ตอนที่ 593. วิสัยเพื่อนกิน

ฮวนห้อมขุนนางพรรคพวกของโจซอง พอตามไปพบโจซองก็เสนอให้โจซองต่อต้านการรัฐประหารของสุมาอี้ ให้อัญเชิญเสด็จพระเจ้าโจฮองไปประทับที่เมืองฮูโต๋เพื่อระดมทหารและชาวเมืองกำจัดสุมาอี้ แต่โจซองห่วงใยในครอบครัวบุตรภรรยาและทรัพย์สิ่งศฤงคาร ลังเลรีรอไม่กล้าตัดสินใจ

            ฮวนห้อมเห็นโจซองลังเลจึงสำทับต่อไปว่า ระยะทางจากที่นี่ไปเมืองฮูโต๋ใช้เวลาเพียงครึ่งคืนก็ถึง ในเมืองฮูโต๋มีทหารเป็นจำนวนมาก ทั้งข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ กำแพงเมืองก็สูงใหญ่ สามารถอาศัยสู้รบกับสุมาอี้ได้ไม่ขัดสน ขณะนี้ฮ่องเต้ทรงอยู่ในความอารักขาของท่าน เมื่อมีพระบรมราชโองการใด ๆ ใครไหนจะกล้าบังอาจขัดขืน ขอให้เร่งทำหมายรับสั่งไปให้กองพลทหารม้าใกล้ด่านรีบยกไปประชิดเมืองลกเอี๋ยงไว้ก่อน เมื่อเดินทางไปถึงเมืองฮูโต๋แล้วให้รีบทำหมายรับสั่งระดมกำลังทหารจากหัวเมืองยกไปกำจัดสุมาอี้ และให้ทำพระบรมราชโองการปลดสุมาอี้ออกจากตำแหน่งทุกตำแหน่ง ให้ทหารและพลเรือนในเมืองลกเอี๋ยงช่วยกันจับกุมผู้กบฏ ดังนี้แล้วสุมาอี้ไหนจะรอดพ้นจากเงื้อมมือท่าน แลท่านก็สามารถกอบกู้ยศถาศักดิ์ทั้งปวงได้ดังเดิม แต่การทั้งนี้จะต้องรีบทำการโดยฉับพลัน ทอดทิ้งนานวันเวลาไปจักเป็นอันตราย

            ข้อเสนอของฮวนห้อมดังนี้แหละที่เป็นข้อเสนอซึ่งสุมาอี้กริ่งเกรงนักหนา หากโจซองทำตามความคิดของฮวนห้อมสุมาอี้ก็จะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่ก็เป็นไปดังคำโบราณว่า เมื่อโจซองติดยึดอยู่ในความห่วงใยอันเป็นความคิดปุถุชนสามัญ ไหนเลยจะทำการใหญ่สู่ความเป็นยอดคนได้

            โจซองได้ยินแผนการของฮวนห้อมก็ยังคงส่ายศีรษะแล้วร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหล กล่าวด้วยปากคอสั่นเครือว่า หากทำตามความคิดท่านเราเกรงว่าสุมาอี้จะจับกุมบุตรภรรยาครอบครัวเป็นตัวประกันและบ้านเมืองจะเป็นจลาจล ท่านอย่าเพิ่งเร่งรัดเอาคำตอบเลย ขอเวลาให้เราไตร่ตรองดูอีกสักหน่อยหนึ่ง

            ฮวนห้อมได้ฟังคำเจ้านายที่บ่งบอกอาการโลเลเหลวไหลเลอะเทอะดังนั้นก็น้อยใจ และเป็นฝ่ายร้องไห้บ้าง รำพึงในใจว่าเรามีนายผิดเหมือนลงเรือผิดลำ มีแต่จะล่มจมฉิบหายเป็นแน่แท้ รำพึงดังนั้นแล้วฮวนห้อมก็ยิ่งร้องไห้จนน้ำตาไหลอาบแก้ม

