ตอนที่ 589. ปรัชญาสอนใจของสุมาอี้
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบเอ็ดพรรษา โจซองคุมอำนาจแคว้นฮุยอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าราชการฝ่ายทหาร พลเรือน ไม่ว่าราชการข้างในและข้างนอกราชสำนัก ทำให้โจซองและพรรคพวกยิ่งกำเริบ ถึงขนาดโฮอั๋นหัวโจกองครักษ์พิทักษ์นายก็ริอ่านคิดจะเป็นมหาอุปราช
กวนลอได้ยินคำเตงเหยียงหนึ่งในองครักษ์พิทักษ์นายไม่พอใจคำพยากรณ์ที่ให้โฮอั๋นเลิกความคิดที่จะได้ตำแหน่งมหาอุปราช จึงกล่าวว่าซึ่งท่านเห็นว่าคำทำนายไม่เป็นไปตามตำรานั้นก็จริงอยู่ ตัวข้าพเจ้านี้หาได้ทำนายตามตำราไม่ แต่พยากรณ์ไปตามคำเล่าขานของผู้เฒ่าผู้แก่อันมีมาแต่โบราณ ผู้ใดเชื่อฟังคำก็จะจำเริญสืบไป หากผู้ใดไม่เชื่อฟังก็จะมีอันตรายด้วยประการต่าง ๆ
กวนลอกล่าวแล้วก็ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อเดินกลับออกไป โฮอั๋นและเตงเหยียงเห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะ เตงเหยียงเกรงว่าโฮอั๋นจะวิตกด้วยคำทำนาย จึงแสร้งกล่าวว่าโบราณว่าอย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนบวช อย่าสวดคนเมา กวนลอนี้ดูทีท่าจะเป็นคนวิกลจริต ฟังคำเป็นแก่นสารมิได้
ฝ่ายกวนลอเมื่อกลับออกจากจวนของโฮอั๋นแล้วได้เดินทางกลับไปเมืองเพงง้วนก๋วน ผู้เป็นน้าชายเห็นกวนลอกลับมาดังนั้นจึงถามว่า เจ้าไปเมืองหลวงครั้งนี้ได้ความประการใด กวนลอก็เล่าเนื้อความซึ่งได้พยากรณ์ชะตาของโฮอั๋นให้น้าชายฟังทุกประการ
น้าชายของกวนลอได้ฟังความก็ตกใจ กล่าวว่าคำเจ้ากล่าวกระทบใจขุนนางผู้ใหญ่ในผู้สำเร็จราชการแผ่นดินโจซองดังนี้ ไม่เกรงหรือว่าอันตรายจะมาถึงตัวตามทำนองปลาหมอตายเพราะปาก
กวนลอได้ยินก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า “โฮอั๋นกับเตงเหยียงเป็นคนถึงตายอยู่แล้วกลัวอะไร”
น้าชายของกวนลอจึงถามว่า เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าโฮอั๋นและเตงเหยียงจะถึงแก่ความตายเล่า
กวนลอจึงว่า ข้าพเจ้าได้พิเคราะห์ดูรูปร่างลักษณะและกิริยาของโฮอั๋นและเตงเหยียงแล้ว เห็นพลังชีวิตบนใบหน้าเหลือน้อยริบหรี่เต็มที สีเลือดฝาดอันพึงมีแก่ใบหน้าของขุนนางผู้มีอำนาจวาสนาจางหายไป ปรากฏเงาสีเขียวดำซึมซ่านอย่างเห็นได้ชัด ตรงหว่างคิ้วมีเงาสีดำทาทาบทั้งสองคน ดังนี้ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าทั้งโฮอั๋นและเตงเหยียงใกล้จะถึงแก่ความตายแล้ว ถึงแม้จะมีอำนาจวาสนาปานใด อำนาจและวาสนานั้นก็จะล้างผลาญตัวเอง เห็นว่าในไม่ช้าอันตรายก็จะมาถึง อย่าได้พักสงสัยเลย
น้าชายได้ยินคำกวนลอดังนั้นก็ไม่เชื่อ กล่าวว่าอำนาจราชศักดิ์ในแผ่นดินทุกวันนี้อยู่ในเงื้อมมือโจซองสิ้น ผู้คนเล่าก็พรักพร้อม ขุนนางที่เป็นศัตรูก็ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น ใครไหนจะกล้าบังอาจทำอันตราย แล้วกล่าวว่าดูท่าเจ้าเห็นจะเสียจริตเป็นแน่แท้
กวนลอได้ฟังคำน้าชายดังนั้นก็หัวเราะ แล้วเดินกลับไปที่พัก
