ตอนที่ 58. สงครามภาคตะวันออก
โตเกี๋ยมแม้มีใจรักชาติและอาทรต่อราษฎรแต่เป็นคนใจอ่อนไม่ต่างกับเจ้าเมืองพิษณุโลกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งคิดการแต่ด้านเดียวว่าเมื่อผู้ปกครองตั้งอยู่ในธรรมแล้วจะเอาบ้านเมืองให้รอดปลอดภัยได้
การปกครองโดยธรรมเป็นเรื่องภายใน แต่การป้องกันรักษาเมืองนั้นต้องอาศัยกำลังทหารที่เข้มแข็ง จะอาศัยธรรมเป็นหลักไม่ได้ เพราะข้าศึกที่มุ่งจะยึดเมืองนั้นใช้กำลังอาวุธไม่ได้ใช้ธรรม เหตุนี้เจ้าเมืองพิษณุโลกสมัยนั้นจึงเสียทั้งเมือง เสียทั้งชีวิตให้แก่พม่า
ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แม้เป็นประเทศที่ใฝ่สันติ ถือสันติธรรมเป็นหลักในการบริหารบ้านเมือง แต่ในขณะเดียวกันกลับมีกองทัพที่ทันสมัยเข้มแข็ง เหตุนี้จึงสามารถรักษาบ้านเมืองและรักษาความเป็นกลางไว้ได้ตลอดทุกยุคทุกสมัย
พระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าจึงทรงตักเตือนพสกนิกรของพระองค์ว่า
“แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์
ถึงศัตรูกล้ามาประจัญ ก็อาจสู้ริปูสลาย”
โตเกี๋ยมหลังจากยกออกไปเจรจากับโจโฉไม่สำเร็จและเกิดปะทะกันแล้วกลับเข้าเมืองก็เสียใจยิ่งนัก เรียกประชุมแม่ทัพนายกองแล้วแจ้งว่าศึกครั้งนี้เห็นทีจะสู้โจโฉไม่ได้ หากจะต่อสู้ต่อไปก็จะพลอยพาให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน จึงขอให้แม่ทัพนายกองทั้งปวงมัดตัวเองแล้วนำไปมอบให้โจโฉในวันพรุ่งนี้ แล้วขอชีวิตชาวเมืองไว้
บิต๊กขุนนางเมืองชีจิ๋วตำแหน่งที่ปรึกษาจึงว่าขึ้นในที่ประชุมนั้นว่า ตัวท่านมีน้ำใจโอบอ้อมอารี ปกครองราษฎรโดยธรรม ดังนั้นราษฎรจึงมีน้ำใจรักท่านเป็นอันมาก ย่อมไม่ยินยอมให้ท่านต้องเสียสละถึงเพียงนี้ อันเมืองชีจิ๋วนั้นกำแพงเมืองก็สูงใหญ่ เชิงเทินค่ายคูหอรบก็มั่นคง ผู้คนก็พร้อมสรรพ ทหารทั้งปวงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันย่อมสามารถป้องกันรักษาเมืองเอาไว้ได้ ท่านอย่าได้วิตกเลย
แล้วบิต๊กได้เสนอต่อไปว่าตัวท่านกับขงหยง เจ้าเมืองปักไฮก็รักใคร่นับถือกันดังพี่น้อง ขอให้ท่านมีหนังสือให้ขงหยงยกกองทัพมาช่วย อนึ่งการที่โจโฉยกมาทั้งนี้เป็นกองทัพใหญ่ย่อมทำให้เต๊งไก๋ เจ้าเมืองเซียงจิ๋วคิดพรั่นใจเพราะถ้าหากเมืองชีจิ๋วเสียแก่โจโฉแล้ว เมืองเซียงจิ๋วก็จะตกอยู่ในอันตรายด้วย การขับไล่กองทัพโจโฉจึงเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองเมือง หากท่านมีหนังสือไปให้เต๊งไก๋มาร่วมขับไล่โจโฉ เห็นทีเต๊งไก๋จะยกกองทัพมาช่วยเป็นแน่ เมื่อกองทัพเมืองปักไฮและเมืองเซียงจิ๋วยกมาช่วยเราแล้ว กองทัพโจโฉก็จะตกอยู่ในระหว่างกระหนาบของทั้งสามเมือง คงจะเสียทีเป็นมั่นคง
