไว้อย่างแน่นหนา ที่ประตูจวนให้ใส่กุญแจลั่นดานไว้ไม่ให้คนข้างในออกมาข้างนอกได้ แล้วออกคำสั่งให้รองราชเลขาธิการนำความไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจฮองซึ่งยังคงประทับอยู่ข้างนอกเมืองให้ทรงทราบ และกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จกลับเมืองลกเอี๋ยง
พระเจ้าโจฮองทรงทราบความจึงตรัสสั่งให้จัดขบวนเสด็จกลับพระนคร สุมาอี้ทราบว่าพระเจ้าโจฮองเสด็จมาใกล้ประตูเมือง จึงพาทหารออกไปถวายการต้อนรับ เมื่อได้ถวายบังคมตามประเพณีแล้วจึงกราบทูลถวายรายงานให้ทรงทราบแล้วเชิญเสด็จกลับเข้าวัง
สุมาอี้ส่งเสด็จเสร็จแล้วจึงกลับไปที่กองกำลังรักษาพระนคร ฝ่ายเจียวเจ้ได้ทราบความว่าสุมาอี้ปล่อยโจซองสามพี่น้องกลับไปที่จวน จึงถามสุมาอี้ว่าการใหญ่ถึงเพียงนี้ ไฉนท่านราชครูจึงประมาทปล่อยให้โจซองและพี่น้องกลับไปที่จวนได้ หากโจซองคบคิดกับพรรคพวกทำการต่อสู้แล้วก็จะยุ่งยากสืบไป
สุมาอี้จึงว่าจะวิตกอันใดกับโจซองและพี่น้อง เราเกรงอยู่ก็แต่ห้วงเวลาที่โจซองยังคงถวายอารักขาฮ่องเต้อยู่ที่นอกเมืองแล้วเชิญเสด็จฮ่องเต้ไปเมืองฮูโต๋ อาศัยพระบรมราชโองการของฮ่องเต้ระดมไพร่พลมาต่อต้านเราต่างหาก แต่โจซองบัดนี้เหมือนเสืออยู่ในน้ำ ปลาฉลามอยู่บนบก จะเกรงกลัวอันใดอีก การทำอันตรายโจซองในขณะนี้ไม่ชอบเพราะจะเป็นที่ครหาแก่คนทั้งปวงเนื่องจากความผิดยังไม่ประจักษ์
สุมาอี้กล่าวสืบไปว่า เราได้สั่งให้ทำการไต่สวนความผิดของโจซองและพี่น้องพรรคพวกทั้งปวง ขณะนี้ได้จับกุมเตียวต๋องเจ้ากรมขันทีและพรรคพวกมาไต่สวนแล้ว อีกไม่นานเมื่อหลักฐานพร้อมมูลจึงค่อยทำการสืบไป
ฝ่ายโจซองเมื่อกลับเข้าไปในจวนพบลูกเมียครอบครัวก็ค่อยอุ่นใจ แต่พอทราบว่าถูกทหารปิดประตูจวนและล้อมไว้อย่างแน่นหนาก็กลับตกใจ สามพี่น้องมีจวนอยู่ในบริเวณเดียวกันจึงหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกันว่าจะคิดอ่านประการใด
โจอี้ผู้น้องเห็นโจซองผู้พี่เป็นทุกข์ใจเพราะเสบียงอาหารในจวนร่อยหรอใกล้หมดสิ้น จึงเสนอโจซองว่าควรที่ท่านพี่จะลองน้ำใจสุมาอี้ว่ามีความสุจริตจริงหรือไม่ ขอให้แต่งหนังสือไปขอเสบียงอาหารจากสุมาอี้ ถ้าหากสุมาอี้ให้เสบียงอาหารก็พอจะเชื่อได้ว่าสุมาอี้มีน้ำใจสุจริต ไม่คิดทำอันตรายพวกเรา
โจซองได้ฟังคำผู้น้องก็เห็นชอบ จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งให้ทหารรับใช้ภายในจวนถือไปให้แก่สุมาอี้ ขอยืมเสบียงอาหารตามจำนวนที่เห็นว่าสมควร
สุมาอี้ได้รับหนังสือของโจซองแล้วก็รู้ทันความคิด จึงหัวเราะร่วนแล้วสั่งทหารให้จัดข้าวสารร้อยถังเอาไปส่งให้ที่จวนของโจซอง
