ตอนที่ 591. กล "ลดแรงต้านทาน"

สุมาอี้ฉวยโอกาสที่โจซองตั้งอยู่ในความประมาทพาพรรคพวกตามขบวนเสด็จพระเจ้าโจฮองไปเซ่นไหว้บูชาพระบูรพมหากษัตริย์นอกเมืองลกเอี๋ยงก่อการรัฐประหาร ยึดอำนาจปกครองในเมืองลกเอี๋ยงไว้ในอำนาจ แล้วเปลี่ยนฐานะจากผู้ปลอมพระบรมราชโองการเป็นผู้จำต้องทำการยึดอำนาจตามความเห็นชอบของพระราชชนนี

            สุมาอี้กลับไปถึงกองกำลังรักษาพระนครแล้วเกรงว่าผู้รับผิดชอบบรรดาสรรพาวุธในคลังแสงซึ่งขาดจำนวนในบัญชีทะเบียนจะคิดแกล้งระเบิดคลังแสงเพื่อทำลายหลักฐาน และเกรงว่าพรรคพวกของโจฮองจะยึดคลังแสงแล้วเบิกอาวุธออกแจกจ่ายเพื่อต่อต้านการรัฐประหาร จึงสั่งทหารที่ไว้วางใจให้เข้ายึดและควบคุมคลังแสงไว้จนหมดสิ้น แล้วสั่งให้กองกำลังรักษาพระนครเข้าควบคุมกองทหารทั้งหมดในเมืองลกเอี๋ยง แล้วจัดทหารขึ้นระมัดระวังรักษากำแพงเมืองและเชิงเทิน ให้ปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้าน ห้ามคนในไม่ให้ออก ห้ามคนนอกไม่ให้เข้า

            จากนั้นสุมาอี้จึงให้ออกประกาศไปทั่วทั้งเมืองลกเอี๋ยงว่าโจซองกำเริบคิดชิงเอาราชสมบัติ สุมาอี้ได้รับความเห็นชอบจากพระราชชนนีจึงจำต้องเข้ายึดอำนาจเพื่อปกป้องคุ้มครองฮ่องเต้ ขอให้ชาวเมืองทั้งปวงอยู่ในความสงบ และให้ร่วมมือสนับสนุนฝ่ายก่อการรัฐประหาร

            หลังจากควบคุมสถานการณ์ในเมืองลกเอี๋ยงได้แล้วสุมาอี้จึงแต่งฎีกาขึ้นฉบับหนึ่ง ให้ขุนนางซึ่งเป็นสมัครพรรคพวกร่วมลงนามเป็นบัญชีหางว่าวและสั่งให้ห้องหวุนขุนนางที่ไว้ใจถือฎีกานั้นตามไปถวายพระเจ้าโจฮอง

            ครั้นจัดแจงการข้างในพระนครเสร็จแล้ว สุมาอี้จึงจัดกองทัพจะยกออกไปตั้งอยู่นอกประตูเมืองลกเอี๋ยง สุมาอี้นำกองทัพอ้อมไปทางจวนของโจซองซึ่งโกหยิวคุมทหารล้อมจวนอยู่ก่อนแล้ว

            ฝ่ายนางเล่าชีซึ่งเป็นภรรยาของโจซองได้รับรายงานจากทหารรับใช้ที่อยู่ภายในจวนว่าโกหยิวได้คุมทหารพร้อมอาวุธเป็นอันมากมาล้อมจวนของมหาอุปราชไว้ และขณะนี้สุมาอี้กำลังนำกองทัพจะผ่านมาทางนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุร้ายประการใด

            นางเล่าชีได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ จึงเรียกพัวกี๋นายทหารผู้รักษาความ  ปลอดภัยของจวนมหาอุปราชเข้ามาถามว่าเกิดเหตุการณ์ประการใดหรือ