            ต่างคนต่างร้องไห้แต่ไม่มีการตัดสินใจใด ๆ อีกครู่หนึ่งเค้าอิ๋นและต้านท่ายซึ่งสุมาอี้ใช้ให้มาหาโจซองก็เดินทางมาถึง โจซองเห็นสองขุนนางที่เคยเป็นเพื่อนกินมาแต่ก่อนก็สำคัญว่าเพื่อนกินเป็นห่วงใยติดตามมาสมทบ จึงถามว่าการข้างในเมืองลกเอี๋ยงเป็นประการใด

            เค้าอิ๋นและต้านท่ายคำนับโจซองตามธรรมเนียมแล้ว จึงกล่าวว่าข้าพเจ้าทั้งสองเห็นสุมาอี้สั่งทหารให้ปิดประตูเมือง จึงได้ไปไต่ถามก็ได้ความว่าซึ่งราชครูทำการทั้งนี้หาได้คิดร้ายต่อฮ่องเต้หรือต่อตัวท่านประการใดไม่ หากมุ่งหมายจะลบล้างคำครหาว่าท่านตีตนเสมอฮ่องเต้ คิดอ่านแย่งชิงเอาราชสมบัติ จึงทำการแต่เพียงที่จะปรับปรุงอำนาจทางการทหารให้ขึ้นอยู่ในพระราชอำนาจของฮ่องเต้เท่านั้น นับเป็นเจตนาดีที่มุ่งปกป้องเกียรติยศของท่าน อย่าได้แคลงใจเลย

            โจซองได้ยินคำสองขุนนาง แม้ระรื่นหูกว่าถ้อยคำของฮวนห้อมแต่ก็สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ความหวานระรื่นนั้นจึงยังคลางแคลงใจ และไม่ยอมตัดสินใจประการใด

            เค้าอิ๋นและต้านท่ายเห็นโจซองนิ่งอึ้งดังนั้นก็มิกล้าคะยั้นคะยอสืบไป เพราะเคยอยู่ในอำนาจและเคยกินเคยอยู่เสพสุขกันมาก่อนจึงได้แต่นิ่งตาม ครู่หนึ่งอินต้ายบกนายทหารคนสนิทของโจซองซึ่งแปรพักตร์ไปเข้ากับสุมาอี้ได้เดินทางมาถึงอีกคนหนึ่ง

            โจซองเห็นอินต้ายบกนายทหารคนสนิทก็สำคัญว่าอินต้ายบกยังคงเป็นพรรคพวกที่ไว้วางใจเชื่อถือได้ดังแต่ก่อน จึงถามว่าสถานการณ์ล่าสุดในเมืองลกเอี๋ยงเป็นอย่างไร

            อินต้ายบกคำนับโจซองตามธรรมเนียมแล้ว จึงกล่าวความเหมือนกับเค้าอิ๋นและต้านท่ายว่า สุมาอี้ทำการครั้งนี้มิได้มุ่งร้ายต่อโจซอง แต่เป็นการกระทำเพื่อพิทักษ์พระบรมเดชานุภาพของฮ่องเต้และโจซองให้พ้นคำคนครหาเท่านั้น

            โจซองได้ยินคำอินต้ายบกสอดคล้องกับคำของเค้าอิ๋นและต้านท่าย น้ำใจที่ลังเลอยู่ก็โน้มมาในทางเชื่อถ้อยคำ เพราะเป็นวิสัยคนเมื่อคนที่รู้จักมักคุ้นกล่าวความตรงกันหลายคนแล้ว มักจะเชื่อถือว่าความนั้นเป็นความจริง ทั้งๆ ที่เนื้อความอันนั้นอาจเป็นเรื่องเสกสรรปั้นแต่งออกมาจากแหล่งเดียวกันก็ได้

            อินต้ายบกเห็นท่าทีของโจซองว่าคลายความระแวงลงแล้ว จึงกล่าวสืบไปว่าข้าพเจ้ายังมีความนัยสำคัญมาแจ้งแก่ท่านว่า ราชครูสุมาอี้ได้กระทำสัตย์สาบานกับเจียวเจ้ว่าซึ่งทำการทั้งนี้จะไม่ทำอันตรายต่อท่านและครอบครัวบุตรภรรยาเป็นอันขาด เจียวเจ้คิดถึงคุณท่านจึงเขียนหนังสือให้ข้าพเจ้านำมามอบแก่ท่าน และกำชับว่าขอให้ท่านรีบกลับเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยงโดยเร็วที่สุด หากเนิ่นช้าไปก็จะถูกระแวงสงสัยว่าท่านคิดต่อต้าน ราชครูก็อาจใช้กฎอัยการศึกยกทหารมาทำอันตรายและจับกุมครอบครัว ยึดทรัพย์สินของท่าน กล่าวแล้วอินต้ายบกก็เอาหนังสือของเจียวเจ้มอบให้แก่โจซอง

