ตอนที่ 590. ชิงโอกาสก่อรัฐประหาร

โจซองผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและมหาอุปราชระแวงระวังสุมาอี้ตลอดมา ครั้นทราบว่าสุมาอี้ป่วย จึงสั่งให้หลีซินซึ่งเป็นพรรคพวกและเพิ่งได้รับโปรดเกล้าตั้งเป็น เจ้าเมืองเซียงจิ๋วไปเยี่ยมสุมาอี้เพื่อดูท่วงทีว่าสุมาอี้ป่วยจริงหรือไม่ และให้ทำทีว่ามาเยี่ยมเพื่อคำนับลาไปรับตำแหน่งเจ้าเมือง

            หลีซินไปถึงจวนของราชครูสุมาอี้แล้ว จึงแจ้งทหารรักษาการณ์หน้าจวนว่าจะมาเยี่ยมสุมาอี้เพื่อคำนับลาไปรับตำแหน่งเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว ทหารรักษาการณ์หน้าจวนของสุมาอี้เชิญให้หลีซินนั่งรออยู่ที่เรือนรับรองด้านนอก แล้วเข้าไปแจ้งความแก่สุมาอี้

            สุมาอี้พอทราบความก็กล่าวกับสุมาสูและสุมาเจียวผู้เป็นบุตรว่า ซึ่งหลีซินคนสนิทของโจซองมาเยี่ยมไข้เราครั้งนี้มิได้มาโดยสุจริต หากเป็นเพียงมาดูท่วงท่าว่าเราป่วยจริงหรือไม่

            สุมาอี้กล่าวแล้วก็ขับบุตรทั้งสองให้หลบออกไปทางด้านหลัง แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเอาชุดนอนมาสวมใส่ สยายผมแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง เอาผ้าห่มคลุมไว้ แล้วเรียกหญิงรับใช้สองคนมานั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงเสมือนหนึ่งว่าเฝ้าไข้ผู้ป่วยหนัก จากนั้นจึงสั่งทหารรักษาการณ์ให้ออกไปเชิญหลีซินเข้ามาที่ข้างใน

            หลีซินเข้ามาถึงห้องนอนของสุมาอี้ เห็นสุมาอี้นอนซมอยู่บนเตียงนอน ก็สำคัญว่าสุมาอี้ป่วยหนัก จึงคำนับตามประเพณีแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้มาเยี่ยมเยียนท่านราชครูเป็นเวลานาน มิได้รู้เลยว่าท่านราชครูป่วยหนักถึงเพียงนี้

            สุมาอี้ได้ยินเสียงหลีซินจึงทำทีพลิกตัวเบือนหน้าหันมามองด้วยความยากลำบาก แล้วทำทีจะพยุงตัวลุกขึ้น หญิงรับใช้ทั้งสองคนรีบเข้ามาประคองตัวสุมาอี้ให้ลุกนั่งอยู่บนเตียง หลีซินเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้ามาเยี่ยมท่านราชครูในวันนี้ก็เพื่อจะคำนับลาไปรับตำแหน่งเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว ท่านราชครูอย่าลำบากต้อนรับเลย

            สุมาอี้ได้ยินดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นหูหนัก แล้วกล่าวว่า “ซึ่งรับสั่งให้ท่านไปเป็นเจ้าเมืองเป๊งจิ๋วนั้นก็ดีอยู่แล้ว ด้วยเมืองเป๊งจิ๋วใกล้กับเมืองหลวง มีราชการจะได้หามาง่าย”

            หลีซินได้ยินสุมาอี้กล่าวดังนั้นก็สำคัญว่าสุมาอี้ได้ยินความไม่ถนัด จึงกล่าวว่าข้าพเจ้าจะเดินทางไปรับตำแหน่งเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว มิใช่เมืองเป๊งจิ๋ว

            สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็แสร้งหัวเราะ ทำเป็นหูหนักมากขึ้น แล้วกล่าวว่า “ท่านมาแต่เมืองเซียงจิ๋วหรือ”

