ตอนที่ 592. อุบาย "แยกโคนออกจากขุน"

สุมาอี้ก่อรัฐประหารยึดเมืองลกเอี๋ยงไว้ในอำนาจได้แล้ว เกรงว่าเมื่อฮวนห้อมผู้มีสติปัญญาไปถึงโจซองก็จะคิดอ่านเชิดพระเจ้าโจฮองขึ้นเป็นหลักชัยในการระดมทหารและประชาชนเข้าต่อต้านการรัฐประหาร จึงคิดอุบายผ่อนคลายแรงต้านทาน สั่งให้เค้าอิ๋นและต้านท่ายไปหลอกประโลมโจซอง

            เค้าอิ๋นและต้านท่ายรับคำสั่งสุมาอี้แล้วคำนับลาแล้วพาทหารคนสนิทออกจากเมืองไปหาโจซอง

            พอเค้าอิ๋นและต้านท่ายออกไปแล้ว สุมาอี้ก็คิดว่าซึ่งพระเจ้าโจซองเสด็จประทับอยู่นอกพระนครกับโจซองและเหล่าขุนนางทั้งปวงนั้น เป็นทางที่โจซองจะอาศัยหรือแอบอ้างพระบรมเดชานุภาพ ระดมกำลังทหารและราษฎรมาปราบปรามฝ่ายก่อการรัฐประหารได้ นับเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง และเกรงว่าโจซองอาจไม่ฟังคำเค้าอิ๋นและต้านท่าย การที่ทำไว้ก็จะเสียไป

            สุมาอี้คิดว่าอันกระบวนรบบนกระดานหมากรุกนั้นจำแนกได้เป็นสามกระบวนรบ ชื่อว่าขุนนำพล โดยขุนนำเบี้ย ม้า เม็ด โคน เรือ เข้าประจัญบานกับข้าศึกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าขุนตามพลคือเบี้ย เม็ด โคน ม้า เรือ ยกเป็นกระบวนไปข้างหน้า มีขุนตามไปข้างหลังอย่างหนึ่ง และชื่อว่าขุนคุมพลคือมีเบี้ยเป็นกองหน้า เม็ด โคน ม้า ขนาบซ้ายขวา มีเรือเป็นกองหลังอีกอย่างหนึ่ง ขบวนที่ชื่อว่าขุนนำพลและขุนตามพลนั้นดูได้โดยง่ายว่าขุนกุมอำนาจบัญชาการกำลังพลทั้งสิ้น แต่ขบวนที่ชื่อว่าขุนคุมพลนั้นยังมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่ความจริงอาจไม่ใช่ที่เห็น เพราะการอาจเป็นเรื่องขุนคุมพลจริง ๆ ก็ได้ หรือเนื้อแท้กลายเป็นพลคุมขุนอ้างเอาพระบรมเดชานุภาพของขุนระดมพลังทั้งปวงมาสนับสนุนก็ได้ เหตุนี้การรัฐประหารหลายคราจึงมักใช้กระบวนขุนคุมพล ช่วงชิงเข้าถวายการอารักขาฮ่องเต้ เพื่อทำให้เห็นว่าการรัฐประหารนั้นเป็นการกระทำของฮ่องเต้โดยฮ่องเต้และเพื่อฮ่องเต้ เป็นการสร้างความชอบธรรมเพื่อระดมพลังความสนับสนุนและลดพลังต้านทานนั่นเอง สภาพการฝ่ายโจซองบัดนี้อาจต้องด้วยลักษณะกระบวนที่ชื่อขุนคุมพล จึงคิดอ่านอุบายสลายพลออกจากขุน แยกโคนให้โดดเดี่ยวแล้วค่อยกำจัดในภายหลัง

            สุมาอี้คิดดังนั้นแล้วจึงเรียกอินต้ายบกขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารซึ่งมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับโจซอง เป็นที่ไว้วางใจของโจซองเป็นอันมากเข้ามาหา แล้วกล่าวว่าตัวท่านแม้เป็นข้าเก่าของโจซอง แต่เมื่อมาเข้าด้วยเราแล้วเราก็วางใจ ครั้งนี้จะมอบการสำคัญให้ท่านไปทำ แม้นสำเร็จก็จะมีความชอบเป็นอันมาก ท่านจะเห็นเป็นประการใด