ฝ่ายสุมาอี้หลังจากถูกยกขึ้นหิ้งเป็นราชครูหมดสิ้นอำนาจวาสนาในทางการทหารและการปกครอง ก็ได้แต่จับเจ่าอยู่ที่บ้าน นานวันเข้าก็ตรอมใจและล้มป่วยลง
สุมาสูและสุมาเจียวทราบข่าวว่าสุมาอี้ผู้บิดาป่วยก็ตกใจ พากันมาเยี่ยมสุมาอี้ถึงที่ห้องนอน สุมาเจียวรักนับถือบิดาเป็นอันมาก เห็นบิดาป่วยก็ต้องการเอาใจ เห็นเด็กรับใช้อุ่นหม้อยาเสร็จแล้ว จึงรับเป็นธุระรินยาใส่ถ้วยด้วยตนเอง แล้วถือเข้าไปหาสุมาอี้
สุมาเจียวเป่ายาให้พอคลายร้อนแล้วเอาช้อนตักยาขึ้นมาชิม พลางบ่นว่ายานี้ขมนัก ท่านพ่อจะดื่มยาไหวหรือ
สุมาอี้พยุงตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วกล่าวว่ายาขมย่อมมีสรรพคุณในการรักษาโรค คำคนที่ไม่ต้องหูมักมีประโยชน์ สืบไปเบื้องหน้าเจ้าทั้งสองจงจำคำเราไว้ให้จงดี อันตรายที่จะบังเกิดแก่ผู้มีอำนาจวาสนานั้นมักมีมาแต่คำคน ด้วยวิสัยใจคนย่อมรักย่อมพึงใจย่อมปรารถนาในคำหวาน สิ่งใดหวานต้องใจก็มักจะเชื่อถือรับฟัง ลืมเฉลียวคิดว่าเป็นจริงหรือไม่และเป็นประโยชน์จริงหรือไม่ เพราะโลกนิยมเป็นดังนี้ผู้มักแสวงหาประโยชน์จึงฝึกฝนจนชำนาญในการกล่าวคำให้ไพเราะเสนาะหวานหูแก่ผู้มีอำนาจ เนื้อแท้แล้วหาได้มุ่งให้ประโยชน์แก่ผู้มีอำนาจไม่ หากหวังเอาประโยชน์และความชอบที่ผู้มีอำนาจจะประทานให้ต่างหาก
สุมาอี้กล่าวแล้วจึงรับเอาถ้วยยาจากสุมาเจียวมาดื่มจนหมดถ้วย
สุมาสูเห็นบิดาดื่มยาแล้วจึงกล่าวว่า ท่านพ่อตกระกำลำบากก็เพราะไอ้โจซองนี้โดยแท้ มีโอกาสเมื่อใดจะสับเสียให้เป็นชิ้นไม่ให้กากินติดคอเลย
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นจึงเตือนบุตรทั้งสองว่า ไยเจ้าจึงต้องกล่าวคำดังนี้เล่า หาเป็นประโยชน์อันใดไม่ ความคับแค้นพยาบาทอันใดมีอยู่ในใจ ย่อมต้องถือเอาเป็นความลับอันยิ่งยวด จะเปิดเผยแพร่งพรายให้ผู้ใดล่วงรู้มิได้เป็นอันขาด หากพลั้งพลาดย่อมอาจถึงตายได้ แม้เป็นบ้านของเราเองก็วางใจมิได้ ด้วยหน้าต่างนั้นมีหู ประตูนั้นมีตา จะปล่อยปากไปตามอารมณ์กล่าวความซึ่งเป็นอันตรายแก่ตัวโดยหาประโยชน์อันใด มิได้ดังนี้ เจ้าจงจำไว้อย่ากระทำการดังนี้อีก
สุมาเจียวได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า ท่านพ่อมีสติปัญญาและมีความชอบแก่แผ่นดินเป็นอันมาก จะปล่อยให้โจซองทำหยาบช้าแก่ฮ่องเต้และราษฎรสืบไปหรือ
สุมาอี้จึงว่า ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าเป็นอย่างไรเจ้าก็รู้อยู่แก่ตัว รู้ดังนี้แล้วไฉนจึงมาถามให้เราต้องออกปากเองเล่า
กล่าวแล้วสุมาอี้จึงมองหน้าบุตรทั้งสองคน แล้วกล่าวย้ำอย่างหนักแน่นว่าความรู้สึกนึกคิดอันครองจิตใจเจ้าอยู่นั้นมีมาแต่เหตุอันใด เจ้าจงจดจำไว้ให้มั่นคง วันข้างหน้าเมื่อเจ้าเติบใหญ่ขึ้นแล้วจะต้องไม่กระทำการก่อเหตุซึ่งทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึก ดังที่เจ้าเป็นอยู่ในวันนี้ ในการสงครามนั้นการจะล้อมตีข้าศึก โบราณว่าให้ปิดล้อมไว้แต่เพียงสามด้าน เปิดด้านหนึ่งไว้ปล่อยให้หนีไป แล้วค่อยกำจัดในภายหลัง เหตุผลของคำโบราณนี้อยู่ตรงที่ต้องไม่ทำให้หมาจนตรอก ต้องไม่ทำให้คนอับจนทางถอย เพราะหมาเมื่อจนตรอก คนเมื่อจนทางถอย ก็ย่อมกลายเป็นพวกสิ้นคิด ไม่เกรงกลัวต่อความตาย ย่อมคิดอ่านเสี่ยงตาย ความสูญเสียจะบังเกิดขึ้นอย่างคาดคิดไม่ถึง โจซองทำให้พวกเราอับจนทางถอยถึงเพียงนี้ เห็นโจซองจะกำเริบน้ำใจ วันหนึ่งก็จะตั้งอยู่ในความประมาท เห็นจะเสียทีแก่เราเป็นแน่นอน