            พัวกี๋เองก็ไม่รู้สถานการณ์ จึงกล่าวตอบว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่ามีเหตุการณ์ประการใด แต่ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะออกไปตรวจสอบเหตุการณ์ดูเอง กล่าวแล้วพัวกี๋ก็พาทหาร องครักษ์ห้าสิบคนที่อยู่ในจวนของโจซองขึ้นไปบนหอสูงหน้าประตูทางเข้าจวน มองลงมาข้างล่างเห็นสุมาอี้กำลังขี่ม้านำทหารใกล้จะผ่านมาถึง

            พัวกี๋เกรงว่าสุมาอี้จะนำทหารบุกเข้ามาในจวนจึงสั่งทหารให้ยิงเกาทัณฑ์สกัด สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงหยุดขบวนไว้

            ฝ่ายซุนเหียมซึ่งเป็นนายทหารคุมกองหน้าของสุมาอี้เห็นดังนั้นจึงขี่ม้าเข้ามาใกล้แล้วร้องบอกแก่พัวกี๋ว่า อย่ายิงเกาทัณฑ์ลงมาเลย ท่านราชครูมีราชการ จะออกไปด้านนอกเมือง หากยังดื้อดึงไม่ฟังคำก็จะเป็นโทษถึงตาย

            ทหารของพัวกี๋เมื่อยังไม่ได้ยินคำสั่งของพัวกี๋ก็ยังคงยิงเกาทัณฑ์สกัดกั้นไว้ต่อไป  ซุนเหียมได้ร้องเตือนอีกสองสามครั้ง พัวกี๋เห็นว่าสุมาอี้เพียงแต่จะนำกองทัพผ่านออกไปนอกเมืองจึงสั่งทหารให้หยุดยิง

            สุมาเจียวผู้บุตรของสุมาอี้เห็นทหารของพัวกี๋หยุดยิงแล้ว จึงคุมทหารคุ้มกันสุมาอี้แล้วเคลื่อนขบวนผ่านจวนโจซองไปยกออกไปนอกประตูเมือง ผ่านสะพานศิลาโค้งข้ามคูเมืองแล้วตั้งขบวนทหารไว้ที่เชิงสะพานนั้น คอยระมัดระวังป้องกันมิให้พรรคพวกของโจซองยกรุกล้ำเข้ามาในเมืองลกเอี๋ยง

            ข่าวการก่อรัฐประหารของสุมาอี้ได้แพร่สะพัดไปในเมืองลกเอี๋ยงอย่างรวดเร็ว บรรดาขุนนางและข้าราชการต่างพากันพูดจาซุบซิบบอกข่าวต่อ ๆ กันไป

            ฝ่ายสุมาเล่าจี๋ซึ่งเป็นนายทหารของโจซองทราบความดังนั้นจึงปรึกษากับซินแปซึ่งเป็นนายทหารฝ่ายจเรและเป็นพรรคพวกของโจซองว่า ซึ่งสุมาอี้ทำการทั้งนี้จะเห็นเป็นประการใด

            ซินแปจึงว่า สุมาอี้ฉวยโอกาสในขณะที่ฮ่องเต้ไม่ประทับอยู่ในพระนคร เห็นจะทำการนอกรับสั่งเพื่อช่วงชิงอำนาจจากโจซองเป็นมั่นคง พวกเราเป็นข้าแผ่นดินควรถือฮ่องเต้เป็นธงชัย ขณะนี้พระเจ้าโจฮองเสด็จประพาสป่าอยู่นอกเมือง จึงควรที่จะนำทหารใต้บังคับบัญชาไปเฝ้าพระเจ้าโจฮองจึงจะชอบ สุมาเล่าจี๋ได้ยินดังนั้นก็ท้วงว่าสุมาอี้ทำการทั้งนี้ได้อ้างว่าเป็นการกระทำตามพระราชเสาวนีย์ของพระราชชนนี เห็นจะวู่วามมิได้