            อินต้ายบกแม้สนิทสนมเป็นที่ไว้วางใจของโจซองก็มีฐานะเป็นเพียงพวกเพื่อนกิน มีสุขร่วมเสพ มีภัยรีบเผ่น พอสุมาอี้ยึดอำนาจเมืองลกเอี๋ยงก็รีบแปรพักตร์เข้าเป็นพวกของสุมาอี้ ครั้นได้ยินคำสุมาอี้ดังนั้นก็คิดว่าสุมาอี้นี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก โจซองหาใช่คู่มือที่จะต่อสู้กับสุมาอี้ไม่ การครั้งนี้เห็นทีสุมาอี้จะได้รับชัยชนะ เป็นโอกาสที่จะทำความชอบครั้งสำคัญ อินต้ายบกจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าจงรักภักดีต่อราชครู แม้นมีราชการสิ่งใดก็จงวางใจข้าพเจ้าเถิด

            สุมาอี้จึงว่า ตัวท่านเป็นที่ไว้วางใจเชื่อถือของโจซอง เหมาะที่จะรับธุระในครั้งนี้ ให้ท่านรีบไปหาโจซองแล้วแจ้งแก่โจซองว่า ซึ่งเราทำการครั้งนี้มิได้คิดร้ายต่อฮ่องเต้หรือโจซองแต่ประการใด แต่เพราะมีคำครหาว่าโจซองซ่องสุมทหารพรรคพวกเป็นอันมาก คิดจะชิงเอาราชสมบัติ เราจึงจำต้องระงับดับต้นเหตุเพื่อรักษาเกียรติยศของโจซองไม่ให้เป็นที่ครหา ท่านจงว่ากล่าวอย่าให้โจซองแคลงใจและให้โจซองรีบกลับเข้ามารายงานตัวก็จะมีความสุขสืบไป

            กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้เจียวเจ้ทำหนังสือถึงโจซองอีกฉบับหนึ่ง มีเนื้อความเหมือนกับที่กล่าวกับอินต้ายบก เสร็จแล้วจึงมอบหนังสือนั้นให้แก่อินต้ายบกแล้วกำชับว่าเมื่อท่านเอาหนังสือนี้มอบแก่โจซอง ให้แจ้งแก่โจซองด้วยว่าเห็นเราและเจียวเจ้กระทำสัตย์สาบานต่อกันว่า จะไม่คิดร้ายหรือทำอันตรายแก่โจซองและญาติพี่น้องเป็นอันขาด กำหนดทำการเพียงเพื่อลดบทบาทอำนาจทางการทหารของโจซอง และเชิดชูพระบรมเดชานุภาพของฮ่องเต้เท่านั้น

            อินต้ายบกรับหนังสือและคำนับลาสุมาอี้แล้วจึงออกเดินทางไปหาโจซองตั้งแต่เวลานั้น

            ฝ่ายโจซองตามขบวนเสด็จของพระเจ้าโจฮองขี่ม้าล่าสัตว์อยู่ในป่านอกเมือง มิได้เฉลียวใจหรือระวังระไวว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นในเมืองลกเอี๋ยง ครั้นถึงเวลาบ่ายทหารในเมืองลกเอี๋ยงซึ่งเป็นพรรคพวกของโจซองและลอบหนีออกจากเมืองตามไปพบโจซอง จึงรายงานโจซองว่าบัดนี้สุมาอี้และพรรคพวกได้ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจในเมืองลกเอี๋ยงเอาไว้แล้ว

            โจซองได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจนตัวสั่น เพราะเรื่องผิดคิดผิดคาดได้บังเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว โจซองคิดแต่ว่าสุมาอี้ป่วยหนักใกล้จะถึงแก่ความตาย แล้วไฉนจู่ ๆ จึงลุกขึ้นมาก่อการรัฐประหารยึดอำนาจในเมืองลกเอี๋ยงไว้ได้โดยฉับพลันฉะนี้