สุมาเจียวได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า บิดาจะรอถึงวันเวลาใดจึงจะล้างความพยาบาทในใจให้หมดสิ้น
สุมาอี้จึงว่าบัดนี้โจซองได้ครองอำนาจทั้งฝ่ายบุ๋น ฝ่ายบู๊ มีผู้คนในอำนาจจำนวนมาก จึงยากที่จะกำหนดวันเวลาได้ การทั้งปวงต้องเป็นไปตามลิขิตสวรรค์ สุดแท้แต่วันเวลาใดเงื่อนไขจะอำนวยจึงค่อยคิดทำการสืบไป
สุมาสูได้ฟังคำสุมาอี้จึงกล่าวว่าโจซองยามนี้มีอำนาจเป็นใหญ่ ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน นับวันยิ่งกำเริบแล้วตั้งตนเสมอฮ่องเต้ แต่บรรดาขุนนางข้าราชการและพ่อค้าวาณิชก็หาได้มีความรังเกียจไม่ กลับยอมเข้าเป็นพวกของโจซองเป็นอันมาก นับแต่โจซองครองอำนาจถึงวันนี้ร่วมหกปีแล้ว ผู้คนบริวารและอำนาจของโจซองกลับยิ่งเพิ่มพูนขึ้น จึงวิตกว่าความคิดของบิดาอาจเป็นหมันไป
สุมาอี้หัวเราะอย่างแค่น ๆ แล้วกล่าวว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ย่อมมีวันแปรผันเปลี่ยนแปลง พระอาทิตย์ขึ้นแล้วย่อมอัสดง ราตรีที่ทอดยาวแล้วย่อมเป็นนิมิตหมายว่ารุ่งอรุณกำลังใกล้มาถึง ฟ้ามืดเมื่อมีได้ก็ฟ้าใหม่ย่อมคงมี โจซองครองอำนาจถึงบัดนี้เห็นทีใกล้สุกงอมแล้ว เพราะหกปีมานี้อำนาจวาสนาของโจซองได้เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว อุปมาดังหนึ่งกองไฟที่กลายเป็นกองใหญ่ขึ้นทุกที กองไฟใหญ่ขึ้นเท่าใดย่อมกินฟืนไฟมากขึ้นเท่านั้น กองไฟของโจซองกองนี้กินฟืนไฟมานานหนักหนา เห็นจะใกล้เวลาดับมอดแล้ว นี่เป็นสัจธรรมอันไม่อาจฝ่าฝืนได้ ช้าเร็ววันแห่งการดับสูญของโจซองก็จะต้องมาถึง
แล้วสุมาอี้จึงกล่าวว่า พวกเราเพียงแต่ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของโจซองไว้ให้ใกล้ชิดก็เพียงพอ การทั้งปวงบิดาได้คิดอ่านอย่างรอบคอบรอบด้านแล้ว
หลังจากวันนั้นมาทั้งสุมาสูและสุมาเจียวจึงติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของโจซองอย่างเงียบ ๆ
ฝ่ายโจซองเมื่อได้ครองอำนาจในวุยก๊กเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ยิ่งกำเริบขึ้น ริอ่านคิดว่าเป็นประเพณีของฮ่องเต้ยามแผ่นดินสงบสุขก็ชอบที่จะออกป่าล่าสัตว์ ตัวเราวันนี้ราชการบ้านเมืองทุกสิ่งอย่างก็เข้าทางเข้าที่ จำจะหาความสำราญเป็นการเสริมสร้างบารมีไปในตัว
ดังนั้นโจซองจึงพาห้าองครักษ์พิทักษ์นายและพรรคพวกเข้าป่าล่าสัตว์ จัดเป็นขบวนใหญ่ประหนึ่งฮ่องเต้เสด็จประพาสป่า สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “โจซองกับโฮอั๋น เตงเหยียง หลีซิน เตงปิด ปิดห้วนนั้น พากันไปเที่ยวยิงเนื้อทุกวัน มิได้ขาด”
ฝ่ายโจอี้ผู้น้องของโจซองเห็นโจซองคิดกำเริบและเห็นว่าการออกป่าล่าสัตว์เป็นเนืองนิจนั้นเป็นอันตราย เพราะหากศัตรูคู่ปรปักษ์สังเกตความเคลื่อนไหวเอาเป็นกฏเกณฑ์ได้แล้วก็อาจคิดทำอันตรายได้โดยสะดวก