            ซินแปได้ฟังคำท้วงดังนั้นก็ได้คิด จึงว่าสถานการณ์คับขันดังนี้จะพูดจากล่าวความประการใดชอบที่จะต้องระมัดระวังตัว ขอเชิญท่านไปที่บ้านของข้าพเจ้าซึ่งเป็นที่สงัดปลอดผู้คน จะได้คิดอ่านปรึกษากัน

            เมื่อปรึกษากันดังนั้นแล้วสุมาเล่าจี๋และซินแปจึงพากันไปที่บ้านของซินแป ครั้นไปถึงบ้านแล้วนางซินเหียนเอ๋งซึ่งเป็นพี่สาวของซินแปเห็นซินแปพาเพื่อนขุนนางกลับมาบ้านอย่างลุกลี้ลุกลนก็สงสัย จึงถามว่ามีเรื่องราวประการใดหรือ

            ซินแปจึงเล่าความให้ผู้พี่สาวฟังว่า ฮ่องเต้เสด็จออกประพาสป่า สุมาอี้จึงฉวยโอกาสก่อการรัฐประหาร และยึดอำนาจการปกครองเมืองลกเอี๋ยงไว้ทั้งสิ้น

            ผู้พี่สาวของซินแปได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า โจซองแม้เป็นขุนนางผู้ใหญ่มีอำนาจวาสนาเป็นอันมาก แต่หาใช่คู่มือต่อสู้ของสุมาอี้ไม่ การครั้งนี้เห็นทีโจซองจะพลาดท่าเสียทีแก่สุมาอี้เป็นมั่นคง

            ซินแปได้ยินดังนั้นก็ค่อยคลายกังวล แล้วกล่าวกับผู้พี่สาวว่าเมื่อสามวันก่อนหน้านี้ สุมาอี้ก็เคยชักชวนให้ข้าพเจ้าพาพรรคพวกที่ไว้ใจไปสนทนากัน เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ควรที่ข้าพเจ้าจะไปหาสุมาอี้หรือไม่

            นางซินเหียนเอ๋งจึงว่า เกิดเป็นคนต้องถือคุณธรรมเป็นใหญ่ ไม่ควรละทิ้งมิตรในยามยาก บัดนี้โจซองซึ่งเป็นนายกำลังตกอยู่ในชะตากรรมอันลำบาก จะทอดทิ้งแล้วแปรพักตร์ไปเข้ากับสุมาอี้นั้นเหมือนหนึ่งละทิ้งสัตย์ธรรม อนึ่งเล่าการทอดทิ้งนายยามนี้ไหนเลยจะได้รับความไว้วางใจจากสุมาอี้ 

            ซินแปได้ฟังคำพี่สาวก็ได้คิด จึงกล่าวกับสุมาเล่าจี๋ว่าระหว่างอำนาจวาสนากับคุณธรรมนั้นข้าพเจ้าตัดสินใจเลือกคุณธรรมเป็นที่ตั้ง หากท่านเห็นด้วยก็จงพาทหารผู้ใต้บังคับบัญชายกออกไปหาโจซองพร้อมกันเถิด

            สุมาเล่าจี๋ได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วย จึงตามสมัครพรรคพวกที่พอจะตามได้หลายสิบคนยกไปที่ประตูเมืองด้านข้าง นายประตูได้ขัดขวางไว้อ้างว่าเป็นคำสั่งของราชครูห้ามคนเข้าออก แต่สุมาเล่าจี๋และซินแปไม่ฟังคำห้ามปราม ฆ่าฟันนายประตูและทหารรักษาประตูล้มตายลงหลายคน แล้วเปิดประตูเมืองพาพรรคพวกหลบหนีออกไป

            ทหารเฝ้าประตูเมืองซึ่งเหลือตายเห็นดังนั้นจึงรีบนำความไปรายงานแก่สุมาอี้ สุมาอี้ถามว่ามีผู้ใดหลบหนีออกไปนอกเมืองบ้าง ทหารนั้นได้รายงานว่าผู้ที่หลบหนีมีหลายคน จำไม่ได้ว่าเป็นผู้ใดบ้าง