            หลีซินได้ฟังคำสุมาอี้ดังนั้นก็สำคัญว่าสุมาอี้ป่วยหนักจนหูใกล้จะหนวก ได้ยินความสับสนแปรปรวนป่วยการที่จะสนทนาอีกต่อไป จึงกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ป่วยหนักจึงพูดฟั่นเฟือนไป”

            หญิงรับใช้ซึ่งสุมาอี้สั่งสอนไว้เป็นอันดีจึงกล่าวเสริมขึ้นว่า ท่านราชครูป่วยครั้งนี้ลมกำเริบกล้าทำให้หูหนัก ฟังความสิ่งใดไม่ชัดเจน ขอท่านจงอภัยด้วยเถิด

            หลีซินสำคัญว่าเป็นความจริง คิดว่าถึงจะพูดจาประการใดคงจะไม่ได้ความอีกต่อไป จึงขอพู่กัน น้ำหมึก และกระดาษจากหญิงรับใช้ แล้วเขียนเป็นข้อความว่าข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว จึงมาเยี่ยมคำนับลาท่านราชครูไปรับตำแหน่ง

            ครั้นเขียนเสร็จแล้วหลีซินจึงส่งให้สุมาอี้ดู สุมาอี้รับเอาหนังสือของหลีซินมาอ่านแล้วแสร้งพูดว่า “อ้อ! บัดนี้โปรดให้ท่านไปเมืองเซียงจิ๋วหรือ ดีแล้วให้อุตส่าห์ทำราชการ อย่าประมาท”

            กล่าวแล้วสุมาอี้จึงหันหน้ามาทางหญิงรับใช้ เอามือชี้ที่ปากเป็นนัยว่าได้พูดจามากจนหิวน้ำ หญิงรับใช้เห็นดังนั้นก็รู้ที รีบเข้าไปในครัวเอาน้ำต้มไก่ใส่ชามออกมาให้สุมาอี้ดื่ม

            สุมาอี้ทำทีเป็นมือสั่น ปากคอสั่น แล้วแสร้งยกมือประคองจับชามกับหญิงรับใช้ พอกลืนน้ำต้มไก่เข้าไปหน่อยหนึ่งก็แสร้งทำสะอึก น้ำแกงไหลออกจากปากเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าและผ้าห่ม และยังกระเด็นถูกหลีซินอีก

            สุมาอี้เห็นหลีซินตกตะลึงด้วยความสมเพชเวทนา จึงเอามือชี้ไปทางด้านหลังเป็นทีว่าต้องการเข้าห้องน้ำ พอหญิงรับใช้ประคองให้ลุกขึ้นปรากฏว่าสุมาอี้ปัสสาวะรดกางเกงจนเปรอะเปื้อน

            สุมาอี้จึงกล่าวว่า ขออภัยหลีซินท่านเถิด ตัวเรานี้ชราแล้วยังป่วยหนัก เห็นจะมีชีวิตอยู่แค่วันนี้วันพรุ่งเท่านั้น อันสุมาสู สุมาเจียว บุตรทั้งสองของเราล้วนเป็นคนไม่เอาถ่าน ไร้สติปัญญา รักษาตนเองไม่ได้ ขอฝากฝังไว้กับท่านช่วยเอ็นดูสั่งสอนอบรม และไหว้วานท่านช่วยบอกโจซองด้วยว่า หากเราถึงแก่ความตายแล้วก็ขอฝากฝังบุตรทั้งสองคนช่วยทำนุบำรุงด้วยเถิด

            สุมาอี้กล่าวแล้วก็ทำทีเหนื่อยหอบ เดินไปห้องน้ำไม่ไหว หญิงรับใช้ทั้งสองเห็นดังนั้นก็รู้ทีจึงประคองสุมาอี้นั่งลงที่เตียงตามเดิม สุมาอี้แสร้งทำหอบมากขึ้นแล้วเอนหลังนอนบนเตียง

            หลีซินเห็นดังนั้นจึงรีบคำนับลาสุมาอี้ แล้วกลับไปหาโจซอง รายงานความให้โจซองทราบทุกประการ

            โจซองทราบความแล้วก็ดีใจเป็นอันมาก อุทานโดยไม่รู้สึกตัวว่า “ถ้าอ้ายคนนี้ตายแล้ว เราก็จะสิ้นความวิตก ถึงจะทำการสิ่งใดก็จะได้สะดวก”

            โจซองได้กล่าวกับหลีซินต่อไปว่า เมื่อสุมาอี้ป่วยหนักดังนี้แล้วก็สิ้นที่วิตกระแวงระวังอีกต่อไป นับแต่วันนี้ให้ถอนกำลังทหารที่เฝ้ารักษาการณ์ตรวจตราหน้าจวนของสุมาอี้ให้จงสิ้น

            ฝ่ายสุมาอี้ครั้นหลีซินกลับไปแล้ว จึงสั่งหญิงรับใช้ให้ไปตามบุตรทั้งสองเข้ามาพบแล้วกล่าวว่าหลีซินมาดูท่าที เห็นเราป่วยหนักก็จะไปรายงานให้โจซองทราบ เห็นโจซองจะสิ้นความระแวงสงสัย เราจะเตรียมการทั้งปวงไว้ให้พร้อม เมื่อใดที่โจซองและพรรคพวกออกป่าไปล่าสัตว์นอกเมืองลกเอี๋ยง เป็นทีแล้วจะได้ทำการสืบไป

            สุมาสูและสุมาเจียวรับคำสุมาอี้แล้วจึงติดต่อประสานงานสมัครพรรคพวกเก่าของ  สุมาอี้ไว้อย่างเงียบกริบ วันรุ่งขึ้นเมื่อสุมาอี้เห็นทหารซึ่งรักษาการณ์ตรวจตราอยู่หน้าจวนถอนกำลังออกไปก็มีความยินดี หลังจากวันนั้นแล้วสุมาอี้จึงติดตามความเคลื่อนไหวของโจซองอย่างใกล้ชิด

            พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบสองพรรษา เดือนสี่ สุมาอี้ได้ทราบข่าวจากในราชสำนักว่าโจซองได้เชิญเสด็จพระเจ้าโจฮองออกไปเซ่นไหว้พระบูรพกษัตริย์ที่สุสานหลวงที่ตำบลโกเบงเหลงนอกเมืองลกเอี๋ยง แล้วจะเลยเสด็จไปประพาสป่าล่าสัตว์ ในการนี้โจซอง โจอี้ โจหุ้นและโจง่านซึ่งเป็นน้องของโจซองและพรรคพวกจะโดยเสด็จพระเจ้าโจฮองด้วย

            สุมาอี้ทราบข่าวดังนั้นก็มีความยินดี รีบประสานงานสมัครพรรคพวกให้เตรียมตัวพร้อมอยู่ในเมืองลกเอี๋ยง ครั้นถึงวันกำหนดพระเจ้าโจฮองได้ประทับรถพระที่นั่งพร้อมขบวนอิสริยยศตามประเพณีพระมหากษัตริย์ เสด็จออกจากเมืองลกเอี๋ยง โดยโจซอง โจอี้ โจหุ้นและโจง่านคุมขบวนทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ และทหารม้า ทหารราบ โดยเสด็จเป็นจำนวนมาก

            ฝ่ายฮวนห้อมขุนนางฝ่ายกรมนาซึ่งเป็นพรรคพวกของโจซอง ได้ทราบความว่าโจซองและพี่น้องตลอดจนพรรคพวกขุนนางผู้ใหญ่จะโดยเสด็จพระเจ้าโจฮองออกไปนอกเมืองทั้งสิ้นก็ตกใจ รีบขี่ม้าตามขบวนไปจนถึงขบวนของโจซอง