คิดดังนั้นแล้วโจอี้จึงเข้าไปหาโจซองแล้วเตือนว่า “ท่านมียศถาศักดิ์ถึงเพียงนี้ ซึ่งจะพากันไปยิงเนื้อในป่านั้นไม่ควร เกลือกศัตรูจะลอบไปทำอันตรายก็จะเสียทีแก่มัน”
โจซองยามนี้มีอำนาจ คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าใครในแผ่นดิน พอได้ยินคำเตือนของผู้น้องก็โกรธ กล่าวว่าตัวเจ้าอย่าทำตัวตกใจง่ายเป็นกระต่ายตื่นตูมเลย แผ่นดินนี้เรามีอำนาจวาสนายิ่งกว่าใคร บ่าวไพร่ผู้คนทั้งทหารและพลเรือนก็อยู่ในอำนาจเราสิ้น ทรัพย์สิ่งศฤงคารข้าวของเงินทองก็มากล้น จนอาจจะมากกว่าเงินทองในท้องพระคลังหลวงเสียอีก ใครไหนจะหาญกล้ามาคิดอ่านทำอันตรายแก่เรา
บังเอิญในวันนั้นฮวนห้อมเจ้ากรมนาซึ่งมีสติปัญญายิ่งกว่าใครในบรรดาพรรคพวกของโจซองได้มาที่จวนของโจซองตามคำเรียกหา เห็นโจซองโกรธผู้น้องดังนั้นจึงห้ามปรามว่าซึ่งโจอี้กล่าวมานี้ใช่ว่าจะไร้ซึ่งเหตุผล ตัวอย่างการลอบทำร้ายฮ่องเต้ยามเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ที่มีมาในหนหลังก็เป็นตัวอย่างอยู่ ตัวท่านมีบุญถึงเพียงนี้แล้วพึงคิดอ่านระมัดระวังตัวก็จะดีกว่าตั้งอยู่ในความประมาท
แต่โจซองวันนี้ผิดกับโจซองเมื่อก่อนแล้ว แม้เคยรับฟังเชื่อถือฮวนห้อมตลอดมา แต่อำนาจวาสนาได้ปิดบังตาจนลืมเลือนความหลังไปจนหมดสิ้น แม้ได้ยินคำทัดทานของฮวนห้อมก็ไม่ฟังคำ แล้วกล่าวว่าเมื่อเจ้าทั้งสองไม่รักการออกป่าล่าสัตว์ก็จงอยู่แต่ในเมืองเถิด
ฝ่ายสุมาอี้และบุตรทั้งสองคนได้ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของโจซองอย่างต่อเนื่องตลอดมาแต่ยังไม่เห็นช่องทำการ ครั้นอีกสามเดือนจะขึ้นปีใหม่สุมาอี้ก็แสร้งทำเป็นป่วยหนัก ไม่เข้าไปสั่งสอนวิทยาการแก่พระเจ้าโจฮองตามปกติ
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบสองพรรษา เดือนสาม ขึ้นปีใหม่แล้ว โจซองทราบว่าสุมาอี้ป่วยหนักและไม่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าโจฮองเป็นเวลาหลายเดือนก็สงสัย ประจวบกับพระเจ้าโจฮองมีพระบรมราชโองการตั้งหลีซินหนึ่งในห้าองครักษ์พิทักษ์นายให้เป็นเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว จึงคิดว่าสุมาอี้ป่วยถึงบัดนี้ก็นานแล้ว จำจะตรวจสอบดูว่าสุมาอี้ป่วยหนักจริงหรือไม่ จะได้ไม่เป็นที่ระแวงสงสัยอีกต่อไป
โจซองคิดดังนั้นจึงเรียกหลีซินเข้ามาพบ แล้วกล่าวว่าหลายปีมานี้เรากริ่งเกรงสติปัญญาของสุมาอี้ จึงกวดขันตรวจตราสอดส่องพฤติกรรมของสุมาอี้และบุตรทั้งสองคนมิได้ขาด หากสิ้นสุมาอี้เสียแล้วเราก็จะสิ้นที่วิตกสืบไป บัดนี้ได้ยินว่าสุมาอี้ป่วยหนักพักรักษาตัวอยู่หลายเดือนแล้ว แต่ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นี้จะป่วยหนักจริงหรือไม่ยังคงเป็นที่สงสัย จึง ไหว้วานให้เจ้าไปหยั่งท่าทีตรวจสอบดูว่าสุมาอี้ป่วยหนักจริงหรือไม่ประการใด ให้เจ้าจงทำทีเข้าไปลาสุมาอี้เพื่อไปรับตำแหน่งเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว หากได้ความประการใดก็ให้รีบมาแจ้งแก่เรา
หลีซินรับคำโจซองแล้วจึงคำนับลาและเดินทางไปที่จวนของสุมาอี้.
กวนลอได้ยินคำเตงเหยียงหนึ่งในองครักษ์พิทักษ์นายไม่พอใจคำพยากรณ์ที่ให้โฮอั๋นเลิกความคิดที่จะได้ตำแหน่งมหาอุปราช จึงกล่าวว่าซึ่งท่านเห็นว่าคำทำนายไม่เป็นไปตามตำรานั้นก็จริงอยู่ ตัวข้าพเจ้านี้หาได้ทำนายตามตำราไม่ แต่พยากรณ์ไปตามคำเล่าขานของผู้เฒ่าผู้แก่อันมีมาแต่โบราณ ผู้ใดเชื่อฟังคำก็จะจำเริญสืบไป หากผู้ใดไม่เชื่อฟังก็จะมีอันตรายด้วยประการต่าง ๆ
กวนลอกล่าวแล้วก็ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อเดินกลับออกไป โฮอั๋นและเตงเหยียงเห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะ เตงเหยียงเกรงว่าโฮอั๋นจะวิตกด้วยคำทำนาย จึงแสร้งกล่าวว่าโบราณว่าอย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนบวช อย่าสวดคนเมา กวนลอนี้ดูทีท่าจะเป็นคนวิกลจริต ฟังคำเป็นแก่นสารมิได้
ฝ่ายกวนลอเมื่อกลับออกจากจวนของโฮอั๋นแล้วได้เดินทางกลับไปเมืองเพงง้วนก๋วน ผู้เป็นน้าชายเห็นกวนลอกลับมาดังนั้นจึงถามว่า เจ้าไปเมืองหลวงครั้งนี้ได้ความประการใด กวนลอก็เล่าเนื้อความซึ่งได้พยากรณ์ชะตาของโฮอั๋นให้น้าชายฟังทุกประการ
น้าชายของกวนลอได้ฟังความก็ตกใจ กล่าวว่าคำเจ้ากล่าวกระทบใจขุนนางผู้ใหญ่ในผู้สำเร็จราชการแผ่นดินโจซองดังนี้ ไม่เกรงหรือว่าอันตรายจะมาถึงตัวตามทำนองปลาหมอตายเพราะปาก
กวนลอได้ยินก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า “โฮอั๋นกับเตงเหยียงเป็นคนถึงตายอยู่แล้วกลัวอะไร”
น้าชายของกวนลอจึงถามว่า เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าโฮอั๋นและเตงเหยียงจะถึงแก่ความตายเล่า
กวนลอจึงว่า ข้าพเจ้าได้พิเคราะห์ดูรูปร่างลักษณะและกิริยาของโฮอั๋นและเตงเหยียงแล้ว เห็นพลังชีวิตบนใบหน้าเหลือน้อยริบหรี่เต็มที สีเลือดฝาดอันพึงมีแก่ใบหน้าของขุนนางผู้มีอำนาจวาสนาจางหายไป ปรากฏเงาสีเขียวดำซึมซ่านอย่างเห็นได้ชัด ตรงหว่างคิ้วมีเงาสีดำทาทาบทั้งสองคน ดังนี้ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าทั้งโฮอั๋นและเตงเหยียงใกล้จะถึงแก่ความตายแล้ว ถึงแม้จะมีอำนาจวาสนาปานใด อำนาจและวาสนานั้นก็จะล้างผลาญตัวเอง เห็นว่าในไม่ช้าอันตรายก็จะมาถึง อย่าได้พักสงสัยเลย
น้าชายได้ยินคำกวนลอดังนั้นก็ไม่เชื่อ กล่าวว่าอำนาจราชศักดิ์ในแผ่นดินทุกวันนี้อยู่ในเงื้อมมือโจซองสิ้น ผู้คนเล่าก็พรักพร้อม ขุนนางที่เป็นศัตรูก็ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น ใครไหนจะกล้าบังอาจทำอันตราย แล้วกล่าวว่าดูท่าเจ้าเห็นจะเสียจริตเป็นแน่แท้
กวนลอได้ฟังคำน้าชายดังนั้นก็หัวเราะ แล้วเดินกลับไปที่พัก
ฝ่ายสุมาอี้หลังจากถูกยกขึ้นหิ้งเป็นราชครูหมดสิ้นอำนาจวาสนาในทางการทหารและการปกครอง ก็ได้แต่จับเจ่าอยู่ที่บ้าน นานวันเข้าก็ตรอมใจและล้มป่วยลง
สุมาสูและสุมาเจียวทราบข่าวว่าสุมาอี้ผู้บิดาป่วยก็ตกใจ พากันมาเยี่ยมสุมาอี้ถึงที่ห้องนอน สุมาเจียวรักนับถือบิดาเป็นอันมาก เห็นบิดาป่วยก็ต้องการเอาใจ เห็นเด็กรับใช้อุ่นหม้อยาเสร็จแล้ว จึงรับเป็นธุระรินยาใส่ถ้วยด้วยตนเอง แล้วถือเข้าไปหาสุมาอี้