            สุมาอี้ได้ยินดังนั้นจึงปรารภว่า ในบรรดาพรรคพวกของโจซองล้วนแต่เป็นคนที่ไม่มีหัว ถึงหนีไปก็ไม่เป็นที่น่าหวั่นเกรง วิตกอยู่ก็แต่ฮวนห้อมผู้เดียวซึ่งมีสติปัญญา และพอมีหัวคิด หากไปถึงโจซองแล้วหัวกับตัวประกอบกันเข้าก็จะกลายเป็นกำลัง ทำให้เราทำการสืบไปไม่สะดวก

            สุมาอี้เกรงว่าฮวนห้อมจะหลบหนีออกนอกเมืองจึงสั่งทหารให้ไปที่บ้านของฮวนห้อม หากฮวนห้อมอยู่บ้านก็ให้เรียกมารายงานตัวที่กองทัพหน้าประตูเมือง

            ในขณะนั้นฮวนห้อมอยู่ที่บ้าน ทราบเหตุการณ์รัฐประหารแล้วก็ตกใจ ปรึกษากับบุตรว่าควรจะทำการประการใด บุตรของฮวนห้อมออกความเห็นว่าท่านพ่อเป็นคนของมหาอุปราช ย่อมตกเป็นเป้าหมายในการกำจัดของราชครูเป็นแน่แท้ หากอยู่ในตัวเมืองเห็นจะเป็นอันตราย ชอบที่จะหนีออกไปสมทบกับโจซอง

            ฮวนห้อมจึงว่าการจะหนีออกนอกเมืองเวลานี้ขัดสนนัก เพราะราชครูได้สั่งทหารให้ปิดประตูเมืองไว้ทุกด้านแล้ว บุตรของฮวนห้อมจึงว่าประตูเมืองทางทิศใต้ยังเบาบางอยู่ เพราะทหารส่วนใหญ่ยกไปตั้งขบวนอยู่หน้าประตูเมือง และขอให้ท่านพ่อเอาป้ายไม้ประกาศิตของพระราชชนนีที่เคยพระราชทานติดตัวไปด้วย

            ฮวนห้อมได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วย จึงขี่ม้าพาทหารซึ่งสนิทเกือบสิบคนไปทางประตูเมืองด้านทิศใต้ เห็นสูหวนอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาทำหน้าที่เป็นนายประตูเมือง ฮวนห้อมจึงบอกให้สูหวนเปิดประตู แต่สูหวนปฏิเสธอ้างว่าราชครูมีคำสั่งห้ามคนเข้าออก

            ฮวนห้อมเห็นดังนั้นจึงล้วงป้ายไม้ประกาศิตที่พระนางก๊วยไทเฮาเคยพระราชทานไว้ชูให้สูหวนดู แล้วออกคำสั่งว่าพระราชชนนีมีพระราชเสาวนีย์สั่งให้เราออกไปปฏิบัติราชการนอกตัวเมือง ให้เจ้ารีบเปิดประตูโดยเร็ว

            สูหวนเห็นดังนั้นก็คุกเข่าถวายบังคมป้ายประกาศิต แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าขอตรวจตราป้ายประกาศิตสักหน่อยหนึ่ง

            ฮวนห้อมเห็นดังนั้นก็แสร้งตวาดว่าเจ้าเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเรา เห็นป้ายประกาศิตของไทเฮาแล้วยังบังอาจไม่เชื่อถือและขอตรวจตราอีกหรือ

            สูหวนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ประกอบทั้งเกรงใจฮวนห้อมซึ่งเป็นนายเก่า จึงสั่งทหารให้เปิดประตูเมือง พอฮวนห้อมขี่ม้าพ้นประตูก็หันกลับมากล่าวกับสูหวนว่าขณะนี้สุมาอี้ ก่อการกบฏ เจ้าจงรีบตามเราไปเฝ้าฮ่องเต้จะดีกว่า

            สูหวนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ สำนึกว่าถูกฮวนห้อมหลอกลวงจนหลงเชื่อ เป็นเหตุให้ศัตรูคนสำคัญของสุมาอี้หนีออกนอกเมืองไปได้ จึงสั่งทหารให้ตามจับฮวนห้อม แต่ฮวนห้อมพอได้ยินสูหวนออกคำสั่งก็รีบห้อม้าหนีไปอย่างรวดเร็ว

            ทหารที่รักษาประตูเมืองไล่ตามฮวนห้อมไม่ทันจึงพากันกลับมารายงานให้สูหวนทราบ สูหวนทราบดังนั้นจึงรีบนำความไปรายงานแก่สุมาอี้ว่าฮวนห้อมอ้างป้ายประกาศิตของพระราชชนนีหนีออกนอกเมืองไปแล้ว

            สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ปรารภว่าคนที่เราเกรงว่าจะก่ออุปสรรคได้หลบหนีไปแล้ว เห็นจะนำความที่เราทำการข้างในเมืองไปแพร่งพราย ฮวนห้อมมีหัวแต่ไม่มีตัว เมื่อไปถึงโจซองซึ่งมีตัวแต่ไม่มีหัวแล้วจะคบคิดกันต่อต้านเป็นมั่นคง เห็นการครั้งนี้จะยุ่งยากเสียเป็นแน่แท้

            เจียวเจ้ซึ่งเป็นทหารคนสนิทของสุมาอี้เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า โจซองนั้นไร้สติปัญญา บัดนี้ท่านราชครูได้ยึดอำนาจปกครองเมืองลกเอี๋ยงไว้สิ้นแล้ว ขอเพียงแต่ตั้งมั่นรักษาเมืองไว้ให้มั่นคง การทั้งปวงก็จักสำเร็จดังประสงค์ทุกประการ อย่าได้ปรารมภ์เลย

            สุมาอี้จึงว่าท่านอย่าได้ประมาทแก่สถานการณ์ ด้วยบัดนี้ฮ่องเต้เสด็จประทับอยู่นอกพระนครในท่ามกลางการอารักขาของโจซองและเหล่าทหาร หากคิดการต่อต้านการรัฐประหารแล้วระดมทหารมาจากหัวเมืองทั้งปวง ชูธงพิทักษ์ปกป้องฮ่องเต้ ชักชวนทหารและชาวเมืองให้เข้าร่วม ทหารและราษฎรทั้งปวงก็จะพากันเข้าด้วยฮ่องเต้ เราก็จะขัดสน จำจะต้องคิดอ่านให้โจซองประมาทคลายความระมัดระวัง เข้ามามอบตัวแต่โดยดี จึงจะไม่เป็นอันตราย

            สุมาอี้กล่าวแล้วจึงเรียกเค้าอิ๋นและต้านท่ายซึ่งเป็นขุนนางที่วางใจและมีความสนิทสนมกับโจซองเข้ามาพบ แล้วสั่งว่าเจ้าทั้งสองจงรีบไปหาโจซอง แจ้งแก่โจซองว่าซึ่งเราทำการทั้งนี้มิได้คิดร้ายต่อฮ่องเต้หรือโจซองแต่ประการใด เป็นเพียงการกระทำเพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมืองเท่านั้น อย่าได้คิดแคลงใจประการใดเลย

            เค้าอิ๋นและต้านท่ายมีน้ำใจฝักใฝ่อยู่กับสุมาอี้เพราะเห็นว่าเป็นผู้มีสติปัญญาบารมี สามารถฝากผีฝากไข้ได้ ดังนั้นแม้ว่าจะสนิทสนมกินอยู่กับโจซอง แต่แท้จริงแล้วก็คือคนของสุมาอี้ กลายเป็นว่าโจซองเลี้ยงขุนนางสองคนนี้ไว้เสียข้าวสุก เปลืองข้าวสารโดยเปล่าประโยชน์.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