            ฮวนห้อมขี่ม้าเข้าไปประชิดโจซองแล้วยุดบังเหียนม้าของโจซองไว้ พลางกล่าวว่าตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ รักษาความปลอดภัยของเมืองหลวง ซึ่งท่านจะตามเสด็จนั้นก็ชอบอยู่ แต่การที่จะพาพี่น้องพรรคพวกซึ่งควบคุมดูแลความปลอดภัยของเมืองลกเอี๋ยงไปจนสิ้นนั้นไม่ควร เกลือกจะมีศัตรูคิดร้ายข้างในเมือง เห็นจะป้องกันแก้ไขไม่ทันท่วงที ชอบที่ท่านจะสั่งการให้น้องทั้งสามคนรีบกลับเข้าไปควบคุมสถานการณ์ภายในเมืองจึงจะควร

            โจซองได้ยินดังนั้นก็โกรธ ตวาดฮวนห้อมว่าขุนนางทั้งปวงล้วนอยู่ในอำนาจของตัวเราทั้งสิ้น จะมีใครใดกล้าบังอาจก่อการกบฎเล่า ท่านอย่าได้กล่าวให้มากความอีกเลย กล่าวแล้วโจซองจึงขี่ม้าตามขบวนเสด็จต่อไป

            ฮวนห้อมเห็นดังนั้นก็เสียใจ ขี่ม้ากลับไปที่พัก

            สุมาอี้พอทราบว่าขบวนเสด็จเคลื่อนออกจากพระราชวังก็เรียกระดมพรรคพวกมาพร้อมกันที่จวนราชครู แล้วทำหมายรับสั่งของพระเจ้าโจฮองปลอมขึ้นฉบับหนึ่งมอบหมายให้สุมาอี้เป็นผู้รักษาการพระนครในระหว่างเสด็จออกนอกเมืองลกเอี๋ยง มีอำนาจบัญชาการทหารและพลเรือนในเมืองหลวงทั้งสิ้น

            สุมาอี้ได้อาศัยหมายรับสั่งปลอมสั่งให้ปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้าน และสั่งให้โกหยิวลูกน้องเก่าแต่งตัวเป็นขุนนางผู้ใหญ่ พาทหารไปล้อมจวนของโจซองไว้ และสั่งให้อองก๋วนลูกน้องเก่าคนสนิทอีกคนหนึ่งคุมทหารไปล้อมจวนของโจอี้ และเข้าควบคุมกองกำลังรักษาพระนครไว้ในอำนาจ ทหารทั้งปวงในเมืองหลวงเคยอยู่ในบังคับบัญชาของสุมาอี้ ไม่ทันกลของสุมาอี้จึงหลงเชื่อว่ามีหมายรับสั่งตั้งให้สุมาอี้เป็นผู้รักษาพระนคร จึงทำตามคำสั่งของ  สุมาอี้อย่างพร้อมเพรียงกัน ดังนั้นเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามสุมาอี้จึงควบคุมสถานการณ์ในเมืองลกเอี๋ยงทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนไว้ได้จนหมดสิ้น

            ฝ่ายสุมาอี้ครั้นควบคุมสถานการณ์ทั้งปวงในเมืองลกเอี๋ยงไว้ในอำนาจแล้ว จึงพาทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์สองร้อยคนไปที่พระตำหนักพระราชชนนี นางพระกำนัลทั้งปวงเห็นสุมาอี้คุมทหารเข้ามาถึงพระตำหนักในเป็นอันมากก็ตกใจ แต่สุมาอี้ทำทีเป็นไม่สนใจ สั่งทหารให้รออยู่ด้านนอกพระตำหนัก ตัวสุมาอี้พาแต่ทหารคนสนิทสิบสองคนเข้าไปถึงพระตำหนักที่ประทับของพระนางก๊วยไทเฮา

            พระนางก๊วยไทเฮาซึ่งเป็นพระราชชนนีทราบความก็ตกพระทัย แต่ข่มใจเสด็จออกมาต้อนรับสุมาอี้ที่ห้องโถงหน้าพระตำหนัก สุมาอี้เห็นพระราชชนนีเสด็จออกจึงถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า พระองค์ทราบหรือไม่ว่าบัดนี้โจซองคิดการกบฏ ยึดพระราชอำนาจของพระเจ้าโจยอยไว้สิ้นแล้ว ยังตีตนเสมอฮ่องเต้อีก