สุมาเจียวเป่ายาให้พอคลายร้อนแล้วเอาช้อนตักยาขึ้นมาชิม พลางบ่นว่ายานี้ขมนัก ท่านพ่อจะดื่มยาไหวหรือ
สุมาอี้พยุงตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วกล่าวว่ายาขมย่อมมีสรรพคุณในการรักษาโรค คำคนที่ไม่ต้องหูมักมีประโยชน์ สืบไปเบื้องหน้าเจ้าทั้งสองจงจำคำเราไว้ให้จงดี อันตรายที่จะบังเกิดแก่ผู้มีอำนาจวาสนานั้นมักมีมาแต่คำคน ด้วยวิสัยใจคนย่อมรักย่อมพึงใจย่อมปรารถนาในคำหวาน สิ่งใดหวานต้องใจก็มักจะเชื่อถือรับฟัง ลืมเฉลียวคิดว่าเป็นจริงหรือไม่และเป็นประโยชน์จริงหรือไม่ เพราะโลกนิยมเป็นดังนี้ผู้มักแสวงหาประโยชน์จึงฝึกฝนจนชำนาญในการกล่าวคำให้ไพเราะเสนาะหวานหูแก่ผู้มีอำนาจ เนื้อแท้แล้วหาได้มุ่งให้ประโยชน์แก่ผู้มีอำนาจไม่ หากหวังเอาประโยชน์และความชอบที่ผู้มีอำนาจจะประทานให้ต่างหาก
สุมาอี้กล่าวแล้วจึงรับเอาถ้วยยาจากสุมาเจียวมาดื่มจนหมดถ้วย
สุมาสูเห็นบิดาดื่มยาแล้วจึงกล่าวว่า ท่านพ่อตกระกำลำบากก็เพราะไอ้โจซองนี้โดยแท้ มีโอกาสเมื่อใดจะสับเสียให้เป็นชิ้นไม่ให้กากินติดคอเลย
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นจึงเตือนบุตรทั้งสองว่า ไยเจ้าจึงต้องกล่าวคำดังนี้เล่า หาเป็นประโยชน์อันใดไม่ ความคับแค้นพยาบาทอันใดมีอยู่ในใจ ย่อมต้องถือเอาเป็นความลับอันยิ่งยวด จะเปิดเผยแพร่งพรายให้ผู้ใดล่วงรู้มิได้เป็นอันขาด หากพลั้งพลาดย่อมอาจถึงตายได้ แม้เป็นบ้านของเราเองก็วางใจมิได้ ด้วยหน้าต่างนั้นมีหู ประตูนั้นมีตา จะปล่อยปากไปตามอารมณ์กล่าวความซึ่งเป็นอันตรายแก่ตัวโดยหาประโยชน์อันใด มิได้ดังนี้ เจ้าจงจำไว้อย่ากระทำการดังนี้อีก
สุมาเจียวได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า ท่านพ่อมีสติปัญญาและมีความชอบแก่แผ่นดินเป็นอันมาก จะปล่อยให้โจซองทำหยาบช้าแก่ฮ่องเต้และราษฎรสืบไปหรือ
สุมาอี้จึงว่า ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าเป็นอย่างไรเจ้าก็รู้อยู่แก่ตัว รู้ดังนี้แล้วไฉนจึงมาถามให้เราต้องออกปากเองเล่า
กล่าวแล้วสุมาอี้จึงมองหน้าบุตรทั้งสองคน แล้วกล่าวย้ำอย่างหนักแน่นว่าความรู้สึกนึกคิดอันครองจิตใจเจ้าอยู่นั้นมีมาแต่เหตุอันใด เจ้าจงจดจำไว้ให้มั่นคง วันข้างหน้าเมื่อเจ้าเติบใหญ่ขึ้นแล้วจะต้องไม่กระทำการก่อเหตุซึ่งทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึก ดังที่เจ้าเป็นอยู่ในวันนี้ ในการสงครามนั้นการจะล้อมตีข้าศึก โบราณว่าให้ปิดล้อมไว้แต่เพียงสามด้าน เปิดด้านหนึ่งไว้ปล่อยให้หนีไป แล้วค่อยกำจัดในภายหลัง เหตุผลของคำโบราณนี้อยู่ตรงที่ต้องไม่ทำให้หมาจนตรอก ต้องไม่ทำให้คนอับจนทางถอย เพราะหมาเมื่อจนตรอก คนเมื่อจนทางถอย ก็ย่อมกลายเป็นพวกสิ้นคิด ไม่เกรงกลัวต่อความตาย ย่อมคิดอ่านเสี่ยงตาย ความสูญเสียจะบังเกิดขึ้นอย่างคาดคิดไม่ถึง โจซองทำให้พวกเราอับจนทางถอยถึงเพียงนี้ เห็นโจซองจะกำเริบน้ำใจ วันหนึ่งก็จะตั้งอยู่ในความประมาท เห็นจะเสียทีแก่เราเป็นแน่นอน