บิต๊กคนนี้เป็นคนมีคุณธรรม น้ำใจเอื้ออารีต่อคนทั้วปวง ว่ากันว่าครั้งหนึ่งมีเทพธิดาซึ่งได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้มาวางเพลิงเผาบ้านเรือนของบิต๊กตามวิบากกรรมเก่า แต่เทพธิดาได้กิตติศัพท์ว่าบิต๊กเป็นคนใจซื่อมือสะอาด จึงแกล้งลองใจขออาศัยเดินทางร่วมกับบิต๊ก หลังจากรอนแรมค้างคืนกันมาหลายวันบิต๊กก็ยังคงปฏิบัติต่อเทพธิดาจำแลงด้วยความเอื้ออาทร คงเส้นคงวา มิได้คิดหรือกระทำการใด ๆ ให้เป็นที่ล่วงเกิน เทพธิดาจึงสงสารแล้วบอกความให้ทราบ บิต๊กจึงสามารถขนย้ายทรัพย์สินออกจากเรือนก่อนที่จะถูกเพลิงไหม้
ครั้นบิต๊กเสนอความเห็นดั่งนั้นแล้ว โตเกี๋ยมและที่ประชุมเห็นพ้องด้วย โตเกี๋ยมจึงทำหนังสือให้ตันเต๋งถือไปขอความช่วยเหลือจากเต๊งไก๋ เจ้าเมืองเซียงจิ๋ว และให้บิต๊กถือไปขอความช่วยเหลือจากขงหยง เจ้าเมืองปักไฮ
เมื่อสองนักเดินสารออกจากเมืองชีจิ๋วแล้ว โตเกี๋ยมจึงสั่งทหารให้ขึ้นรักษาเชิงเทินค่ายคูหอรบตั้งมั่นรับศึกอยู่แต่ในเมือง ทหารโจโฉยกมาท้ารบด้วยเป็นหลายครั้ง ฝ่ายเมืองชีจิ๋วก็ยังคงคุมกำลังตั้งมั่นไม่ยอมออกรบ
ฝ่ายขงหยง เจ้าเมืองปักไฮ ได้รับหนังสือจากโตเกี๋ยมแล้ว ปรึกษากับบิต๊กว่าเรากับโจโฉไม่มีสิ่งใดผิดใจกันมาก่อน ดังนั้นจะมีหนังสือไปถึงโจโฉชี้แจงความจริงแล้วขอให้ถอนทัพกลับไป โจโฉคงจะเกรงใจเรา แต่บิต๊กท้วงว่าโตเกี๋ยมเคยออกไปพูดจาแล้วแต่ไม่ได้ผล หากท่านจะมีหนังสือไปอีกครั้งหนึ่งโจโฉก็คงไม่ยอมเกรงว่าจะเสียการไป
ขงหยงฟังแล้วเห็นด้วยจึงว่าถ้าเช่นนั้นเราก็จะดำเนินการพร้อมกันทั้งสอง อย่างคือมีหนังสือไปชี้แจงขอร้องให้โจโฉถอนทัพ ในขณะเดียวกันก็จะยกกองทัพไปด้วย
ในขณะที่กำลังปรึกษากันอยู่นั้น ขุนนางเมืองปักไฮได้นำใบบอกจากนายด่านเข้ามารายงานว่า บัดนี้โจรโพกผ้าเหลืองนำโดยกวนไฮได้ยกกองทัพจำนวนห้าหมื่นเข้าโจมตีชายแดนเมืองปักไฮ ดังนั้นขงหยงจึงต้องพักการข้างเมืองชีจิ๋วไว้ก่อน แล้วสั่งทหารให้เตรียมกองทัพยกไปปราบโจรโพกผ้าเหลือง
กองทัพเมืองปักไฮประจัญหน้ากับกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองที่ชายแดนกวนไฮนายโจรจึงว่ากับขงหยงว่า ยกมาครั้งนี้ไม่ประสงค์จะรุกราน เป็นแต่ขาดเสบียง จึงขอเสบียงสักหมื่นถังแล้วจะยกทัพไปทางอื่น ขงหยงไม่ยอมให้แล้วสั่งทหารเอกออกรบด้วนกวนไฮ ต่อสู้กันได้เพียงห้าเพลง กวนไฮก็เอาง้าวฟันทหารเอกของขงหยงตกม้าตาย ขงหยงจึงพาทหารยกหนีเข้าเมือง โจรโพกผ้าเหลืองเห็นได้ทีจึงยกกองทัพไปล้อมเมืองปักไฮไว้
ขณะนั้นไทสูจู้ ชาวเมืองอุยก๋วน ซึ่งเป็นหัวเมืองในบังคับของเมืองปักไฮ และ ขงหยงเคยอุปการะครอบครัวของไทสูจู้มาแต่ก่อน ครั้นได้ข่าวว่าโจรโพกผ้าเหลืองยกมาล้อมเมืองปักไฮ มารดาของไทสูจู้จึงสั่งให้มาช่วยขงหยง
ไทสูจู้ขับม้ามาถึงกำแพงเมืองปักไฮ เห็นพวกโจรล้อมอยู่จึงตีฝ่าเข้ามาที่กำแพงเมืองเกิดอลหม่านขึ้น ขงหยงทราบข่าวจึงขึ้นไปดูบนเชิงเทินเห็นไทสูจู้มีฝีมือเข้มแข็ง ทหารโจรโพกผ้าเหลืองสู้มิได้ ไทสูจู้ขับม้าไปทางไหน ทหารโจรโพกผ้าเหลืองก็แตกไปทางนั้น จนไทสูจู้ตีฝ่าเข้ามาถึงประตูเมือง ร้องเรียกให้เปิดประตูแต่ทหารไม่รู้จักตัวเกรงว่าจะเป็นกลอุบายจึงไม่ยอมเปิด ทหารโจรล้อมเข้ามาอีก ไทสูจู้จึงชักม้ากลับเข้ารบฆ่าฟันทหารโจรโพกผ้าเหลืองถอยร่นไป ขงหยงจึงสั่งให้เปิดประตูเมืองรับไทสูจู้เข้ามาพบ