โจซองได้รับข้าวสารจากสุมาอี้ก็ดีใจว่าครั้งนี้เห็นทีจะไม่เป็นอันตราย ด้วยสำคัญว่า สุมาอี้มีความสุจริตใจตามคำของอินต้ายบก
ฝ่ายสุมาอี้หลังจากควบคุมสถานการณ์ในเมืองลกเอี๋ยงเป็นปกติแล้ว จึงเร่งรัดการไต่สวนความผิดของโจซองกับพวก ได้ให้ทหารเฆี่ยนเตียวต๋อง บังคับให้รับสารภาพว่าได้คบคิดกับโจซองจะแย่งชิงเอาราชสมบัติ เตียวต๋องทนอาญาไม่ได้ก็จำต้องรับสารภาพว่าได้คบคิดกับโจซองจะก่อการกบฏในอีกสามเดือนข้างหน้า
สุมาอี้ให้ทหารไต่สวนต่อไปว่าการกบฏจะทำกันแต่เพียงสองคนเท่านี้หรือ เตียวต๋องก็ไม่รู้ที่จะกล่าวประการใด สุมาอี้จึงให้ทหารถามนำว่าผู้ร่วมคิดการกบฏในครั้งนี้มิได้มีแต่เพียงสองคนเท่านั้น หากยังมีโฮอั๋น เตงเหยียง หลีซิน เตงปิด ปิดห้วน ร่วมคิดการด้วยใช่หรือไม่
เตียวต๋องได้ยินคำถามนำดังนั้นก็ปฏิเสธว่า ข้าพเจ้าไม่เคยปรึกษาหารือใด ๆ กับ ขุนนางทั้งห้าคนนี้ คณะผู้ไต่สวนไม่ยอมเชื่อ สั่งให้โบยเตียวต๋องเป็นสาหัส เตียวต๋องทนอาญาไม่ได้ก็จำรับสารภาพแล้วยอมซัดทอดป้ายผิดว่าได้คบคิดกับขุนนางคนสนิททั้งห้าคนด้วย สุมาอี้จึงให้เตียวต๋องลงชื่อในคำรับสารภาพไว้เป็นหลักฐาน แล้วสั่งทหารให้ไปคุมตัวห้าองครักษ์ของโจซองมาทำการไต่สวนต่อไป
ห้าองครักษ์แม้จะร่วมคิดสนิทสนมกับโจซองก็เป็นเรื่องของการเสพสุขและแสวงหาลาภยศ พอได้ยินคำถามจึงพากันปฏิเสธ แต่ผู้ไต่สวนไม่เชื่อฟัง สั่งให้โบยห้าขุนนางเป็นสาหัส ทั้งห้าองครักษ์พิทักษ์นายทนอาญาไม่ได้ก็จำรับสารภาพสิ้น สุมาอี้จึงให้ขุนนางทั้งห้าคนลงชื่อไว้ในคำรับสารภาพเป็นสำคัญ
พอขุนนางทั้งห้าคนลงนามรับสารภาพ สุมาอี้จึงออกคำสั่งให้เอาขุนนางทั้งห้าคนไปจำขังในคุกหลวง ตรึงขื่อคาในฐานะเป็นนักโทษฉกรรจ์ของบ้านเมือง
ฝ่ายสูหวนซึ่งเป็นนายประตูและปล่อยให้ฮวนห้อมหนีออกไปนอกเมือง เกรงว่าความผิดจะตกแก่ตัวจึงเข้าไปแจ้งความแก่สุมาอี้ว่า ฮวนห้อมได้อ้างป้ายอาญาสิทธิ์ปลอมลวงให้ข้าพเจ้าหลงปล่อยออกไปนอกเมือง เข้าลักษณะคบคิดกับโจซองก่อการกบฏด้วย มิหนำซ้ำยังชักชวนข้าพเจ้าว่าท่านราชครูก่อการกบฏ ให้ข้าพเจ้าเข้าเป็นพวกกำจัดท่านราชครูเสีย
สุมาอี้พยาบาทฮวนห้อมอยู่แล้ว พอได้ยินสูหวนโจทก์เป็นหลักฐานดังนั้นก็ยิ่งโกรธ แล้วกล่าวว่า อ้ายฮวนห้อมมันเป็นพวกกบฏ แล้วยังมาป้ายสีเราว่าเป็นขบถอีกเล่า
กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้ทหารไปจับฮวนห้อมกับโจซองและพี่น้องไปขังไว้ในคุก