            โจซองได้ยินคำอินต้ายบกที่เป็นทั้งคำปลอบและคำขู่ก็กระทบน้ำใจห่วงใยในบุตรภรรยาและครอบครัว ทั้งสำคัญว่าความซึ่งอินต้ายบกกล่าวนั้นเป็นความจริงจึงค่อยๆ คลายใจ แล้วรับเอาหนังสือของเจียวเจ้จากมือของอินต้ายบกมาอ่านดู

            ในหนังสือของเจียวเจ้นั้นมีใจความว่า ข้าพเจ้าเจียวเจ้คิดถึงคุณของมหาอุปราช จึงมีหนังสือรายงานมาให้แจ้งว่า ซึ่งสุมาอี้ทำการทั้งนี้มิได้คิดร้ายหมายทำอันตรายแก่ท่านและครอบครัวแต่ประการใด เพราะมุ่งแต่ปรับปรุงอำนาจทางการทหารให้อยู่ในพระราชอำนาจของฮ่องเต้ตามที่ควรจะเป็นเท่านั้น จึงชอบที่ท่านจะรีบกลับเข้าไปหาบุตรภรรยาในเมืองลกเอี๋ยงโดยเร็ว หากเนิ่นช้าก็อาจมีผู้ยุยงว่าท่านคิดอ่านเป็นกบฏ บุตรภรรยาและครอบครัวก็จะเป็นอันตราย

            โจซองเห็นถ้อยคำตามหนังสือสอดคล้องกับถ้อยคำของเค้าอิ๋น ต้านท่ายและอินต้ายบกทุกประการก็เชื่อใจ มีใบหน้าผ่องใสขึ้นโดยลำดับ

            ฮวนห้อมเห็นดังนั้นก็รู้ทีว่าโจซองจะคิดอ่านประการใด จึงรีบทักท้วงว่า “การร้อนถึงเพียงนี้แล้ว ยังจะฟังคำคนอื่นอีกเล่า ไม่คิดอ่านแก้ตัวจะบ่ายหน้าเข้าไปหาความตายอีกเล่า”

            น้ำใจโจซองแม้โน้มไปในทางเชื่อถ้อยคำของอินต้ายบกและหนังสือของเจียวเจ้ แต่ครั้นได้ฟังคำท้วงของฮวนห้อมหนักหน่วงรุนแรงก็ได้สติยั้งคิด ระลึกว่าฮวนห้อมนี้แม้คำพูดจาไม่หวานระรื่นหูให้สบายใจ แต่ความคิดเห็นใด ๆ ก็ไม่เคยผิดพลาด รำลึกดังนั้นแล้ว  โจซองก็ร้องไห้ส่ายศีรษะ แล้วกล่าวว่าพวกท่านอย่าเพิ่งเร่งรัดเอากับข้าพเจ้าเลย ขอเวลาให้ข้าพเจ้าไตร่ตรองสักชั่วคืนหนึ่ง