สุมาเจียวได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า บิดาจะรอถึงวันเวลาใดจึงจะล้างความพยาบาทในใจให้หมดสิ้น
สุมาอี้จึงว่าบัดนี้โจซองได้ครองอำนาจทั้งฝ่ายบุ๋น ฝ่ายบู๊ มีผู้คนในอำนาจจำนวนมาก จึงยากที่จะกำหนดวันเวลาได้ การทั้งปวงต้องเป็นไปตามลิขิตสวรรค์ สุดแท้แต่วันเวลาใดเงื่อนไขจะอำนวยจึงค่อยคิดทำการสืบไป
สุมาสูได้ฟังคำสุมาอี้จึงกล่าวว่าโจซองยามนี้มีอำนาจเป็นใหญ่ ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน นับวันยิ่งกำเริบแล้วตั้งตนเสมอฮ่องเต้ แต่บรรดาขุนนางข้าราชการและพ่อค้าวาณิชก็หาได้มีความรังเกียจไม่ กลับยอมเข้าเป็นพวกของโจซองเป็นอันมาก นับแต่โจซองครองอำนาจถึงวันนี้ร่วมหกปีแล้ว ผู้คนบริวารและอำนาจของโจซองกลับยิ่งเพิ่มพูนขึ้น จึงวิตกว่าความคิดของบิดาอาจเป็นหมันไป
สุมาอี้หัวเราะอย่างแค่น ๆ แล้วกล่าวว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ย่อมมีวันแปรผันเปลี่ยนแปลง พระอาทิตย์ขึ้นแล้วย่อมอัสดง ราตรีที่ทอดยาวแล้วย่อมเป็นนิมิตหมายว่ารุ่งอรุณกำลังใกล้มาถึง ฟ้ามืดเมื่อมีได้ก็ฟ้าใหม่ย่อมคงมี โจซองครองอำนาจถึงบัดนี้เห็นทีใกล้สุกงอมแล้ว เพราะหกปีมานี้อำนาจวาสนาของโจซองได้เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว อุปมาดังหนึ่งกองไฟที่กลายเป็นกองใหญ่ขึ้นทุกที กองไฟใหญ่ขึ้นเท่าใดย่อมกินฟืนไฟมากขึ้นเท่านั้น กองไฟของโจซองกองนี้กินฟืนไฟมานานหนักหนา เห็นจะใกล้เวลาดับมอดแล้ว นี่เป็นสัจธรรมอันไม่อาจฝ่าฝืนได้ ช้าเร็ววันแห่งการดับสูญของโจซองก็จะต้องมาถึง
แล้วสุมาอี้จึงกล่าวว่า พวกเราเพียงแต่ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของโจซองไว้ให้ใกล้ชิดก็เพียงพอ การทั้งปวงบิดาได้คิดอ่านอย่างรอบคอบรอบด้านแล้ว
หลังจากวันนั้นมาทั้งสุมาสูและสุมาเจียวจึงติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของโจซองอย่างเงียบ ๆ
ฝ่ายโจซองเมื่อได้ครองอำนาจในวุยก๊กเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ยิ่งกำเริบขึ้น ริอ่านคิดว่าเป็นประเพณีของฮ่องเต้ยามแผ่นดินสงบสุขก็ชอบที่จะออกป่าล่าสัตว์ ตัวเราวันนี้ราชการบ้านเมืองทุกสิ่งอย่างก็เข้าทางเข้าที่ จำจะหาความสำราญเป็นการเสริมสร้างบารมีไปในตัว
ดังนั้นโจซองจึงพาห้าองครักษ์พิทักษ์นายและพรรคพวกเข้าป่าล่าสัตว์ จัดเป็นขบวนใหญ่ประหนึ่งฮ่องเต้เสด็จประพาสป่า สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “โจซองกับโฮอั๋น เตงเหยียง หลีซิน เตงปิด ปิดห้วนนั้น พากันไปเที่ยวยิงเนื้อทุกวัน มิได้ขาด”
ฝ่ายโจอี้ผู้น้องของโจซองเห็นโจซองคิดกำเริบและเห็นว่าการออกป่าล่าสัตว์เป็นเนืองนิจนั้นเป็นอันตราย เพราะหากศัตรูคู่ปรปักษ์สังเกตความเคลื่อนไหวเอาเป็นกฏเกณฑ์ได้แล้วก็อาจคิดทำอันตรายได้โดยสะดวก
คิดดังนั้นแล้วโจอี้จึงเข้าไปหาโจซองแล้วเตือนว่า “ท่านมียศถาศักดิ์ถึงเพียงนี้ ซึ่งจะพากันไปยิงเนื้อในป่านั้นไม่ควร เกลือกศัตรูจะลอบไปทำอันตรายก็จะเสียทีแก่มัน”
โจซองยามนี้มีอำนาจ คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าใครในแผ่นดิน พอได้ยินคำเตือนของผู้น้องก็โกรธ กล่าวว่าตัวเจ้าอย่าทำตัวตกใจง่ายเป็นกระต่ายตื่นตูมเลย แผ่นดินนี้เรามีอำนาจวาสนายิ่งกว่าใคร บ่าวไพร่ผู้คนทั้งทหารและพลเรือนก็อยู่ในอำนาจเราสิ้น ทรัพย์สิ่งศฤงคารข้าวของเงินทองก็มากล้น จนอาจจะมากกว่าเงินทองในท้องพระคลังหลวงเสียอีก ใครไหนจะหาญกล้ามาคิดอ่านทำอันตรายแก่เรา
บังเอิญในวันนั้นฮวนห้อมเจ้ากรมนาซึ่งมีสติปัญญายิ่งกว่าใครในบรรดาพรรคพวกของโจซองได้มาที่จวนของโจซองตามคำเรียกหา เห็นโจซองโกรธผู้น้องดังนั้นจึงห้ามปรามว่าซึ่งโจอี้กล่าวมานี้ใช่ว่าจะไร้ซึ่งเหตุผล ตัวอย่างการลอบทำร้ายฮ่องเต้ยามเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ที่มีมาในหนหลังก็เป็นตัวอย่างอยู่ ตัวท่านมีบุญถึงเพียงนี้แล้วพึงคิดอ่านระมัดระวังตัวก็จะดีกว่าตั้งอยู่ในความประมาท
แต่โจซองวันนี้ผิดกับโจซองเมื่อก่อนแล้ว แม้เคยรับฟังเชื่อถือฮวนห้อมตลอดมา แต่อำนาจวาสนาได้ปิดบังตาจนลืมเลือนความหลังไปจนหมดสิ้น แม้ได้ยินคำทัดทานของฮวนห้อมก็ไม่ฟังคำ แล้วกล่าวว่าเมื่อเจ้าทั้งสองไม่รักการออกป่าล่าสัตว์ก็จงอยู่แต่ในเมืองเถิด
ฝ่ายสุมาอี้และบุตรทั้งสองคนได้ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของโจซองอย่างต่อเนื่องตลอดมาแต่ยังไม่เห็นช่องทำการ ครั้นอีกสามเดือนจะขึ้นปีใหม่สุมาอี้ก็แสร้งทำเป็นป่วยหนัก ไม่เข้าไปสั่งสอนวิทยาการแก่พระเจ้าโจฮองตามปกติ
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบสองพรรษา เดือนสาม ขึ้นปีใหม่แล้ว โจซองทราบว่าสุมาอี้ป่วยหนักและไม่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าโจฮองเป็นเวลาหลายเดือนก็สงสัย ประจวบกับพระเจ้าโจฮองมีพระบรมราชโองการตั้งหลีซินหนึ่งในห้าองครักษ์พิทักษ์นายให้เป็นเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว จึงคิดว่าสุมาอี้ป่วยถึงบัดนี้ก็นานแล้ว จำจะตรวจสอบดูว่าสุมาอี้ป่วยหนักจริงหรือไม่ จะได้ไม่เป็นที่ระแวงสงสัยอีกต่อไป
โจซองคิดดังนั้นจึงเรียกหลีซินเข้ามาพบ แล้วกล่าวว่าหลายปีมานี้เรากริ่งเกรงสติปัญญาของสุมาอี้ จึงกวดขันตรวจตราสอดส่องพฤติกรรมของสุมาอี้และบุตรทั้งสองคนมิได้ขาด หากสิ้นสุมาอี้เสียแล้วเราก็จะสิ้นที่วิตกสืบไป บัดนี้ได้ยินว่าสุมาอี้ป่วยหนักพักรักษาตัวอยู่หลายเดือนแล้ว แต่ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นี้จะป่วยหนักจริงหรือไม่ยังคงเป็นที่สงสัย จึง ไหว้วานให้เจ้าไปหยั่งท่าทีตรวจสอบดูว่าสุมาอี้ป่วยหนักจริงหรือไม่ประการใด ให้เจ้าจงทำทีเข้าไปลาสุมาอี้เพื่อไปรับตำแหน่งเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว หากได้ความประการใดก็ให้รีบมาแจ้งแก่เรา
หลีซินรับคำโจซองแล้วจึงคำนับลาและเดินทางไปที่จวนของสุมาอี้.