วันรุ่งขึ้นสุมาอี้เรียกประชุมขุนนางทั้งปวงแล้วปรารภความว่า โจซองและพี่น้องพรรคพวกได้คบคิดกันเป็นกบฏจะล้มล้างราชบัลลังก์แล้วชิงเอาราชสมบัติ เดชะบุญที่ข้าพเจ้ารู้แผนการก่อนจึงแก้ไขได้ทันท่วงที บัดนี้ได้จับกุมคนผิดมาทำการไต่สวนทวนพยานพร้อมมูลแล้ว มีหลักฐานมั่นคงฟังได้ชัดว่าโจซองและพี่น้องพรรคพวกประมาณพันคนได้คบคิดกันเป็นกบฏจริง จะชิงเอาราชบัลลังก์ในอีกสามเดือนข้างหน้า ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด
บรรดาพรรคพวกสุมาอี้ได้ฟังปรารภดังนั้นก็พากันออกความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้คบคิดแย่งชิงเอาราชสมบัติเป็นกบฏ จำต้องประหารชีวิตเสียทั้งสิ้น ไม่อาจลดหย่อนผ่อนโทษได้แม้แต่น้อย
ขุนนางทั้งปวงได้ยินดั้งนั้นก็พากันออกความเห็นคล้อยตาม เพราะต่างคนต่างรู้ดีว่าลมการเมืองบัดนี้ผันแปรเปลี่ยนแปลงไปเป็นประการใด สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงสรุปว่าเมื่อท่านทั้งปวงมีความเห็นพร้อมกันดังนี้แล้วก็จำต้องลงโทษประหารชีวิตผู้ก่อการกบฏเสียทั้งสิ้น
กล่าวแล้วสุมาอี้จึงออกคำสั่งให้คุมตัวโจซองกับพี่น้องและฮวนห้อมพร้อมกับพรรคพวกญาติพี่น้องสามชั่วโคตรจำนวนพันกว่าคนเอาไปประหารชีวิตที่กลางตลาดเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั้งปวงสืบไป และให้ริบทรัพย์สมบัติของคนทั้งนั้นเข้าพระคลังหลวงทั้งสิ้น
ฝ่ายญาติของโจซองอีกคนหนึ่งเป็นบุตรของแฮหัวเหลงและเป็นภรรยาของโจวุนซกน้องชายของโจซอง มีบุตรด้วยกันคนหนึ่ง โจวุนซกถึงแก่ความตายมานานแล้วนางจึงตกเป็นหม้าย แฮหัวเหลงผู้บิดาจะให้มีสามีใหม่แต่นางไม่ยอม เพราะได้สาบานไว้ว่าจะภักดีต่ออดีตสามีผู้ตาย ไม่ยอมมีสามีใหม่เป็นอันขาด ครั้นถูกผู้พ่อบังคับนางจึงตัดหูตนเองออกข้างหนึ่ง หลังจากนั้นแล้วบิดาก็ไม่กล้าบังคับขืนใจนางอีกเลย
ครั้นโจซองต้องโทษฐานกบฏ แฮหัวเหลงผู้บิดาเกรงว่านางจะตกเป็นโทษฐานดองญาติกับโจซอง จึงบังคับนางอีกครั้งหนึ่งให้ออกจากตระกูลโจแต่งงานมีสามีใหม่ แต่นางกลับไม่ยินยอมแล้วตัดปลายจมูกของตนเองทิ้งเสียหวังให้กลายเป็นหญิงเสียโฉม
ผู้คนในเรือนเห็นดังนั้นก็ตกใจ ช่วยกันอธิบายว่าซึ่งบิดานางบังคับดังนี้ก็เพราะไม่ปรารถนาให้นางต้องโทษตาย จึงต้องให้แต่งงานมีสามีใหม่ออกไปจากตระกูลโจก็จะได้พ้นความผิด
นางนั้นจึงตอบว่า “ประเพณีลูกผู้หญิงเมื่อยังหาสามีมิได้ ก็ตั้งอยู่ในบังคับบัญชาของบิดา ถ้ามีสามีแล้วก็ตั้งอยู่ในบังคับสามี ถ้าสามีได้ยศศักดิ์เป็นสุขก็ได้เป็นสุขด้วยสามี ถ้าสามีประกอบไปด้วยทุกข์ ก็ให้สู้ทุกข์สู้ยากด้วยสามี เมื่อยังมีชีวิตอยู่รักใคร่ร่วมสุขร่วมทุกข์ฉันใด สามีตายแล้วก็ให้รักใคร่ร่วมสุขร่วมทุกข์ดังนั้น โจซองมีบุญสิพึ่งบุญเขามา ครั้นเขาเป็นโทษจะเอาตัวหนีออกหากดังนี้เป็นคนอกตัญญูหารู้คุณเขาไม่เหมือนสัตว์เดียรัจฉาน”