            ตลอดคืนวันนั้นโจซองได้แต่ร้องไห้ ใจหนึ่งก็คิดจะทำตามข้อเสนอของฮวนห้อม เพราะระแวงว่าซึ่งสุมาอี้ทำการทั้งนี้ก็คือการยึดอำนาจรัฐ ประเพณีการยึดอำนาจรัฐแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีปรากฏว่าจะให้ความเมตตาปรานีกันและกัน มีแต่จะสังหารผลาญชีวิตจนดับดิ้นทั้งสิ้น แต่ใจหนึ่งก็ห่วงใยครอบครัวบุตรภรรยานางบำเรอและทรัพย์สินทั้งปวงที่อยู่ในเมืองลกเอี๋ยง หวนคิดรำลึกถึงความสุข ความรื่นรมย์เบิกบานในอำนาจวาสนาทั้งปวงแต่ก่อน ก็อยากจะกลับไปสัมผัสกับความสุขเหมือนดังเคยตามความเห็นของอินต้ายบกและพวก ซึ่งล้วนเป็นคนสนิทและเชื่อถือมาแต่ก่อน โจซองตรึกตรองไปมาหลายตลบก็ไม่อาจตัดสินใจได้ ตลอดทั้งคืนนั้นโจซองจึงได้แต่เดินวนไปเวียนมา ในขณะที่น้ำใจก็อาลัยถึงความสุขแต่หนหลังแล้วร้องไห้จนถึงเวลาใกล้รุ่ง พลันน้ำใจก็คิดสู้ หยิบเอากระบี่มาถือไว้ในมือ แต่ยังคงเดินวนไปมาทบ ทวนความคิดเก่าอีก

            ท้องฟ้ายังไม่ทันสางฮวนห้อมก็เข้ามาหาโจซอง เห็นโจซองเดินวนไปเวียนมา ใบหน้าซูบซีดอิดโรยก็รู้ว่าโจซองนอนไม่หลับทั้งคืน จึงถามว่าท่านไตร่ตรองใคร่ครวญชั่วค่ำยันรุ่งแล้วได้คิดอ่านแผนการประการใดที่จะกอบกู้เอาอำนาจกลับคืนบ้างแล้วหรือไม่

            โจซองพอได้ยินคำฮวนห้อมก็ทิ้งกระบี่ลงกับพื้น แล้วกล่าวว่า “เราไม่ยกทัพไปให้ลำบากทหารแล้ว จะถอดเราเสียจากที่ก็ตามเถิด เราจะได้นั่งนอนกินให้สบาย”

            สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุความตอนนี้ว่า “โจซองถึงกับโยนกระบี่ทิ้ง พลางถอนใจว่าข้ามิขอยกทัพสู้ศึก ยินดีที่จะละทิ้งยศตำแหน่งขุนนาง ขอเป็นครอบครัวเศรษฐีที่ร่ำรวยก็พอแล้ว”

            นับเป็นการตัดสินใจที่บัดซบที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะหาได้คาดคิดไม่ว่าอำนาจรัฐนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ต้องช่วงชิง ต้องรักษาและต้องใช้ จึงจะประกอบเข้าเป็นองค์แห่งอำนาจได้ อำนาจนี้เป็นอำนาจทางการเมืองและทางการทหาร การแย่งชิงอำนาจจึงเป็นสงครามและเป็นสงครามทั้งที่หลั่งเลือดและไม่หลั่งเลือดผสมกันอยู่ เป็นเรื่องความเป็นความตายและมีความอำมหิตเหี้ยมโหดอันไม่อาจหยั่งคาดได้ ไหนเลยจะหวังเอาความปรานีจากฝ่ายปรปักษ์ ไหนเลยจะหวังการเสพสุขในฐานะเศรษฐีที่เสวยสุขจากเงินซึ่งฉ้อราษฎร์บังหลวงและจากการใช้อำนาจหน้าที่ข่มเหงรังแกราษฎรต่อไปได้ การตัดสินใจของโจซองครั้งนี้จึงเป็นแบบอย่างของการตัดสินใจที่ใช้ไม่ได้ที่สุดอันควรแก่การเป็นอุทาหรณ์ของคนทั้งปวงสืบไป

            ฮวนห้อมเห็นโจซองตัดสินใจดังนั้นก็ร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง ผลุนผลันเดินกลับออกจากที่พักของโจซอง ปากก็กล่าวว่า “โจจิ๋นพ่อโจซองอวดตัวว่าเป็นคนมีสติปัญญา มีบุตรสามคนก็ไม่สั่งสอนให้มีความรู้วิชาการเลย เหมือนหมูแลกระบือ”