หลังจากคารวะไต่ถามกันตามธรรมเนียมแล้ว ขงหยงก็ระลึกความที่เคยอุปการะครอบครัวไทสูจู้ได้ ไทสูจู้ขอทหารพันหนึ่งจะยกออกไปขับไล่โจรโพกผ้าเหลือง แต่ขงหยงเห็นว่าฝ่ายโจรโพกผ้าเหลืองมีจำนวนมากเกรงจะเสียทีจึงคิดขอให้เล่าปี่เจ้าเมืองเพงง้วนก๋วน ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ยกทหารเข้ามาช่วยป้องกันแผ่นดินของราชวงศ์ฮั่น แต่ยังหาผู้อาสานำหนังสือไปถึงเล่าปี่ไม่ได้ ไทสูจู้จึงขออาสาเดินสารครั้งนี้ ขงหยงก็ยินดี
ครั้นเล่าปี่ได้รับหนังสือของขงหยงแล้ว เห็นเป็นหน้าที่ของเจ้าเมืองในแผ่นดินของราชวงศ์ฮั่นที่ต้องช่วยป้องกันแผ่นดินไว้ จึงสั่งให้จัดกองทัพเมืองเพงง้วนก๋วนจำนวนสามพันพร้อมด้วยกวนอู เตียวหุย ยกไปเมืองปักไฮพร้อมกับไทสูจู้
กองทัพโจรโพกผ้าเหลืองล้อมเมืองชีจิ๋วอยู่ เห็นมีกองทัพยกมาจึงยกทหารเข้าตีกองทัพเมืองเพงง้วนก๋วน เล่าปี่จึงสั่งให้ทหารตั้งขบวนเรียงหน้ากระดาน เตรียมรบกันด้วยฝีมือทหารเอก แล้วเล่าปี่จึงขับม้าพร้อมด้วยกวนอู เตียวหุย และไทสูจู้ออกไปข้างหน้าขบวน
กวนไฮนายโจรเห็นดังนั้นจึงขับม้าออกไปกลางลานรบ ไทสูจู้กำลังจะชักม้าออกไปแต่เห็นกวนอูขับม้าออกไปก่อนจึงรั้งม้าไว้ กวนอูเข้ารบด้วยกวนไฮได้สามสิบเพลงก็เอาง้าวฟันกวนไฮตกม้าตาย กองทัพเมืองเพงง้วนก๋วนจึงยกเข้าตีกองทัพโจรโพกผ้าเหลือง ขณะนั้นขงหยงได้ยินเสียงกลองศึกดังสนั่น จึงขึ้นไปดูบนเชิงเทิน เห็นทัพเล่าปี่กำลังเข้ารบกับกองทัพโจรโพกผ้าเหลือง จึงยกทหารออกจากเมืองตีกระหนาบกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองทั้งสองด้าน ทหารโจรโพกผ้าเหลืองบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก พวกที่เหลืออยู่ทราบว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์ก็เข้ามาสวามิภักดิ์ด้วย
ปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองกลุ่มของกวนไฮแล้ว ขงหยงจึงเล่าเรื่องโจโฉยกมาตีเมืองชีจิ๋วให้เล่าปี่ฟัง และขอให้เล่าปี่ยกไปช่วยโตเกี๋ยมพร้อมกับกองทัพเมืองปักไฮ เล่าปี่จึงว่ามีทหารมาน้อยเกรงว่าจะเสียที ขงหยงขอร้องอีกครั้งหนึ่งว่าโตเกี๋ยมเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เล่าปี่ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้เป็นการไม่สมควร
เล่าปี่เห็นขงหยงเข้าใจผิดคิดว่าบิดพลิ้วจึงว่าเตรียมทหารมาน้อยนัก ไม่สามารถรับมือโจโฉได้ จะกลับไปขอยืมทหารจากกองซุนจ้านแล้วจะยกไปช่วยโต เกี๋ยม ขอให้ขงหยงยกไปช่วยโตเกี๋ยมก่อนแล้วจะตามไปสมทบ และให้คำมั่นว่าไม่ว่าจะยืมทหารได้หรือไม่ก็จะตามไป
ขงหยงจึงบอกให้บิต๊กกลับไปบอกแก่โตเกี๋ยมว่าจะยกกองทัพไปช่วย ส่วนเล่าปี่ก็ลาขงหยงไปเมืองปักเป๋ง ส่วนไทสูจู้ครั้นเสร็จการตามคำสั่งมารดาแล้วก็เดินทางกลับไป