สุมาอี้ได้ทราบความอันเป็นไปของนางผู้เป็นบุตรแฮหัวเหลงดังนั้น จึงสั่งให้นางพ้นจากโทษประหาร ปล่อยตัวกลับไปเรือน แล้วกล่าวกับคนทั้งปวงว่าสตรีน้ำใจงามสัตย์ซื่อภักดีต่อสามีดังนี้หาได้ยากนัก สามีนางชั่วเพราะเกิดมาเป็นญาติของโจซอง แต่ตัวนางนั้นมีคุณธรรมอันประเสริฐ ชอบที่จะทำการให้ปรากฏเกียรติคุณไปในเบื้องหน้าให้เป็นแบบอย่างแก่คนทั้งปวง
สุมาอี้กล่าวดังนั้นแล้วจึงขอเอาบุตรของนางมาเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม หวังจะให้คนทั้งปวงเลื่องลือไปว่าสุมาอี้มีน้ำใจใฝ่ยกย่องผู้มีคุณธรรม นางขัดอำนาจสุมาอี้ไม่ได้ก็ยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรมของสุมาอี้สืบไป
ต่อมาเจียวเจ้ได้เข้าไปหาสุมาอี้แล้วเสนอว่าท่านได้สังหารญาติพี่น้องของโจซองและพรรคพวกเสียเป็นอันมากแต่ยังไม่หมดสิ้น พวกที่เหลืออยู่ก็จะอาฆาตพยาบาทท่านสืบไป ชอบที่จะต้องถอนรากถอนโคนให้หมดจด จะได้ไม่เป็นที่กังวลใจในภายหน้า
เจียวเจ้เห็นสุมาอี้ตั้งใจฟังจึงกล่าวต่อไปว่า สุมาเล่าจี๋กับซินแปเป็นทหารคนสนิทของโจซอง ในขณะเกิดเหตุได้สังหารพวกนายประตูเมืองเสียหลายคนแล้วหนีตามไปหาโจซอง นอกจากนี้ยังมีเอียวจ๋งปลัดบัญชีของโจซองอีกคนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้รับรายงานว่าในขณะที่โจซองจะส่งตราตำแหน่งให้นำมามอบแก่ท่านนั้น เอียวจ๋งได้ยุดมือห้ามปรามโจซองไว้ ทั้งสามคนนี้ควรจะกำจัดเสียอย่าให้เป็นเสี้ยนหนามสืบไป
สุมาอี้ตรองดูก็คิดว่าคนทั้งสามนี้มิใช่พวกมักใหญ่ใฝ่สูง และไม่มีความคิดที่จะต่อต้านการครองอำนาจ ไม่เป็นพิษเป็นภัยอันใดแม้แต่น้อย ทั้งตัวเราได้สังหารผลาญชีวิตโจซองและพรรคพวกไปเป็นจำนวนมากแล้ว จำจะอาศัยชีวิตสามคนนี้สร้างชื่อเสียงให้ลือชาปรากฏสืบไปเบื้องหน้าจะดีกว่า
สุมาอี้คิดดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่าทั้งสามคนนี้เป็นลูกน้องที่มีความกตัญญูซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนาย เป็นข้าที่หาได้ยาก ใครมีลูกน้องแบบนี้ก็นับว่าเป็นวาสนาของผู้นั้น หากประหารผู้มีคุณธรรมก็จะเป็นที่ครหาแก่คนทั้งปวง อย่าได้เอาโทษคนทั้งสามนี้สืบไปเลย
กล่าวแล้วสุมาอี้จึงให้ทหารไปเชิญตัวขุนนางทั้งสามคนเข้ามาพบแล้วกล่าวว่าพวกท่านเป็นขุนนางที่มีความกตัญญู สมควรเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งปวง เราจะไม่เอาผิดกับท่าน แล้วตั้งให้เป็นขุนนางตามตำแหน่งที่ดังเดิม.