            พระเจ้าโจฮองเห็นโจซองมีอาการผิดปกติก็ประหลาดพระทัย ตรัสถามว่ามีเรื่องราวประการใดหรือ ยังไม่ทันที่โจซองจะตอบคำ ทหารองครักษ์ก็เข้ามากราบบังคมทูลว่าราชครูสุมาอี้ได้ใช้คนนำฎีกามาทูลเกล้าถวาย แต่ความประการใดนั้นไม่แจ้ง ขณะนั้นห้องหวุนซึ่งถือฎีกามาแต่สุมาอี้ก็ขี่ม้าเข้ามาถึง ได้ถวายบังคมพระเจ้าโจฮองตามประเพณี แล้วกราบทูลว่าท่านราชครูสุมาอี้มีบัญชาให้ข้าพระองค์นำฎีกาซึ่งท่านราชครูและบรรดาขุนนางทั้งปวงเข้าชื่อกันมาทูลเกล้าถวาย

            กราบทูลแล้วก็ชูฎีกาขึ้นเหนือศีรษะ โจซองเห็นดังนั้นจึงขี่ม้าเข้ามารับเอาฎีกาจากมือของห้องหวุนส่งแก่ข้าหลวงซึ่งตามเสด็จในที่นั้นให้อ่านฎีกาถวาย

            ข้าหลวงได้อ่านฎีกาที่สุมาอี้และเหล่าขุนนางเข้าชื่อกันมีใจความตามที่สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ข้าพเจ้าสุมาอี้ได้ตามเสด็จพระองค์มาแต่เมืองเลียวตั๋ง ทำราชการมาช้านานแล้ว เมื่อพระบิดาของพระองค์จะดับสูญให้หาพระองค์กับข้าพเจ้าแลโจซองเข้าไปเฝ้าในที่บรรทมซึ่งประชวรอยู่นั้น จึงยื่นพระหัตถ์มาลูบหลังข้าพเจ้า แล้วฝากพระองค์แลบ้านเมืองแก่ข้าพเจ้าแลโจซอง บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นโจซองหารำลึกถึงบิดาของพระองค์ซึ่งฝากฝังนั้นไม่ ทำการทั้งนี้เห็นจะคิดขบถต่อแผ่นดิน จึงตั้งให้เตียวต๋องคนสนิทเป็นที่เต้าก๋ำเข้าเฝ้าข้างในได้ ให้คอยฟังความลับทั้งปวง แล้วให้รักษาพระแสงแลตราหยกสำหรับกษัตริย์ ครั้งก่อนโจซองทูลยุยงให้ขับมเหสีซ้ายขวาพระบิดาของพระองค์ผิดแผกกันจนตายเสียองค์หนึ่งก็ได้ความแค้นเคืองถึงพระญาติวงศ์ บัดนี้การแผ่นดินก็มิได้พิดทูลพระองค์เลย แม้จะให้ล้างคนโทษถึงตายก็มิได้ทูล ก็สั่งให้ฆ่าเสียตามอำเภอใจ อนึ่งพี่น้องแลทหารพรรคพวกโจซองคุมเหงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย แลราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก โจซองทำทั้งนี้หาคิดถึงคำพระบิดาของพระองค์ซึ่งฝากฝังไว้ไม่เลย อันตัวข้าพเจ้าหาลืมคำสั่งพระบิดาของพระองค์ไม่ ข้าพเจ้ากับเจียวเจ้ สุมาหู รำลึกถึงคุณพระบิดาของพระองค์ซึ่งชุบเลี้ยงมาแต่ก่อน จึงปรึกษาพร้อมกันจัดแจงให้ทหารไปรักษาจวนโจซองแลจวนพี่น้อง โจซอง ข้าพเจ้าจึงเข้าไปทูลเนื้อความทั้งนี้แก่พระมารดาของพระองค์ พระมารดาของพระองค์ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงให้ข้าพเจ้าทำเรื่องราวทั้งนี้มาทูลแก่พระองค์ ข้าพเจ้าจึงให้ห้องหวุนเอาเรื่องราวมาถวาย ขอให้พระองค์ถอดโจซอง โจอี้ โจหุ้น ออกจากที่ แล้วให้ยกเอาทหารทั้งปวงไปเป็นของหลวง แต่ข้าพเจ้าคอยหาช่องมาพึ่งได้ทีครั้งนี้ ข้าพเจ้าจึงคิดอ่านทำการทำนุบำรุงพระองค์ ข้าพเจ้าก็ยกกองทหารมารักษาอยู่ ณ เชิงสะพานแพ ตำบลลกโห คอยดูผิดแลชอบ”