เล่าปี่ยกทหารมาถึงเมืองปักเป๋งแล้วขอยืมทหารกับกองซุนจ้าน แต่กองซุนจ้านห้ามเล่าปี่ว่าไม่ได้มีความขัดแย้งกับโจโฉ จะไปตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับโจโฉนั้นไม่เห็นประโยชน์อันใด เล่าปี่ยืนยันว่าเป็นเชื้อพระวงศ์มีหน้าที่ป้องกันแผ่นดิน ทั้งรับคำขงหยงไว้แล้ว จะละคำสัตย์เสียไม่ควร กองซุนจ้านทัดทานเล่าปี่ไม่ได้แต่ก็ขัดเล่าปี่ไม่ได้เช่นเดียวกัน จึงให้ยืมทหารม้าแก่เล่าปี่จำนวนสองพัน เล่าปี่เห็นได้ทหารน้อยนักจึงขอตัวจูล่งไปในกองทัพด้วย กองซุนจ้านก็ตกลงอนุญาตให้ตามขอ
เล่าปี่ได้ทหารจากกองซุนจ้านแล้ว จึงจัดกองทัพให้จูล่งคุมทหารม้าสองพันที่กองซุนจ้านให้ยืมทำหน้าที่เป็นกองหลัง ส่วนเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย พร้อมทหารจากเมืองเพงง้วนก๋วนสามพันนั้นเป็นกองหน้ายกออกจากเมืองปักเป๋ง
ฝ่ายโตเกี๋ยมหลังจากมีหนังสือไปขอให้ขงหยงและเต๊งไก๋ยกกองทัพมาช่วยแล้วก็ตั้งมั่นรับศึกในเมือง ครั้นบิต๊กกลับมาถึงก็เข้าไปรายงานให้โตเกี๋ยมทราบ ห่างกันไม่นานตันเต๋งก็กลับมาจากเมืองเซียงจิ๋วรายงานว่าเต๊งไก๋ตกลงจะยกกองทัพมาช่วย โตเกี๋ยมจึงค่อยคลายความวิตกลง
หลังจากนั้นอีกสามวันทหารรักษาการณ์บนเชิงเทินได้มารายงานแก่โตเกี๋ยมว่าบัดนี้มีกองทัพยกมาสองกองตั้งค่ายอยู่ด้านหลังค่ายของโจโฉ กองหนึ่งมีธงประจำกองทัพระบุว่าเป็นเมืองปักไฮ และมีธงประจำตัวแม่ทัพชื่อขงหยง อีกกองทัพเป็นกองทัพเมืองเซียงจิ๋ว มีเต๊งไก๋เป็นแม่ทัพ ขงหยงทราบรายงานแล้วจึงขึ้นไปดูบนเชิงเทิน เห็นกองทัพทั้งสองกองตั้งค่ายอยู่ด้านหลังค่ายของโจโฉตามรายงาน
ด้านโจโฉเห็นมีกองทัพเมืองปักไฮและเมืองเซียงจิ๋วยกมาตั้งค่ายอยู่ทางด้านหลังก็พะวักพะวง จะยกเข้าตีเมืองชีจิ๋วก็ไม่ได้เกรงว่ากองทัพทางด้านหลังจะเข้าตีกระหนาบ จะยกไปตีกองทัพทางด้านหลังก็เกรงว่ากองทัพเมืองชีจิ๋วจะยกมาตีกระหนาบ จึงสั่งทหารให้แยกเป็นสองกอง กองหนึ่งรับหน้าเมืองชีจิ๋ว อีกกองหนึ่งรับหน้ากองทัพทางด้านหลังแล้วคุมเชิงกันอยู่
ฝ่ายเล่าปี่ครั้นเดินทัพมาถึงเมืองชีจิ๋ว เห็นกองทัพเมืองปักไฮและกองทัพเมืองเซียงจิ๋วตั้งค่ายประชิดค่ายโจโฉอยู่เป็นสองกอง จึงหยุดทัพไว้แล้วเข้าไปพบขงหยง
ขงหยงจึงว่ากองทัพโจโฉยกมาครั้งนี้มีทหารเป็นอันมาก และโจโฉก็มีสติปัญญาเชี่ยวชาญพิชัยสงคราม หากจะด่วนเข้าโจมตีเกรงจะเสียที เล่าปี่จึงว่าบัดนี้เรายังไม่รู้การศึกข้างในเมืองชีจิ๋ว จำเป็นที่จะต้องให้กองทัพทั้งภายนอกและภายในถึงกันเสียก่อน รู้ความศึกกระจ่างแล้วค่อยทำการต่อไป ดังนั้นจะให้กวนอูกับจูล่งคุมทหารสี่พันอยู่กับกองทัพของท่าน ตัวข้าพเจ้ากับเตียวหุยจะคุมทหารหนึ่งพันตีฝ่าเข้าไปในเมืองปรึกษาการศึกกับโตเกี๋ยมเสียชั้นหนึ่งก่อน
ขงหยงเห็นด้วยกับความคิดของเล่าปี่ ดังนั้นเล่าปี่จึงสั่งกวนอู และจูล่งให้คุมทหารสี่พันอยู่กับขงหยง ส่วนตัวเล่าปี่กับเตียวหุยและทหารหนึ่งพันจะตีฝ่าเข้าไปในเมือง ระหว่างที่ตีฝ่าเข้าเมืองนั้นหากพลาดพลั้งประการใดก็ให้กวนอู และจูล่งตีหนุนเข้าไปก็จะไม่เสียทีแก่ข้าศึก
สั่งการแล้วเล่าปี่ เตียวหุย กับทหารหนึ่งพันจึงเคลื่อนกำลังเตรียมตีฝ่ากองทัพโจโฉเข้าไปในเมืองชีจิ๋ว.
การปกครองโดยธรรมเป็นเรื่องภายใน แต่การป้องกันรักษาเมืองนั้นต้องอาศัยกำลังทหารที่เข้มแข็ง จะอาศัยธรรมเป็นหลักไม่ได้ เพราะข้าศึกที่มุ่งจะยึดเมืองนั้นใช้กำลังอาวุธไม่ได้ใช้ธรรม เหตุนี้เจ้าเมืองพิษณุโลกสมัยนั้นจึงเสียทั้งเมือง เสียทั้งชีวิตให้แก่พม่า
ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แม้เป็นประเทศที่ใฝ่สันติ ถือสันติธรรมเป็นหลักในการบริหารบ้านเมือง แต่ในขณะเดียวกันกลับมีกองทัพที่ทันสมัยเข้มแข็ง เหตุนี้จึงสามารถรักษาบ้านเมืองและรักษาความเป็นกลางไว้ได้ตลอดทุกยุคทุกสมัย
พระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าจึงทรงตักเตือนพสกนิกรของพระองค์ว่า
“แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์
ถึงศัตรูกล้ามาประจัญ ก็อาจสู้ริปูสลาย”
โตเกี๋ยมหลังจากยกออกไปเจรจากับโจโฉไม่สำเร็จและเกิดปะทะกันแล้วกลับเข้าเมืองก็เสียใจยิ่งนัก เรียกประชุมแม่ทัพนายกองแล้วแจ้งว่าศึกครั้งนี้เห็นทีจะสู้โจโฉไม่ได้ หากจะต่อสู้ต่อไปก็จะพลอยพาให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน จึงขอให้แม่ทัพนายกองทั้งปวงมัดตัวเองแล้วนำไปมอบให้โจโฉในวันพรุ่งนี้ แล้วขอชีวิตชาวเมืองไว้
บิต๊กขุนนางเมืองชีจิ๋วตำแหน่งที่ปรึกษาจึงว่าขึ้นในที่ประชุมนั้นว่า ตัวท่านมีน้ำใจโอบอ้อมอารี ปกครองราษฎรโดยธรรม ดังนั้นราษฎรจึงมีน้ำใจรักท่านเป็นอันมาก ย่อมไม่ยินยอมให้ท่านต้องเสียสละถึงเพียงนี้ อันเมืองชีจิ๋วนั้นกำแพงเมืองก็สูงใหญ่ เชิงเทินค่ายคูหอรบก็มั่นคง ผู้คนก็พร้อมสรรพ ทหารทั้งปวงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันย่อมสามารถป้องกันรักษาเมืองเอาไว้ได้ ท่านอย่าได้วิตกเลย
แล้วบิต๊กได้เสนอต่อไปว่าตัวท่านกับขงหยง เจ้าเมืองปักไฮก็รักใคร่นับถือกันดังพี่น้อง ขอให้ท่านมีหนังสือให้ขงหยงยกกองทัพมาช่วย อนึ่งการที่โจโฉยกมาทั้งนี้เป็นกองทัพใหญ่ย่อมทำให้เต๊งไก๋ เจ้าเมืองเซียงจิ๋วคิดพรั่นใจเพราะถ้าหากเมืองชีจิ๋วเสียแก่โจโฉแล้ว เมืองเซียงจิ๋วก็จะตกอยู่ในอันตรายด้วย การขับไล่กองทัพโจโฉจึงเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองเมือง หากท่านมีหนังสือไปให้เต๊งไก๋มาร่วมขับไล่โจโฉ เห็นทีเต๊งไก๋จะยกกองทัพมาช่วยเป็นแน่ เมื่อกองทัพเมืองปักไฮและเมืองเซียงจิ๋วยกมาช่วยเราแล้ว กองทัพโจโฉก็จะตกอยู่ในระหว่างกระหนาบของทั้งสามเมือง คงจะเสียทีเป็นมั่นคง
บิต๊กคนนี้เป็นคนมีคุณธรรม น้ำใจเอื้ออารีต่อคนทั้วปวง ว่ากันว่าครั้งหนึ่งมีเทพธิดาซึ่งได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้มาวางเพลิงเผาบ้านเรือนของบิต๊กตามวิบากกรรมเก่า แต่เทพธิดาได้กิตติศัพท์ว่าบิต๊กเป็นคนใจซื่อมือสะอาด จึงแกล้งลองใจขออาศัยเดินทางร่วมกับบิต๊ก หลังจากรอนแรมค้างคืนกันมาหลายวันบิต๊กก็ยังคงปฏิบัติต่อเทพธิดาจำแลงด้วยความเอื้ออาทร คงเส้นคงวา มิได้คิดหรือกระทำการใด ๆ ให้เป็นที่ล่วงเกิน เทพธิดาจึงสงสารแล้วบอกความให้ทราบ บิต๊กจึงสามารถขนย้ายทรัพย์สินออกจากเรือนก่อนที่จะถูกเพลิงไหม้