            ในขณะนั้นเค้าอิ๋น ต้านท่าย ก็ได้เดินเข้ามาหาโจซองสวนกับฮวนห้อม ได้ยินความซึ่งฮวนห้อมกล่าวก็รู้ว่าโจซองตัดสินใจที่จะยอมจำนนแก่สุมาอี้แล้ว จึงเข้าไปคำนับโจซองแล้วกล่าวว่า ได้ยินว่าท่านตกลงใจที่จะเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยงแล้ว ดังนั้นอย่าชักช้าเสียเวลาต่อไปเลย ชอบที่จะใช้ให้คนซึ่งวางใจส่งตราสำคัญประจำตำแหน่งเอาไปมอบให้แก่ราชครูเสียก่อน จะได้ไม่เป็นที่แคลงใจ

            โจซองได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วย จึงเอาตราหยกประจำตำแหน่งมหาอุปราชผู้สำเร็จราชการแผ่นดินมอบให้แก่เค้าอิ๋นและต้านท่าย แล้วกล่าวว่าขอไหว้วานท่านทั้งสองช่วยนำตราประจำตำแหน่งนี้ไปมอบแก่ท่านราชครูก่อน ข้าพเจ้าจะตามไปรายงานตัวโดยเร็วที่สุด

            ในขณะนั้นเอียวจ๋งปลัดบัญชีประจำกรมของโจซองเห็นเหตุการณ์ จึงวิ่งเข้ายุดมือของโจซองที่กำลังจะยื่นตราประจำตำแหน่งไว้ แล้วกล่าวว่า “ท่านทิ้งทหารทั้งปวงเสีย จะมัดตัวเข้าไปรับอาญาเขา ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่พ้นที่ตายกลางตลาดเลย”

            โจซองเห็นดังนั้นก็สะบัดมือหลุดจากการยุดกุมของเอียวจ๋ง แล้วกล่าวว่าสุมาอี้เป็นถึงราชครู เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ย่อมมีวาจาสัตย์ เห็นจะไม่บิดพลิ้ว เจ้าอย่าวุ่นวายสืบไปเลย กล่าวแล้วก็มอบตราประจำตำแหน่งให้แก่เค้าอิ๋นและต้านท่าย และกล่าวว่าท่านทั้งสองจงรีบล่วงหน้าไปก่อนเถิด

            เค้าอิ๋นและต้านท่ายเห็นการสำเร็จเหนือความคาดคิดจากที่ได้รับคำสั่งมาจากสุมาอี้ ก็มีความยินดีเป็นอันมาก คำนับโจซอง รับเอาตราประจำตำแหน่งแล้วรีบเดินทางกลับไปหาสุมาอี้ ในขณะที่โจซองก็ตระเตรียมการที่จะกลับเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยง

            พอข่าวคราวที่โจซองเวนคืนตราประจำตำแหน่งแพร่งพรายออกไป บรรดาทหารและไพร่พลทั้งปวงที่ตามโจซองมาในขบวนประพาสป่าล่าสัตว์ของพระเจ้าโจฮองซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพวกเพื่อนกินโดยแท้ก็พากันหนีกลับเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยง เพราะต่างคนต่างคิดว่าโจซองบัดนี้เหมือนเจ้าไม่มีศาล ผีไม่มีญาติ อยู่ไปก็ไร้อนาคต ดีร้ายก็จะกลายเป็นโทษให้ครอบครัวบุตรภรรยาเดือดร้อน ขบวนของโจซองจึงเหลือแต่พี่น้องสามคนกับขุนนางที่ภักดีไม่กี่คนที่เดินทางกลับเข้าไปเมืองลกเอี๋ยงอย่างว้าเหว่วังเวง

            ฝ่ายเค้าอิ๋นและต้านท่าย เมื่อเดินทางกลับไปถึงกองทหารหน้าเมืองลกเอี๋ยงจึงนำตราประจำตำแหน่งของโจซองเข้าไปมอบแก่สุมาอี้และรายงานความให้ทราบทุกประการ

            สุมาอี้ได้ทราบความก็มีความยินดีที่แผนการแยกโคนออกจากขุนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จึงสั่งทหารทั้งปวงให้เตรียมการให้พร้อม คอยทีโจซองและญาติพี่น้องจะกลับเข้ามาเมืองลกเอี๋ยง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