            พระเจ้าโจฮองฟังฎีกาของสุมาอี้และขุนนางจบแล้วก็ทรงรู้ว่า สุมาอี้ยึดอำนาจเมืองลกเอี๋ยงเอาไว้ได้แล้ว ซึ่งพระราชชนนีทรงเห็นชอบนั้นก็เป็นเพราะสุมาอี้คุมอำนาจทหารไว้ในมือนั่นเอง แต่ก็ทรงคิดว่าการกระทำของโจซองและสมัครพรรคพวกที่ผ่านมากำเริบหยาบช้าเป็นอันมาก ตีตนเสมอพระมหากษัตริย์ มิได้ยำเกรงพระบารมีแม้แต่น้อย ทั้งเห็นว่าสุมาอี้มีความใกล้ชิดเพราะเป็นราชครูผู้อบรมสั่งสอนพระองค์มาแต่น้อยและมีอายุอาวุโส เห็นจะไม่เป็นอันตรายเหมือนโจซอง น้ำพระทัยก็ลำเอียงไปเข้าข้างสุมาอี้ จึงหันมาตรัสกับโจซองว่า ซึ่งราชครูและขุนนางมีฎีกามาทั้งนี้ ท่านจะคิดเห็นเป็นประการใด

            ในขณะนั้นโจซองกำลังตกใจจนตัวสั่น เพราะการกระทำที่คิดว่ามิได้มีผู้ใดรู้เห็นได้ถูกเปิดโปงเปิดเผยจนล่อนจ้อน ประกอบทั้งเป็นคนไร้สติปัญญาขี้ขลาดตาขาวตลอดมา จมปลักอยู่กับการเสพสุข ดังนั้นพอได้ยินเรื่องร้ายก็ตกใจเป็นอันมาก สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “โจซองแจ้งดังนั้นตกใจนัก หน้าเผือดไม่มีเลือด อ่อนระทวยไปทั้งตัว”

            เพราะความตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โจซองจึงไม่รู้ที่จะกราบทูลประการใด จึงหันมาถามโจอี้ผู้น้องว่า ทุกข์ร้อนมาถึงตัวแล้ว เจ้าจะคิดอ่านแก้ไขประการใด

            โจอี้ก็เป็นคนจำพวกเดียวกับโจซอง พอได้ยินคำผู้พี่ดังนั้นก็โยนความผิดกลับให้กับพี่ชายว่า ข้าพเจ้าได้เตือนพี่ท่านมาก่อนหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่พี่ท่านก็ไม่เชื่อฟัง ทำการทั้งปวงตามอำเภอใจ แม้การออกนอกเมืองเที่ยวป่าล่าสัตว์ข้าพเจ้าก็เคย ท้วงติงว่าวันหนึ่งจะมีภัย แต่ท่านพี่ก็มิได้ฟังคำ กลับตวาดขับไล่ข้าพเจ้าเสียอีก เมื่อมีเหตุดังนี้แล้วจะคิดอ่านแก้ไขประการใดได้อีกเล่า

            โจอี้ไม่เพียงแต่ปัดความผิดให้กับโจซองเท่านั้น ยังข่มขวัญโจซองต่อไปอีกว่าท่านพี่หาใช่คู่มือขับเคี่ยวต่อสู้กับสุมาอี้ไม่ สุมาอี้นี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก แม้ขงเบ้งผู้เรืองปัญญาวิทยาคุณก็ยังไม่อาจเอาชัยชนะแก่สุมาอี้ได้ ดังนั้นจึงควรที่เราพี่น้องจะต้องมัดตัวเองเข้าไปลุแก่โทษกับสุมาอี้จึงจะพ้นจากอันตราย

            โจอี้กล่าวขาดคำลง ซินแปและสุมาเล่าจี๋ได้ตามไปถึงขบวนเสด็จ โจซองเห็นดังนั้นก็ค่อยคลายใจ รีบถามสองขุนนางว่าการณ์ข้างในเมืองลกเอี๋ยงเป็นประการใดบ้าง