            พระราชชนนีได้ฟังคำสุมาอี้ก็ตกพระทัย สุมาอี้จึงกราบทูลสืบไปว่าก่อนที่พระเจ้าโจยอยจะสิ้นพระชนม์ ทรงไว้วางใจข้าพระองค์และโจซอง ฝากฝังให้ทำนุบำรุงพระเจ้าโจฮองและร่วมกันบริหารราชการแผ่นดินเพื่อความมั่นคงและความร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมือง อันเป็นที่ทราบโดยทั่วกัน แต่บัดนี้โจซองกำเริบ ไม่ถือรับสั่งของพระเจ้าโจยอย แย่งยึดอำนาจทั้งหมดไว้แต่ผู้เดียว คบคิดกับพรรคพวกทำการทั้งปวงตามอำเภอน้ำใจ ฉ้อราษฎร์บังหลวง แย่งยึดพระราชอำนาจของฮ่องเต้ แม้พระสนมของพระเจ้าโจยอยก็คบคิดกับเตียวต๋องกรมขันทีลอบเอามาครองเสียเอง เป็นการล่วงพระบรมเดชานุภาพ การกินการอยู่ การแต่งกาย ก็เลียนแบบพระมหากษัตริย์ พฤติกรรมดังนี้เป็นกบฏต่อแผ่นดิน ข้าพระองค์จะทนนิ่งต่อไปย่อมไม่ควร จึงจำต้องทำการป้องกันมิให้โจซองกำเริบแย่งชิงราชสมบัติตามที่พระเจ้าโจยอยได้ทรงฝากฝังไว้

            พระนางก๊วยไทเฮาได้ฟังคำทูลของสุมาอี้ดังนั้นก็ทรงคล้อยตาม เพราะพฤติกรรมของโจซองที่ทรงทราบก็เป็นดังที่สุมาอี้ได้กราบทูลนั้น ทั้งทรงยำเกรงสุมาอี้ที่คุมกำลังทหารยึดพระนครไว้ในอำนาจหมดสิ้นแล้ว จึงมีพระราชเสาวนีย์ว่าขณะนี้พระเจ้าโจฮองเสด็จประพาสอยู่นอกเมืองลกเอี๋ยง การซึ่งท่านกราบทูลนั้นเป็นการฝ่ายหน้า เราเป็นฝ่ายในมิรู้ที่จะทำประการใดเลย

            สุมาอี้เห็นได้ทีจึงกราบทูลต่อไปว่า เมื่อพระองค์ทรงเห็นชอบที่ข้าพระองค์ทำการครั้งนี้แล้ว ข้าพระองค์ก็จะแต่งฎีกาตามที่ทรงเห็นชอบส่งไปถวายพระเจ้าโจฮอง เพื่อมีพระบรมราชโองการให้กำจัดผู้กบฏนั้นเสีย การทั้งปวงขอพระองค์อย่าทรงพระวิตก ข้าพระองค์จะรับเป็นธุระเองทั้งสิ้น

            พระราชชนนีได้ฟังสุมาอี้กราบทูลดังนั้นก็มิรู้ที่จะตัดสินพระทัยประการใด เพราะทีท่าสุมาอี้แม้กราบทูลประหนึ่งจะขอพระราชดำริ แต่แท้จริงกลับเป็นเรื่องกราบทูลให้ทรงทราบเท่านั้น แม้หากจะขัดขวางทัดทานประการใดเห็นจะไม่เป็นผล จึงมี พระราชเสาวนีย์ว่าท่านเห็นควรประการใด ก็จงทำไปตามที่ควรนั้นเถิด

            สุมาอี้ได้ยินพระราชเสาวนีย์ดังนั้นก็ดีใจ กราบทูลว่าข้าพระองค์จะทำตามพระราชเสาวนีย์ที่ทรงเห็นชอบนี้ แล้วถวายบังคมลาพระราชชนนีกลับไปที่กองกำลังรักษาพระนคร.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