ครั้นบิต๊กเสนอความเห็นดั่งนั้นแล้ว โตเกี๋ยมและที่ประชุมเห็นพ้องด้วย โตเกี๋ยมจึงทำหนังสือให้ตันเต๋งถือไปขอความช่วยเหลือจากเต๊งไก๋ เจ้าเมืองเซียงจิ๋ว และให้บิต๊กถือไปขอความช่วยเหลือจากขงหยง เจ้าเมืองปักไฮ
เมื่อสองนักเดินสารออกจากเมืองชีจิ๋วแล้ว โตเกี๋ยมจึงสั่งทหารให้ขึ้นรักษาเชิงเทินค่ายคูหอรบตั้งมั่นรับศึกอยู่แต่ในเมือง ทหารโจโฉยกมาท้ารบด้วยเป็นหลายครั้ง ฝ่ายเมืองชีจิ๋วก็ยังคงคุมกำลังตั้งมั่นไม่ยอมออกรบ
ฝ่ายขงหยง เจ้าเมืองปักไฮ ได้รับหนังสือจากโตเกี๋ยมแล้ว ปรึกษากับบิต๊กว่าเรากับโจโฉไม่มีสิ่งใดผิดใจกันมาก่อน ดังนั้นจะมีหนังสือไปถึงโจโฉชี้แจงความจริงแล้วขอให้ถอนทัพกลับไป โจโฉคงจะเกรงใจเรา แต่บิต๊กท้วงว่าโตเกี๋ยมเคยออกไปพูดจาแล้วแต่ไม่ได้ผล หากท่านจะมีหนังสือไปอีกครั้งหนึ่งโจโฉก็คงไม่ยอมเกรงว่าจะเสียการไป
ขงหยงฟังแล้วเห็นด้วยจึงว่าถ้าเช่นนั้นเราก็จะดำเนินการพร้อมกันทั้งสอง อย่างคือมีหนังสือไปชี้แจงขอร้องให้โจโฉถอนทัพ ในขณะเดียวกันก็จะยกกองทัพไปด้วย
ในขณะที่กำลังปรึกษากันอยู่นั้น ขุนนางเมืองปักไฮได้นำใบบอกจากนายด่านเข้ามารายงานว่า บัดนี้โจรโพกผ้าเหลืองนำโดยกวนไฮได้ยกกองทัพจำนวนห้าหมื่นเข้าโจมตีชายแดนเมืองปักไฮ ดังนั้นขงหยงจึงต้องพักการข้างเมืองชีจิ๋วไว้ก่อน แล้วสั่งทหารให้เตรียมกองทัพยกไปปราบโจรโพกผ้าเหลือง
กองทัพเมืองปักไฮประจัญหน้ากับกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองที่ชายแดนกวนไฮนายโจรจึงว่ากับขงหยงว่า ยกมาครั้งนี้ไม่ประสงค์จะรุกราน เป็นแต่ขาดเสบียง จึงขอเสบียงสักหมื่นถังแล้วจะยกทัพไปทางอื่น ขงหยงไม่ยอมให้แล้วสั่งทหารเอกออกรบด้วนกวนไฮ ต่อสู้กันได้เพียงห้าเพลง กวนไฮก็เอาง้าวฟันทหารเอกของขงหยงตกม้าตาย ขงหยงจึงพาทหารยกหนีเข้าเมือง โจรโพกผ้าเหลืองเห็นได้ทีจึงยกกองทัพไปล้อมเมืองปักไฮไว้
ขณะนั้นไทสูจู้ ชาวเมืองอุยก๋วน ซึ่งเป็นหัวเมืองในบังคับของเมืองปักไฮ และ ขงหยงเคยอุปการะครอบครัวของไทสูจู้มาแต่ก่อน ครั้นได้ข่าวว่าโจรโพกผ้าเหลืองยกมาล้อมเมืองปักไฮ มารดาของไทสูจู้จึงสั่งให้มาช่วยขงหยง
ไทสูจู้ขับม้ามาถึงกำแพงเมืองปักไฮ เห็นพวกโจรล้อมอยู่จึงตีฝ่าเข้ามาที่กำแพงเมืองเกิดอลหม่านขึ้น ขงหยงทราบข่าวจึงขึ้นไปดูบนเชิงเทินเห็นไทสูจู้มีฝีมือเข้มแข็ง ทหารโจรโพกผ้าเหลืองสู้มิได้ ไทสูจู้ขับม้าไปทางไหน ทหารโจรโพกผ้าเหลืองก็แตกไปทางนั้น จนไทสูจู้ตีฝ่าเข้ามาถึงประตูเมือง ร้องเรียกให้เปิดประตูแต่ทหารไม่รู้จักตัวเกรงว่าจะเป็นกลอุบายจึงไม่ยอมเปิด ทหารโจรล้อมเข้ามาอีก ไทสูจู้จึงชักม้ากลับเข้ารบฆ่าฟันทหารโจรโพกผ้าเหลืองถอยร่นไป ขงหยงจึงสั่งให้เปิดประตูเมืองรับไทสูจู้เข้ามาพบ
หลังจากคารวะไต่ถามกันตามธรรมเนียมแล้ว ขงหยงก็ระลึกความที่เคยอุปการะครอบครัวไทสูจู้ได้ ไทสูจู้ขอทหารพันหนึ่งจะยกออกไปขับไล่โจรโพกผ้าเหลือง แต่ขงหยงเห็นว่าฝ่ายโจรโพกผ้าเหลืองมีจำนวนมากเกรงจะเสียทีจึงคิดขอให้เล่าปี่เจ้าเมืองเพงง้วนก๋วน ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ยกทหารเข้ามาช่วยป้องกันแผ่นดินของราชวงศ์ฮั่น แต่ยังหาผู้อาสานำหนังสือไปถึงเล่าปี่ไม่ได้ ไทสูจู้จึงขออาสาเดินสารครั้งนี้ ขงหยงก็ยินดี
ครั้นเล่าปี่ได้รับหนังสือของขงหยงแล้ว เห็นเป็นหน้าที่ของเจ้าเมืองในแผ่นดินของราชวงศ์ฮั่นที่ต้องช่วยป้องกันแผ่นดินไว้ จึงสั่งให้จัดกองทัพเมืองเพงง้วนก๋วนจำนวนสามพันพร้อมด้วยกวนอู เตียวหุย ยกไปเมืองปักไฮพร้อมกับไทสูจู้
กองทัพโจรโพกผ้าเหลืองล้อมเมืองชีจิ๋วอยู่ เห็นมีกองทัพยกมาจึงยกทหารเข้าตีกองทัพเมืองเพงง้วนก๋วน เล่าปี่จึงสั่งให้ทหารตั้งขบวนเรียงหน้ากระดาน เตรียมรบกันด้วยฝีมือทหารเอก แล้วเล่าปี่จึงขับม้าพร้อมด้วยกวนอู เตียวหุย และไทสูจู้ออกไปข้างหน้าขบวน
กวนไฮนายโจรเห็นดังนั้นจึงขับม้าออกไปกลางลานรบ ไทสูจู้กำลังจะชักม้าออกไปแต่เห็นกวนอูขับม้าออกไปก่อนจึงรั้งม้าไว้ กวนอูเข้ารบด้วยกวนไฮได้สามสิบเพลงก็เอาง้าวฟันกวนไฮตกม้าตาย กองทัพเมืองเพงง้วนก๋วนจึงยกเข้าตีกองทัพโจรโพกผ้าเหลือง ขณะนั้นขงหยงได้ยินเสียงกลองศึกดังสนั่น จึงขึ้นไปดูบนเชิงเทิน เห็นทัพเล่าปี่กำลังเข้ารบกับกองทัพโจรโพกผ้าเหลือง จึงยกทหารออกจากเมืองตีกระหนาบกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองทั้งสองด้าน ทหารโจรโพกผ้าเหลืองบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก พวกที่เหลืออยู่ทราบว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์ก็เข้ามาสวามิภักดิ์ด้วย
ปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองกลุ่มของกวนไฮแล้ว ขงหยงจึงเล่าเรื่องโจโฉยกมาตีเมืองชีจิ๋วให้เล่าปี่ฟัง และขอให้เล่าปี่ยกไปช่วยโตเกี๋ยมพร้อมกับกองทัพเมืองปักไฮ เล่าปี่จึงว่ามีทหารมาน้อยเกรงว่าจะเสียที ขงหยงขอร้องอีกครั้งหนึ่งว่าโตเกี๋ยมเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เล่าปี่ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้เป็นการไม่สมควร
เล่าปี่เห็นขงหยงเข้าใจผิดคิดว่าบิดพลิ้วจึงว่าเตรียมทหารมาน้อยนัก ไม่สามารถรับมือโจโฉได้ จะกลับไปขอยืมทหารจากกองซุนจ้านแล้วจะยกไปช่วยโต เกี๋ยม ขอให้ขงหยงยกไปช่วยโตเกี๋ยมก่อนแล้วจะตามไปสมทบ และให้คำมั่นว่าไม่ว่าจะยืมทหารได้หรือไม่ก็จะตามไป
ขงหยงจึงบอกให้บิต๊กกลับไปบอกแก่โตเกี๋ยมว่าจะยกกองทัพไปช่วย ส่วนเล่าปี่ก็ลาขงหยงไปเมืองปักเป๋ง ส่วนไทสูจู้ครั้นเสร็จการตามคำสั่งมารดาแล้วก็เดินทางกลับไป
เล่าปี่ยกทหารมาถึงเมืองปักเป๋งแล้วขอยืมทหารกับกองซุนจ้าน แต่กองซุนจ้านห้ามเล่าปี่ว่าไม่ได้มีความขัดแย้งกับโจโฉ จะไปตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับโจโฉนั้นไม่เห็นประโยชน์อันใด เล่าปี่ยืนยันว่าเป็นเชื้อพระวงศ์มีหน้าที่ป้องกันแผ่นดิน ทั้งรับคำขงหยงไว้แล้ว จะละคำสัตย์เสียไม่ควร กองซุนจ้านทัดทานเล่าปี่ไม่ได้แต่ก็ขัดเล่าปี่ไม่ได้เช่นเดียวกัน จึงให้ยืมทหารม้าแก่เล่าปี่จำนวนสองพัน เล่าปี่เห็นได้ทหารน้อยนักจึงขอตัวจูล่งไปในกองทัพด้วย กองซุนจ้านก็ตกลงอนุญาตให้ตามขอ
เล่าปี่ได้ทหารจากกองซุนจ้านแล้ว จึงจัดกองทัพให้จูล่งคุมทหารม้าสองพันที่กองซุนจ้านให้ยืมทำหน้าที่เป็นกองหลัง ส่วนเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย พร้อมทหารจากเมืองเพงง้วนก๋วนสามพันนั้นเป็นกองหน้ายกออกจากเมืองปักเป๋ง
ฝ่ายโตเกี๋ยมหลังจากมีหนังสือไปขอให้ขงหยงและเต๊งไก๋ยกกองทัพมาช่วยแล้วก็ตั้งมั่นรับศึกในเมือง ครั้นบิต๊กกลับมาถึงก็เข้าไปรายงานให้โตเกี๋ยมทราบ ห่างกันไม่นานตันเต๋งก็กลับมาจากเมืองเซียงจิ๋วรายงานว่าเต๊งไก๋ตกลงจะยกกองทัพมาช่วย โตเกี๋ยมจึงค่อยคลายความวิตกลง
หลังจากนั้นอีกสามวันทหารรักษาการณ์บนเชิงเทินได้มารายงานแก่โตเกี๋ยมว่าบัดนี้มีกองทัพยกมาสองกองตั้งค่ายอยู่ด้านหลังค่ายของโจโฉ กองหนึ่งมีธงประจำกองทัพระบุว่าเป็นเมืองปักไฮ และมีธงประจำตัวแม่ทัพชื่อขงหยง อีกกองทัพเป็นกองทัพเมืองเซียงจิ๋ว มีเต๊งไก๋เป็นแม่ทัพ ขงหยงทราบรายงานแล้วจึงขึ้นไปดูบนเชิงเทิน เห็นกองทัพทั้งสองกองตั้งค่ายอยู่ด้านหลังค่ายของโจโฉตามรายงาน
ด้านโจโฉเห็นมีกองทัพเมืองปักไฮและเมืองเซียงจิ๋วยกมาตั้งค่ายอยู่ทางด้านหลังก็พะวักพะวง จะยกเข้าตีเมืองชีจิ๋วก็ไม่ได้เกรงว่ากองทัพทางด้านหลังจะเข้าตีกระหนาบ จะยกไปตีกองทัพทางด้านหลังก็เกรงว่ากองทัพเมืองชีจิ๋วจะยกมาตีกระหนาบ จึงสั่งทหารให้แยกเป็นสองกอง กองหนึ่งรับหน้าเมืองชีจิ๋ว อีกกองหนึ่งรับหน้ากองทัพทางด้านหลังแล้วคุมเชิงกันอยู่
ฝ่ายเล่าปี่ครั้นเดินทัพมาถึงเมืองชีจิ๋ว เห็นกองทัพเมืองปักไฮและกองทัพเมืองเซียงจิ๋วตั้งค่ายประชิดค่ายโจโฉอยู่เป็นสองกอง จึงหยุดทัพไว้แล้วเข้าไปพบขงหยง
ขงหยงจึงว่ากองทัพโจโฉยกมาครั้งนี้มีทหารเป็นอันมาก และโจโฉก็มีสติปัญญาเชี่ยวชาญพิชัยสงคราม หากจะด่วนเข้าโจมตีเกรงจะเสียที เล่าปี่จึงว่าบัดนี้เรายังไม่รู้การศึกข้างในเมืองชีจิ๋ว จำเป็นที่จะต้องให้กองทัพทั้งภายนอกและภายในถึงกันเสียก่อน รู้ความศึกกระจ่างแล้วค่อยทำการต่อไป ดังนั้นจะให้กวนอูกับจูล่งคุมทหารสี่พันอยู่กับกองทัพของท่าน ตัวข้าพเจ้ากับเตียวหุยจะคุมทหารหนึ่งพันตีฝ่าเข้าไปในเมืองปรึกษาการศึกกับโตเกี๋ยมเสียชั้นหนึ่งก่อน
ขงหยงเห็นด้วยกับความคิดของเล่าปี่ ดังนั้นเล่าปี่จึงสั่งกวนอู และจูล่งให้คุมทหารสี่พันอยู่กับขงหยง ส่วนตัวเล่าปี่กับเตียวหุยและทหารหนึ่งพันจะตีฝ่าเข้าไปในเมือง ระหว่างที่ตีฝ่าเข้าเมืองนั้นหากพลาดพลั้งประการใดก็ให้กวนอู และจูล่งตีหนุนเข้าไปก็จะไม่เสียทีแก่ข้าศึก
สั่งการแล้วเล่าปี่ เตียวหุย กับทหารหนึ่งพันจึงเคลื่อนกำลังเตรียมตีฝ่ากองทัพโจโฉเข้าไปในเมืองชีจิ๋ว.