            ซินแปและสุมาเล่าจี๋จึงเล่าสถานการณ์ที่สุมาอี้ควบคุมเมืองลกเอี๋ยงไว้อย่างแน่นหนา ให้ทหารรักษากำแพงเมืองและเชิงเทินมิได้ประมาท และยังยกกองทัพออกมาตั้งอยู่ด้านหน้าประตูเมืองอีก สองขุนนางได้ออกความเห็นเสนอโจซองว่าสถานการณ์คับขันดังนี้ท่านอย่าเพิ่งเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยงเลย รอให้เหตุการณ์คลี่คลายชัดเจนก่อนแล้วค่อยคิดทำการสืบไป

            โจซองได้ยินคำสองขุนนางก็คิดถึงบุตรภรรยาครอบครัวทรัพย์สมบัติและนางบำเรอเป็นอันมาก วิตกว่าครอบครัวบุตรภรรยาและทรัพย์สินทั้งปวงจะฉิบหายสิ้นในครั้งนี้ละหรือ

            ยังไม่ทันที่โจซองจะกล่าวถ้อยคำประการใดฮวนห้อมก็ห้อม้าไปถึง โจซองเห็นฮวนห้อมก็อุ่นใจ จึงรีบถามว่าสถานการณ์ข้างในเมืองลกเอี๋ยงไปถึงไหนแล้ว

            ฮวนห้อมจึงว่าบัดนี้สุมาอี้ก่อการรัฐประหาร ทำการกบฏต่อฮ่องเต้ ท่านจะเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยงนั้นไม่ได้ ชอบที่จะกราบบังคมทูลอัญเชิญฮ่องเต้เสด็จไปประทับที่เมืองฮูโต๋เป็นการชั่วคราวแล้วเกลี้ยกล่อมทหารและชาวเมืองทั้งปวงทำการต้านการรัฐประหาร อาศัยพระบรมราชโองการของฮ่องเต้เรียกกองทัพหัวเมืองทั้งปวงไปกำจัดสุมาอี้ และให้ท่านบัญชากองพลทหารม้าซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับด่านให้ยกไปขัดตาทัพ    สุมาอี้เอาไว้ที่เมืองลกเอี๋ยงก่อนจึงจะไม่มีอันตราย

            โจซองเป็นห่วงกังวลแต่เรื่องครอบครัว บุตรภรรยา นางบำเรอและทรัพย์สิ่งศฤงคารทั้งปวง หากบินได้ก็คิดจะใคร่บินเข้าไปเมืองลกเอี๋ยงเพื่อให้คลายความทุกข์ร้อน หาได้มีแก่ใจคิดอ่านจะต่อสู้กอบกู้เอาอำนาจกลับคืนไม่ พอได้ยินคำฮวนห้อมดังนั้นก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า บรรดาขุนนางทั้งปวงล้วนมีบุตรภรรยาครอบครัวอยู่ในเมืองลกเอี๋ยงทั้งสิ้น หากทำการตามคำท่านย่อมเกิดเป็นจลาจลขึ้นในเมือง สุมาอี้ก็จะอ้างเอาเป็นเหตุจับกุมครอบครัวบุตรภรรยาริบทรัพย์สินด้วยข้อหาว่าเป็นกบฏ

            ฮวนห้อมไม่คอยให้โจซองกล่าวจนจบความก็กล่าวแทรกขึ้นว่า ท่านเอ่ยความทั้งนี้เพราะกลัวบุตรภรรยาจะเป็นอันตราย จึงไม่คิดอ่านกอบกู้ช่วงชิงเอาอำนาจกลับคืน ดังนี้เหมือนหนึ่งไม่รักชีวิตตัว ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยเลย

            แล้วฮวนห้อมจึงกล่าวอีกว่าคำโบราณสั่งสอนมีมาว่า เพราะไร้ใจจึงทำการยิ่งใหญ่กว่าคนทั้งปวงได้สำเร็จ บรรลุสู่ความเป็นยอดคน มีน้ำใจย่อมทำการใหญ่ได้บรรลุสู่ความเป็นนายคน แต่ถ้าใจติดยึดห่วงใยทำการใหญ่ไม่ได้ ทำได้ก็เพียงการเล็กน้อยตัวท่านครองอำนาจเป็นใหญ่  มัวแต่คิดห่วงใยเรื่องครอบครัวบุตรภรรยาราวกับเป็นชาวนาชาวไร่ ไหนเลยจะกอบกู้อำนาจกลับคืนได้ แม้ชีวิตก็จะไม่อาจรักษาเอาไว้ได้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร